“มึงเอาเงินเก็บไปเทรดทำไมวะ”
“กูไม่อยากให้เงินมันเสื่อมค่าลง เงินเดือนขึ้นไม่ถึงพันแต่ของแพงขึ้นทุกวันไม่เห็นเหรอ”
!(image)[https://image.nostr.build/22bad3caa4cca2a214415b0566e50f1459a0988fb39b7cb836716de6c134f1a8.png]
เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ “บาส” เขาเป็นพนักงานกราฟิกธรรมดา ไม่ได้โลภ ไม่ได้หวังรวยทางลัด เขาแค่รู้สึกว่าเงินที่เก็บไว้ในบัญชี มันหายไปทุกเดือน ทั้งที่ยังไม่ได้ใช้ เก็บเงินยังไงก็รู้สึกไม่มั่นคง
บาสเลยเริ่มศึกษาการลงทุนแบบจริงจัง ไปดูคลิปยูทูบ ไปลงคอร์สออนไลน์ เข้า Discord ศึกษาเทคนิคการเทรดอย่างจริงจัง
เขาเริ่มต้นด้วยเงินเก็บ 78,000 บาท ที่สะสมมาจากการทำงานตลอด 3 ปี เดือนแรก กำไร 2,800 บาท เขาดีใจยิ่งกว่าได้โบนัส เดือนที่สอง ขาดทุน 5,000 บาท แต่เขาก็บอกตัวเองว่า “ถือเป็นค่าครู นักรบย่อมมีบาดแผล” เดือนที่สาม เขาตั้งใจจะถอนเงินในวันรุ่งขึ้น แต่คืนนั้น...แพลตฟอร์มหายไปทั้งเว็บ
เงินทั้งหมด หายวับไป กลายเป็นศูนย์ในคืนเดียว
เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า... “รัฐต้องมีหน่วยงานคอยตรวจสอบพวกนี้ แล้วแบบนี้ใครจะกล้าลงทุนอีก?”
หลายๆ คอมเมนต์ บอกให้เขาเรียนรู้จากความผิดพลาด บางคนอาจคิดว่า "ก็โง่เอง ที่เอาเงินเก็บทั้งหมดไปเทรด"
จริงครับ…บาสก็ยอมรับว่าเขาพลาด แต่ประเด็นก็คือ เขาไม่ควรถูกบีบบังคับให้ต้องเสี่ยงตั้งแต่แรก เพียงเพราะเงินที่เก็บไว้มันเสื่อมค่าลงทุกวัน
ไม่ใช่ทุกคนจะมีเวลา หรือเข้าใจการเทรดได้เหมือนนักลงทุนมืออาชีพ ไม่ใช่ทุกคนจะเก่งดูกราฟ เข้าใจตลาด หรือจัดการความเสี่ยงได้ดี
เราไม่ได้บอกว่าการเทรดผิด แต่เรากำลังพูดถึงคนธรรมดา ที่พยายามรักษาค่าของเงิน แต่ต้องดิ้นรนในเกมที่เขาไม่ถนัด
บางคนเก่งการเทรด แต่บางคนเก่งออกแบบ บางคนเก่งขายของ แล้วทำไมคนเหล่านี้ ต้องมาเสี่ยงเสียเงินทั้งชีวิต เพียงเพราะเขาไม่ได้เป็นเทรดเดอร์
บาสเล่าให้ผมฟังว่า เขาได้คุยกับเพื่อนอีกคน ชื่อเจเล่ เขาบอกว่าเจเล่ไม่ได้ตำหนิเขา แต่พูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “บาส…นายมีสิทธิเลือกที่จะเทรดนะ ไม่มีใครว่าหรอก แต่มันแค่ดูแปลก ๆ ไหม เวลาที่นายเลือกเอง แล้วพอพลาด…กลับไปโทษคนอื่น หรือให้คนอื่นมาช่วยดูแล เสรีภาพจริง ๆ มันไม่ได้อยู่แค่ตอนตัดสินใจ แต่มันอยู่ที่ว่า...นายกล้ารับผลของการตัดสินใจนั้นได้แค่ไหนต่างหาก”
เจเล่เลยแนะนำให้เขาศึกษา “บิตคอยน์” บอกเขาว่า
“มันไม่ใช่เครื่องมือรวยเร็ว แต่มันคือเงินที่ออกแบบมาไม่ให้เสื่อมค่า โดยไม่ต้องรอให้รัฐมาช่วย”
“ลองคิดดูนะ ถ้านายมีเงินที่ไม่มีใครพิมพ์เพิ่มได้ ไม่มีใครควบคุมมันได้ ไม่มีใครลดค่ามันลงได้ทุกปี ๆ แล้วนายยังจะต้องไปเทรด เพื่อรักษามูลค่าของเงินอีกทำไม”
ตอนแรกบาสก็เหมือนหลายคน ไม่เคยมองว่าบิตคอยน์คือ "เงิน" จนเขาหยุดมองมันว่าเป็น "การเทรด"
ตอนนี้บาสก็ไม่ได้รวยขึ้น แต่เขาเลิกวิ่งหนีเงินเฟ้อแล้ว เขาแค่เปลี่ยน “ที่เก็บเงิน” จากเงินที่ถูกควบคุมได้ ไปสู่เงินที่ไม่มีใครควบคุมมันได้
บาสบอกผมว่า…
“สิ่งที่เจเล่พูดวันนั้น มันเปลี่ยนมุมมองผมไปเลย เสรีภาพจริง ๆ คือการ #ไม่ต้องถูกบังคับให้เสี่ยง และไม่ต้องใช้ชีวิตแบบที่ต้องรอให้รัฐ หรือใครสักคน มาคอยรับผิดชอบแทนเรา”
ทุกวันนี้ ที่คนจำนวนมากหันไปลงทุน อาจไม่ใช่เพราะเขาอยากรวย แต่เพราะ แค่เก็บเงินไว้เฉย ๆ ก็ทำให้พวกเขาจนลงเรื่อย ๆ อยู่แล้ว
แล้วถ้า เรามีทางเลือกที่ง่ายกว่า ใช้ได้กับทุกคน…ที่ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องเทรด ไม่ต้องลุ้นว่าเงินจะพอใช้ปีหน้าไหม แค่เราใช้แรง ใช้สมอง ใช้เวลา ลงมือออกไปทำงานที่เราเลือก ที่เราถนัด แล้วเก็บมันไว้ใน "เงินที่ไม่เสื่อมค่า"
แบบนี้...ไม่ดีกว่าเหรอ มันดูง่ายดี
เราไม่ต้องหวังพึ่งรัฐ ไม่ต้องลุ้นนักการเมืองคนดีให้มาแจกเงิน เราทำงานของเรา ออกไปสร้างคุณค่า และเก็บออมในสิ่งที่ไม่มีใครลดค่าของมันได้
เพราะ…
เสรีภาพที่แท้จริง ไม่ใช่การถูกบังคับให้เสี่ยงทั้งที่ไม่ถนัด เพื่อเอาตัวรอด แต่คือการ “กล้าเสี่ยงในสิ่งที่เราควบคุมได้” อย่างการทำงาน สร้างคุณค่า และเก็บผลลัพธ์ไว้ในเงินที่ไม่เสื่อมค่า
และแน่นอน…สำหรับบางคน การเทรดคือความสามารถ คือแผนชีวิตที่วางไว้อย่างรอบคอบ เราขอเคารพเสรีภาพนั้นเต็มที่
แต่สำหรับคนธรรมดาอีกมากมาย ที่ไม่ถนัดเทรด ไม่ได้อยากรวยทันใจ แค่ไม่อยากให้เงินที่หามาทั้งชีวิตหายไปเฉย ๆ พวกเขาก็ควรมีสิทธิเลือก…ทางที่ไม่ต้องเสี่ยงได้เหมือนกัน
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วคุณล่ะ...ยังเก็บออมเงินที่รัฐควบคุมได้อยู่อีกไหม
แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน แค่ขอให้รู้ว่า คุณมีสิทธิเลือกได้ และนั่นแหละ…คือจุดเริ่มต้นของเสรีภาพ
#เศรษฐศาสตร์ออสเตรียน #เสรีภาพส่วนบุคคล #ไม่ต้องรอรัฐช่วย #ชีวิตต้องเลือกเอง #BitcoinIsFreedom #AustrianEconomics #Libertarianism #EndTheFed #FixTheMoneyFixTheWorld #SoundMoney #PersonalResponsibility #FreedomOfChoice #Voluntaryism #HardMoney #Siamstr