บทนำ
“การเกิด” ในพุทธพจน์ มิใช่เรื่องลี้ลับหรืออภิปรัชญาลอย ๆ
แต่เป็นกระบวนการที่มี เหตุ มี เชื้อ มี ที่อาศัย และมี ทางไป อย่างจำเพาะ
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเรื่องการเกิดโดย
• ไม่ตั้ง “ตัวตนถาวร”
• ไม่อธิบายด้วยผู้สร้าง
• แต่ชี้ตรงไปที่ อุปาทาน–ตัณหา–ปฏิจจสมุปบาท
ทั้งหมดที่กล่าวต่อไปนี้ จึงเป็นโครงสร้างของ “สังสารวัฏ” ตามพุทธวจนล้วน ๆ
⸻
๑. เหตุให้มีการเกิด : อุปาทานและตัณหาเป็น “เชื้อ”
(สฬายตนวรรค สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐)
พระพุทธเจ้าตรัสชัดกับวัจฉโคตรว่า
“เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่
ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน”
๑.๑ การเกิดไม่เกิดกับ “สัตว์” ทุกชนิด
คำว่า สัตว์ ในที่นี้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทางชีววิทยา
แต่หมายถึง ขันธ์ที่ถูกยึดถือ
• ถ้ายังมี อุปาทาน → ยังเรียกว่า “สัตว์” → ยังมีการเกิด
• ถ้า ดับอุปาทาน → ไม่บัญญัติการเกิดอีก
นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรง ไม่บัญญัติการเกิดแก่พระอรหันต์
⸻
๑.๒ อุปมา “ไฟกับเชื้อ”
พระพุทธเจ้าทรงใช้อุปมาที่คมมาก
• ไฟที่มีเชื้อ → โพลงได้
• ไฟที่ไม่มีเชื้อ → โพลงไม่ได้
“สัตว์ที่ยังมีอุปาทาน
ก็เหมือนไฟที่ยังมีเชื้อ”
การเกิด ≠ สิ่งที่ต้องมีตัวตนย้ายไป
แต่เป็นการ ลุกต่อของกระแสเหตุปัจจัย
⸻
๑.๓ คำถามสำคัญของวัจฉะ
วัจฉะถามว่า:
“ถ้าไฟถูกลมพัดไป
เชื้อของไฟนั้นคืออะไร?”
พระพุทธเจ้าตอบว่า:
“ลมนั่นแหละเป็นเชื้อ”
แล้วจึงทรงโยงกลับมาที่ “สัตว์”
“เมื่อสัตว์ทอดทิ้งกายนี้
และยังไม่บังเกิดในกายอื่น
เรากล่าวว่าสัตว์นั้นมี ตัณหาเป็นเชื้อ”
🔑 ประเด็นแก่น
• ไม่ใช่ วิญญาณถาวร เดินทาง
• แต่คือ ตัณหา ทำหน้าที่เหมือน “ลม”
พัดเปลวไฟ (ขันธ์) ให้ไปลุกในที่ใหม่
⸻
๒. ลักษณะของการเกิด : กำเนิด ๔
(มัชฌิมนิกาย มู. ๑๒/๑๔๖/๑๖๙)
พระพุทธเจ้าทรงแจกแจง รูปแบบการเกิด ไม่ใช่เพื่อจินตนาการ แต่เพื่อชี้ว่า
การเกิดมีหลายลักษณะ
แต่ เหตุ คืออุปาทาน–ตัณหาเหมือนกันทั้งหมด
๒.๑ อัณฑชะกำเนิด
• เกิดในไข่
• ชีวิตเริ่มจากการฟัก
• เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด
๒.๒ ชลาพุชะกำเนิด
• เกิดในครรภ์
• อาศัยมดลูก
• เช่น มนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
๒.๓ สังเสทชะกำเนิด
• เกิดในของเน่า ของหมักหมม
• ปลาเน่า ซากศพ น้ำครา เถ้าไคล
• แสดงว่า การเกิดไม่จำเป็นต้องมีครรภ์
๒.๔ โอปปาติกะกำเนิด
• เกิดผุดขึ้นทันที
• ไม่มีวัยทารก
• ได้แก่ เทวดา สัตว์นรก เปรต และมนุษย์บางจำพวก
🔎 จุดสำคัญ
พระพุทธเจ้าไม่ได้จัดกำเนิดตาม “ศีล–บาป”
แต่จัดตาม รูปแบบการอุบัติของขันธ์
⸻
๓. กายแบบต่าง ๆ : สัตตาวาส ๙
(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต)
คำว่า สัตตาวาส แปลว่า
“ที่อยู่ของสัตว์”
ไม่ใช่ที่อยู่เชิงกายภาพ แต่คือ โครงสร้างของกาย–สัญญา
๓.๑–๔ รูปพรหมและกามภพ
แบ่งตาม
• กายเหมือน–ต่าง
• สัญญาเหมือน–ต่าง
ชี้ให้เห็นว่า
“กาย” และ “การรับรู้” ไม่จำเป็นต้องไปด้วยกันเสมอ
⸻
๓.๕ อสัญญีสัตว์
สัตว์ที่
• ไม่เสวยเวทนา
• ไม่มีสัญญา
⚠️ พระสูตรไม่ได้สรรเสริญภาวะนี้
เพราะยังเป็นภพ ยังไม่พ้น
⸻
๓.๖–๙ อรูปายตนะ
ตั้งแต่
• อากาสานัญจายตนะ
• วิญญาณัญจายตนะ
• อากิญจัญญายตนะ
• เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ทั้งหมดนี้คือ
“ภพที่ละเอียดขึ้น
แต่ยังเป็นที่อาศัยของอวิชชา”
⸻
๔. คติ ๕ : ทางไปของสัตว์
(มัชฌิมนิกาย มู. ๑๒/๑๔๗–๑๕๓)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เรารู้ชัดคติ
รู้ชัดทางไป
และรู้ชัดปฏิปทา”
คติ ๕ ได้แก่
1. นรก
2. เดรัจฉาน
3. เปรต
4. มนุษย์
5. เทวดา
คติ = ทางไปของกระแสกรรม–ตัณหา
ไม่ใช่การตัดสินจากภายนอก
⸻
๕. สรุปแก่นพุทธวจนทั้งหมด
🔑 โครงสร้างเดียวที่เชื่อมทุกหัวข้อ
อุปาทาน → ตัณหา → การเกิด → ภพ → คติ
• การเกิดไม่ใช่ปัญหา
• แต่ เชื้อของการเกิด คือปัญหา
• เมื่อดับเชื้อ → ไม่ต้องถามว่า “ไปไหน”
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยนัยเดียวกันว่า
“สิ่งใดมีเชื้อ สิ่งนั้นย่อมลุก
สิ่งใดไม่มีเชื้อ สิ่งนั้นย่อมดับ”
⸻
ภาคต่อ
๖. การดับการเกิด (ชาตินิโรธ) : ดับที่เชื้อ มิใช่ดับที่ผล
พระพุทธเจ้าทรงไม่สอนให้ “หนีการเกิด”
แต่ทรงสอนให้ ดับเหตุของการเกิด
“เพราะความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน
ความดับไม่เหลือแห่งภพย่อมมี”
๖.๑ จุดสำคัญที่มักเข้าใจผิด
• ❌ ไม่ใช่ทำลายร่างกาย
• ❌ ไม่ใช่ทำให้วิญญาณหาย
• ❌ ไม่ใช่ทำให้ไม่มีอะไรเลย
แต่คือ
ไม่ให้มีเชื้อให้การเกิดตั้งอยู่
ดังไฟที่ไม่มีเชื้อ
ไม่ต้อง “ดับ” เพราะ ลุกไม่ได้ตั้งแต่ต้น
⸻
๗. การเกิดในปฏิจจสมุปบาท : ชาติไม่ใช่จุดเริ่มต้น
พระพุทธเจ้าทรงวาง “ชาติ” ไว้ กลางกระบวนการ ไม่ใช่ต้น
อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป →
สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา →
ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ
๗.๑ ความหมายของ “ชาติ” ในพุทธวจน
ชาติ =
• การปรากฏของขันธ์
• การตั้งอยู่ของนามรูป
• การเริ่มมี “เรา–ของเรา” ในภพใดภพหนึ่ง
ดังนั้น
ชาติ ≠ คลอดจากครรภ์เท่านั้น
แต่คือ “การตั้งต้นของภพใหม่” ทุกระดับ
⸻
๘. ทำไมพระอรหันต์ “ไม่เกิด” ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
นี่คือจุดลึกที่สุดที่พระสูตรยืนยันตรงกัน
๘.๑ พระอรหันต์ยังมีขันธ์
• ยังมีรูป
• ยังมีเวทนา
• ยังมีสัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ไม่บัญญัติการเกิดแก่ท่าน
เพราะอะไร?
๘.๒ เหตุผลเดียวในพุทธวจน
“เพราะไม่มีอุปาทาน”
ขันธ์ยังทำงาน
แต่ ไม่มีผู้ยึดขันธ์ว่าเป็นเรา
ดังนั้น
• มีขันธ์ ≠ มีสัตว์
• มีชีวิต ≠ มีการเกิดใหม่
⸻
๙. โอปปาติกะกับประเด็น “ทันที” ของการเกิด
จากกำเนิด ๔ พระพุทธเจ้าทรงยก โอปปาติกะ ไว้ชัดเจน
เทวดา สัตว์นรก เปรต
เกิดผุดขึ้นทันที
๙.๑ นัยสำคัญมาก
• การเกิด ไม่จำเป็นต้องมีเวลาเชิงชีววิทยา
• ไม่จำเป็นต้องค่อย ๆ โต
• แต่เป็นผลของภพที่สุกงอม
นี่สอดคล้องกับพระดำรัสว่า
“เมื่อเหตุพร้อม ผลย่อมเกิด”
⸻
๑๐. คติ ๕ กับ “ทาง” ไม่ใช่ “ที่”
พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า คติ = ทางไป
ไม่ใช่ “สถานที่ลงโทษหรือให้รางวัล”
๑๐.๑ นรก เดรัจฉาน เปรต ฯลฯ
คือ
• รูปแบบของการดำรงอยู่
• ตามระดับของโลภ โกรธ หลง
• ตามลักษณะของสัญญา–เวทนา–สัญชาตญาณ
ไม่ใช่ใครส่งไป
แต่เป็น การเคลื่อนไปของตัณหาเอง
⸻
๑๑. ภพละเอียด ≠ ความหลุดพ้น
จากสัตตาวาส ๙
แม้แต่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ก็ยังถูกจัดว่าเป็น ที่อยู่ของสัตว์
เพราะเหตุเดียวกันคือ
ยังมีภพ
ยังมีอวิชชา
ยังมีการตั้งอยู่
พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงยกย่อง
แม้ภพที่ละเอียดที่สุด
⸻
๑๒. บทสรุปสุดท้ายตามพุทธวจน
แก่นเดียวที่ครอบคลุมทั้งหมด
การเกิดมี เพราะยังมีเชื้อ
การไม่เกิด มี เพราะดับเชื้อแล้ว
• เชื้อ = ตัณหา
• ตัวค้ำ = อุปาทาน
• ที่ตั้ง = ภพ
• ทางไป = คติ
เมื่อดับที่ตัณหา
ไม่ต้องถามว่า
“สัตว์ไปไหน?”
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
ไม่ควรบัญญัติการไป การมา
แก่สิ่งที่ไม่มีเชื้อ
#Siamstr #nostr #ธรรมะ #พุทธวจนThread
บทนำ
“การเกิด” ในพุทธพจน์ มิใช่เรื่องลี้ลับหรืออภิปรัชญาลอย ๆ
แต่เป็นกระบวนการที่มี เหตุ มี เชื้อ มี ที่อาศัย และมี ทางไป อย่างจำเพาะ
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเรื่องการเกิดโดย
• ไม่ตั้ง “ตัวตนถาวร”
• ไม่อธิบายด้วยผู้สร้าง
• แต่ชี้ตรงไปที่ อุปาทาน–ตัณหา–ปฏิจจสมุปบาท
ทั้งหมดที่กล่าวต่อไปนี้ จึงเป็นโครงสร้างของ “สังสารวัฏ” ตามพุทธวจนล้วน ๆ
⸻
๑. เหตุให้มีการเกิด : อุปาทานและตัณหาเป็น “เชื้อ”
(สฬายตนวรรค สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐)
พระพุทธเจ้าตรัสชัดกับวัจฉโคตรว่า
“เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่
ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน”
๑.๑ การเกิดไม่เกิดกับ “สัตว์” ทุกชนิด
คำว่า สัตว์ ในที่นี้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทางชีววิทยา
แต่หมายถึง ขันธ์ที่ถูกยึดถือ
• ถ้ายังมี อุปาทาน → ยังเรียกว่า “สัตว์” → ยังมีการเกิด
• ถ้า ดับอุปาทาน → ไม่บัญญัติการเกิดอีก
นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรง ไม่บัญญัติการเกิดแก่พระอรหันต์
⸻
๑.๒ อุปมา “ไฟกับเชื้อ”
พระพุทธเจ้าทรงใช้อุปมาที่คมมาก
• ไฟที่มีเชื้อ → โพลงได้
• ไฟที่ไม่มีเชื้อ → โพลงไม่ได้
“สัตว์ที่ยังมีอุปาทาน
ก็เหมือนไฟที่ยังมีเชื้อ”
การเกิด ≠ สิ่งที่ต้องมีตัวตนย้ายไป
แต่เป็นการ ลุกต่อของกระแสเหตุปัจจัย
⸻
๑.๓ คำถามสำคัญของวัจฉะ
วัจฉะถามว่า:
“ถ้าไฟถูกลมพัดไป
เชื้อของไฟนั้นคืออะไร?”
พระพุทธเจ้าตอบว่า:
“ลมนั่นแหละเป็นเชื้อ”
แล้วจึงทรงโยงกลับมาที่ “สัตว์”
“เมื่อสัตว์ทอดทิ้งกายนี้
และยังไม่บังเกิดในกายอื่น
เรากล่าวว่าสัตว์นั้นมี ตัณหาเป็นเชื้อ”
🔑 ประเด็นแก่น
• ไม่ใช่ วิญญาณถาวร เดินทาง
• แต่คือ ตัณหา ทำหน้าที่เหมือน “ลม”
พัดเปลวไฟ (ขันธ์) ให้ไปลุกในที่ใหม่
⸻
๒. ลักษณะของการเกิด : กำเนิด ๔
(มัชฌิมนิกาย มู. ๑๒/๑๔๖/๑๖๙)
พระพุทธเจ้าทรงแจกแจง รูปแบบการเกิด ไม่ใช่เพื่อจินตนาการ แต่เพื่อชี้ว่า
การเกิดมีหลายลักษณะ
แต่ เหตุ คืออุปาทาน–ตัณหาเหมือนกันทั้งหมด
๒.๑ อัณฑชะกำเนิด
• เกิดในไข่
• ชีวิตเริ่มจากการฟัก
• เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด
๒.๒ ชลาพุชะกำเนิด
• เกิดในครรภ์
• อาศัยมดลูก
• เช่น มนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
๒.๓ สังเสทชะกำเนิด
• เกิดในของเน่า ของหมักหมม
• ปลาเน่า ซากศพ น้ำครา เถ้าไคล
• แสดงว่า การเกิดไม่จำเป็นต้องมีครรภ์
๒.๔ โอปปาติกะกำเนิด
• เกิดผุดขึ้นทันที
• ไม่มีวัยทารก
• ได้แก่ เทวดา สัตว์นรก เปรต และมนุษย์บางจำพวก
🔎 จุดสำคัญ
พระพุทธเจ้าไม่ได้จัดกำเนิดตาม “ศีล–บาป”
แต่จัดตาม รูปแบบการอุบัติของขันธ์
⸻
๓. กายแบบต่าง ๆ : สัตตาวาส ๙
(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต)
คำว่า สัตตาวาส แปลว่า
“ที่อยู่ของสัตว์”
ไม่ใช่ที่อยู่เชิงกายภาพ แต่คือ โครงสร้างของกาย–สัญญา
๓.๑–๔ รูปพรหมและกามภพ
แบ่งตาม
• กายเหมือน–ต่าง
• สัญญาเหมือน–ต่าง
ชี้ให้เห็นว่า
“กาย” และ “การรับรู้” ไม่จำเป็นต้องไปด้วยกันเสมอ
⸻
๓.๕ อสัญญีสัตว์
สัตว์ที่
• ไม่เสวยเวทนา
• ไม่มีสัญญา
⚠️ พระสูตรไม่ได้สรรเสริญภาวะนี้
เพราะยังเป็นภพ ยังไม่พ้น
⸻
๓.๖–๙ อรูปายตนะ
ตั้งแต่
• อากาสานัญจายตนะ
• วิญญาณัญจายตนะ
• อากิญจัญญายตนะ
• เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ทั้งหมดนี้คือ
“ภพที่ละเอียดขึ้น
แต่ยังเป็นที่อาศัยของอวิชชา”
⸻
๔. คติ ๕ : ทางไปของสัตว์
(มัชฌิมนิกาย มู. ๑๒/๑๔๗–๑๕๓)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เรารู้ชัดคติ
รู้ชัดทางไป
และรู้ชัดปฏิปทา”
คติ ๕ ได้แก่
1. นรก
2. เดรัจฉาน
3. เปรต
4. มนุษย์
5. เทวดา
คติ = ทางไปของกระแสกรรม–ตัณหา
ไม่ใช่การตัดสินจากภายนอก
⸻
๕. สรุปแก่นพุทธวจนทั้งหมด
🔑 โครงสร้างเดียวที่เชื่อมทุกหัวข้อ
อุปาทาน → ตัณหา → การเกิด → ภพ → คติ
• การเกิดไม่ใช่ปัญหา
• แต่ เชื้อของการเกิด คือปัญหา
• เมื่อดับเชื้อ → ไม่ต้องถามว่า “ไปไหน”
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยนัยเดียวกันว่า
“สิ่งใดมีเชื้อ สิ่งนั้นย่อมลุก
สิ่งใดไม่มีเชื้อ สิ่งนั้นย่อมดับ”
⸻
ภาคต่อ
๖. การดับการเกิด (ชาตินิโรธ) : ดับที่เชื้อ มิใช่ดับที่ผล
พระพุทธเจ้าทรงไม่สอนให้ “หนีการเกิด”
แต่ทรงสอนให้ ดับเหตุของการเกิด
“เพราะความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน
ความดับไม่เหลือแห่งภพย่อมมี”
๖.๑ จุดสำคัญที่มักเข้าใจผิด
• ❌ ไม่ใช่ทำลายร่างกาย
• ❌ ไม่ใช่ทำให้วิญญาณหาย
• ❌ ไม่ใช่ทำให้ไม่มีอะไรเลย
แต่คือ
ไม่ให้มีเชื้อให้การเกิดตั้งอยู่
ดังไฟที่ไม่มีเชื้อ
ไม่ต้อง “ดับ” เพราะ ลุกไม่ได้ตั้งแต่ต้น
⸻
๗. การเกิดในปฏิจจสมุปบาท : ชาติไม่ใช่จุดเริ่มต้น
พระพุทธเจ้าทรงวาง “ชาติ” ไว้ กลางกระบวนการ ไม่ใช่ต้น
อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป →
สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา →
ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ
๗.๑ ความหมายของ “ชาติ” ในพุทธวจน
ชาติ =
• การปรากฏของขันธ์
• การตั้งอยู่ของนามรูป
• การเริ่มมี “เรา–ของเรา” ในภพใดภพหนึ่ง
ดังนั้น
ชาติ ≠ คลอดจากครรภ์เท่านั้น
แต่คือ “การตั้งต้นของภพใหม่” ทุกระดับ
⸻
๘. ทำไมพระอรหันต์ “ไม่เกิด” ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
นี่คือจุดลึกที่สุดที่พระสูตรยืนยันตรงกัน
๘.๑ พระอรหันต์ยังมีขันธ์
• ยังมีรูป
• ยังมีเวทนา
• ยังมีสัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ไม่บัญญัติการเกิดแก่ท่าน
เพราะอะไร?
๘.๒ เหตุผลเดียวในพุทธวจน
“เพราะไม่มีอุปาทาน”
ขันธ์ยังทำงาน
แต่ ไม่มีผู้ยึดขันธ์ว่าเป็นเรา
ดังนั้น
• มีขันธ์ ≠ มีสัตว์
• มีชีวิต ≠ มีการเกิดใหม่
⸻
๙. โอปปาติกะกับประเด็น “ทันที” ของการเกิด
จากกำเนิด ๔ พระพุทธเจ้าทรงยก โอปปาติกะ ไว้ชัดเจน
เทวดา สัตว์นรก เปรต
เกิดผุดขึ้นทันที
๙.๑ นัยสำคัญมาก
• การเกิด ไม่จำเป็นต้องมีเวลาเชิงชีววิทยา
• ไม่จำเป็นต้องค่อย ๆ โต
• แต่เป็นผลของภพที่สุกงอม
นี่สอดคล้องกับพระดำรัสว่า
“เมื่อเหตุพร้อม ผลย่อมเกิด”
⸻
๑๐. คติ ๕ กับ “ทาง” ไม่ใช่ “ที่”
พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า คติ = ทางไป
ไม่ใช่ “สถานที่ลงโทษหรือให้รางวัล”
๑๐.๑ นรก เดรัจฉาน เปรต ฯลฯ
คือ
• รูปแบบของการดำรงอยู่
• ตามระดับของโลภ โกรธ หลง
• ตามลักษณะของสัญญา–เวทนา–สัญชาตญาณ
ไม่ใช่ใครส่งไป
แต่เป็น การเคลื่อนไปของตัณหาเอง
⸻
๑๑. ภพละเอียด ≠ ความหลุดพ้น
จากสัตตาวาส ๙
แม้แต่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ก็ยังถูกจัดว่าเป็น ที่อยู่ของสัตว์
เพราะเหตุเดียวกันคือ
ยังมีภพ
ยังมีอวิชชา
ยังมีการตั้งอยู่
พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงยกย่อง
แม้ภพที่ละเอียดที่สุด
⸻
๑๒. บทสรุปสุดท้ายตามพุทธวจน
แก่นเดียวที่ครอบคลุมทั้งหมด
การเกิดมี เพราะยังมีเชื้อ
การไม่เกิด มี เพราะดับเชื้อแล้ว
• เชื้อ = ตัณหา
• ตัวค้ำ = อุปาทาน
• ที่ตั้ง = ภพ
• ทางไป = คติ
เมื่อดับที่ตัณหา
ไม่ต้องถามว่า
“สัตว์ไปไหน?”
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
ไม่ควรบัญญัติการไป การมา
แก่สิ่งที่ไม่มีเชื้อ
#Siamstr #nostr #ธรรมะ #พุทธวจน
Login to reply