ชื่อบทความ
“จากเหย้าเรือนสู่ความไม่อาศัย : แผนภาพการละเวทนาตามมโนปวิจาร ๑๘ สฬายตนวิภังค์ และสัตตบท ๓๖”
⸻
บทนำ
พระพุทธศาสนาในชั้นพุทธวจน มิได้สอนการหลบหนีอารมณ์ มิได้สอนการกดข่มเวทนา และมิได้สอนการเลือกถืออารมณ์ที่ประณีตกว่าไว้เป็นตัวตนใหม่ หากแต่ทรงแสดง “กระบวนการดับโดยลำดับ” ของการอาศัยอารมณ์ทั้งปวง อย่างประณีต ละเอียด และเป็นระบบยิ่งกว่าที่มักเข้าใจกันทั่วไป
บทความนี้มีจุดตั้งต้นจาก แผนภาพการละอารมณ์ ซึ่งสะท้อนโครงสร้างแท้จริงของคำสอนพระพุทธเจ้า ว่าด้วยการค่อย ๆ คลายจาก เหย้าเรือน ไปสู่ เนกขัมมะ จาก โทมนัส ไปสู่ โสมนัส จาก โสมนัส ไปสู่ อุเบกขา และจาก อุเบกขาที่อาศัย ไปสู่ อุเบกขาที่ไม่อาศัย จนถึงจุดที่ไม่เหลือแม้ “การละ” ให้ต้องกระทำอีกต่อไป
เนื้อหาทั้งหมดจะอธิบายโดยยึด มโนปวิจาร ๑๘ เป็นแกนกลาง แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดเกิดจากการปวิจารของใจ มิใช่เกิดลอย ๆ จากนั้นเชื่อมโยงไปสู่ สฬายตนวิภังค์ เพื่อชี้ให้เห็นกลไกของผัสสะ เวทนา และการอาศัยอายตนะ และแตกละเอียดถึง สัตตบท ๓๖ เพื่อยืนยันว่า เวทนาทุกประเภท ไม่ว่าจะหยาบหรือประณีต ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรืออุเบกขา ล้วนอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่ต้องถูกวาง
บทความนี้จึงมิใช่คู่มือปฏิบัติแบบเทคนิค และมิใช่การอธิบายเชิงอภิธรรมเพื่อการจำแนกบัญชีธรรม หากแต่เป็นการเปิดให้เห็น โครงสร้างการดับของอัตมยตา ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจริง ว่าการหลุดพ้นมิได้เกิดจากการสร้างสภาวะใดขึ้นมา แต่เกิดจากการสิ้นอาศัยในสภาวะทั้งปวง เมื่อเวทนาไม่ถูกทำให้เป็น “เรา” อีกต่อไป วิญญาณย่อมไม่ตั้งอยู่ ภพย่อมไม่เกิด และพรหมจรรย์ย่อมถึงที่สุดโดยธรรมดา
บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อผู้อ่านที่ต้องการ “เห็นธรรมตามลำดับเหตุปัจจัย” ไม่ใช่เพื่อเชื่อ ไม่ใช่เพื่อยึด แต่เพื่อเข้าใจว่า การดับในพุทธศาสนา คือการดับของการอาศัย ไม่ใช่การดับของโลก
———
🪷กรอบใหญ่ของแผนภาพ: “อตัมมยตา”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายยัง “เป็นสัตว์” อยู่ได้ เพราะ
“ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความติดข้อง
ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
สิ่งนี้เรียกว่า อัตมยตา
คือ “การทำสิ่งนั้นให้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา”
ตรงข้ามคือ อตัมมยตา
ไม่ทำอารมณ์นั้นให้เป็นเรา
แม้อารมณ์จะเกิด ก็ ไม่อาศัย ไม่ถือ ไม่ยึด
แผนภาพทั้งหมดกำลังแสดง กระบวนการเปลี่ยนจากอัตมยตา → อตัมมยตา
โดยละเอียดในระดับ เวทนา–อารมณ์–ภูมิ
⸻
๒. เหย้าเรือน vs เนกขัมมะ : ความต่างที่ต้อง “ละด้วยอารมณ์ที่ถูกต้อง”
๒.๑ “เหย้าเรือน”
หมายถึง
อารมณ์ที่ยังอาศัย กาม / รูป / ความเป็นเรา / ความมีเรา
แม้จะเป็นสุข ก็ยังเป็น สังขตธรรม
๒.๒ “เนกขัมมะ”
หมายถึง
อารมณ์ที่ออกจากกาม
ไม่พึ่งรูป ไม่พึ่งความเป็นเรา
เป็นอารมณ์ของ วิเวก สงัด คลายกำหนัด
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“เนกขัมมสุข ประณีตกว่าสุขทั้งหลาย”
แต่ประเด็นสำคัญคือ
👉 จะละอะไร ต้องใช้อารมณ์ที่ละเอียดกว่าเท่านั้น
⸻
๓. หลักใหญ่ในแผนภาพ :
“อารมณ์หยาบ ละด้วยอารมณ์ละเอียด”
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอว่า
การละ ไม่ใช่การกด
แต่เป็นการ “เห็นโทษ – เห็นประณีต – คลายเอง”
ดังนั้นจึงเกิดลำดับต่อไปนี้
⸻
๔. ขั้นที่ ๑
ใช้ โทมนัสเนกขัมมะ ละ โทมนัสเหย้าเรือน
โทมนัสเหย้าเรือน
= ความเศร้า ความคับแค้น ความอัดอั้น
ที่อาศัย “ตัวเรา–ของเรา–ชีวิตเรา”
พระพุทธเจ้ามิได้ให้ใช้โสมนัสทันที
แต่ให้เห็นโทษของเหย้าเรือนก่อน
จึงเกิด โทมนัสเนกขัมมะ คือ
ความสะเทือนใจต่อสังสารวัฏ
ความสลดต่อการยึดติด
ความเบื่อหน่ายอย่างมีปัญญา
นี่ไม่ใช่กิเลส
แต่เป็น ญาณที่แทงตลอดโทษของกาม
👉 โทมนัสระดับนี้ ละเอียดกว่า
จึงสามารถละโทมนัสหยาบได้
⸻
๕. ขั้นที่ ๒
ใช้ โสมนัสเหย้าเรือน ละ โทมนัสเนกขัมมะ
เมื่อความสลดแรงเกินไป
อาจกลายเป็นความหดหู่
พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ ผ่อนด้วยสุขที่ยังเป็นเหย้าเรือน
เช่น เมตตา ความสงบ ความเบาใจ
“ธรรมทั้งหลายย่อมเจริญได้
ด้วยความไม่ตึง ไม่หย่อน”
โสมนัสเหย้าเรือน
จึงทำหน้าที่ ประคองจิต
ไม่ใช่เพื่อยึด แต่เพื่อไม่ให้จิตถอย
⸻
๖. ขั้นที่ ๓
ใช้ โสมนัสเนกขัมมะ ละ โสมนัสเหย้าเรือน
นี่คือหัวใจของแผนภาพ
โสมนัสเหย้าเรือน
แม้จะสุข แต่ยังอาศัย “เรา”
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
สุขที่ยังอิงกาม ไม่ใช่ทางหลุดพ้น
เมื่อจิตรู้รสของ
โสมนัสเนกขัมมะ
(สุขจากความสงัด ไม่ยึด ไม่อยาก)
สุขแบบเดิมจะ ดับเองโดยไม่ต้องห้าม
นี่คือ
“สุขละสุข”
⸻
๗. ขั้นที่ ๔
ใช้ อุเบกขาเหย้าเรือน ละ โสมนัสเนกขัมมะ
เมื่อจิตติดแม้แต่สุขเนกขัมมะ
พระพุทธเจ้าไม่ให้เกลียดสุขนั้น
แต่ให้ วางด้วยอุเบกขา
อุเบกขาเหย้าเรือน
ยังมีอารมณ์โลก
แต่ ไม่หวั่น ไม่เอน ไม่ติด
จึงทำให้สุขละเอียดนั้น
ไม่กลายเป็นเครื่องผูก
⸻
๘. ขั้นที่ ๕ (ละเอียดมาก)
ใช้ อุเบกขาเนกขัมมะ ละ เหย้าเรือนทั้งหมด
อุเบกขาเนกขัมมะ
คืออุเบกขาที่
• ไม่อาศัยกาม
• ไม่อาศัยสุข
• ไม่อาศัยความเป็นเรา
นี่คืออุเบกขาของ
วิปัสสนา–ญาณ–วิเวก
⸻
๙. หลักสำคัญที่สุดในแผนภาพ (จุดยอด)
🔴 “ใช้อุเบกขาอารมณ์เดียวกัน ประเภทเดียวกัน
ละ อุเบกขาประเภทต่าง อารมณ์ต่าง”
นี่คือ จุดแตกหักของอัตตา
• อุเบกขาที่อาศัยรูป / ฌาน / ภพ
ยังเป็น “อุเบกขาเหย้าเรือน”
• อุเบกขาที่ไม่อาศัยอะไรเลย
คือ “อุเบกขาเนกขัมมะ”
การละ ต้องใช้อุเบกขาที่ประณีตเท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น
จึงไม่เกิดการกด ไม่เกิดตัวตนใหม่
แต่เป็น อตัมมยตาโดยสมบูรณ์
⸻
๑๐. บทสรุปตามพุทธวจน
แผนภาพทั้งหมดไม่ได้สอนให้ “เลือกอารมณ์”
แต่สอนให้
ไม่อาศัยอารมณ์ใดเป็นเรา
ลำดับทั้งหมดคือ
1. เห็นโทษ
2. เห็นประณีต
3. วางแม้ความประณีต
4. ไม่ทำอะไรเป็นตัวตน
นี่คือ
“ภาวะที่ไม่มีเหย้า ไม่มีเรือน ไม่มีที่อาศัย”
ตรงตามพุทธพจน์ว่า
“วิญญาณที่ไม่ตั้งอยู่
ย่อมไม่เจริญ
เมื่อไม่เจริญ ย่อมดับ”
⸻
๑๑. มโนปวิจาร ๑๘ : โครงสร้างกลางของแผนภาพทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสใน สฬายตนวิภังค์สูตร และพระสูตรในสังยุตต์ว่า
การเกิดเวทนา มิใช่เกิดลอย ๆ แต่เกิดจาก การปวิจารของใจ
ใจย่อม “ปวิจาร” ไปในอารมณ์
ตามอายตนะ + ผัสสะ + เจตนา
จึงทรงจำแนก มโนปวิจาร ๑๘ คือ
๑) ทางใจ (มโน)
จำแนกเป็น
• โสมนัส
• โทมนัส
• อุเบกขา
และแต่ละอย่างจำแนกเป็น
• เหย้าเรือน (สามิส)
• เนกขัมมะ (นิรามิส)
รวมเป็น ๖ × ๓ = ๑๘
นี่คือแกนกลางของแผนภาพที่คุณส่งมา
⸻
๑๒. เหตุใดพระพุทธเจ้าจึง “ไม่ให้ละพร้อมกันทั้งหมด”
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“ธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปตามเหตุ”
“การละ ต้องอาศัยธรรมที่มีกำลังมากกว่า”
จึง ไม่มีการข้ามจากเหย้าเรือน → อุเบกขาเนกขัมมะทันที
แต่ต้องผ่าน ลำดับอารมณ์ในมโนปวิจาร ๑๘
⸻
๑๓. ขั้นที่ ๑ ในแผนภาพ
โทมนัสเหย้าเรือน → โทมนัสเนกขัมมะ
โทมนัสเหย้าเรือน
คือความทุกข์ใจที่อาศัย
• ตัวตน
• ความสูญเสีย
• ความผิดหวัง
• ความเป็น “เรา”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
โทมนัสชนิดนี้ยังเป็น สามิส
การละ
ไม่ใช่ด้วยสุขทันที
แต่ด้วย โทมนัสที่ละเอียดกว่า
โทมนัสเนกขัมมะ
คือ
• ความสลดในสังสารวัฏ
• ความสะเทือนใจต่อกาม
• ความเบื่อหน่ายอย่างมีปัญญา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“โยนิโสมนสิการในโทษของกาม
เป็นเหตุให้เกิดเนกขัมมะ”
นี่ตรงกับลูกศรแรกในแผนภาพ
⸻
๑๔. ขั้นที่ ๒
โทมนัสเนกขัมมะ → โสมนัสเหย้าเรือน
เมื่อจิตสลดมากเกินไป
พระพุทธเจ้า ไม่ทรงให้ทรมานตน
จึงตรัสถึง
“การผ่อนจิตด้วยธรรมอันเกื้อกูล”
โสมนัสเหย้าเรือนในที่นี้ ได้แก่
• เมตตา
• ความเบาใจ
• ความอิ่มเอิบทางศีล
ไม่ใช่เพื่อยึด
แต่เพื่อไม่ให้จิตตกต่ำ
ตรงกับแผนภาพที่
โสมนัสเหย้าเรือนทำหน้าที่ “ประคอง”
⸻
๑๕. ขั้นที่ ๓ (แกนใหญ่ของแผนภาพ)
โสมนัสเหย้าเรือน → โสมนัสเนกขัมมะ
พระพุทธเจ้าตรัสชัดมากว่า
“สุขในกาม เป็นสุขเล็กน้อย
สุขในเนกขัมมะ เป็นสุขประณีต”
เมื่อจิตได้ลิ้มรส
• ความสงัด
• ความไม่อยาก
• ความไม่ต้องเป็นอะไร
สุขแบบเดิมจะ ดับเอง
นี่คือหลัก
“สุขละสุข”
และตรงกับ ศูนย์กลางของแผนภาพ
⸻
๑๖. ขั้นที่ ๔
โสมนัสเนกขัมมะ → อุเบกขาเหย้าเรือน
เมื่อจิตยังติดสุขเนกขัมมะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“แม้สุขอันประณีต
ก็ยังเป็นสิ่งถูกรู้”
จึงต้องอาศัย
• อุเบกขา
• ความไม่เอน
• ความไม่ไหล
แต่อุเบกขานี้
ยังอาศัยโลก
จึงเรียกว่า อุเบกขาเหย้าเรือน
⸻
๑๗. ขั้นที่ ๕
อุเบกขาเหย้าเรือน → อุเบกขาเนกขัมมะ
ตรงนี้คือหัวใจของ สฬายตนวิภังค์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เมื่อเห็นอายตนะโดยความไม่เป็นของเรา
อุเบกขาย่อมบริสุทธิ์”
อุเบกขาเนกขัมมะ คือ
• ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
• ไม่อาศัยอารมณ์
• ไม่อาศัยสุขหรือทุกข์
⸻
๑๘. สฬายตนวิภังค์ : เหตุแห่งการ “ดับผัสสะ”
พระพุทธเจ้าตรัสลำดับชัดเจนว่า
อายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา
เมื่ออุเบกขา ไม่อาศัยอายตนะ
• ผัสสะไม่ตั้ง
• เวทนาไม่ตั้ง
• ตัณหาไม่เกิด
นี่คือจุดที่ แผนภาพเริ่ม “เงียบ”
⸻
๑๙. สัตตบท ๓๖ : ทำไมต้องจำแนกละเอียดถึง ๓๖
พระพุทธเจ้าจำแนก
• อุเบกขา
• โสมนัส
• โทมนัส
ออกเป็น
• ภายใน
• ภายนอก
• เหย้าเรือน
• เนกขัมมะ
รวมเป็น สัตตบท ๓๖
เพื่อชี้ว่า
👉 ไม่มีเวทนาใดที่ไม่ต้องถูกละ
แม้แต่
• อุเบกขาในฌาน
• อุเบกขาในพรหมโลก
• อุเบกขาในอรูป
⸻
๒๐. จุดจบของแผนภาพตามพุทธวจน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เมื่อเวทนาใด ๆ
ไม่ถูกทำให้เป็นเรา
วิญญาณย่อมไม่ตั้งอยู่”
นี่คือ
• ไม่ใช่สุข
• ไม่ใช่อุเบกขา
• ไม่ใช่อารมณ์ใด ๆ
แต่คือ
ความดับแห่งการอาศัย
⸻
สรุปสั้นที่สุด
แผนภาพนี้สอนว่า
การละ ไม่ใช่ละอารมณ์
แต่ละ ความอาศัยในอารมณ์
และต้องละ
จากหยาบ → ละเอียด
จากเหย้าเรือน → เนกขัมมะ
จากเวทนา → ผัสสะ → อายตนะ
⸻
๒๑. สัตตบท ๓๖ : เหตุใดพระพุทธเจ้าต้องแจกแจง “ละเอียดถึงที่สุด”
พระพุทธเจ้ามิได้จำแนกเวทนา ๓๖ เพื่อการนับ
แต่เพื่อ ตัดความเข้าใจผิดที่ละเอียดมากที่สุด คือ
“อุเบกขาบางอย่าง ไม่ต้องละ”
พระองค์จึงทรงจำแนกเวทนาทั้งหมดเป็น
• โสมนัส ๑๒
• โทมนัส ๑๒
• อุเบกขา ๑๒
รวม ๓๖
โดยทุกบทมีทั้ง
• ภายใน / ภายนอก
• เหย้าเรือน / เนกขัมมะ
เพื่อแสดงว่า
👉 ไม่มีเวทนาใด ‘ปลอดภัยจากอัตมยตา’ โดยตัวมันเอง
⸻
๒๒. โครงสร้างสัตตบท ๓๖ ในแผนภาพ (ไม่ใช่ทฤษฎี)
ในแผนภาพที่คุณให้มา
จะเห็นว่า อุเบกขา ถูกวางซ้ำหลายระดับ
นั่นตรงกับพุทธวจนที่ว่า
“อุเบกขามีทั้งที่ยังอาศัย และไม่อาศัย”
ดังนั้นสัตตบท ๓๖ ไม่ใช่เส้นตรง
แต่เป็น ชั้นของความอาศัย
⸻
๒๓. โสมนัส ๑๒ : สุขที่ต้องถูกละ “ทุกระดับ”
๒๓.๑ โสมนัสเหย้าเรือน (ภายใน–ภายนอก)
สุขจาก
• รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
• ความสำเร็จ
• ความเป็นเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“สุขเหล่านี้เป็นของน้อย มีโทษมาก”
๒๓.๒ โสมนัสเนกขัมมะ (ภายใน–ภายนอก)
สุขจาก
• ความสงัด
• ความไม่อยาก
• ความคลายกำหนัด
แต่พระองค์ตรัสต่อว่า
“แม้สุขอันประณีต ก็ยังเป็นเวทนา”
จึง ต้องถูกวาง
⸻
๒๔. โทมนัส ๑๒ : ทุกข์ที่ “ไม่ใช่กิเลสเสมอไป”
พระพุทธเจ้าทรงจำแนกโทมนัสอย่างละเอียด
เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่า
“ทุกโทมนัสเป็นอกุศล”
๒๔.๑ โทมนัสเหย้าเรือน
• ความเสียใจ
• ความคับแค้น
• ความกลัว
ที่อาศัยตัวตน
๒๔.๒ โทมนัสเนกขัมมะ
• ความสลดในกาม
• ความสะเทือนใจต่อสังสารวัฏ
• ความเบื่อหน่ายอย่างมีปัญญา
โทมนัสชนิดหลังนี้
เป็นบาทของวิปัสสนา
แต่เมื่อหน้าที่เสร็จ
ก็ ต้องวาง
⸻
๒๕. อุเบกขา ๑๒ : จุดที่ผิดพลาดกันมากที่สุด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อุเบกขา มีทั้งที่ยังอาศัย และไม่อาศัย”
๒๕.๑ อุเบกขาเหย้าเรือน
ลักษณะ:
• ไม่สุข ไม่ทุกข์
• ใจนิ่ง
• แต่ยังมี “ฐาน”
เช่น
• อุเบกขาในฌาน
• อุเบกขาในพรหมโลก
• อุเบกขาที่อาศัยรูปหรืออรูป
ทั้งหมดนี้
👉 ยังอยู่ในสัตตบท ๓๖
จึงยังต้องถูกละ
⸻
๒๖. อุเบกขาเนกขัมมะ : อุเบกขาที่ไม่อาศัย
ตรงกับลูกศรสุดท้ายในแผนภาพ
อุเบกขาเนกขัมมะ คือ
• ไม่อาศัยอายตนะ
• ไม่อาศัยผัสสะ
• ไม่อาศัยเวทนา
• ไม่อาศัยความเป็นผู้รู้
พระพุทธเจ้าตรัสในสฬายตนวิภังค์ว่า
“เมื่อไม่ยึดอายตนะ
ผัสสะย่อมดับ
เวทนาย่อมดับ”
⸻
๒๗. จุดแตกหักของสัตตบท ๓๖
สัตตบท ๓๖ ไม่ได้จบด้วยอุเบกขา
แต่จบด้วย
“การไม่ตั้งแห่งวิญญาณ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“วิญญาณไม่ตั้งอยู่
เพราะไม่มีที่อาศัย”
นี่คือจุดที่
• ไม่มีโสมนัส
• ไม่มีโทมนัส
• ไม่มีอุเบกขา
ไม่ใช่เพราะถูกกด
แต่เพราะ เหตุหมด
⸻
๒๘. เชื่อมกลับสู่แผนภาพ : ทำไมต้อง “อารมณ์เดียวกัน ประเภทเดียวกัน”
ในแผนภาพมีข้อความว่า
“ใช้อุเบกขาอารมณ์เดียวกัน ประเภทเดียวกัน
ละ อุเบกขาประเภทต่าง อารมณ์ต่าง”
นี่ตรงกับพุทธวจนที่ว่า
👉 การละ ต้องไม่สร้างฐานใหม่
ถ้าใช้อุเบกขาคนละประเภท
จะกลายเป็น
• เปลี่ยนที่ยึด
• ไม่ใช่ดับการยึด
⸻
๒๙. ภาวะหลังสัตตบท ๓๖ : ไม่มีชื่อให้เรียก
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“ตถาคตไม่พึงกล่าวว่า
มีอยู่
ไม่มีอยู่
ทั้งมีทั้งไม่มี
ไม่ทั้งมีทั้งไม่มี”
เพราะภาวะนี้
• ไม่ใช่เวทนา
• ไม่ใช่อารมณ์
• ไม่ใช่ภพ
จึง ไม่มีช่องในแผนภาพให้วาดต่อ
⸻
๓๐. สรุปสุดท้ายของการ “ต่อทั้งหมด”
สิ่งที่แผนภาพสอนโดยพุทธวจนคือ
1. เวทนาทุกชนิดต้องถูกละ
2. การละต้องใช้ธรรมที่ละเอียดกว่า
3. เมื่อถึงที่สุด ต้องละแม้ “การใช้ธรรม”
4. เมื่อไม่มีการอาศัย
→ วิญญาณไม่ตั้ง
→ ภพไม่เกิด
ตรงกับพุทธพจน์ว่า
“สิ่งใดมีความเกิดเป็นธรรม
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรม”
⸻
๓๑. จุดเปลี่ยนจาก “เวทนาทั้งปวง” → “ความสิ้นเวทนา”
ในข้อก่อนหน้า เราหยุดที่
“เวทนาทั้ง ๓๖ ถูกละโดยไม่เหลืออาศัย”
ตรงนี้ต้องเข้าใจให้แม่นว่า
ยังไม่ใช่สัญญาเวทยิตนิโรธ
เพราะตราบใดที่ยังมี
• การรับรู้ (สัญญา)
• การกระทบ (ผัสสะ)
แม้จะไม่ยึด
ก็ยังเป็น สังขตธรรม
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“ยังมีธรรมที่ยิ่งไปกว่านั้น”
⸻
๓๒. เงื่อนไขจำเป็นของสัญญาเวทยิตนิโรธ (ตามพุทธวจน)
พระพุทธเจ้าตรัสชัดในหลายพระสูตรตรงกันว่า
สัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็เข้าถึงได้
ต้องมีคุณสมบัติครบ ๓ ประการพร้อมกัน
1. สิ้นราคะ โทสะ โมหะในระดับอนาคามี
2. เชี่ยวชาญฌานทั้ง ๘ (รูป–อรูป)
3. ไม่เหลือความอาศัยในเวทนาแม้ประณีตที่สุด
นี่คือเหตุผลที่
แผนภาพ “ต้องพาไปสุดที่สัตตบท ๓๖” ก่อน
ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจนิโรธผิดเป็นฌานหรืออุเบกขา
⸻
๓๓. ความต่างเด็ดขาดระหว่าง
“อุเบกขาเนกขัมมะ” กับ “สัญญาเวทยิตนิโรธ”
ประเด็น อุเบกขาเนกขัมมะ สัญญาเวทยิตนิโรธ
เวทนา ยังมี (เป็นกลาง) ดับ
สัญญา ยังมี ดับ
ผัสสะ ยังมี ดับ
วิญญาณ ยังอาศัย ไม่อาศัย
ภพ ยังเป็นสังขต ไม่ปรากฏภพ
ดังนั้น
นิโรธไม่ใช่อุเบกขาที่ละเอียดมาก
แต่คือ การดับของเครื่องรับรู้ทั้งหมด
⸻
๓๔. กลไกการเข้าถึงนิโรธ (อิงแผนภาพย้อนหลัง)
ถ้าย้อนดูแผนภาพทั้งหมด จะเห็นลำดับนี้ชัดมาก
1. ละโทมนัส → ไม่หวั่นไหว
2. ละโสมนัส → ไม่เพลิน
3. ละอุเบกขา → ไม่อาศัย
4. ละอายตนะ → ไม่กระทบ
5. ละผัสสะ → ไม่เกิดเวทนา
เมื่อ เหตุของเวทนาไม่เหลือ
สัญญาและเวทนา จึงดับพร้อมกัน
นี่คือจุดที่
แผนภาพ “ไม่มีลูกศรต่อ” อย่างแท้จริง
⸻
๓๕. นิโรธไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “เครื่องยืนยัน”
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสรรเสริญนิโรธว่าเป็นที่สุด
แต่ทรงสรรเสริญว่า
“เป็นธรรมที่อริยสาวกผู้สิ้นอาสวะ
เข้าอยู่เป็นนิจ”
เหตุใดจึงสำคัญ
เพราะนิโรธเป็น พยาน ว่า
• อายตนะไม่เป็นที่อาศัยอีกต่อไป
• เวทนาไม่เป็นเหตุให้เกิดตัณหาอีก
• วิญญาณไม่ตั้งอยู่ในภพใด ๆ
⸻
๓๖. ออกจากนิโรธแล้วเกิดอะไรขึ้น
นี่คือจุดที่เข้าใจผิดมากที่สุด
เมื่อออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ
• ไม่ได้กลับมาเป็นปุถุชน
• ไม่ได้กลับมามีอัตตา
• ไม่ได้กลับมามีเวทนาแบบเดิม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อาสวะทั้งหลายของภิกษุนั้น
ย่อมสิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา”
กล่าวคือ
นิโรธไม่ทำให้สิ้นอาสวะ
แต่ผู้ที่อาสวะสิ้นแล้ว
จึง “เข้า–ออก” นิโรธได้
⸻
๓๗. เชื่อมกลับมโนปวิจาร ๑๘ อีกครั้ง (วงจรปิดสมบูรณ์)
เมื่ออาสวะสิ้น
มโนปวิจาร ๑๘ ไม่ถูกทำงานอีกต่อไป
ไม่ใช่เพราะ
“ไม่มีอารมณ์มากระทบ”
แต่เพราะ
“ไม่มีใจที่ไปปวิจารอารมณ์นั้น”
นี่คือความหมายลึกของ
อตัมมยตาโดยสมบูรณ์
⸻
๓๘. ภาวะของพระอรหันต์หลังแผนภาพทั้งหมด
พระอรหันต์
• ยังเห็น
• ยังได้ยิน
• ยังรู้เวทนา
แต่
• ไม่มีการจัดหมวด
• ไม่มีการเลือก
• ไม่มีการละ
• ไม่มีการใช้ธรรม
ธรรมทั้งหลาย
“เป็นไปตามเหตุ
ดับไปตามเหตุ”
⸻
๓๙. สรุปสุดท้าย (ปิดทั้งแผนภาพ)
แผนภาพนี้ ไม่ใช่แผนที่การปฏิบัติแบบเทคนิค
แต่คือ แผนที่การดับของความเป็นตัวตนอย่างเป็นระบบ
ลำดับทั้งหมดคือ
1. ละเวทนาหยาบ
2. ละเวทนาละเอียด
3. ละอุเบกขา
4. ละอายตนะ
5. ดับผัสสะ
6. ดับเวทนา
7. วิญญาณไม่ตั้ง
8. ภพไม่เกิด
ตรงตามพุทธพจน์สุดท้ายว่า
“สิ่งใดมีความเกิดเป็นธรรม
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรม”
#Siamstr #nostr #พุทธวจน #ธรรมะmaiakee
maiakee
npub1hge4...8hs2
Doctor / Lieutenant junior grade
ชื่อบทความ
“จากเหย้าเรือนสู่ความไม่อาศัย : แผนภาพการละเวทนาตามมโนปวิจาร ๑๘ สฬายตนวิภังค์ และสัตตบท ๓๖”
⸻
บทนำ
พระพุทธศาสนาในชั้นพุทธวจน มิได้สอนการหลบหนีอารมณ์ มิได้สอนการกดข่มเวทนา และมิได้สอนการเลือกถืออารมณ์ที่ประณีตกว่าไว้เป็นตัวตนใหม่ หากแต่ทรงแสดง “กระบวนการดับโดยลำดับ” ของการอาศัยอารมณ์ทั้งปวง อย่างประณีต ละเอียด และเป็นระบบยิ่งกว่าที่มักเข้าใจกันทั่วไป
บทความนี้มีจุดตั้งต้นจาก แผนภาพการละอารมณ์ ซึ่งสะท้อนโครงสร้างแท้จริงของคำสอนพระพุทธเจ้า ว่าด้วยการค่อย ๆ คลายจาก เหย้าเรือน ไปสู่ เนกขัมมะ จาก โทมนัส ไปสู่ โสมนัส จาก โสมนัส ไปสู่ อุเบกขา และจาก อุเบกขาที่อาศัย ไปสู่ อุเบกขาที่ไม่อาศัย จนถึงจุดที่ไม่เหลือแม้ “การละ” ให้ต้องกระทำอีกต่อไป
เนื้อหาทั้งหมดจะอธิบายโดยยึด มโนปวิจาร ๑๘ เป็นแกนกลาง แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดเกิดจากการปวิจารของใจ มิใช่เกิดลอย ๆ จากนั้นเชื่อมโยงไปสู่ สฬายตนวิภังค์ เพื่อชี้ให้เห็นกลไกของผัสสะ เวทนา และการอาศัยอายตนะ และแตกละเอียดถึง สัตตบท ๓๖ เพื่อยืนยันว่า เวทนาทุกประเภท ไม่ว่าจะหยาบหรือประณีต ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรืออุเบกขา ล้วนอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่ต้องถูกวาง
บทความนี้จึงมิใช่คู่มือปฏิบัติแบบเทคนิค และมิใช่การอธิบายเชิงอภิธรรมเพื่อการจำแนกบัญชีธรรม หากแต่เป็นการเปิดให้เห็น โครงสร้างการดับของอัตมยตา ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจริง ว่าการหลุดพ้นมิได้เกิดจากการสร้างสภาวะใดขึ้นมา แต่เกิดจากการสิ้นอาศัยในสภาวะทั้งปวง เมื่อเวทนาไม่ถูกทำให้เป็น “เรา” อีกต่อไป วิญญาณย่อมไม่ตั้งอยู่ ภพย่อมไม่เกิด และพรหมจรรย์ย่อมถึงที่สุดโดยธรรมดา
บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อผู้อ่านที่ต้องการ “เห็นธรรมตามลำดับเหตุปัจจัย” ไม่ใช่เพื่อเชื่อ ไม่ใช่เพื่อยึด แต่เพื่อเข้าใจว่า การดับในพุทธศาสนา คือการดับของการอาศัย ไม่ใช่การดับของโลก
———
🪷กรอบใหญ่ของแผนภาพ: “อตัมมยตา”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายยัง “เป็นสัตว์” อยู่ได้ เพราะ
“ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความติดข้อง
ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
สิ่งนี้เรียกว่า อัตมยตา
คือ “การทำสิ่งนั้นให้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา”
ตรงข้ามคือ อตัมมยตา
ไม่ทำอารมณ์นั้นให้เป็นเรา
แม้อารมณ์จะเกิด ก็ ไม่อาศัย ไม่ถือ ไม่ยึด
แผนภาพทั้งหมดกำลังแสดง กระบวนการเปลี่ยนจากอัตมยตา → อตัมมยตา
โดยละเอียดในระดับ เวทนา–อารมณ์–ภูมิ
⸻
๒. เหย้าเรือน vs เนกขัมมะ : ความต่างที่ต้อง “ละด้วยอารมณ์ที่ถูกต้อง”
๒.๑ “เหย้าเรือน”
หมายถึง
อารมณ์ที่ยังอาศัย กาม / รูป / ความเป็นเรา / ความมีเรา
แม้จะเป็นสุข ก็ยังเป็น สังขตธรรม
๒.๒ “เนกขัมมะ”
หมายถึง
อารมณ์ที่ออกจากกาม
ไม่พึ่งรูป ไม่พึ่งความเป็นเรา
เป็นอารมณ์ของ วิเวก สงัด คลายกำหนัด
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“เนกขัมมสุข ประณีตกว่าสุขทั้งหลาย”
แต่ประเด็นสำคัญคือ
👉 จะละอะไร ต้องใช้อารมณ์ที่ละเอียดกว่าเท่านั้น
⸻
๓. หลักใหญ่ในแผนภาพ :
“อารมณ์หยาบ ละด้วยอารมณ์ละเอียด”
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอว่า
การละ ไม่ใช่การกด
แต่เป็นการ “เห็นโทษ – เห็นประณีต – คลายเอง”
ดังนั้นจึงเกิดลำดับต่อไปนี้
⸻
๔. ขั้นที่ ๑
ใช้ โทมนัสเนกขัมมะ ละ โทมนัสเหย้าเรือน
โทมนัสเหย้าเรือน
= ความเศร้า ความคับแค้น ความอัดอั้น
ที่อาศัย “ตัวเรา–ของเรา–ชีวิตเรา”
พระพุทธเจ้ามิได้ให้ใช้โสมนัสทันที
แต่ให้เห็นโทษของเหย้าเรือนก่อน
จึงเกิด โทมนัสเนกขัมมะ คือ
ความสะเทือนใจต่อสังสารวัฏ
ความสลดต่อการยึดติด
ความเบื่อหน่ายอย่างมีปัญญา
นี่ไม่ใช่กิเลส
แต่เป็น ญาณที่แทงตลอดโทษของกาม
👉 โทมนัสระดับนี้ ละเอียดกว่า
จึงสามารถละโทมนัสหยาบได้
⸻
๕. ขั้นที่ ๒
ใช้ โสมนัสเหย้าเรือน ละ โทมนัสเนกขัมมะ
เมื่อความสลดแรงเกินไป
อาจกลายเป็นความหดหู่
พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ ผ่อนด้วยสุขที่ยังเป็นเหย้าเรือน
เช่น เมตตา ความสงบ ความเบาใจ
“ธรรมทั้งหลายย่อมเจริญได้
ด้วยความไม่ตึง ไม่หย่อน”
โสมนัสเหย้าเรือน
จึงทำหน้าที่ ประคองจิต
ไม่ใช่เพื่อยึด แต่เพื่อไม่ให้จิตถอย
⸻
๖. ขั้นที่ ๓
ใช้ โสมนัสเนกขัมมะ ละ โสมนัสเหย้าเรือน
นี่คือหัวใจของแผนภาพ
โสมนัสเหย้าเรือน
แม้จะสุข แต่ยังอาศัย “เรา”
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
สุขที่ยังอิงกาม ไม่ใช่ทางหลุดพ้น
เมื่อจิตรู้รสของ
โสมนัสเนกขัมมะ
(สุขจากความสงัด ไม่ยึด ไม่อยาก)
สุขแบบเดิมจะ ดับเองโดยไม่ต้องห้าม
นี่คือ
“สุขละสุข”
⸻
๗. ขั้นที่ ๔
ใช้ อุเบกขาเหย้าเรือน ละ โสมนัสเนกขัมมะ
เมื่อจิตติดแม้แต่สุขเนกขัมมะ
พระพุทธเจ้าไม่ให้เกลียดสุขนั้น
แต่ให้ วางด้วยอุเบกขา
อุเบกขาเหย้าเรือน
ยังมีอารมณ์โลก
แต่ ไม่หวั่น ไม่เอน ไม่ติด
จึงทำให้สุขละเอียดนั้น
ไม่กลายเป็นเครื่องผูก
⸻
๘. ขั้นที่ ๕ (ละเอียดมาก)
ใช้ อุเบกขาเนกขัมมะ ละ เหย้าเรือนทั้งหมด
อุเบกขาเนกขัมมะ
คืออุเบกขาที่
• ไม่อาศัยกาม
• ไม่อาศัยสุข
• ไม่อาศัยความเป็นเรา
นี่คืออุเบกขาของ
วิปัสสนา–ญาณ–วิเวก
⸻
๙. หลักสำคัญที่สุดในแผนภาพ (จุดยอด)
🔴 “ใช้อุเบกขาอารมณ์เดียวกัน ประเภทเดียวกัน
ละ อุเบกขาประเภทต่าง อารมณ์ต่าง”
นี่คือ จุดแตกหักของอัตตา
• อุเบกขาที่อาศัยรูป / ฌาน / ภพ
ยังเป็น “อุเบกขาเหย้าเรือน”
• อุเบกขาที่ไม่อาศัยอะไรเลย
คือ “อุเบกขาเนกขัมมะ”
การละ ต้องใช้อุเบกขาที่ประณีตเท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น
จึงไม่เกิดการกด ไม่เกิดตัวตนใหม่
แต่เป็น อตัมมยตาโดยสมบูรณ์
⸻
๑๐. บทสรุปตามพุทธวจน
แผนภาพทั้งหมดไม่ได้สอนให้ “เลือกอารมณ์”
แต่สอนให้
ไม่อาศัยอารมณ์ใดเป็นเรา
ลำดับทั้งหมดคือ
1. เห็นโทษ
2. เห็นประณีต
3. วางแม้ความประณีต
4. ไม่ทำอะไรเป็นตัวตน
นี่คือ
“ภาวะที่ไม่มีเหย้า ไม่มีเรือน ไม่มีที่อาศัย”
ตรงตามพุทธพจน์ว่า
“วิญญาณที่ไม่ตั้งอยู่
ย่อมไม่เจริญ
เมื่อไม่เจริญ ย่อมดับ”
⸻
๑๑. มโนปวิจาร ๑๘ : โครงสร้างกลางของแผนภาพทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสใน สฬายตนวิภังค์สูตร และพระสูตรในสังยุตต์ว่า
การเกิดเวทนา มิใช่เกิดลอย ๆ แต่เกิดจาก การปวิจารของใจ
ใจย่อม “ปวิจาร” ไปในอารมณ์
ตามอายตนะ + ผัสสะ + เจตนา
จึงทรงจำแนก มโนปวิจาร ๑๘ คือ
๑) ทางใจ (มโน)
จำแนกเป็น
• โสมนัส
• โทมนัส
• อุเบกขา
และแต่ละอย่างจำแนกเป็น
• เหย้าเรือน (สามิส)
• เนกขัมมะ (นิรามิส)
รวมเป็น ๖ × ๓ = ๑๘
นี่คือแกนกลางของแผนภาพที่คุณส่งมา
⸻
๑๒. เหตุใดพระพุทธเจ้าจึง “ไม่ให้ละพร้อมกันทั้งหมด”
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“ธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปตามเหตุ”
“การละ ต้องอาศัยธรรมที่มีกำลังมากกว่า”
จึง ไม่มีการข้ามจากเหย้าเรือน → อุเบกขาเนกขัมมะทันที
แต่ต้องผ่าน ลำดับอารมณ์ในมโนปวิจาร ๑๘
⸻
๑๓. ขั้นที่ ๑ ในแผนภาพ
โทมนัสเหย้าเรือน → โทมนัสเนกขัมมะ
โทมนัสเหย้าเรือน
คือความทุกข์ใจที่อาศัย
• ตัวตน
• ความสูญเสีย
• ความผิดหวัง
• ความเป็น “เรา”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
โทมนัสชนิดนี้ยังเป็น สามิส
การละ
ไม่ใช่ด้วยสุขทันที
แต่ด้วย โทมนัสที่ละเอียดกว่า
โทมนัสเนกขัมมะ
คือ
• ความสลดในสังสารวัฏ
• ความสะเทือนใจต่อกาม
• ความเบื่อหน่ายอย่างมีปัญญา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“โยนิโสมนสิการในโทษของกาม
เป็นเหตุให้เกิดเนกขัมมะ”
นี่ตรงกับลูกศรแรกในแผนภาพ
⸻
๑๔. ขั้นที่ ๒
โทมนัสเนกขัมมะ → โสมนัสเหย้าเรือน
เมื่อจิตสลดมากเกินไป
พระพุทธเจ้า ไม่ทรงให้ทรมานตน
จึงตรัสถึง
“การผ่อนจิตด้วยธรรมอันเกื้อกูล”
โสมนัสเหย้าเรือนในที่นี้ ได้แก่
• เมตตา
• ความเบาใจ
• ความอิ่มเอิบทางศีล
ไม่ใช่เพื่อยึด
แต่เพื่อไม่ให้จิตตกต่ำ
ตรงกับแผนภาพที่
โสมนัสเหย้าเรือนทำหน้าที่ “ประคอง”
⸻
๑๕. ขั้นที่ ๓ (แกนใหญ่ของแผนภาพ)
โสมนัสเหย้าเรือน → โสมนัสเนกขัมมะ
พระพุทธเจ้าตรัสชัดมากว่า
“สุขในกาม เป็นสุขเล็กน้อย
สุขในเนกขัมมะ เป็นสุขประณีต”
เมื่อจิตได้ลิ้มรส
• ความสงัด
• ความไม่อยาก
• ความไม่ต้องเป็นอะไร
สุขแบบเดิมจะ ดับเอง
นี่คือหลัก
“สุขละสุข”
และตรงกับ ศูนย์กลางของแผนภาพ
⸻
๑๖. ขั้นที่ ๔
โสมนัสเนกขัมมะ → อุเบกขาเหย้าเรือน
เมื่อจิตยังติดสุขเนกขัมมะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“แม้สุขอันประณีต
ก็ยังเป็นสิ่งถูกรู้”
จึงต้องอาศัย
• อุเบกขา
• ความไม่เอน
• ความไม่ไหล
แต่อุเบกขานี้
ยังอาศัยโลก
จึงเรียกว่า อุเบกขาเหย้าเรือน
⸻
๑๗. ขั้นที่ ๕
อุเบกขาเหย้าเรือน → อุเบกขาเนกขัมมะ
ตรงนี้คือหัวใจของ สฬายตนวิภังค์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เมื่อเห็นอายตนะโดยความไม่เป็นของเรา
อุเบกขาย่อมบริสุทธิ์”
อุเบกขาเนกขัมมะ คือ
• ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
• ไม่อาศัยอารมณ์
• ไม่อาศัยสุขหรือทุกข์
⸻
๑๘. สฬายตนวิภังค์ : เหตุแห่งการ “ดับผัสสะ”
พระพุทธเจ้าตรัสลำดับชัดเจนว่า
อายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา
เมื่ออุเบกขา ไม่อาศัยอายตนะ
• ผัสสะไม่ตั้ง
• เวทนาไม่ตั้ง
• ตัณหาไม่เกิด
นี่คือจุดที่ แผนภาพเริ่ม “เงียบ”
⸻
๑๙. สัตตบท ๓๖ : ทำไมต้องจำแนกละเอียดถึง ๓๖
พระพุทธเจ้าจำแนก
• อุเบกขา
• โสมนัส
• โทมนัส
ออกเป็น
• ภายใน
• ภายนอก
• เหย้าเรือน
• เนกขัมมะ
รวมเป็น สัตตบท ๓๖
เพื่อชี้ว่า
👉 ไม่มีเวทนาใดที่ไม่ต้องถูกละ
แม้แต่
• อุเบกขาในฌาน
• อุเบกขาในพรหมโลก
• อุเบกขาในอรูป
⸻
๒๐. จุดจบของแผนภาพตามพุทธวจน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เมื่อเวทนาใด ๆ
ไม่ถูกทำให้เป็นเรา
วิญญาณย่อมไม่ตั้งอยู่”
นี่คือ
• ไม่ใช่สุข
• ไม่ใช่อุเบกขา
• ไม่ใช่อารมณ์ใด ๆ
แต่คือ
ความดับแห่งการอาศัย
⸻
สรุปสั้นที่สุด
แผนภาพนี้สอนว่า
การละ ไม่ใช่ละอารมณ์
แต่ละ ความอาศัยในอารมณ์
และต้องละ
จากหยาบ → ละเอียด
จากเหย้าเรือน → เนกขัมมะ
จากเวทนา → ผัสสะ → อายตนะ
⸻
๒๑. สัตตบท ๓๖ : เหตุใดพระพุทธเจ้าต้องแจกแจง “ละเอียดถึงที่สุด”
พระพุทธเจ้ามิได้จำแนกเวทนา ๓๖ เพื่อการนับ
แต่เพื่อ ตัดความเข้าใจผิดที่ละเอียดมากที่สุด คือ
“อุเบกขาบางอย่าง ไม่ต้องละ”
พระองค์จึงทรงจำแนกเวทนาทั้งหมดเป็น
• โสมนัส ๑๒
• โทมนัส ๑๒
• อุเบกขา ๑๒
รวม ๓๖
โดยทุกบทมีทั้ง
• ภายใน / ภายนอก
• เหย้าเรือน / เนกขัมมะ
เพื่อแสดงว่า
👉 ไม่มีเวทนาใด ‘ปลอดภัยจากอัตมยตา’ โดยตัวมันเอง
⸻
๒๒. โครงสร้างสัตตบท ๓๖ ในแผนภาพ (ไม่ใช่ทฤษฎี)
ในแผนภาพที่คุณให้มา
จะเห็นว่า อุเบกขา ถูกวางซ้ำหลายระดับ
นั่นตรงกับพุทธวจนที่ว่า
“อุเบกขามีทั้งที่ยังอาศัย และไม่อาศัย”
ดังนั้นสัตตบท ๓๖ ไม่ใช่เส้นตรง
แต่เป็น ชั้นของความอาศัย
⸻
๒๓. โสมนัส ๑๒ : สุขที่ต้องถูกละ “ทุกระดับ”
๒๓.๑ โสมนัสเหย้าเรือน (ภายใน–ภายนอก)
สุขจาก
• รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
• ความสำเร็จ
• ความเป็นเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“สุขเหล่านี้เป็นของน้อย มีโทษมาก”
๒๓.๒ โสมนัสเนกขัมมะ (ภายใน–ภายนอก)
สุขจาก
• ความสงัด
• ความไม่อยาก
• ความคลายกำหนัด
แต่พระองค์ตรัสต่อว่า
“แม้สุขอันประณีต ก็ยังเป็นเวทนา”
จึง ต้องถูกวาง
⸻
๒๔. โทมนัส ๑๒ : ทุกข์ที่ “ไม่ใช่กิเลสเสมอไป”
พระพุทธเจ้าทรงจำแนกโทมนัสอย่างละเอียด
เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่า
“ทุกโทมนัสเป็นอกุศล”
๒๔.๑ โทมนัสเหย้าเรือน
• ความเสียใจ
• ความคับแค้น
• ความกลัว
ที่อาศัยตัวตน
๒๔.๒ โทมนัสเนกขัมมะ
• ความสลดในกาม
• ความสะเทือนใจต่อสังสารวัฏ
• ความเบื่อหน่ายอย่างมีปัญญา
โทมนัสชนิดหลังนี้
เป็นบาทของวิปัสสนา
แต่เมื่อหน้าที่เสร็จ
ก็ ต้องวาง
⸻
๒๕. อุเบกขา ๑๒ : จุดที่ผิดพลาดกันมากที่สุด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อุเบกขา มีทั้งที่ยังอาศัย และไม่อาศัย”
๒๕.๑ อุเบกขาเหย้าเรือน
ลักษณะ:
• ไม่สุข ไม่ทุกข์
• ใจนิ่ง
• แต่ยังมี “ฐาน”
เช่น
• อุเบกขาในฌาน
• อุเบกขาในพรหมโลก
• อุเบกขาที่อาศัยรูปหรืออรูป
ทั้งหมดนี้
👉 ยังอยู่ในสัตตบท ๓๖
จึงยังต้องถูกละ
⸻
๒๖. อุเบกขาเนกขัมมะ : อุเบกขาที่ไม่อาศัย
ตรงกับลูกศรสุดท้ายในแผนภาพ
อุเบกขาเนกขัมมะ คือ
• ไม่อาศัยอายตนะ
• ไม่อาศัยผัสสะ
• ไม่อาศัยเวทนา
• ไม่อาศัยความเป็นผู้รู้
พระพุทธเจ้าตรัสในสฬายตนวิภังค์ว่า
“เมื่อไม่ยึดอายตนะ
ผัสสะย่อมดับ
เวทนาย่อมดับ”
⸻
๒๗. จุดแตกหักของสัตตบท ๓๖
สัตตบท ๓๖ ไม่ได้จบด้วยอุเบกขา
แต่จบด้วย
“การไม่ตั้งแห่งวิญญาณ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“วิญญาณไม่ตั้งอยู่
เพราะไม่มีที่อาศัย”
นี่คือจุดที่
• ไม่มีโสมนัส
• ไม่มีโทมนัส
• ไม่มีอุเบกขา
ไม่ใช่เพราะถูกกด
แต่เพราะ เหตุหมด
⸻
๒๘. เชื่อมกลับสู่แผนภาพ : ทำไมต้อง “อารมณ์เดียวกัน ประเภทเดียวกัน”
ในแผนภาพมีข้อความว่า
“ใช้อุเบกขาอารมณ์เดียวกัน ประเภทเดียวกัน
ละ อุเบกขาประเภทต่าง อารมณ์ต่าง”
นี่ตรงกับพุทธวจนที่ว่า
👉 การละ ต้องไม่สร้างฐานใหม่
ถ้าใช้อุเบกขาคนละประเภท
จะกลายเป็น
• เปลี่ยนที่ยึด
• ไม่ใช่ดับการยึด
⸻
๒๙. ภาวะหลังสัตตบท ๓๖ : ไม่มีชื่อให้เรียก
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“ตถาคตไม่พึงกล่าวว่า
มีอยู่
ไม่มีอยู่
ทั้งมีทั้งไม่มี
ไม่ทั้งมีทั้งไม่มี”
เพราะภาวะนี้
• ไม่ใช่เวทนา
• ไม่ใช่อารมณ์
• ไม่ใช่ภพ
จึง ไม่มีช่องในแผนภาพให้วาดต่อ
⸻
๓๐. สรุปสุดท้ายของการ “ต่อทั้งหมด”
สิ่งที่แผนภาพสอนโดยพุทธวจนคือ
1. เวทนาทุกชนิดต้องถูกละ
2. การละต้องใช้ธรรมที่ละเอียดกว่า
3. เมื่อถึงที่สุด ต้องละแม้ “การใช้ธรรม”
4. เมื่อไม่มีการอาศัย
→ วิญญาณไม่ตั้ง
→ ภพไม่เกิด
ตรงกับพุทธพจน์ว่า
“สิ่งใดมีความเกิดเป็นธรรม
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรม”
⸻
๓๑. จุดเปลี่ยนจาก “เวทนาทั้งปวง” → “ความสิ้นเวทนา”
ในข้อก่อนหน้า เราหยุดที่
“เวทนาทั้ง ๓๖ ถูกละโดยไม่เหลืออาศัย”
ตรงนี้ต้องเข้าใจให้แม่นว่า
ยังไม่ใช่สัญญาเวทยิตนิโรธ
เพราะตราบใดที่ยังมี
• การรับรู้ (สัญญา)
• การกระทบ (ผัสสะ)
แม้จะไม่ยึด
ก็ยังเป็น สังขตธรรม
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“ยังมีธรรมที่ยิ่งไปกว่านั้น”
⸻
๓๒. เงื่อนไขจำเป็นของสัญญาเวทยิตนิโรธ (ตามพุทธวจน)
พระพุทธเจ้าตรัสชัดในหลายพระสูตรตรงกันว่า
สัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็เข้าถึงได้
ต้องมีคุณสมบัติครบ ๓ ประการพร้อมกัน
1. สิ้นราคะ โทสะ โมหะในระดับอนาคามี
2. เชี่ยวชาญฌานทั้ง ๘ (รูป–อรูป)
3. ไม่เหลือความอาศัยในเวทนาแม้ประณีตที่สุด
นี่คือเหตุผลที่
แผนภาพ “ต้องพาไปสุดที่สัตตบท ๓๖” ก่อน
ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจนิโรธผิดเป็นฌานหรืออุเบกขา
⸻
๓๓. ความต่างเด็ดขาดระหว่าง
“อุเบกขาเนกขัมมะ” กับ “สัญญาเวทยิตนิโรธ”
ประเด็น อุเบกขาเนกขัมมะ สัญญาเวทยิตนิโรธ
เวทนา ยังมี (เป็นกลาง) ดับ
สัญญา ยังมี ดับ
ผัสสะ ยังมี ดับ
วิญญาณ ยังอาศัย ไม่อาศัย
ภพ ยังเป็นสังขต ไม่ปรากฏภพ
ดังนั้น
นิโรธไม่ใช่อุเบกขาที่ละเอียดมาก
แต่คือ การดับของเครื่องรับรู้ทั้งหมด
⸻
๓๔. กลไกการเข้าถึงนิโรธ (อิงแผนภาพย้อนหลัง)
ถ้าย้อนดูแผนภาพทั้งหมด จะเห็นลำดับนี้ชัดมาก
1. ละโทมนัส → ไม่หวั่นไหว
2. ละโสมนัส → ไม่เพลิน
3. ละอุเบกขา → ไม่อาศัย
4. ละอายตนะ → ไม่กระทบ
5. ละผัสสะ → ไม่เกิดเวทนา
เมื่อ เหตุของเวทนาไม่เหลือ
สัญญาและเวทนา จึงดับพร้อมกัน
นี่คือจุดที่
แผนภาพ “ไม่มีลูกศรต่อ” อย่างแท้จริง
⸻
๓๕. นิโรธไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น “เครื่องยืนยัน”
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสรรเสริญนิโรธว่าเป็นที่สุด
แต่ทรงสรรเสริญว่า
“เป็นธรรมที่อริยสาวกผู้สิ้นอาสวะ
เข้าอยู่เป็นนิจ”
เหตุใดจึงสำคัญ
เพราะนิโรธเป็น พยาน ว่า
• อายตนะไม่เป็นที่อาศัยอีกต่อไป
• เวทนาไม่เป็นเหตุให้เกิดตัณหาอีก
• วิญญาณไม่ตั้งอยู่ในภพใด ๆ
⸻
๓๖. ออกจากนิโรธแล้วเกิดอะไรขึ้น
นี่คือจุดที่เข้าใจผิดมากที่สุด
เมื่อออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ
• ไม่ได้กลับมาเป็นปุถุชน
• ไม่ได้กลับมามีอัตตา
• ไม่ได้กลับมามีเวทนาแบบเดิม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อาสวะทั้งหลายของภิกษุนั้น
ย่อมสิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา”
กล่าวคือ
นิโรธไม่ทำให้สิ้นอาสวะ
แต่ผู้ที่อาสวะสิ้นแล้ว
จึง “เข้า–ออก” นิโรธได้
⸻
๓๗. เชื่อมกลับมโนปวิจาร ๑๘ อีกครั้ง (วงจรปิดสมบูรณ์)
เมื่ออาสวะสิ้น
มโนปวิจาร ๑๘ ไม่ถูกทำงานอีกต่อไป
ไม่ใช่เพราะ
“ไม่มีอารมณ์มากระทบ”
แต่เพราะ
“ไม่มีใจที่ไปปวิจารอารมณ์นั้น”
นี่คือความหมายลึกของ
อตัมมยตาโดยสมบูรณ์
⸻
๓๘. ภาวะของพระอรหันต์หลังแผนภาพทั้งหมด
พระอรหันต์
• ยังเห็น
• ยังได้ยิน
• ยังรู้เวทนา
แต่
• ไม่มีการจัดหมวด
• ไม่มีการเลือก
• ไม่มีการละ
• ไม่มีการใช้ธรรม
ธรรมทั้งหลาย
“เป็นไปตามเหตุ
ดับไปตามเหตุ”
⸻
๓๙. สรุปสุดท้าย (ปิดทั้งแผนภาพ)
แผนภาพนี้ ไม่ใช่แผนที่การปฏิบัติแบบเทคนิค
แต่คือ แผนที่การดับของความเป็นตัวตนอย่างเป็นระบบ
ลำดับทั้งหมดคือ
1. ละเวทนาหยาบ
2. ละเวทนาละเอียด
3. ละอุเบกขา
4. ละอายตนะ
5. ดับผัสสะ
6. ดับเวทนา
7. วิญญาณไม่ตั้ง
8. ภพไม่เกิด
ตรงตามพุทธพจน์สุดท้ายว่า
“สิ่งใดมีความเกิดเป็นธรรม
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรม”
#Siamstr #nostr #พุทธวจน #ธรรมะ
🪭ขงจื่อกับ “ความน่ากลัวดุจมังกร”
ภาพพรรณนาของ เหล่าจื่อ (และสายจ่วงจื่อ) จากคัมภีร์เต๋า
เรื่องที่ ขงจื่อ (孔子) กล่าวถึงบุคคลผู้ “น่ากลัวระดับมังกร” และ “ไม่อาจจับด้วยธรรมเนียมโลก” ปรากฏชัดที่สุดใน จวงจื่อ มิใช่ใน เต๋าเต๋อจิง โดยตรง เนื้อหานั้นเล่าถึงการที่ขงจื่อเข้าเฝ้า เหล่าจื่อ และเกิดความสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง จนต้องใช้ “มังกร” เป็นอุปมา
⸻
๑) ข้อความต้นฉบับจาก จวงจื่อ
(บท “เทียนเต้า 天道” ตามสำนวนคัมภีร์โบราณ)
孔子見老聃歸,三日不談。
弟子曰:「夫子何為不言?」
曰:「吾乃今於是乎見龍!龍,合而成體,散而成章;乘雲氣,遊乎陰陽;吾口張而不能合,舌舉而不能下。」
แปลไทย
ขงจื่อไปพบเหล่าจื่อ ครั้นกลับมาแล้วสามวันไม่กล่าวคำใด
ศิษย์ถามว่า “เหตุใดอาจารย์จึงนิ่งเงียบ?”
ขงจื่อตอบว่า
“วันนี้ข้าได้เห็น มังกร แล้ว
มังกรนั้น เมื่อรวมก็เป็นกายเดียว เมื่อกระจายก็กลายเป็นลวดลาย
มันขี่ไอเมฆ เที่ยวไปในหยินและหยาง
ปากข้าอ้าค้างแต่ปิดไม่ลง ลิ้นยกขึ้นแต่กดไม่ลง”
⸻
๒) “มังกร” ในความหมายเต๋า
มังกรในคัมภีร์เต๋า ไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่
• ดำรงอยู่เหนือกรอบ พิธี (禮) และ ศีลจารีต
• เคลื่อนไหวไปกับ เต๋า (道) อย่างเสรี
• ไม่ยึดรูป ไม่ยึดบทบาท ไม่ยึดคำสอนตายตัว
คำว่า
合而成體,散而成章
ชี้ถึงภาวะ รวม–กระจาย ตามกาล มิได้ติดรูปเดียว
ส่วน
遊乎陰陽
หมายถึงการอยู่เหนือคู่ตรงข้าม ดี–ชั่ว ถูก–ผิด แบบที่ขงจื่อใช้จัดระเบียบสังคม
⸻
๓) ความ “น่ากลัว” ในสายตาขงจื่อ
ความน่ากลัวของเหล่าจื่อ ไม่ใช่ความโหดร้าย แต่คือ
1. ไม่อยู่ในระบบพิธี
ขงจื่อสร้างโลกด้วย หลี่ (禮) – บทบาท หน้าที่ ประเพณี
แต่เหล่าจื่อ ไม่ยืนในตำแหน่งใดให้จับได้
2. ไม่ยึดภาษา
ขงจื่อสอนผ่านถ้อยคำ
เหล่าจื่อสื่อผ่าน “ความว่าง” และการไม่พูด
จึงเกิดภาวะ
吾口張而不能合,舌舉而不能下
คือ “ภาษาใช้ไม่ได้”
3. ไม่ยึดคุณธรรมแบบสอนกันได้
ในสายเต๋า คุณธรรมแท้ (德) เกิดเองเมื่อไม่ฝืน
ไม่ใช่สิ่งที่ปลูกฝังด้วยระเบียบ
⸻
๔) สายจวงจื่อ: ขยายภาพ “ผู้เหนือโลก”
จวงจื่อใช้เรื่องนี้เพื่อชี้ว่า แม้ ขงจื่อ ผู้เป็นสัญลักษณ์ของระเบียบโลก
เมื่อเผชิญ ผู้เป็นอิสระจากโลก ก็ต้องนิ่งงัน
ใน จวงจื่อ ยังมีแนวคิดสอดคล้องว่า
至人無己,神人無功,聖人無名
แปล:
“ผู้ถึงที่สุด ไม่มีตัวตน
ผู้วิเศษ ไม่ยึดผลงาน
ปราชญ์ ไม่ยึดชื่อเสียง”
นี่คือโลกเดียวกับ “มังกร” ที่ขงจื่อเห็น — โลกที่ ไม่มีจุดยืนให้ยึด
⸻
๕) สรุปเชิงปรัชญา
ภาพพรรณนานี้มิใช่การยกย่องหรือดูหมิ่น แต่คือ
• การปะทะกันของ ระเบียบ (儒) กับ เสรีภาพ (道)
• การยอมรับโดยนัยว่า เต๋าเป็นสิ่งที่ ภาษาและพิธีไปไม่ถึง
เหล่าจื่อในสายตาขงจื่อจึง “น่ากลัวดุจมังกร”
เพราะเขาไม่อยู่ในโลกที่ขงจื่อสามารถ “สอน จัด วาง และนิยาม” ได้
หากต้องการ ผมสามารถ
• เทียบข้อความฉบับจีนหลายสำนัก (ตัวอักษรต่างสมัย)
• วิเคราะห์เชิงอภิปรัชญา เปรียบกับสุญญตาในพุทธ
• หรือขยายเป็นบทความวิชาการยาวพร้อมเชิงอรรถ
บอกแนวที่อยากต่อได้เลยครับ 🐉
ต่อ: เสียงสะท้อนจาก จวงจื่อ — เมื่อ “พิธี” พังทลายต่อหน้าเต๋า
ต่อจากฉากที่ ขงจื่อ (孔子) นิ่งงันหลังพบ เหล่าจื่อ คัมภีร์ จวงจื่อ ยังขยายความ “ความน่ากลัวระดับมังกร” ผ่านถ้อยคำที่ โจมตีพิธี (禮) และ คุณธรรมที่ถูกทำให้เป็นกฎ อย่างตรงไปตรงมา
⸻
๖) เหล่าจื่อสอนขงจื่อ: พิธีคือซากแห่งเต๋า
(จวงจื่อ บท “เทียนเต้า 天道”)
老聃曰:
「夫禮者,忠信之薄,而亂之首也。」
แปลไทย
เหล่าจื่อกล่าวว่า
“พิธีนั้น เป็นเพียงความบางของความซื่อสัตย์
และเป็นจุดเริ่มต้นของความสับสน”
ประโยคนี้ รุนแรงยิ่ง ต่อหัวใจลัทธิขงจื่อ เพราะ
• หลี่ (禮) คือแกนของระเบียบสังคม
• แต่เต๋ากลับมองว่า เมื่อพิธีปรากฏ แปลว่า “ของแท้ได้เสื่อมไปแล้ว”
นี่คือเหตุผลที่ขงจื่อ “ไม่อาจโต้ตอบ” — เพราะฐานคิดทั้งสอง อยู่คนละภพ
⸻
๗) คุณธรรมที่ถูกบังคับ ≠ 德 แท้
(จวงจื่อ บทเดียวกัน)
「失道而後德,失德而後仁,失仁而後義,失義而後禮。」
แปลไทย
“เมื่อเต๋าสูญ จึงมีคุณธรรม
เมื่อคุณธรรมสูญ จึงมีเมตตา
เมื่อเมตตาสูญ จึงมีความชอบธรรม
เมื่อความชอบธรรมสูญ จึงมีพิธี”
ลำดับนี้คือ การรื้อถอนโครงสร้างศีลธรรมแบบขั้นบันได
ในสายตาเต๋า
• พิธี (禮) ไม่ใช่ยอดสูงสุด
• แต่คือ ชั้นล่างสุดของความเสื่อม
นี่เองที่ทำให้เหล่าจื่อ “ไม่ทำตามธรรมเนียม” — เพราะธรรมเนียมคือ ร่องรอยของการหลงลืมเต๋า
⸻
๘) ขงจื่อในบทบาท “ผู้ยังติดกรอบ”
จวงจื่อ มิได้ทำลายขงจื่อด้วยการดูหมิ่น
แต่ใช้ขงจื่อเป็น กระจกสะท้อนขีดจำกัดของปัญญาที่อิงระบบ
อีกตอนหนึ่ง ขงจื่อกล่าวกับศิษย์หลังพบเหล่าจื่อว่า
「鳥,吾知其能飛;魚,吾知其能游;獸,吾知其能走。走者可以為罔,游者可以為綸,飛者可以為矰。至於龍,吾不能知其乘風雲而上天。」
แปลไทย
“นก ข้ารู้ว่ามันบินได้
ปลา ข้ารู้ว่ามันว่ายได้
สัตว์ ข้ารู้ว่ามันวิ่งได้
สิ่งที่วิ่ง จับด้วยแห
สิ่งที่ว่าย จับด้วยเบ็ด
สิ่งที่บิน จับด้วยธนู
แต่เมื่อเป็นมังกร — ข้าไม่รู้เลยว่ามันขี่ลมเมฆขึ้นสู่ฟ้าอย่างไร”
นี่คือหัวใจของอุปมา “มังกร”
มังกร = สิ่งที่ไม่อาจถูก ‘จัดการ’ ด้วยเครื่องมือใดของโลก
⸻
๙) มังกร = ผู้ไม่อยู่ในศีลธรรมแบบสอน
ในสาย จวงจื่อ
• ผู้ถึงเต๋า ไม่สอนศีล
• ไม่ตั้งตนเป็นแบบอย่าง
• ไม่สร้างสาวก
จึงมีวรรคสำคัญว่า
「聖人不死,大盜不止。」
แปล:
“เมื่อยังมีนักบุญ ผู้ร้ายใหญ่ก็ไม่หยุด”
ความหมายคือ
การตั้ง ‘ความดี’ เป็นอุดมคติ คือการสร้างเงาของความชั่ว
มังกรจึง “น่ากลัว” เพราะเขา ไม่เข้าข้างแม้แต่ความดี
⸻
๑๐) บทสรุป: ความน่ากลัวที่ปลดปล่อย
สำหรับขงจื่อ
• โลกต้องมี ชื่อ
• มี บทบาท
• มี พิธี
สำหรับเต๋า
• ชื่อคือกรง
• บทบาทคือมายา
• พิธีคือซาก
ดังนั้น เหล่าจื่อ/จวงจื่อ จึงถูกพรรณนาว่า
น่ากลัวดุจมังกร
ไม่ใช่เพราะทำลายโลก
แต่เพราะ ไม่ร่วมเล่นเกมของโลกเลย
⸻
๑๑) การไม่รับตำแหน่ง = การทำลายโครงสร้างอำนาจ
ในโลกขงจื่อ มนุษย์ถูกกำหนดด้วย ชื่อและบทบาท (名分)
แต่ใน จวงจื่อ ผู้ถึงเต๋ากลับ “หลุดพ้นจากชื่อ”
「名者,實之賓也。」
แปล:
“ชื่อ เป็นเพียงแขกของความจริง”
ความจริง (實) ไม่ต้องการชื่อ
แต่รัฐ อยู่ไม่ได้หากไม่มีชื่อ
เพราะชื่อคือสิ่งที่จัดคนให้เชื่อฟัง
นี่คือเหตุผลเชิงลึกที่ “มังกร” น่ากลัว
เขาไม่รับตำแหน่ง
ไม่รับบท
ไม่รับคำเรียกใดให้ผูกมัด
⸻
๑๒) ปัญญาที่ไม่สอน = ปัญญาที่ควบคุมไม่ได้
ขงจื่อคือ ครู
เหล่าจื่อคือ ผู้ไม่ตั้งตนเป็นครู
ใน จวงจื่อ มีถ้อยคำที่กระทบ “การสั่งสอน” โดยตรง
「知者不言,言者不知。」
แปล:
“ผู้รู้ไม่พูด
ผู้พูดไม่รู้”
นี่ไม่ใช่การต่อต้านภาษาแบบผิวเผิน
แต่คือการทำลาย อำนาจของผู้ผูกขาดความหมาย
เมื่อไม่มีคำสอนตายตัว
→ ไม่มีศูนย์กลาง
→ ไม่มีลำดับชั้น
→ ไม่มีสถาบัน
มังกรจึง ไม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ
⸻
๑๓) อันตรายสูงสุด: การอยู่โดยไม่ต้อง “เป็นใคร”
จวงจื่อ พาผู้อ่านไปไกลกว่าศีลธรรม
ไปสู่การสลาย “ตัวตนผู้ปฏิบัติ”
「至人無己。」
แปล:
“ผู้ถึงที่สุด ไม่มีตัวตน”
ไม่มีตัวตน = ไม่มีสิ่งให้ควบคุม
ไม่มีอัตตา = ไม่มีแรงจูงใจให้รัฐต่อรอง
นี่คือเหตุผลที่ มังกรไม่อาจถูกเกณฑ์ ไม่อาจถูกซื้อ และไม่อาจถูกขู่
⸻
๑๔) ความฝันผีเสื้อ: โลกที่ความจริงไร้ศูนย์
ตอนอันโด่งดังที่สุดใน จวงจื่อ คือ “ผีเสื้อ”
「昔者莊周夢為胡蝶……不知周之夢為胡蝶與?胡蝶之夢為周與?」
แปล:
“ครั้งหนึ่งจวงโจวฝันว่าเป็นผีเสื้อ…
ไม่รู้ว่าโจวฝันเป็นผีเสื้อ
หรือผีเสื้อฝันเป็นโจว”
ตอนนี้เชื่อมตรงกับ “มังกร”
เพราะมันทำลาย ฐานคิดเรื่องตัวตนถาวร
ซึ่งเป็นรากของ
• ความรับผิด
• ความดี
• ความผิด
• การลงโทษ
โลกแบบนี้ ปกครองไม่ได้
⸻
๑๕) ขงจื่อจึง “เงียบ” — ไม่ใช่แพ้ แต่รู้ขอบเขต
การที่ขงจื่อกลับมาแล้ว “สามวันไม่พูด”
ไม่ใช่ความพ่ายแพ้เชิงปัญญา
แต่คือการเผชิญ ขอบเขตของระบบตนเอง
พิธี → ใช้กับผู้มีบทบาท
ศีล → ใช้กับผู้มีอัตตา
ภาษา → ใช้กับผู้ยอมรับความหมายร่วม
แต่เมื่อพบผู้ที่
• ไม่ยึดบทบาท
• ไม่ตั้งอัตตา
• ไม่อยู่ในภาษา
ขงจื่อจึงทำได้เพียง นิ่ง
⸻
๑๖) สรุปสุดท้าย: มังกรคือเสรีภาพที่ไม่อาจสถาปนา
“มังกร” ใน จวงจื่อ คือ
• เสรีภาพที่ไม่กลายเป็นอุดมการณ์
• ปัญญาที่ไม่กลายเป็นหลักสูตร
• ความจริงที่ไม่กลายเป็นศาสนา
และนั่นเอง
ทำให้มัน “น่ากลัว”
สำหรับโลกที่ต้องพึ่งกฎ ระเบียบ และความหมายร่วม
⸻
๑๗) การไม่ต่อต้าน = การทำให้รัฐไร้ศัตรู
รัฐจัดการ “ศัตรู” ได้
แต่จัดการ ผู้ไม่เล่นเกม ไม่ได้
ใน จวงจื่อ มีวรรคที่สะเทือนอำนาจรัฐอย่างเงียบงัน
「不仕無義。」
แปลตรงตัว:
“ไม่รับราชการ มิใช่ว่าไร้คุณธรรม”
ประโยคนี้ทำลายสมมติฐานหลักของรัฐโบราณจีนว่า
คนดี = ต้องรับใช้รัฐ
มังกรจึงน่ากลัว เพราะ
• ไม่รับตำแหน่ง
• แต่ก็ไม่ต่อต้าน
• จึงไม่มีข้ออ้างให้กำจัด
⸻
๑๘) บทสนทนากับกะโหลก: การล่มสลายของคุณค่าโลก
ตอนหนึ่งที่ลึกและเย็นเยียบที่สุดใน จวงจื่อ คือ “กะโหลก”
「死,無君於上,無臣於下;亦無四時之事。」
แปล:
“ความตาย — ไม่มีเจ้านายอยู่เหนือ
ไม่มีขุนนางอยู่ใต้
ไม่มีภาระของฤดูกาลทั้งสี่”
กะโหลกหัวเราะเยาะโลกของตำแหน่ง เกียรติ และหน้าที่
นี่คือ เสรีภาพแบบที่แม้ความเป็น–ความตายก็เอาไม่อยู่
มังกรในความหมายนี้
ไม่กลัวเสียชื่อ
ไม่กลัวตาย
จึงไม่อาจถูกข่มขู่
⸻
๑๙) การปกครองด้วยเต๋า = การไม่ปกครอง
แนวคิดนี้เชื่อมตรงกับ เต๋าเต๋อจิง แต่ จวงจื่อ ทำให้มัน “สุดทาง”
「無為而治。」
แปล:
“ไม่กระทำ แต่สำเร็จการปกครอง”
ทว่า จวงจื่อ แยบคายยิ่งกว่า — เขาถามกลับว่า
หากมีผู้ไม่ต้องการถูกปกครองเลยเล่า?
มังกรคือคำตอบนั้น
เขาไม่ได้เรียกร้องอำนาจ
แต่ทำให้อำนาจ ไร้ความจำเป็น
⸻
๒๐) เหล่าจื่อในสายตาขงจื่อ: ความจริงที่สอนไม่ได้
เมื่อย้อนกลับไปยังฉากตั้งต้น
ขงจื่อกล่าวว่า
「吾口張而不能合,舌舉而不能下。」
นี่ไม่ใช่เพียงความประทับใจ
แต่คือการยอมรับว่า
มีความจริงบางชนิด ที่ระบบการสอนทั้งระบบเข้าไม่ถึง
เหล่าจื่อ/มังกร
• ไม่สร้างลัทธิ
• ไม่สร้างศิษย์
• ไม่สร้างคำสอนตายตัว
และเพราะเหตุนี้
เขาจึงไม่ทิ้งมรดกให้รัฐใช้
⸻
๒๑) บทสรุปสุดท้าย: มังกรคือ “อิสรภาพที่ไม่ตกผลึก”
หากสรุปทุกชั้นของ จวงจื่อ เราจะได้ว่า
• ขงจื่อ = โลกของรูปแบบ ความต่อเนื่อง และการสืบทอด
• เหล่าจื่อ / มังกร = โลกของการไหล การสลาย และการไม่ยึด
มังกรน่ากลัว
ไม่ใช่เพราะทรงพลัง
แต่เพราะ
ไม่ยอมกลายเป็นอะไรเลยที่โลกจะใช้ประโยชน์ได้
เขา
• ไม่เป็นครู
• ไม่เป็นนักบุญ
• ไม่เป็นกบฏ
• ไม่เป็นนักปฏิรูป
เขาเพียง เป็นไปตามเต๋า
และหายไปในเมฆ
#Siamstr #nostr #Zhuangzi