## โครงการ MKUltra, ทฤษฎีสมคบคิด และผลกระทบต่อสังคมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โครงการ MKUltra ของหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ถือเป็นบทมืดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์อย่างผิดกฎหมายและการแสวงหาเทคนิคการควบคุมจิตใจ ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ [1, 2]
### โครงการ MKUltra: ต้นกำเนิด วิธีการ และการมีส่วนร่วมของสถาบันต่างๆ
โครงการ MKUltra ดำเนินการโดย CIA ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1973 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนากลวิธีและระบุยาสำหรับการควบคุมจิตใจ การรวบรวมข้อมูล และการทรมานทางจิตวิทยา [1, 2] โครงการนี้เกิดขึ้นจากความกังวลในช่วงสงครามเย็นว่าโซเวียต จีน และเกาหลีเหนือ อาจใช้เทคนิคการควบคุมจิตใจกับเชลยศึกชาวอเมริกัน [2] เป้าหมายคือการหา "เซรุ่มแห่งความจริง" และสร้างบุคคลแบบ "แมนจูเรียน แคนดิเดต" ที่สามารถถูกควบคุมให้กระทำการโดยไม่สมัครใจ [2]
วิธีการที่ใช้มีความหลากหลายและมักจะรุนแรง โดยรวมถึง:
* การให้ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปริมาณสูงโดยไม่ได้รับความยินยอม เช่น **LSD, MDMA, เมสคาลีน, เฮโรอีน, บาร์บิทูเรต, เมทแอมเฟตามีน, ไซโลไซบิน, มอร์ฟีน และคูเรเร** [2-4]
* การใช้ไฟฟ้าช็อต, การสะกดจิต, การจำกัดการรับรู้, การแยกตัว และการล่วงละเมิดทางวาจาและทางเพศ [2]
การดำเนินงานของ MKUltra มีการละเมิดจริยธรรมและกฎหมายอย่างร้ายแรง รวมถึงการใช้พลเมืองสหรัฐฯ และแคนาดาเป็นเหยื่อโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งเป็นการละเมิดหลักจริยธรรมสากล **ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก** [2, 5, 6] ความลับสุดยอดของโครงการนี้ถูกปกปิดโดยผู้อำนวยการ CIA ริชาร์ด เฮล์มส์ ซึ่งสั่งทำลายบันทึกส่วนใหญ่ในปี 1973 ทำให้การสอบสวนของรัฐสภาในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก [5-8]
**สถาบันที่เกี่ยวข้อง**มีอย่างกว้างขวางถึงกว่า 80 แห่ง นอกเหนือจากหน่วยงานทางทหาร ได้แก่:
* **บริษัทยา:** **Eli Lilly & Company** ถูกระบุว่าเป็นผู้จัดหายา LSD หลักให้แก่ CIA [9] นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาอื่นๆ อีกหลากหลาย แต่ชื่อบริษัทอื่นๆ ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน เนื่องจากการทำลายบันทึกและความลับของโครงการ [10, 11]
* **สถาบันการศึกษา:** มหาวิทยาลัยหลายแห่งถูกใช้เป็นฉากบังหน้าสำหรับการทดลอง รวมถึง **McGill University (Allan Memorial Institute)** ที่ ดร. โดนัลด์ อีเวน คาเมรอน ดำเนินการทดลอง "psychic driving" และ "depatterning" ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง [12, 13] **Stanford University** และ **Columbia University** ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก CIA เพื่อศึกษาผลกระทบของ LSD [14, 15] **มหาวิทยาลัยแมริแลนด์** ได้ทำการทดลองฝังขั้วไฟฟ้าในสมองสุนัข โดยมีเป้าหมายจะขยายผลไปสู่มนุษย์ [15]
* **สถานพยาบาล:** โรงพยาบาลและ "เซฟเฮาส์" ลับถูกใช้เป็นสถานที่ทดลอง [16] **Georgetown University Hospital** ถูกใช้เป็น "cut-out" เพื่อปกปิดการมีส่วนร่วมโดยตรงของ CIA [17] **"เซฟเฮาส์" ของ CIA ในปฏิบัติการ Midnight Climax** ในซานฟรานซิสโกและนิวยอร์กซิตี้ ใช้โสเภณีล่อลวงลูกค้ามาให้ยา LSD และสารอื่นๆ โดยไม่ได้รับความยินยอม และเฝ้าติดตามพฤติกรรม [18] นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ อีกกว่า 130 แห่งทั่วสหรัฐฯ ที่มีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น เด็กชายที่มีความบกพร่องทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช [19]
* **เรือนจำ:** เรือนจำถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้ผู้ต้องขังที่เปราะบาง เช่น **Atlanta Penitentiary** ซึ่งนักโทษได้รับยา LSD-25 ในปริมาณมาก [20, 21] การใช้ผู้ต้องขังในการวิจัยคล้ายคลึงกับการทดลองของนาซีในค่ายกักกัน และหน่วย 731 ของญี่ปุ่น [22]
* **หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ:** โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ **U.S. Army Chemical Corps, U.S. Army Biological Warfare Laboratories** และ **Federal Bureau of Narcotics** [23-25] MKUltra ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรุ่นก่อนหน้า เช่น **Project CHATTER, Project Bluebird และ Project Artichoke** ซึ่งมุ่งเน้นเทคนิคการซักถามและการควบคุมจิตใจ [25]
### "ทฤษฎีสมคบคิด" และผลกระทบต่อสังคมในอดีต
คำว่า **"ทฤษฎีสมคบคิด" (Conspiracy Theory)** ถูกสร้างขึ้นโดย CIA เพื่อ **ปิดกั้นขบวนการแสวงหาความจริง** (Truth Movement) และ **ปิดปากการถกเถียงสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา** [26, 27] การประทับตรานี้ถูกใช้มานานหลายทศวรรษเพื่อขัดขวางผู้แสวงหาความจริง และทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์ถูกมองข้ามและเย้ยหยัน [27]
ในอดีต การที่สื่อกระแสหลัก (MSM) เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดปลอมจำนวนมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้นำชาวอเมริกันให้เข้าใจผิด [28] เช่น รายงานทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 และการลอบสังหาร JFK ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา [28, 29] ตัวอย่างการลอบสังหาร JFK ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เช่น CIA, FBI, Secret Service, ตำรวจ และสำนักงานชันสูตรศพ อาจเกี่ยวข้องกับการปกปิดความไร้ประสิทธิภาพหรือการสมรู้ร่วมคิดขนาดใหญ่ [30]
แคธี่ โอไบรอัน ผู้เปิดโปงโครงการ MKUltra กล่าวว่าเธอถูกทรมานและควบคุมจิตใจตั้งแต่เด็กภายใต้โครงการนี้ [31] การเป็นพยานของเธอในปี 1995 ถูก **เซ็นเซอร์ภายใต้ "ความมั่นคงของชาติ"** (National Security) เนื่องจากข้อมูลของเธอถูกตรวจสอบและยืนยันแล้ว [32] เธอเน้นย้ำว่า **ความรู้คือการป้องกันการควบคุมจิตใจ** และเหตุผลที่พวกเขาเรียกใช้ความมั่นคงของชาติก็คือไม่ต้องการให้ประชาชนมีข้อมูล [33] เธอเชื่อมโยงสูตรการควบคุมจิตใจที่เข้ามาในสหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่าน **"โครงการ Paperclip"** ซึ่งนำนักวิทยาศาสตร์นาซีมาพร้อมกับงานวิจัยของฮิตเลอร์-ฮิมม์เลอร์เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจโดยอาศัยบาดแผล (trauma-based mind control) [34, 35]
ผลกระทบในอดีตคือ **การกัดกร่อนความไว้วางใจของสาธารณะ** ในสถาบันภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานข่าวกรอง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ [6, 15] การละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน MKUltra และการปกปิดข้อมูลในโครงการ Paperclip (ซึ่งมีการ "ล้างประวัติ" นักวิทยาศาสตร์นาซี) ได้สร้าง **รากฐานทางจริยธรรมที่เป็นปัญหา** สำหรับการปฏิบัติการข่าวกรองในอนาคต [36-38]
โอไบรอันยังได้เปิดเผยว่านักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น **เจอรัลด์ ฟอร์ด, ปิแอร์ ทรูโด, โรเบิร์ต ซี. เบิร์ด, ดิ๊ก เชนีย์, โรนัลด์ เรแกน และมาเดลีน อัลไบรท์** มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เธอในเรื่องเพศ และกิจกรรมการค้ามนุษย์ เพื่อควบคุมและปั่นป่วนระบบการเมือง [39-47] เธอยังกล่าวถึงความพยายามของบุคคลอย่าง **บิล เบนเน็ตต์** เลขาธิการการศึกษาของเรแกน ในการนำเสนอ **"โครงการการศึกษาระดับโลก" (global education program)** ที่อิงจากแนวคิดการปลูกฝังอุดมการณ์เยาวชนของฮิตเลอร์ โดยถอดการเขียนด้วยมือออกจากการเรียนการสอน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปิดกั้นการคิดเชิงวิพากษ์ [48, 49]
### ผลกระทบต่อสังคมในปัจจุบัน
ในยุคปัจจุบัน ความสงสัยในข้อมูลอย่างเป็นทางการยังคงมีอยู่ [6, 15] อย่างไรก็ตาม **การแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต** ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า "นักทฤษฎีสมคบคิด" หรือ "ผู้ยึดมั่นในความเป็นจริงของการสมคบคิด" (conspiracy realists) สามารถทำงานร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การท้าทายเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการ [29]
แคธี่ โอไบรอัน เชื่อว่า **การควบคุมจิตใจยังคงถูกใช้เพื่อนำไปสู่วาระ "สังคมทาสนิยมโลกาภิวัตน์" (globalist slave society agenda)** ที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ [33, 34] เธอเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เช่น **การระบาดของ COVID-19 เป็น "การควบคุมจิตใจที่ถูกอำพรางเป็นไวรัส"** ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมประชากรโลก และเชื่อมโยงกับการลดจำนวนประชากรและการเคลื่อนไหวของกลุ่มข้ามเพศเพื่อหยุดการสืบพันธุ์ของมนุษย์ [50-52]
การควบคุมโดยการแบล็กเมล์ยังคงเป็นกลไกสำคัญ ดังที่เห็นได้จากกรณีของ **เจฟฟรีย์ เอปสไตน์** ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้การควบคุมของรัฐบาลพังทลาย [40, 53] นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงการที่ **อาหารของเราถูกดัดแปลงพันธุกรรมและปนเปื้อนด้วยฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม** ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สูตรทางวิทยาศาสตร์สำหรับการควบคุมจิตใจแบบ MKUltra" เพื่อ "ทำให้สมองอดอยาก" และหยุดความสามารถในการคิดอย่างถูกต้อง [54]
ในที่สุด โอไบรอันมองว่าการควบคุมจิตใจเป็น **"สงครามทางจิตวิญญาณ"** (spiritual warfare) ที่พยายามจะทำลายความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี และการแสดงออกของจิตวิญญาณ เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง [54, 55]
### ผลกระทบต่อสังคมในอนาคต
สำหรับอนาคต แคธี่ โอไบรอันเน้นย้ำว่า **การรับรู้ของสาธารณะและการกระทำของแต่ละบุคคลเป็นกุญแจสำคัญ** ในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและทวงคืนอำนาจจากผู้กระทำผิด [32, 55-58] การทำความเข้าใจและ **การเยียวยาจากบาดแผล** ซึ่งเป็นพื้นฐานของการควบคุมจิตใจ จะช่วยให้บุคคลสามารถเอาชนะผลกระทบและหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นได้ [34, 59-64]
มรดกของโครงการ MKUltra และ Paperclip จะยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและวิเคราะห์ต่อไป ซึ่งเน้นย้ำถึง **ความตึงเครียดที่ยั่งยืนระหว่างความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กับความรับผิดชอบทางจริยธรรม** [6, 65] โอไบรอันมองว่า หากผู้คนตระหนักถึงการควบคุมจิตใจอย่างกว้างขวางและทวงคืน "ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณมนุษย์" นั่นหมายถึง **"เกมจบ" สำหรับผู้กระทำผิด** [55] อนาคตขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจะตื่นตัว เปิดใจ และเริ่มรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ไม่ให้อำนาจแก่รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือศาสนาที่คลั่งไคล้ [56, 58, 66]