Sats and Sound

Sats and Sound's avatar
Sats and Sound
npub1dhsn...xjvg
Sats and Sound: สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ผ่านการเงินดิจิทัลและการพัฒนาตนเอง ชื่อช่องสามารถตีความให้ครอบคลุมทั้งบิตคอยน์ (Sats), การเงิน (Sound Money), และการพัฒนาตัวเอง (การเรียนรู้ผ่าน "Sound" หรือเสียงที่เป็นความรู้ที่มั่นคง)
จับมือทํา โหลด ตั้งค่า ใช้งาน wallet Blink โอน BITCOIN ผ่าน Lightning Network - Sats And Sound Ep.68 #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #wallet #bitcoinwallet #blink
เงินสํารองฉุกเฉิน เก็บใน BITCOIN มือใหม่ อย่า หา ทํา - Sats And Sound Ep.67 #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats #ออมbitcoin #เงินสำรองฉุกเฉิน #การเงินส่วนบุคคล
สูตรโกง คนรวย กลยุทธ์ BUY BORROW DIE ด้วย BITCOIN ถ้าทำได้ สบายทั้งชาติ - Sats And Sound Ep.61 #siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #ออมbtc #stacksats
1 BTC 4 ล้านบาท All Time High โคตรแพง ซื้อตอนนี้ ยังทันมั้ย? - Sats And Sound Ep.60 ในช่วงสัปดาห์ก่อนผมเห็น เพจข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ลงข่าวว่า บิทคอยทำ ATH ใหม่ที่ 1 BTC = 4 ล้านบาท กดไลค์เป็นพัน คอมเม้นและแชร์เป็นร้อย ในคลิปนี้ ผมจะมาสรุป ความคิดเห็นของ คนไทย ว่ามีความรู้ความเข้าใจบิทคอยมากน้อยขนาดไหน และ ท้ายคลิปผมจะมาตอบว่า ถ้าเราเพิ่งรู้จักบิทคอย ซื้อตอนนี้ 1BTC 4 ล้านบาท มันทันมั้ย คอนเท้นนี้ อยากให้มือใหม่ที่เพิ่งรู้จัก หรือ เริ่มศึกษาบิทคอยได้ฟัง เพราะคนที่อยู่มาสักพัก เข้าใจเงินเฟ้อ จะไม่ตกใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก ที่เลือกข่าวในเพจเรื่องเล่าเช้านี้เพราะว่า มันจะได้เห็นความคิดจริงๆ ของคนทั่วๆไปด้วยครับ เพราะถ้าเราอยู่ในกลุ่มเฉพาะ หรือ nostr มันจะมีแต่คนเข้าใจบิทคอยแล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่าคนทั่วไปเขาคิดยังไง ผมนั่งอ่านเป็น ร้อยคอมเม้น มาแบ่งสิ่งที่แอบตกใจคือ คนเข้าใจบิทคอย กับ คนที่ไม่เข้าใจบิทคอย แบ่งเป็นอย่างละครึ่งเลยครับ เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า มีคนเข้าใจบิทคอยและกล้าออกมาพูด มีมากกว่าที่ผมคิดไว้ มาดูคอมเมนฝั่งเข้าใจบิทคอยกันก่อน - บิทคอยเปรียบเหมือนไฟ ใครไม่เข้าใจก็กินหญ้าต่อไป ซึ่งบางคนงง ผมจะขยายความคือ ไฟเปรียบเหมือนเทคโนโลยีที่เปลี่ยนชีวิตของมนุษยชาติมาแล้วในอดีต ซึ่งบิทคอยก็จะทําเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าใครไม่เข้าใจจะมั่งคั่งได้ยากกว่า - ผ่านมา 16 ปีแล้ว เขาเลิกพูดเรื่องบิทคอยเป็นสแกมกันได้แล้ว ถ้ามันเป็นสแกม มันตายไปนานแล้ว ถ้าไม่เชื่อลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง ศึกษาบิทคอยเยอะๆ - มันพึ่งถูกกฎหมายตอนราคา 3.5ล้านเอง ให้เวลาคนที่ยังไม่รู้ ศึกษาหน่อย - เอาอคติออกแล้วลองทำความเข้าใจ การเงิน ความเข้าใจว่าเป้าหมายมันเกิดขึ้นมาทำไม - อย่ากลัวมัน แล้วคุณจะเข้าใจเองว่า โลกเรามันถูกครอบงำด้วยอะไรอยู่ คำตอบมันเกินคาดกว่าที่คุณคิดไว้เยอะครับ - มันค่อยๆได้รับการยอมรับจากคนหมู่มากแล้วครับ ระดับประเทศก้เข้ามาเก็บ - เจตนาแรกที้ผู้สร้างประกาศไว้ ไม่ได้ให้เอามาฟอกเงิน แต่สร้างมาเป็นเงินที่ถูกต้องสมบูรณ์ และไม่ให้ใครแทรกแซงได้ครับ - ควรมี bitcoin ตามความรู้ของคุณ ถ้าไม่มีเลยก็คิดเอาเองละกัน - พูดยากครับ ยากพอๆความเชื่อเดิมที่ว่าพิมเงินต้องใช้ทองคำค้ำ 555. เขายกเลิกไปนานแล้วก็ไม่มีคนเชื่อ - มันจะมาแทนที่ทองคำ - คนหมู่มากมองบิตคอยน์ในแง่ลบ เพราะคนหมู่น้อยในโลกนี้คือคน ที่ประสบความสำเร็จ555 - ดูจากหลายคอมเม้น คงมีคนจนไปนาน หลายร้อยคน - ถ้าทุกคนรวย จะมีใครดูดส้วมให้เราละ - ถือมาตั้งแต่ 1.4ลบ. บายใจ๋ - รัฐบาลไทย ควรมีเก็บไว้บ้าง - เคยซื้อตอน8พัน แต่ตอนนี้หมดแล้ว - รู้งี้ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซื้อทิ้งไว้สัก 100US ป่านนี้ฉันคงมีกำไรกี่ล้านละไม่รู้ เสียดาย - สิ้นปีนี่ขึ้น5ล้านแน่ๆๆ - เป็น แบบนี้ มา 5 - 6 ปี แล้ว พวกบอกเงินหลอกลวง เดี๋ยวก็ดับ เป็นไงล่ะ ขึ้นมายืน เป็นสินทรัพย์หลักของโลก ได้ หลังจากมีแค่เงินดอลลาร์ น้ำมัน และทองคำ ปัจจุบันมี bitcoin เข้ามาเป็นลำดับที่ 4 เริ่มเก็บตั้งแต่เมื่อปีก่อนดีแล้วตอนนี้เริ่มเห็นผล - นอยนิดหน่อยแต่ก็ค่อยๆสะสมต่อครับ - เก็บบิตคอยเป็นเศษก็ยังดีครับดีกว่าไม่มีเก็บเลย - สำหรับ คนที่ไม่เข้าใจนะครับ … หนีไป ส่วนคนที่เข้าใจแล้ว ก็สะสมความมั่งคั่งต่อไปครับ 💰🟠 - stack sats, stay humble 150 บาทต่อวัน ไม่สนราคา - อ่านเม้นแล้วสบายใจ.....ยังมีรูมให้ไปต่อ ซื้อบิทคอยได้อีกสักพัก สรุปประเด็นคอมเม้นเชิงบวก - กลุ่มที่สนับสนุนเน้นย้ำว่า Bitcoin ได้รับการยอมรับในระดับสถาบัน และบริษัทขนาดใหญ่ในอเมริกา (เช่น การบรรจุเป็นทุนสำหรับเกษียณ) - บิทคอยได้ก้าวขึ้นมาเป็น สินทรัพย์หลักของโลก ที่อยู่มานานกว่า 16 ปีจนพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ - พวกเขาแนะนำให้ "ศึกษา" อย่างจริงจัง แทนที่จะใช้ความอคติหรือความไม่รู้ตัดสิน - หลายคนมองว่าเป็นโอกาสในการ "สะสมความมั่งคั่ง" ยิ่งนานไปคนยิ่งรู้เยอะ ของยิ่งหายาก - เชื่อว่ามันจะมา "แทนที่ทองคำ"หรือเปรียบเทียบกับทองคำในยุคที่ถูกปั่นราคาขึ้นมา - ผู้สนับสนุนบางส่วนยังใช้คำว่า "หนีไป" หรือการแสดงความเห็นเชิงลบเป็นการประชดเพื่อกันไม่ให้คนเข้ามาแย่งซื้อ มาดูคอมเมนฝั่งไม่เข้าใจกันบ้าง ฝั่งนี้สนุกนะ เพราะว่า พอมีคอมเม้นที่ให้ความรู้ผิด จะมีบรรดาบิทคอยเนอร์หรือ คนที่เข้าใจบิทคอย เข้าไปบอกความจริง บางคนก็พูดแซะ กัดๆเจ็บๆไปบ้าง 1. บิทคอยเหมือนพวกต้นไม้บอน คนเล่นกลุ่มเล็กๆ ปั่นกันเอง ข้อโต้แย้ง มีดังนี้ -- รัฐบาลอเมริกา เขาเก็บบิทคอย์ แต่ไม่เก็บต้นไม้บอน นะครับ -- อันนี้คือเขาไม่รู้เหรอครับว่าอเมริกาบรรจุbtcเป็นทุนสำหรับเกษียณของอเมริกา -- กลุ่มเล็กบ้าไร เค้าซื้อขายกันทั่วโลกแม้แต่สภาบันการเงินมา 10 กว่าปีแล้ว ไม่รู้ก็สักแต่พูด มีnetwork รับรองในการ Transfer ไปทั่วโลก มีระบบจัดเก็บ fee -- เล็กกี่โมง อเมริกาเอย บ.ใหญ่ๆเอย เค้าเก็บกันจะหมดละ -- เล่นกันกลุ่มเล็กๆไม่กี่ประเทศเอง marketcap ก็นิดเดียว นิดเดียวจะแซงtop5ละ 5555555 สรุป บิทคอยไม่ใช่ของเล่นของโปรแกรมเมอร์กลุ่มเล็กๆอีกต่อไปแล้ว เมื่อมีรัฐชาติ สถาบัน บริษัทใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บ นั่นหมายความว่า บิทคอยมี potential มากพอ ในนี้ บิทคอยยังอยู่ในจุดเริ่มต้นเท่านั้น 2. สิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา เงินปลอมๆมีแต่ราคา แต่ไม่มีมูลค่าอะไร สุดท้ายก็เอามาปั่นป่วนกันเอง ข้อโต้แย้งมีดังนี้ -- เงินกระดาษก็สิ่งสมมติ เราทำงานแทบตายเพื่อให้ได้มันมา -- คนก็พูดงี้ตั้งแต่ 3 แสน แต่ก็ดีแต่พูด ไม่เคยศึกษาหาอ่านว่ามันคืออะไร -- เงินเฟียตนี่เทพจากที่ไหนสร้างหรือ? เงินกระดาษที่ปริ้นแบบไม่จำกัดค้ำเงินด้วยหนี้ กลายเป็นเงินกงเต๊กเพราะถ้าดูมูลค่าเป็นจะรู้เลยว่ามันเสียมูลค่าไป 99% แล้ว แต่ที่คนยังใช้อยู่เพราะรัฐบังคับให้ใช้มันเป็น Legal tender สรุป ไม่ว่าสินทรัพย์อะไรก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างมาและให้ค่ามันเองทั้งนั้น สาเหตุที่บิทคอยเกิดขึ้น เพราะเงินเฟียตมันเสื่อมค่าลง ถ้าหากเงินเฟียตมันเก็บมูลค่าได้ บิทคอยจะไม่จําเป็นอีกต่อไป 3.พวกขยะสังคมทั้งนั้น เอาเงินผิดกฎหมายไปซื้อ เงินสกปรก สมุนอาชญากร คอมเม้นนี้เป็นสิ่งที่สื่อควบคุมข่าวให้ประชาชนรับรู้และถึงแต่ด้านแย่ๆของบิทคอยแบบนี้โดยไม่หาคําตอบที่แท้จริง สรุป บิทคอยมีคุณสมบัติเป็นเงินที่ดีครับ ซึ่งหมายถึง ใครจะใช้เงินนี้ในการแลกเปลี่ยนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนไม่ดี เพราะหน้าที่ของบิทคอยคือใช้แลกเปลี่ยนสินค้า 4. บิตคอยเหมือนกล้วยด่าง ล่อเเมงเม่าบินเข้ากองไฟ สมัยจตุคามก็ราคาดีแบบนี้แหละ ข้อโต้แย้งมีดังนี้ -- ไม่เหมือนครับ btc มีการยอมรับและกระจายทั่วโลก และในอนาคตจะมีการยอมรับและใช้งานมากขึ้นครับ -- จตุคามที่เอามาเทียบ มันดับแล้วเกิดขึ้นมาใหม่ได้มั้ย? -- รอดูต่อไปครับ วันไหนมีความรู้ ค่อยเก็บ เอาใจช่วยครับ สรุป หลายๆคนยังคิดว่า บิทคอยคือเงินดิจิตอลที่ไร้มูลค่า ไม่รู้จะมูลค่าจะหายไปวันไหน เป็นแค่เทคโนโลยีที่ ผ่านมาสักวันก็ผ่านไป แต่อยากให้ศึกษาลึกๆจะรู้ว่า โลกของเราไม่มีเทคโนโลยีปฏิวัติการเงินมาก่อนนะครับ บิทคอยคือตัวเดียวที่กําลังทําสิ่งนั้นอยู่ 5 บิทคอยใช้เพื่อฟอกเงิน แหล่งฟอกเงินเทา ขึ้นแรงเพราะรัฐบาลแต่ละประเทศคุมเข้ม ข้อโต้งแย้งมีดังนี้ -- ฟอกได้หมดแหละ เงินสด ที่ดิน ทองคํา ธุรกิจ -- เงินสดก็ฟอกเยอะกว่าหลายเท่า สรุป การฟอกเงินด้วยบิทคอยนั้น มันติดตามเส้นทางการโอนได้หมดนะครับ เพราะบิทคอยมีระบบ network แบบกระจายศูนย์ ข้อมูลทุกอย่าง ทุกคนเปิดดูได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปขอธนาคารหรือตัวกลางไหนเลย ดังนั้นเหมือนที่คอมเม้นบอกเลย ถ้าจะฟอก ทําได้หมดไม่ว่าสินทรัพย์ไหน ยิ่งเงินเฟียตฟอกง่ายกว่าอีก แถมตามตัวยากกว่ามากด้วย ส่วนการขึ้นลงของบิทคอย ปัจจัยที่มีผลที่สุดไม่ใช่รัฐบาลนะครับ แต่เป็นเงินเฟ้อ และความตื่นรู้ของ คนในโลกที่นับวันยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ 6 วันหนึ่ง จะมีคนเก่ง เขียนโปรแกรมหรือแฮก เพิ่มบิทคอยขึ้นมาเองได้ แล้วมันจะเหลือศูนย์ ข้อโต้งแย้งมีดังนี้ -- มันมีคนก็อปโค้ดบิทคอยน์มาทำเหรียญใหม่เป็นแสนๆเหรียญแล้วจร้าา --คนเก่งๆทำได้เลยครับ ทำให้เหมือนยังได้ แต่ที่ไม่เหมือนคือกำลังขุด กับโหนด ที่กระจายไปทั่วโลก --พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้เข้าใจระบบฉันทามติของบิตคอยน์ (Proof of Work) เลย -- ถ้าเก่งขนาดนั้น ไปแฮกบัญชีธนาคารไม่ดีกว่าเหรอ สรุป ข้อมูลนี้คือความเข้าใจผิดที่คลาสสิคที่สุดแล้ว สักวันบิทคอยโดนแฮก มันจะเหลือศูนย์ เดี๋ยวก็มีบิตคอยสอง ข้อนี้อยากให้ไปดูคลิป ความเสี่ยงของ BTC พูดจริงแบบไม่อวย EP33 น่าจะเข้าใจมากขึ้น 7.ถ้าบิทคอยดีจริง ทําไมคนฉลาดอย่าง วอเรน บัพเฟต ไม่ซื้อ? เขาไม่สนใจมันด้วยซํ้า ข้อโต้แย้งมีดังนี้ -- วอเรนไม่ได้เก่งทุกเรื่องครับ บางเหตการณ์แกก็มีพลาดครับ แกจะลงทุนในสิ่งที่แกมั่นใจจริงๆ สรุป การเอาบุคคลที่สําเร็จในระบบ TredFi มาวัดคุณค่าใน DeFi มันไม่ค่อย make sense นะครับ แต่ละคนมีความรู้ ความเข้าใจ ความถนัดไม่เหมือนกัน อีกอย่าง ผมเคยพูดไปในคลิปก่อนๆแล้วว่า คนที่รวยมากๆ หาเงินได้ชนะเงินเฟ้อมากๆอยู่แล้ว คนที่ประสบความสําเร็จในโลกเงินเฟียต บิทคอยไม่จําเป็นเลยครับ สรุปประเด็นคอมเม้นเชิงลบ - กลุ่มคัดค้านมองว่า บิทคอย เป็นเพียง "สิ่งสมมุติ" ที่ไร้มูลค่า ไม่มีอะไรค้ำประกัน - เป็นแค่ "แชร์ลูกโซ่"หรือ "สแกม"ที่มีแต่กลุ่มเล็กๆ ปั่นกันเอง - บิทคอยถูกปั่นโดยพวกมีอิทธิพล/โจรระดับโลก - ข้อกล่าวหาที่พบบ่อยคือ บิทคอยถูกใช้เป็น "แหล่งฟอกเงิน" เป็นความเข้าใจผิดจากสื่อหลักที่บิดเบือน - คอมเมนต์เชิงเตือนเปรียบเทียบนักลงทุนเป็น "แมงเม่า"ที่บินเข้ากองไฟ - บางคนเปรียบเทียบกับกระแสที่เคยดับไปอย่าง "จตุคาม" หรือ "กล้วยด่าง" ข้อมูลนี้มันบอกอะไรเราบ้าง 1 ผมรู้สึกประหลาดใจอัตราส่วนของคนที่เข้าใจบิทคอยนะครับ เพราะคิดว่ายังไง ถ้ามีสัก 10% ก็เยอะมากแล้ว แต่นี่มีถึง 50% ที่ผมอ่านเม้นแล้วรู้เลยว่าพวกเขาคือบิทคอยเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ใช้ตอบ หรือ การถกเถียงประเด็นต่างๆ 2 บางคนอาจจะดีใจที่บิทคอย ราคาพุ่งขึ้นทำ ATH บางคนดีใจ/เสียใจ/เสียดายโอกาสในการถือในราคาที่ถูกกว่านี้ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่แฝงอยู่ในข่าวนี้คือ สภาวะเงินเฟ้อ ที่นับวันยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่กี่วันก่อนมีข่าวทองขึ้นไป 60k คนแห่งไปถอนกันเต็มเลย ในหัวผมมีแต่คำถามว่า คนที่ไม่มีสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าในอนาคตจะอยู่กันยังไง?? สัญญาณแบบนี้ ผมได้กลิ่นความชิบหายในอนาคตเลย ต่อไปอาจจะเกิดสภาวะ hyperinflation 3 ส่วนคอมเม้นที่ไม่เห็นด้วย หรือ เข้าใจบิทคอยแบบผิดๆ ผมคิดว่าในอีก 5-10ปีข้างหน้า ความเชื่อพวกนี้ก็ยังอยู่ อยากให้ลองศึกษาและเปิดใจดู มุมมองของโลกการเงินทั้งใบอาจจะเปลี่ยนก็ได้นะครับ แต่เรื่องนี้เป็นทางเลือกของแต่ละคน คุณจะไม่สนใจหรือยังคงอคติต่อบิทคอยต่อไป ก็ไม่มีใครว่าอะไร สุดท้าย ซื้อบิทคอยตอนนี้ทันมั้ย - บอกเลยว่าถ้าไม่ซื้อนั้นแหละ จะซวย เงินเฟ้อหนักขนาดนี้ ฝั่งอเมริกาพิมพ์เงินมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ออมบิทคอย เหมือนคุณกำลังว่ายน้ำในมหาสมุทรโดยไม่มีเสื้อชูชีพเลยนะ - อยากให้มองบิทคอย คือทางรอดจากระบบเงินเฟียตที่เสื่อมค่าลงตลอดเวลา ถ้าใครหาสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ 6-8% ได้ทุกปี ก็ไปสิ่งนั้น แต่ผมเลือกบิทคอย เพราะทําให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก แถมไม่จนลงด้วย - มีคําพูดในช่องที่ผมชอบมาก ขออนุญาตพี่เจ้าของมาแล้ว เขาบอกว่า "โลกนี้มันเพี้ยนตรงที่ตัวเงินมันออมไม่ได้ ต้องไปออมเป็นสินทรัพย์อื่น" โคตรเห็นภาพชัดเจน คือ ถ้าเงินเฟียตมันไม่เสื่อมค่า เราจะต้องออมสินทรัพย์อื่นให้เหนื่อยทำไม บิตคอยก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย - ถ้าคุณเริ่มเห็นความเพี้ยนของระบบการเงินโลก คุณจะรู้ว่า ซื้อบิทคอย ทันเสมอ เพราะเงินในมือคุณ ที่เปลี่ยนเป็นบิทคอยแล้ว มันจะไม่เสื่อมค่าลงเหมือนเงินเฟียต และสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับเงินเฟียต - ถ้าเทียบกับเงินเฟียต 1BTC 4 ล้านบาทมันแพงมาก แต่ในโลกที่ยังพิมพ์เงินกระหนํ่าแบบนี้ต่อไป รัฐไม่มีท่าทีจะหยุดพิมพ์เงิน ต่อไปเงินเฟ้อจะมากขึ้นไปอีก ผมว่าในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า ถ้าหากเรากลับมาดูคลิปนี้ หลายๆคนอาจจะคิดว่าบิทคอยราคา 4 ล้านบาท อาจจะถูกมากก็ได้นะ สรุป 1 จากข่าว บิทคอยทำ ATH ที่4ล้านบาทไทยนั้น แสดงให้เห็นว่า คนที่เข้าใจบิทคอย และถือบิทคอยอยู่มีมากขึ้น กว่าแต่ก่อน หลายๆคนเข้าไปให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และตรงประเด็นมากๆ ผมว่าคนไทยรู้จักบิทคอยมากขึ้นหลายเท่าเลย เป็นนิมิตหมายอันดี 2 ความชัดเจนที่เริ่มในการอนุมัติ Bitcoin ETF ในปี 2024 เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด bitcoin adoption ไม่ว่าจะเป็นรัฐชาติ สถาบัน บริษัทเริ่มเก็บบิทคอย มลรัฐในอเมริกาเริ่มมีกฏหมาย bitcoin reserve ผ่าน ทําให้หลายๆคนเริ่มมีความมั่นใจที่จะถือบิทคอยมากขึ้น 3 ด้วยราคาของบิทคอยที่พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆทำให้ดึงดูดความสนใจของคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักอยู่แล้ว หรือไม่รู้จัก 4 อคติหรือความเข้าใจผิดๆ ยังคงมีอยู่ต่อไป สิ่งที่พอทําได้คือให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่เขาจะเปิดใจรับมั้ย นั่นเป็นเรื่องของเขาเอง 5 สิ่งที่น่ากลัวที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่ เราจะได้ซื้อบิทคอยที่แพงขึ้น แต่มูลค่าของบิทคอย มันสะท้อนถึง เงินเฟียตที่เฟ้อมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน เราจะต้องเตรียมรับมือกับ ข้าวของแพงขึ้นไปอีก 6 ในสภาวะเงินเฟ้อมากขนาดนี้ ในเมื่อบิทคอยคือทางรอดเดียว ดังนั้นคําถามไม่ใช่ ซื้อตอนนี้ทันมั้ย แต่ถ้าไม่ซื้อ คนจะกลายเป็นคนที่จนลงไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตลําบากขึ้น ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองสามารถหาเงินได้ชนะเงินเฟ้อที่แท้จริง 6-8% ทบต้นได้ตลอด บิทคอยไม่จําเป็น แต่ถ้าไม่ใช่ ถือบิทคอยเลยครับ ไม่ต้อง all-in ค่อยๆเริ่ม ค่อยศึกษา 7 อยากที่บอกว่า ไม่ว่าจะเริ่มออม หรือซื้อบิทคอยที่ราคาเท่าไหร่ เงินจํานวนนั้นของคุณก็จะไม่เสื่อมลงไปเหมือนเงินเฟียต แค่นี้ คุณก็ใช้ชีวิตได้สบายกว่า คนที่ยังติดอยู่ในโลกเงินเฟียตมากแล้ว 8 บิทคอยซื้อตอนไหนก็ทัน เพราะเงินคุณมันไม่เสื่อมค่าอีกต่อไป แต่ถ้าซื้อช้า ก็จะได้บิทคอยน้อยกว่าคนที่ซื้อก่อน เพราะเงินเฟ้อมันไม่รอใคร #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ATH
ทําไมผม ขายหุ้น ทิ้ง แล้วมาถือ Bitcoin - Sats And Sound Ep.59 Disclaimer อันนี้เป็นความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ don't trust , verify. ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน เริ่มทํางานมา 10 ปีกว่าแล้วๆ ตั้งแต่เริ่มทํางาน ผมก็ศึกษาเรื่องการเงิน การลงทุน มาตลอด เนื่องจาก ผมเองอยากจะพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น มีเงินเยอะขึ้น มั่นคงขึ้น ครอบครัวผมฐานะปานกลางค่อนไปทางจน เราก็อยากจะถีบตัวเองขึ้นมาให้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ พอศึกษาเราจะได้ยินหลายๆคํา เช่น - เงินเฟ้อ - หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ - passive income - อิสระภาพทางการเงิน ผมก็ได้ไปฟังกูรูทางด้านการเงิน วางแผนการเงินส่วนบุคคล ทําให้ผมได้ความรู้ "พื้นฐานแบบเฟียตๆ" 3 ข้อดังนี้ 1 เงินเฟ้อในประเทศไทยเฉลี่ย 2-3% ทบต้น (มารู้ที่หลังว่ามันไม่จริง) 2 ในอดีตแค่ฝากธนาคารก็มีดอกเบี้ยเยอะมากจนเป็น passive income แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝาก แค่ 0.25% พอรู้เราจะดูถูกเงินออมก่อนเลย ได้น้อยเกิน ออมอย่างเดียวไม่รวย (มารู้ที่หลังว่า ต้องออมให้ถูกสินทรัพย์ มันก็เวิร์คนะ) ออมอย่างเดียวไม่ได้ เราต้อง "ลงทุน" ถึงจะชนะเงินเฟ้อ และรวยเหมือนที่หวัง วิธีคือ เราจะต้องหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่มากกว่า "เงินเฟ้อ" ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งรวยเร็ว อัตราผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยในระยะยาวของสินทรัพย์แต่ละประเภท - พันธบัตรรัฐบาล/ตราสารหนี้ 2-3% ต่อปี (เงินเฟ้อแบบเฟียตๆ) - ทองคํา 6-10% ต่อปี - กองทุนรวมหุ้นไทย 7-10% ต่อปี - หุ้นไทยรายตัว 7-12% ต่อปี 3 ยิ่งเราออมและลงทุนเร็ว เราจะมี passive income และ อิสระภาพทางการเงิน ในที่สุด เริ่มจากการ เก็บเงินสํารองฉุกเฉิน 3-6 เดือน และเริ่มลงทุนในหุ้น แบบ DCA ผ่านไป 10 ปีข้างหน้า เราจะรวย จากข้อมูลสามข้อนี้ บวกกับความรู้ทางการเงิน แบบเฟียตๆ พร้อมความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ไฟในตัวอย่างเต็มที่ ผมจึงตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวทันที เพราะผลตอบแทนมากที่สุด ในระยะยาวถ้าทบต้นไปเรื่อย เราจะรวยอย่างคาดไม่ถึง ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นสาย VI เก็บปันผลกินไปเรื่อยๆ สมัยก่อนมีพอร์ต 5-10 ล้านเกษียณได้แล้วนะ ฝันหวานอยู่ได้ไม่นาน คําถามแรกคือ เราจะเลือกหุ้นตัวไหนดีหล่ะ??? ตอนนั้นไม่มีโบรกเกอร์นอก ที่ราคาถูกเหมือนในตอนนี้ ทําให้ผมดูหุ้นไทยล้วน หุ้นใน SET มีหลายร้อยตัว ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องไปศึกษาข้อมูลบริษัท - ดูเทรน ,ดูความสามารถในการแข่งขัน, ฟัง op day - ดูเอกสาร 56-1 , ข้อมูลทางบัญชี - อัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์มูลค่าหุ้นมากมาย เช่น EPS, ROE, P/E Ratio , P/BV Ratio, Dividend Yield, D/E Ratio จากการทําการบ้าน แบบมือใหม่ งูๆปลาๆ ผมก็ได้หุ้นมา 3 ตัว คนละ sector กะว่าแต่ละเดือนจะ dca เท่าๆกันไปเรื่อยๆ หลังจาก DCA ไปได้ 6 เดือน ผมพบว่า มูลค่าหุ้นมันมีขึ้น มีลง แล้วพอเราไปหาข้อมูลหุ้น ปรากฏว่า มันมีหุ้นตัวที่ดีกว่าตัวที่เราลงทุนนี่หว่า ด้วยการเป็นวัยรุ่นสร้างตัวใจร้อน FOMO ผมก็เลือกที่จะ ขายหุ้นตัวเดิม ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ทันทีโดยไม่สนใจว่า กําไร-ขาดทุนเท่าไหร่ (ความชิบหายที่ 1) แล้วในชีวิต first jobber เราไม่เคยมีเงินใช้เองมาก่อน พอมีเงินใช้เอง ผมก็กิน เที่ยว ซื้อของ ซื้อความสุขบ้าง ถึงผมจะมีการวางแผนการเงินรายเดือน แต่พอเอาเข้าจริงบางเดือนเงินก็ไม่พอ เพราะไม่เคยทํารายรับรายจ่าย (ความชิบหายที่ 2) พอเราไม่รู้ เงินเข้าเงินออกที่แท้จริง ในบางครั้งต้องใช้เงินฉุกเฉิน เงินสํารองใช้หมดไปแล้ว ก็ต้องขายหุ้นออกมาเอาเงินไปใช้ก่อน (ความชิบหายที่ 3) พอเราไม่เห็นตัวเลข รายจ่ายรายเดือนรวมกับ ค่าใช้จ่ายมันคุมไม่ได้ ทําให้ แผนการ DCA หุ้นนั้น ทําได้อย่างไม่สมํ่าเสมอ ลงบ้าง ไม่ลงบ้าง ไม่มีเงินก็ไม่ได้ลง ทําให้ ผมไม่ค่อยได้ติดตามพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างเคร่งครัด (ความชิบหายที่ 4) พอผ่านไปสัก 1 ปี ผมก็ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมรู้ว่า ถ้าหุ้นรายตัวมันยาก เราไปลงกองทุนรวมหุ้นก็ได้ แนะนําตัวกองทุนหุ้นดัชนี SET50 ค่าธรรมเนียมตํ่า เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ ผมก็แบ่งเงินต่อเดือนนิดๆหน่อยๆ แบบสะเปะสะปะ ลงไป สรุป 1 ปีแรกของการเริ่มลงทุนในหุ้น - การลงทุนไม่สม่ำเสมอ ไม่ติดตามพอร์ตการลงทุน - ไม่ทํารายรับรายจ่าย ทําให้ไม่รู้ว่าเงินแต่ละเดือนเราใช้อะไรไปบ้าง - ยังสนุกกับชีวิต คล้ายๆกับวัยมหาลัย ใช้เงินไม่คิด - ยังเป็นมือใหม่ ที่ไม่มีความรู้ และประสบการณ์ แต่เลือกที่จะกระโดดเข้ามาในสนามลงทุน โดยคิดง่ายๆว่า "แค่ใส่เงินไปเรื่อยๆ 10 ปีเราจะรวย ไม่ต้องดูอะไรมาก ทั้งหุ้นทั้งกองทุนก็ใส่ๆไป เดี๋ยวดีเอง" เวลาผ่านไปเข้าปีที่ 3-5 ของการลงทุนในหุ้น ผมก็ยังทําตัวเหมือนเดิมเลย ไม่ค่อยได้ศึกษาอะไรมาก ลงทุนไม่สมํ่าเสมอ ไม่ติดตามพอร์ตการลงทุน แต่ผมเริ่มฟังข่าวมากขึ้น แล้วพอมันมีกูรูมาบอกว่า วิกฤตกําลังใกล้เข้ามา ให้ขายหุ้นเก็บเป็นเงินสดแทน ผมก็เชื่อและทําตามนั้น หรือ ถ้าเขาบอกว่า หุ้นตัวนี้ดี ผมก็เชื่อขายหุ้นที่มีแบบขาดทุน มาถือตัวที่ "เขาว่าดี" (ความชิบหายที่ 5) 5 ปี ชิบหายขนาดนี้ ถ้าไม่เจ๊งจะแปลกมาก แต่ยังไม่จบเท่านั้น.... พอเข้าช่วงปีที่ 10 ของการทํางาน ที่มาพร้อมโควิด19 - พอร์ตหุ้น 10 ปีของผม ไม่ได้โตขึ้นเลย แถมขาดทุนด้วย เพราะ ซื้อๆขายๆ ถือไม่นาน ปันผลก็ไม่ได้นํามา re-invest - ผมได้แต่นั่งโทษตัวเองว่าเราไม่เก่ง เราหาเงินไม่มากพอ - ช่วงนั้น เจอสินทรัพย์แบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น gamefi altcoin โดนรับน้องไปอีกหลักแสน ไปดูคลิปกันได้ 10 ปีที่คิดว่าตัวเองมีวินัย รู้เรื่องการเงิน การลงทุนพอตัว แต่พอพอร์ตหุ้นเจ๊งไม่เป็นท่าแบบนี้ ทําให้ผมกลับมาตั้งคําถามกับตัวเองใหม่ ความชิบหายทั้ง 5 ข้อบน รวมกับนิสัยการเงินผิดๆ ตลอด 10 ปี มันทําให้ผม ไม่ประสบความสําเร็จในการลงทุนในหุ้น แต่ในความเศร้า สิ้นหวัง ก็มีหนึ่งอย่างที่ผมอยากขอบคุณตัวเอง นั่นก็คือ ผมได้รู้จักและค่อยเริ่มศึกษาบิทคอย ช่วงแรกๆผมก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้สึกว่ามันเป็นเหรียญแรก ราคาแพง พอผ่านไป 1-2 ปี เมื่อลงไปในหลุมกระต่าย ผมได้พบความจริงเกี่ยวกับ หุ้น การลงทุน และ เงินเฟ้อ ที่เปลี่ยนความคิดผมไปตลอดกาล สิ่งที่เราคิดว่าเราทําถูก สิ่งที่เขาว่ามันดีอยู่แล้ว ที่แท้ มันมีเบื้องหลังที่เต็มไปด้วย หลอกลวง และผลประโยชน์มากมาย 1 เงินเฟ้อที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ 2-3% แต่เป็น 6-8% แบบทบต้น (โดนหลอกตั้งแต่แรกเลย) - ตัวเลข 2-3% เอามาจาก CPI ซึ่งเป็นตัวเลขที่รัฐบาลแต่งได้ เพื่อให้เงินเฟ้อดูไม่มาก - เงินเฟ้อจริงๆต้องดูที่ M2 หรือ money supply ดูง่ายๆในตอนนี้ ของโคตรแพงทุกอย่าง คุณเชื่อเหรอว่าเงินเฟ้อแค่ปีละ 2-3% 2 ระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้ทุกคนในระบบ "จนลง" อย่างอัตโนมัติ ใครที่จะไม่รู้ก็ติดอยู่ในโลกเงินเฟียตตลอดชีวิต เงินในมือที่มีมันเสื่อมค่าลงเรื่อยๆ FED พิมพ์เงินออกมามหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จ่ายหนี้ ทําสงคราม ธนาคารพาณิชย์ ใช้ระบบ fractional reserve banking ทําให้เกิดเงินในอากาศออกมามากมาย ไม่ว่าคุณจะฝากเงิน หรือ กู้เงิน มันจะเป็นเงินใหม่ที่เขาพิมพ์ออกมาทั้งนั้น อยากให้เข้าไปดูคลิป ระบบการเงินโลก ที่มีบางคนไม่อยากให้เรารู้ คลิปนั้นจะเบิกเนตรใครหลายๆคนได้เลยครับ 3 ระบบการเงินโลก การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ มันเฮีย แต่มันก็จะไม่หยุด เพราะมันมีกลุ่มคนที่อยู่ใกล้แหล่งพิมพ์เงินได้ประโยชน์ ระบบเงินเฟียตมันฝังรากลึกในทุกอย่างในสังคมไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อาหาร สุขภาพ การศึกษา การใช้ชีวิต หรือแม้แต่ในสื่อต่างๆ เราเกิดมาพร้อมสิ่งนี้ ทําให้เราคิดว่ามันถูกต้อง ควรจะเป็น และไม่เคยตั้งคําถาม กับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเลย 4 เมื่อเงินเฟ้อมากขึ้น เงินในมือเสื่อมค่า ทําให้ทุกคนที่ไม่อยากจน ดูถูกการออม และต้องกระโดดเข้ามาในโลกของการลงทุน ทั้งๆที่ไม่มีทักษะ ประสบการณ์ (เหมือนกับผมที่ลงทุน 10 ปี คืนตลาดไปหมด) 5 อัตราผลตอบแทนหุ้น ที่เขาบอกว่าเฉลี่ย 7-12% นั้น สําหรับผมมันหาได้ยากมากๆ เพราะใน 10 ปีผลได้ไม่ถึง 3-4% เท่านั้นซึ่งแพ้เงินเฟ้อขาดลอย นั่นหมายความว่า เราต้องมีความสามารถในการเลือกหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสมให้เป็นด้วย ซึ่งผมสอบตกในข้อนี้ ผมไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้น ถ้าหากคุณหาข้อมูลหุ้นเป็น จับจังหวะ การลงทุนเป็น คุณก็ยังทํากำไรจากหุ้นได้อยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็น VI หรือ day trade แต่ผมไม่ได้มีทักษะแบบนั้น ผมจึงเลือกทางเดินอื่นแทน 6 ในตลาดหุ้นนั้นมี "เจ้าตลาดคอยควบคุม" ราคาให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ หลายๆครั้งที่เราเห็นข่าวความไม่ชอบมาพากล ของราคาหุ้นในตลาด หรือ ข่าวการตกแต่งบัญชี หรือ การทุจริตต่างๆของบริษัทในตลาดหุ้น คําถามคือ คุณจะเอาเงินคุณไปเสี่ยงกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่างนี้เหรอ? 7 เมื่อเรากลับไปดู อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง อยู่ประมาณ 6-8% ซึ่งใกล้เคียงกับผมตอบแทนเฉลี่ยของ หุ้น หรือ กองทุนดัชนี SET50 นั้นหมายความว่า การที่คุณถือ หุ้นหรือกองทุนที่ผลตอบแทนเท่าเงินเฟ้อ คุณเสมอตัวนะ ไม่ได้กําไรเลย ซึ่งการที่หุ้นราคาเติบโตไปตามเงินเฟ้อ มันไม่ได้เกิดจาก บริษัทเติบโต แต่มันเกิดจาก เงินเฟ้อที่อัดเข้ามาในระบบ พอคนไม่รู้เอาเงินไปไว้ไหน ก็จะไปซื้อหุ้น ซื้อกองทุน SET50 หรือ S&P500 อะไรแบบนี้ 8 กราฟมูลค่าหุ้นที่มันพุ่งขึ้น สูงขึ้น ตลอดเวลายิ่งเป็น หุ้นอเมริกาอะ คุณลองเอามูลค่าหุ้นเทียบกับทองคํา หรือ บิทคอยดู จะพบความจริงที่ว่า หุ้นไม่โตมาหลายปีแล้ว เท่ากับว่า - ถ้าเลือกหุ้นถูกตัว ชนะเงินเฟ้อ รวยขึ้น (ยากที่สุด) - ถ้าคุณซื้อหุ้นทั่วไป ถึงจะไม่แพ้เงินเฟ้อ ไม่รวย เท่าทุน - ถ้าคุณซื้อหุ้นแย่มาก แพ้เงินเฟ้อ คุณจะจนลง (ง่ายที่สุด) (แถมเสียโอกาสในการถือสินทรัพย์ที่ดีกว่าด้วย) 9 ในปีหลังๆในการถือหุ้น ผมสนใจพวกกองทุนส่วนบุคคลที่ เราแค่ใส่เงินเข้าไป แล้ว โรบอทจะจัดการพอร์ทให้เราเอง ซึ่งผลออกมา ขาดทุนยับ ระบบเงินเฟียต ฝังหัวเราให้เชื่อใจตัวกลางครับ ไม่ว่าจะเป็นแบง ฝากเงิน ทําธุรกรรม ซื้อขายหุ้น หรือ ผจก กองทุน ที่มีความรู้ ความสามารถ มันทําให้เราไม่ตั้งคําถามเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาดูแลเงินเราดีแค่ไหน ด่าหุ้นมาเยอะ แล้ว บิทคอยที่อวยหนักหนา มันดีกว่าหุ้นรายตัวยังไง ทําไมผมถึงขายหุ้น มาถือบิทคอยแทน 1 บิทคอยไร้ตัวกลาง ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และที่สําคัญ มันเป็นสินทรัพย์เดียวที่ไม่เฟ้อ เพราะมีโค้ดที่ทําให้ถูกสร้างได้อย่างจํากัดแค่ 21 ล้านเหรียญ ต่างจากหุ้น ที่มีทั้งเจ้า ทั้งคนควบคุมราคา 2 ผลตอบแทนของบิทคอย ชนะทุกสินทรัพย์บนโลก ในตอนนี้ สินทรัพย์ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) - ทองคํา ประมาณ 5-10% - S&P 500 ประมาณ 12- 15% - Bitcoin 80-105% ถึงในอนาคตผลตอบแทนบิทคอยจะลดลง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ 3 บิทคอยทําความเข้าใจง่ายกว่า แค่ศึกษา ซื้อและเก็บให้ปลอดภัย เท่านี้เลย แต่หุ้นนั้นเราต้องทําการบ้านเยอะมาก ไหนจะมีความเสี่ยงเรื่องอื่นๆอีก - เราต้องไปเลือกหุ้น ไม่กี่ตัวใน หลายพันตัว - ถ้าถือกองทุนหุ้น กระจายความเสี่ยงมากกว่า ผลตอบแทนน้อยกว่า และมีค่าธรรมเนียมกองทุน ในเมื่อเราเข้าใจแล้วว่า บิทคอยดีกว่าหุ้นในหลายๆเเรื่อง - ผลตอบแทนระยะยาวดีกว่า - ทําความเข้าใจง่ายกว่า ไม่ต้องสแกนหุ้นหลายพันตัว - ไร้การควบคุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ - ระบบการเงินใหม่ที่ดีกว่าระบบเงินเฟียตแบบเดิมๆ 4 เราจะเป็นเจ้าของบิทคอยได้อย่างแท้จริงด้วยการเก็บใน HW เวลาจะซื้อ ขาย โอน ทําได้เองไม่ต้องพึ่งพา ตัวกลางหรือ ความเชื่อใจจากใคร ต่างจากหุ้น ที่เราต้องทําธุรกรรมผ่านตัวกลางทั้งหมด บิทคอยแค่จํา seed 12-24 คํา นําไปใช้ได้ทั่วโลก แต่หุ้นนั้นทําแบบนี้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นเงินเฟียตก่อน 5 การถือหุ้น คือ การถือเงินเฟียตที่จะทําให้คุณติดกับดักที่ต้องวิ่งตามเงินเฟ้อจนเหนื่อย แต่การถือบิทคอย คุณได้ออกมาจากโลกของเงินเฟียต ไปสู่อิสระในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ตั้งแต่ผมถือบิทคอย มันทําให้ผม มีกําลังใจ และ เห็นอนาคตของตัวเองในการใช้ชีวิตไปข้างหน้า ต่างจาก 10 ปีที่ถือหุ้น ผมไม่เคยรู้สึกหายเหนื่อย และรู้สึกว่า เราไม่มั่นคง เราเงินไม่พอใช้อยู่ตลอดเวลา หาเงินยังไงก็ไม่ทัน เพราะเงินมันเสื่อมค่านั่นเอง แล้วหุ้นไทย อย่างที่รู้ๆกันว่า 10 ปี มูลค่าเท่าเดิม ในตอนนี้คนไทย ไปถือหุ้นอเมริกากันเยอะมาก เพราะมี โบรคเกอร์ ที่สะดวกมาก แต่ผมไม่ได้ซื้อหุ้นนอกนะ เพราะอย่างที่บอกว่า หุ้นมันโตมาเงินเฟ้อ ไม่ได้โตตามผลประกอบการ ดังนั้นมูลค่าปลอมๆของมันจะขึ้นๆลงๆตาม ข่าว วิกฤต หรือ คําพูดของผู้นำ การประกาศเพิ่ม-ลด ดอกเบี้ยของ FED ลองคิดง่ายๆว่า เงินที่เราหามาอย่างยากลําบาก สินทรัพย์ของเรา มาขึ้นๆลงๆ ง่ายๆ ด้วยคําพูดของคนพวกนี้เนี้ยะนะ?? ผมศึกษาบิทคอยอยู่1-2 ปี แล้วค่อยๆทะยอยเปลี่ยนหุ้นที่มีมาเป็นบิทคอยหมดเลยครับ ตอนนี้ผมไม่เคยต้องกังวลว่า FED จะขึ้น-ลดดอก แล้วหุ้นจะขึ้นจะลง เพราะผมออกมาจากระบบเงินเฟียตเรียบร้อยแล้ว สรุป 1 การถือหุ้น คุณก็ยังติดอยู่ในโลกเงินเฟียตที่เสื่อมค่า อาศัยตัวกลาง อาศัยความเชื่อใจ ต่างจากบิทคอย ที่คุณจะได้ออกมาจากโลกเงินเฟียต ไร้ศูนย์กลาง ไม่ต้องเชื่อใจใครอีกต่อไป 2 ผลตอบแทนของหุ้น ขึ้นลงตามเงินเฟ้อที่อัดเข้าไปในระบบ ไม่ได้ขึ้นกับผลประกอบการของบริษัท ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ ขึ้นกับปัจจัยที่เราไม่รู้เลยว่า ในระยะยาว หุ้นนี้จะโต หรือ ไม่โต เวิร์คไม่เวิร์ค ซึ่งบิทคอยเองก็โตตามเงินเฟ้อ มีเงินอัดเข้ามาซื้อทําให้มูลค่ามันเพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่คนซื้อบิทคอย เพราะเขาเข้าใจระบบการเงินโลก และใช้บิทคอยต่อต้านเงินเฟ้อ ไม่ได้ซื้อ เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน เหมือนซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ หรือ กลุ่ม SET50 S&P500 อะไรแบบนี้ 3 บิทคอยในระยะยาวโตแน่นอน ไม่ต้องเลือกตัวให้สับสน ชนะเงินเฟ้อแน่นอน ส่วนหุ้น คุณต้องวัดดวงเลือกหุ้นให้ถูกตัวด้วย และ การเติบโต ต้องหาตัวที่ผลตอบแทนมากกว่า 8%ทบต้น ในระยะยาวให้ได้ ถึงจะชนะเงินเฟ้อ การคัดหุ้นที่ดี มันยากมากๆ ลองเทียบมูลค่าหุ้นเป็นทองคํา หรือ บิทคอยดู แล้วคุณจะรู้ว่า หุ้นที่ดีมันน้อยมากๆ 4 การออมคือแม่ของทุกสถาบัน บิทคอยทําให้การออมกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง ต่างจากหุ้นที่บีบให้ทุกคนที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ ประสบการณ์มากพอ (เหมือนผม) เข้ามาลงทุนแบบผิดๆ สุดท้าย เงินคืนให้ตลาดไปหมด 5 ทุกคนไม่จําเป็นต้องลงทุน แค่ออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าอย่างบิทคอยก็พอ ชีวิตของพวกเรา มีสิ่งที่เป็นความฝัน สิ่งที่เราอยากทํา มากกว่าวันๆมานั่งวิ่งตามเงินเฟ้อ หาเงินงกๆ แล้วกลับบ้าน บิทคอยมันทําให้ชีวิตคุณมีอิสระได้ ตัวผมเองตอนนี้ ไม่ได้รวยเลยนะครับ ยังต้องทํางาน หาเงิน stack sats ตามเป้าหมายเหมือนกัน แต่การออมเป็นบิทคอย มันทําให้ผมมั่นใจว่า สินทรัพย์นี้จะไม่เสื่อมค่าลง มันเป็นของเราอย่างแท้จริง ในวันข้างหน้า ถ้าเราต้องการใช้มัน ไม่มีใครมาอายัด หรือห้ามได้ การพิมพ์เงิน ยังคงมากขึ้น เงินเฟ้อมากขึ้น ทําให้การถือบิทคอยระยะยาว มูลค่าจะเพิ่มขึ้น อํานาจการจับจ่ายของเราก็จะมากขึ้นนั่นเอง ว่ากันว่า ทองคําคือเงินของพระเจ้า เฟียต คือ เงินของรัฐบาล บิทคอย คือ เงินของประชาชน ผมจึงไม่เสียเวลาซื้อหุ้นที่อยู่ในโลกของเงินเฟียต ออมเงินของประชาชนอย่างบิทคอยดีกว่า #siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #หุ้น