⚠️เคราะห์ร้ายอันใหญ่หลวงของคนพาล
การพิจารณานรก กรรม และความหลงผิด
(อิงพุทธวจนจากพระไตรปิฎก)
⸻
๑. “ความเป็นมนุษย์” มิใช่สิ่งได้มาง่าย
พระพุทธเจ้าทรงใช้อุปมาที่รุนแรงและแม่นยำที่สุดบทหนึ่งในพระไตรปิฎก คือ อุปมาเต่าตาบอดกับแอกมีรูเดียว
เต่าตาบอดในมหาสมุทร
โผล่ขึ้นหนึ่งครั้งในร้อยปี
จะเอาคอสวมแอกที่ถูกลมพัดไปทุกทิศ
พระองค์ตรัสชัดว่า
“เต่าตาบอดนั้นยังจะเอาคอสวมแอกได้เร็วกว่าที่
คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตแล้ว จะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก”
สาระสำคัญไม่ใช่ตัวเลข
แต่คือการตอกย้ำว่า
การเกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่สภาพปกติของสังสารวัฏ
มนุษย์คือ ภพที่ต้องอาศัยเหตุละเอียดมาก
คือ ศีล กุศล เจตนา และความไม่ประมาท
⸻
๒. คนพาล: นิยามตามพุทธวจน (ไม่ใช่คำด่า)
พระพุทธเจ้า นิยาม “คนพาล” อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เชิงอารมณ์
ลักษณะ ๓ ประการ:
1. มักคิดชั่ว (มโนทุจริต)
2. มักพูดชั่ว (วจีทุจริต)
3. มักทำชั่ว (กายทุจริต)
ถ้าไม่มี ๓ ข้อนี้
บัณฑิตย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นคนพาล
ดังนั้น
คนพาลไม่ได้วัดจากฐานะ ความรู้ หรืออาชีพ
แต่วัดจาก แนวโน้มของจิต และ ความเคยชินของกรรม
⸻
๓. ทุกข์ ๓ ชั้นของคนพาล (ยังไม่ตายก็เริ่มแล้ว)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
คนพาล เสวยทุกข์ ๓ ชั้น ตั้งแต่ยังมีชีวิต
(๑) ทุกข์จากความละอายและหวาดระแวง
เห็นคนอื่นถูกลงโทษ
จิตย้อนมองตนเอง → “ธรรมเหล่านี้มีอยู่ในเรา”
(๒) ทุกข์จากความกลัวผลกรรม
เห็นโทษของกรรมในโลก
จิตไม่สงบ เพราะรู้ว่าตนทำเหตุเดียวกัน
(๓) ทุกข์จากกรรมที่ปกคลุมจิตเมื่อใกล้ตาย
กรรมเก่าครอบงำจิต
เหมือนเงาภูเขาบังแผ่นดินยามเย็น
“เราไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำเครื่องป้องกันความกลัวไว้เลย”
นี่คือ ทุกข์เชิงจิตวิทยาเชิงลึกที่สุด
ที่ไม่มีใครช่วยแทนได้
⸻
๔. ความเห็นผิด = ปฏิปทาสู่นรก
พระสูตรเรื่อง นักเต้นรำ และ นักรบอาชีพ
ไม่ได้ประณามอาชีพ
แต่ประณาม ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)
แก่นของคำสอนคือ
การกระตุ้นราคะ โทสะ โมหะ
โดยตนเองประมาท และทำให้ผู้อื่นประมาท
เป็นเหตุแห่งนรก
อันตรายที่สุดคือ การทำบาปแล้วคิดว่าตนทำบุญ
“ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมไปสู่นรกชื่อปหาสะ / สรชิต”
และพระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนมากว่า
ผู้มีความเห็นผิด
เรากล่าวคติไว้เพียงสองอย่าง
คือ นรก หรือ เดรัจฉาน
ไม่มี “ทางสายกลาง” สำหรับมิจฉาทิฏฐิ
⸻
๕. เทวทัต: ตัวอย่างของการพินาศเพราะอสัทธรรม
เทวทัต ไม่ใช่คนชั่วธรรมดา
แต่เป็นผู้:
• ใกล้พระพุทธเจ้า
• มีฌาน
• มีฤทธิ์
• มีสาวก
แต่ล่มเพราะ อสัทธรรม ๓ ประการ
1. ความปรารถนาเลว
2. มิตรชั่ว
3. หยุดกลางทางเพราะสำคัญตนว่าพอแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสแรงมากว่า
“ตั้งอยู่ในนรกตลอดกัป เยียวยาไม่ได้”
นี่คือคำเตือนต่อ ผู้ปฏิบัติธรรมทุกยุค
ว่าภัยร้ายที่สุดไม่ใช่กิเลสหยาบ
แต่คือ ความสำคัญตนผิดในธรรม
⸻
๖. อุปมานรก: เพื่อให้ “สติ” ไม่ใช่เพื่อข่มขู่
อุปมาหอก ๓๐๐ เล่ม
และการเทียบกับภูเขาหิมพานต์
ไม่ได้มีเป้าหมายให้กลัว
แต่เพื่อให้ ตัดความประมาท
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“เพียงเท่านี้แม้จะเปรียบ
ก็ยังไม่ถึงส่วนแห่งเสี้ยวของทุกข์ในนรก”
กล่าวคือ
ทุกข์ในนรกไม่ใช่สิ่งที่จิตมนุษย์จะจินตนาการได้ครบ
⸻
๗. แก่นแท้ของพุทธวจนชุดนี้
ถ้าสรุปด้วยถ้อยคำเดียว:
นรกไม่ได้เริ่มหลังตาย
แต่มันเริ่มทันทีที่จิตตั้งอยู่ในทุจริตและมิจฉาทิฏฐิ
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนด้วยความโกรธ
แต่ด้วยความกรุณาอย่างที่สุด
เพราะพระองค์ “เห็นผลแล้ว”
⸻
บทสรุป
พุทธวจนทั้งหมดนี้
ไม่ใช่เพื่อให้เกลียดโลก
แต่เพื่อให้ หยุดประมาทในโลก
ความเป็นมนุษย์ = โอกาสอันประเสริฐยิ่ง
การเสียโอกาสนี้ = เคราะห์ร้ายอันใหญ่หลวงที่สุด
⸻
อุปมาความทุกข์ในนรก
อิงพระสูตร อุปริ.ม. ๑๔/๓๑๑–๓๑๕
(เรียบเรียงครบทุกข้อที่ปรากฏ)
⸻
๑. หอกสามร้อยเล่ม (การเจ็บปวดซ้ำซ้อนโดยไม่ตาย)
พระราชาสั่งให้
• เช้า: แทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม
• กลางวัน: แทงอีก ๑๐๐ เล่ม
• เย็น: แทงอีก ๑๐๐ เล่ม
แต่ ไม่ตาย
พระพุทธเจ้าถามว่า
ทุกข์จากหอก ๓๐๐ เล่มนี้มากไหม?
คำตอบคือ
แค่หอกเล่มเดียวก็สุดจะทนแล้ว
แล้วพระองค์ทรงสรุปว่า
ทุกข์นี้
เมื่อเทียบกับทุกข์ในนรก
ยังไม่ถึงแม้เศษเสี้ยว
แก่นอุปมา
• ทุกข์ในนรก = ทุกข์ที่ ไม่จบด้วยความตาย
• ไม่มี “หมดแรงแล้วพอ”
• ไม่มี “ชิน”
⸻
๒. แผ่นหินเท่าฝ่ามือ กับ ภูเขาหิมพานต์
พระพุทธเจ้าทรงถือหินเล็ก ๆ แล้วถามว่า
อะไรใหญ่กว่ากัน ระหว่างหินนี้กับภูเขาหิมพานต์
คำตอบคือ
เทียบกันไม่ได้เลย
แล้วตรัสว่า
ทุกข์จากหอก ๓๐๐ เล่ม
เมื่อเทียบกับนรก
ก็เหมือนหินเล็กเทียบภูเขาหิมพานต์
แก่นอุปมา
• ทุกข์ในนรก ไม่อยู่ในสเกลเดียวกับทุกข์มนุษย์
• การเอาประสบการณ์โลกไปคาดเดานรก = ผิดสเกล
⸻
๓. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม (การทำลายศีรษะและสติ)
ลักษณะ:
• เปิดกะโหลก
• ใส่โลหะร้อน
• สมองพลุ่งเหมือนหม้อเดือด
แก่นอุปมา
• สติแตกทำลายโดยตรง
• ความรู้สึกถูกเผาจาก “ภายใน”
• ไม่ใช่แค่เจ็บกาย แต่จิตแตกซ่าน
⸻
๔. ขอดสังข์ (ลอกหนัง–ขัดกระโหลก)
ลักษณะ:
• ลอกหนังศีรษะออกทั้งผืน
• ขัดด้วยกรวดจนขาวเหมือนสังข์
แก่นอุปมา
• การถูกเปิดโปงโดยไม่มีอะไรปกปิด
• กรรมเปลือยเปล่า ไม่มีที่หลบ
⸻
๕. ปากราหู (ฉีกปาก–เผาภายใน)
ลักษณะ:
• แหวะปากจนถึงหู
• ใส่ไฟหรือของร้อนในปาก
แก่นอุปมา
• วจีทุจริตย้อนกลับมาทำลาย
• คำพูดเป็นเหตุแห่งทุกข์โดยตรง
⸻
๖. มาลัยไฟ (เผาทั้งกาย)
ลักษณะ:
• พันผ้าชุบน้ำมัน
• จุดไฟเผาทั้งตัว
แก่นอุปมา
• ราคะ–โทสะ–โมหะ ที่เคย “ล้อมกาย”
กลายเป็นไฟเผาตนเอง
⸻
๗. คบมือ (เผานิ้วทั้งสิบ)
ลักษณะ:
• พันนิ้วด้วยผ้าชุบน้ำมัน
• จุดไฟ
แก่นอุปมา
• กรรมที่ทำด้วย “มือ”
• การกระทำย้อนสนองเป็นจุด ๆ ไม่มีหลุด
⸻
๘. ริ้วส่าย (เฉือนเป็นริ้วให้เดินเหยียบเนื้อตนเอง)
ลักษณะ:
• เฉือนเนื้อเป็นริ้ว ไม่ให้ขาด
• ให้เดินเหยียบเนื้อตนเอง
แก่นอุปมา
• ผลของการเบียดเบียนผู้อื่น
• ต้องอยู่กับผลกรรมที่ตนสร้างทุกย่างก้าว
⸻
๙. นุ่งเปลือกไม้ (ลอกหนังให้คลุมเหมือนผ้า)
ลักษณะ:
• ลอกหนังเป็นริ้ว
• ห้อยคลุมกายเหมือนนุ่งผ้า
แก่นอุปมา
• สิ่งที่เคยใช้ประดับตน (ตัวตน ภาพลักษณ์)
กลายเป็นเครื่องทรมาน
⸻
๑๐. ยืนกวาง (ตรึงแล้วลนไฟ)
ลักษณะ:
• ตรึงแขนขา
• ลนไฟรอบตัว
แก่นอุปมา
• ความดิ้นรนไร้ทางหนี
• ผลของการกักขังผู้อื่น
⸻
๑๑. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด (เกี่ยวเนื้อออกทีละชิ้น)
ลักษณะ:
• เกี่ยวเนื้อ หนัง เอ็น ออกทีละส่วน
แก่นอุปมา
• กรรมที่กัดกินทีละน้อย
• ไม่จบ ไม่ขาด ไม่ตาย
⸻
๑๒. เหรียญกษาปณ์ (เชือดเนื้อออกทีละตำลึง)
ลักษณะ:
• ตัดเนื้อออกตามหน่วย
• จนหมดร่าง
แก่นอุปมา
• โลภะที่เคย “นับ”
• กลายเป็นการถูก “นับทำลาย”
⸻
๑๓. แปรงแสบ (แล่–ขูดจนเหลือกระดูก)
ลักษณะ:
• แล่ สับ ขูด
• ลอกเนื้อจนเหลือแต่กระดูก
แก่นอุปมา
• กรรมที่ทำให้ผู้อื่นถูกขูดรีด
• ตนเองถูกขูดรีดจนไม่เหลืออะไร
⸻
๑๔. กางเวียน (ตอกหลาวแล้วหมุนร่าง)
ลักษณะ:
• ตอกหลาวตรึง
• หมุนร่างเหมือนกังหัน
แก่นอุปมา
• วัฏจักรกรรมที่หมุนซ้ำ
• ไม่มีจุดหยุด
⸻
๑๕. ตั่งฟาง (ทุบกระดูกให้แหลก)
ลักษณะ:
• ทุบกระดูก
• รวมร่างเป็นกอง
แก่นอุปมา
• ความเป็น “ตัวตน” ถูกย่อยจนไม่เหลือรูปเดิม
⸻
๑๖. ราดน้ำมันเดือด
ลักษณะ:
• น้ำมันเดือดราดจากศีรษะ
แก่นอุปมา
• ทุกข์ไหลลงครอบคลุมทั้งหมด
• ไม่มีส่วนใดหลีกพ้น
⸻
๑๗. ให้สุนัขทึ้ง
ลักษณะ:
• ปล่อยสุนัขอดอยาก
• กัดกินจนเหลือกระดูก
แก่นอุปมา
• การตกเป็นเหยื่อของกิเลสที่ตนเลี้ยงไว้
⸻
๑๘. หลาวทั้งเป็น
ลักษณะ:
• นอนหงายบนหลาว
• ยังมีชีวิต
แก่นอุปมา
• ความเจ็บที่ไม่จบ
• ไม่อาจดิ้นหนี
⸻
๑๙. ตัดศีรษะ
ลักษณะ:
• ตัดหัว
แต่ในนรก ไม่จบด้วยความตาย
แก่นอุปมา
• ความตายไม่ใช่ทางออก
⸻
บทสรุปสุดท้ายของอุปมาทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
แม้อุปมาเหล่านี้ทั้งหมด
ก็ยังไม่ง่ายที่จะเปรียบให้ถึงนรก
ดังนั้น
อุปมาไม่ได้มีไว้ให้จินตนาการเพลิดเพลิน
แต่มีไว้ให้ จิตหยุดประมาททันที
นรกไม่ใช่เรื่องไกล
แต่เป็นผลของโครงสร้างจิต
ที่ยังไม่ละทุจริตและมิจฉาทิฏฐิ
#Siamstr #nostr #ธรรมะ #พุทธวจนThread
⚠️เคราะห์ร้ายอันใหญ่หลวงของคนพาล
การพิจารณานรก กรรม และความหลงผิด
(อิงพุทธวจนจากพระไตรปิฎก)
⸻
๑. “ความเป็นมนุษย์” มิใช่สิ่งได้มาง่าย
พระพุทธเจ้าทรงใช้อุปมาที่รุนแรงและแม่นยำที่สุดบทหนึ่งในพระไตรปิฎก คือ อุปมาเต่าตาบอดกับแอกมีรูเดียว
เต่าตาบอดในมหาสมุทร
โผล่ขึ้นหนึ่งครั้งในร้อยปี
จะเอาคอสวมแอกที่ถูกลมพัดไปทุกทิศ
พระองค์ตรัสชัดว่า
“เต่าตาบอดนั้นยังจะเอาคอสวมแอกได้เร็วกว่าที่
คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตแล้ว จะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก”
สาระสำคัญไม่ใช่ตัวเลข
แต่คือการตอกย้ำว่า
การเกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่สภาพปกติของสังสารวัฏ
มนุษย์คือ ภพที่ต้องอาศัยเหตุละเอียดมาก
คือ ศีล กุศล เจตนา และความไม่ประมาท
⸻
๒. คนพาล: นิยามตามพุทธวจน (ไม่ใช่คำด่า)
พระพุทธเจ้า นิยาม “คนพาล” อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เชิงอารมณ์
ลักษณะ ๓ ประการ:
1. มักคิดชั่ว (มโนทุจริต)
2. มักพูดชั่ว (วจีทุจริต)
3. มักทำชั่ว (กายทุจริต)
ถ้าไม่มี ๓ ข้อนี้
บัณฑิตย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นคนพาล
ดังนั้น
คนพาลไม่ได้วัดจากฐานะ ความรู้ หรืออาชีพ
แต่วัดจาก แนวโน้มของจิต และ ความเคยชินของกรรม
⸻
๓. ทุกข์ ๓ ชั้นของคนพาล (ยังไม่ตายก็เริ่มแล้ว)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
คนพาล เสวยทุกข์ ๓ ชั้น ตั้งแต่ยังมีชีวิต
(๑) ทุกข์จากความละอายและหวาดระแวง
เห็นคนอื่นถูกลงโทษ
จิตย้อนมองตนเอง → “ธรรมเหล่านี้มีอยู่ในเรา”
(๒) ทุกข์จากความกลัวผลกรรม
เห็นโทษของกรรมในโลก
จิตไม่สงบ เพราะรู้ว่าตนทำเหตุเดียวกัน
(๓) ทุกข์จากกรรมที่ปกคลุมจิตเมื่อใกล้ตาย
กรรมเก่าครอบงำจิต
เหมือนเงาภูเขาบังแผ่นดินยามเย็น
“เราไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำเครื่องป้องกันความกลัวไว้เลย”
นี่คือ ทุกข์เชิงจิตวิทยาเชิงลึกที่สุด
ที่ไม่มีใครช่วยแทนได้
⸻
๔. ความเห็นผิด = ปฏิปทาสู่นรก
พระสูตรเรื่อง นักเต้นรำ และ นักรบอาชีพ
ไม่ได้ประณามอาชีพ
แต่ประณาม ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)
แก่นของคำสอนคือ
การกระตุ้นราคะ โทสะ โมหะ
โดยตนเองประมาท และทำให้ผู้อื่นประมาท
เป็นเหตุแห่งนรก
อันตรายที่สุดคือ การทำบาปแล้วคิดว่าตนทำบุญ
“ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมไปสู่นรกชื่อปหาสะ / สรชิต”
และพระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนมากว่า
ผู้มีความเห็นผิด
เรากล่าวคติไว้เพียงสองอย่าง
คือ นรก หรือ เดรัจฉาน
ไม่มี “ทางสายกลาง” สำหรับมิจฉาทิฏฐิ
⸻
๕. เทวทัต: ตัวอย่างของการพินาศเพราะอสัทธรรม
เทวทัต ไม่ใช่คนชั่วธรรมดา
แต่เป็นผู้:
• ใกล้พระพุทธเจ้า
• มีฌาน
• มีฤทธิ์
• มีสาวก
แต่ล่มเพราะ อสัทธรรม ๓ ประการ
1. ความปรารถนาเลว
2. มิตรชั่ว
3. หยุดกลางทางเพราะสำคัญตนว่าพอแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสแรงมากว่า
“ตั้งอยู่ในนรกตลอดกัป เยียวยาไม่ได้”
นี่คือคำเตือนต่อ ผู้ปฏิบัติธรรมทุกยุค
ว่าภัยร้ายที่สุดไม่ใช่กิเลสหยาบ
แต่คือ ความสำคัญตนผิดในธรรม
⸻
๖. อุปมานรก: เพื่อให้ “สติ” ไม่ใช่เพื่อข่มขู่
อุปมาหอก ๓๐๐ เล่ม
และการเทียบกับภูเขาหิมพานต์
ไม่ได้มีเป้าหมายให้กลัว
แต่เพื่อให้ ตัดความประมาท
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
“เพียงเท่านี้แม้จะเปรียบ
ก็ยังไม่ถึงส่วนแห่งเสี้ยวของทุกข์ในนรก”
กล่าวคือ
ทุกข์ในนรกไม่ใช่สิ่งที่จิตมนุษย์จะจินตนาการได้ครบ
⸻
๗. แก่นแท้ของพุทธวจนชุดนี้
ถ้าสรุปด้วยถ้อยคำเดียว:
นรกไม่ได้เริ่มหลังตาย
แต่มันเริ่มทันทีที่จิตตั้งอยู่ในทุจริตและมิจฉาทิฏฐิ
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนด้วยความโกรธ
แต่ด้วยความกรุณาอย่างที่สุด
เพราะพระองค์ “เห็นผลแล้ว”
⸻
บทสรุป
พุทธวจนทั้งหมดนี้
ไม่ใช่เพื่อให้เกลียดโลก
แต่เพื่อให้ หยุดประมาทในโลก
ความเป็นมนุษย์ = โอกาสอันประเสริฐยิ่ง
การเสียโอกาสนี้ = เคราะห์ร้ายอันใหญ่หลวงที่สุด
⸻
อุปมาความทุกข์ในนรก
อิงพระสูตร อุปริ.ม. ๑๔/๓๑๑–๓๑๕
(เรียบเรียงครบทุกข้อที่ปรากฏ)
⸻
๑. หอกสามร้อยเล่ม (การเจ็บปวดซ้ำซ้อนโดยไม่ตาย)
พระราชาสั่งให้
• เช้า: แทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม
• กลางวัน: แทงอีก ๑๐๐ เล่ม
• เย็น: แทงอีก ๑๐๐ เล่ม
แต่ ไม่ตาย
พระพุทธเจ้าถามว่า
ทุกข์จากหอก ๓๐๐ เล่มนี้มากไหม?
คำตอบคือ
แค่หอกเล่มเดียวก็สุดจะทนแล้ว
แล้วพระองค์ทรงสรุปว่า
ทุกข์นี้
เมื่อเทียบกับทุกข์ในนรก
ยังไม่ถึงแม้เศษเสี้ยว
แก่นอุปมา
• ทุกข์ในนรก = ทุกข์ที่ ไม่จบด้วยความตาย
• ไม่มี “หมดแรงแล้วพอ”
• ไม่มี “ชิน”
⸻
๒. แผ่นหินเท่าฝ่ามือ กับ ภูเขาหิมพานต์
พระพุทธเจ้าทรงถือหินเล็ก ๆ แล้วถามว่า
อะไรใหญ่กว่ากัน ระหว่างหินนี้กับภูเขาหิมพานต์
คำตอบคือ
เทียบกันไม่ได้เลย
แล้วตรัสว่า
ทุกข์จากหอก ๓๐๐ เล่ม
เมื่อเทียบกับนรก
ก็เหมือนหินเล็กเทียบภูเขาหิมพานต์
แก่นอุปมา
• ทุกข์ในนรก ไม่อยู่ในสเกลเดียวกับทุกข์มนุษย์
• การเอาประสบการณ์โลกไปคาดเดานรก = ผิดสเกล
⸻
๓. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม (การทำลายศีรษะและสติ)
ลักษณะ:
• เปิดกะโหลก
• ใส่โลหะร้อน
• สมองพลุ่งเหมือนหม้อเดือด
แก่นอุปมา
• สติแตกทำลายโดยตรง
• ความรู้สึกถูกเผาจาก “ภายใน”
• ไม่ใช่แค่เจ็บกาย แต่จิตแตกซ่าน
⸻
๔. ขอดสังข์ (ลอกหนัง–ขัดกระโหลก)
ลักษณะ:
• ลอกหนังศีรษะออกทั้งผืน
• ขัดด้วยกรวดจนขาวเหมือนสังข์
แก่นอุปมา
• การถูกเปิดโปงโดยไม่มีอะไรปกปิด
• กรรมเปลือยเปล่า ไม่มีที่หลบ
⸻
๕. ปากราหู (ฉีกปาก–เผาภายใน)
ลักษณะ:
• แหวะปากจนถึงหู
• ใส่ไฟหรือของร้อนในปาก
แก่นอุปมา
• วจีทุจริตย้อนกลับมาทำลาย
• คำพูดเป็นเหตุแห่งทุกข์โดยตรง
⸻
๖. มาลัยไฟ (เผาทั้งกาย)
ลักษณะ:
• พันผ้าชุบน้ำมัน
• จุดไฟเผาทั้งตัว
แก่นอุปมา
• ราคะ–โทสะ–โมหะ ที่เคย “ล้อมกาย”
กลายเป็นไฟเผาตนเอง
⸻
๗. คบมือ (เผานิ้วทั้งสิบ)
ลักษณะ:
• พันนิ้วด้วยผ้าชุบน้ำมัน
• จุดไฟ
แก่นอุปมา
• กรรมที่ทำด้วย “มือ”
• การกระทำย้อนสนองเป็นจุด ๆ ไม่มีหลุด
⸻
๘. ริ้วส่าย (เฉือนเป็นริ้วให้เดินเหยียบเนื้อตนเอง)
ลักษณะ:
• เฉือนเนื้อเป็นริ้ว ไม่ให้ขาด
• ให้เดินเหยียบเนื้อตนเอง
แก่นอุปมา
• ผลของการเบียดเบียนผู้อื่น
• ต้องอยู่กับผลกรรมที่ตนสร้างทุกย่างก้าว
⸻
๙. นุ่งเปลือกไม้ (ลอกหนังให้คลุมเหมือนผ้า)
ลักษณะ:
• ลอกหนังเป็นริ้ว
• ห้อยคลุมกายเหมือนนุ่งผ้า
แก่นอุปมา
• สิ่งที่เคยใช้ประดับตน (ตัวตน ภาพลักษณ์)
กลายเป็นเครื่องทรมาน
⸻
๑๐. ยืนกวาง (ตรึงแล้วลนไฟ)
ลักษณะ:
• ตรึงแขนขา
• ลนไฟรอบตัว
แก่นอุปมา
• ความดิ้นรนไร้ทางหนี
• ผลของการกักขังผู้อื่น
⸻
๑๑. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด (เกี่ยวเนื้อออกทีละชิ้น)
ลักษณะ:
• เกี่ยวเนื้อ หนัง เอ็น ออกทีละส่วน
แก่นอุปมา
• กรรมที่กัดกินทีละน้อย
• ไม่จบ ไม่ขาด ไม่ตาย
⸻
๑๒. เหรียญกษาปณ์ (เชือดเนื้อออกทีละตำลึง)
ลักษณะ:
• ตัดเนื้อออกตามหน่วย
• จนหมดร่าง
แก่นอุปมา
• โลภะที่เคย “นับ”
• กลายเป็นการถูก “นับทำลาย”
⸻
๑๓. แปรงแสบ (แล่–ขูดจนเหลือกระดูก)
ลักษณะ:
• แล่ สับ ขูด
• ลอกเนื้อจนเหลือแต่กระดูก
แก่นอุปมา
• กรรมที่ทำให้ผู้อื่นถูกขูดรีด
• ตนเองถูกขูดรีดจนไม่เหลืออะไร
⸻
๑๔. กางเวียน (ตอกหลาวแล้วหมุนร่าง)
ลักษณะ:
• ตอกหลาวตรึง
• หมุนร่างเหมือนกังหัน
แก่นอุปมา
• วัฏจักรกรรมที่หมุนซ้ำ
• ไม่มีจุดหยุด
⸻
๑๕. ตั่งฟาง (ทุบกระดูกให้แหลก)
ลักษณะ:
• ทุบกระดูก
• รวมร่างเป็นกอง
แก่นอุปมา
• ความเป็น “ตัวตน” ถูกย่อยจนไม่เหลือรูปเดิม
⸻
๑๖. ราดน้ำมันเดือด
ลักษณะ:
• น้ำมันเดือดราดจากศีรษะ
แก่นอุปมา
• ทุกข์ไหลลงครอบคลุมทั้งหมด
• ไม่มีส่วนใดหลีกพ้น
⸻
๑๗. ให้สุนัขทึ้ง
ลักษณะ:
• ปล่อยสุนัขอดอยาก
• กัดกินจนเหลือกระดูก
แก่นอุปมา
• การตกเป็นเหยื่อของกิเลสที่ตนเลี้ยงไว้
⸻
๑๘. หลาวทั้งเป็น
ลักษณะ:
• นอนหงายบนหลาว
• ยังมีชีวิต
แก่นอุปมา
• ความเจ็บที่ไม่จบ
• ไม่อาจดิ้นหนี
⸻
๑๙. ตัดศีรษะ
ลักษณะ:
• ตัดหัว
แต่ในนรก ไม่จบด้วยความตาย
แก่นอุปมา
• ความตายไม่ใช่ทางออก
⸻
บทสรุปสุดท้ายของอุปมาทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
แม้อุปมาเหล่านี้ทั้งหมด
ก็ยังไม่ง่ายที่จะเปรียบให้ถึงนรก
ดังนั้น
อุปมาไม่ได้มีไว้ให้จินตนาการเพลิดเพลิน
แต่มีไว้ให้ จิตหยุดประมาททันที
นรกไม่ใช่เรื่องไกล
แต่เป็นผลของโครงสร้างจิต
ที่ยังไม่ละทุจริตและมิจฉาทิฏฐิ
#Siamstr #nostr #ธรรมะ #พุทธวจน
Login to reply
Replies ()
No replies yet. Be the first to leave a comment!