Thread

image บทที่ 2 ทองคำไม่ใช่เงิน — แต่เป็น “ฐานของเงิน” บทนี้มิได้โต้แย้งว่าทองคำไร้ค่า ตรงกันข้าม ผู้เขียนกำลังชี้ให้เห็นว่า ทองคำมีสถานะที่ลึกกว่า “เงิน” ในความหมายสมัยใหม่ และแตกต่างจากเงินกระดาษ เงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์การลงทุนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจความจริงข้อนี้ คือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลกอย่างแท้จริง ⸻ 1. เงินคืออะไร: นิยามคลาสสิกกับความเข้าใจร่วมสมัย ตามนิยามดั้งเดิม เงินต้องทำหน้าที่ได้ครบ 3 ประการ 1. สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) 2. หน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account) 3. เครื่องเก็บรักษามูลค่า (Store of Value) นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักถือว่า “เงิน” ต้องเป็นสิ่งที่ออกโดยรัฐหรือธนาคารกลาง จึงเกิดการถกเถียงเรื่องปริมาณเงินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น M0, M1, M2, M3 โดย • M0 (Base Money) คือเงินพื้นฐานที่สุด ประกอบด้วยธนบัตรและเงินสำรองของธนาคาร • นิยามยิ่งกว้าง เงินยิ่งถูก “ขยาย” ผ่านระบบเครดิตและหนี้ ผู้เขียนเสนอแนวคิดที่ท้าทายว่า ทองคำคือ “M-ลบศูนย์ (M–0)” คือเงินฐานที่แท้จริงซึ่งอยู่ “ใต้” เงินกระดาษและเงินดิจิทัลทั้งหมด แม้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจะไม่ยอมรับก็ตาม ⸻ 2. ทำไมต้องเป็นทองคำ: คำตอบจากฟิสิกส์ ไม่ใช่ความเชื่อ นักวิจารณ์มักดูหมิ่นทองคำว่าเป็นเพียง “โลหะแวววาว” แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกอย่าง Ben Bernanke ยังเคยกล่าวว่าการเก็บทองคำในคลังสหรัฐฯ เป็นเพียง “จารีตประเพณี” แต่คำอธิบายที่หนักแน่นที่สุดไม่ได้มาจากเศรษฐศาสตร์ หากมาจาก เคมีและฟิสิกส์ ศาสตราจารย์ Andrea Sella แห่ง University College London อธิบายผ่านการไล่เรียง “ตารางธาตุ” ว่า • ธาตุส่วนใหญ่ ไม่เหมาะ เป็นเงินโดยสิ้นเชิง • ก๊าซ → จับต้องไม่ได้ • ของเหลว → ใช้งานไม่ได้ • ธาตุเป็นพิษ → อันตราย • ธาตุกัมมันตรังสี → เป็นภัย • โลหะทั่วไป → เป็นสนิม สึกกร่อน หรือเปราะเกินไป เมื่อคัดออกทั้งหมด เหลือเพียง “โลหะมีตระกูล” ไม่กี่ชนิด และสุดท้าย มีเพียงทองคำกับเงิน ที่ • หาได้ยากพอจะรักษามูลค่า • แต่ไม่หายากเกินไปจนใช้เป็นระบบเงินไม่ได้ ทองคำโดดเด่นกว่าเงิน เพราะ • ไม่หมอง ไม่ทำปฏิกิริยา • หลอมง่ายพอสำหรับอารยธรรมโบราณ • ทนทานข้ามศตวรรษ • และมีเอกลักษณ์แม้แต่ใน “สี” นี่ไม่ใช่เรื่องรสนิยม แต่คือ ผลลัพธ์ของกฎธรรมชาติ ⸻ 3. ทองคำไม่ใช่การลงทุน — เพราะมันไม่มีความเสี่ยง คำวิจารณ์ของ Warren Buffett ที่ว่า “ทองคำไม่ให้ผลตอบแทน” นั้น ถูกต้อง แต่ผู้เขียนชี้ว่า นั่นไม่ใช่ข้อด้อย หากคือ สาระสำคัญ การลงทุน = ความเสี่ยง + ผลตอบแทน แต่ทองคำ • ไม่มีความเสี่ยงจากผู้ออก (ไม่มีใครออก) • ไม่มีความเสี่ยงด้านเวลา (ไม่ครบกำหนด) • ไม่มีความเสี่ยงด้านคุณภาพ (Au = Au) ทองคำหนึ่งออนซ์วันนี้ อีกสิบปีก็ยังเป็นทองคำหนึ่งออนซ์ สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่ทองคำ แต่คือ มูลค่าของเงินกระดาษที่ใช้วัดมัน ⸻ 4. ทองคำไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์ แม้จะถูกซื้อขายในตลาดสินค้า แต่ทองคำ ไม่ได้เป็นปัจจัยการผลิต เหมือนน้ำมัน ทองแดง หรือธัญพืช บทบาทของมันคือ การเงิน ไม่ใช่อุตสาหกรรม ตัวอย่างชัดเจนคือช่วง Great Depression (1929–1933) • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัว • แต่ราคาทองคำในดอลลาร์ “ไม่ลดลงเลย” • ต่อมารัฐบาลสหรัฐฯ ต้อง “ขึ้นราคาทองคำ” เพื่อสร้างเงินเฟ้อ นี่คือพฤติกรรมของ เงิน ไม่ใช่สินค้า ⸻ 5. ทองคำไม่ใช่กระดาษ: กับดักของ ETF และสัญญา ผลิตภัณฑ์อย่าง GLD หรือสัญญา “ทองคำไม่ได้รับการจัดสรร” ของ London Bullion Market Association ไม่ใช่ทองคำ แต่คือ สัญญาทางกฎหมาย ผู้ถือ • ไม่มีสิทธิในทองคำแท่ง • รับความเสี่ยงจากระบบ • อาจถูกชำระเป็น “เงินสด” แทนทองคำเมื่อเกิดวิกฤต ในภาวะ panic demand สัญญากระดาษเหล่านี้คือสิ่งแรกที่จะล้ม ⸻ 6. ทองคำไม่ใช่ดิจิทัล — และนั่นคือเหตุผลที่มันสำคัญ เงินสมัยใหม่คือข้อมูล ขึ้นกับไฟฟ้า เซิร์ฟเวอร์ เครือข่าย และการอนุญาตของรัฐ เหตุการณ์ในไซปรัส (2013) และกรีซ (2015) แสดงให้เห็นว่า เงินในบัญชี “ไม่ใช่ของคุณเสมอไป” ทองคำจริง • ไม่ถูกแฮก • ไม่ถูกปิดระบบ • ไม่ถูกตั้งโปรแกรมจำกัดการใช้ ⸻ 7. ประวัติศาสตร์ยืนยัน: ทองคำไม่เคยหายไป ตั้งแต่การยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971 โดย Richard Nixon โลกไม่ได้เข้าสู่ “ระบบที่ดีกว่า” แต่เข้าสู่ยุคของ • ความผันผวน • วิกฤตซ้ำซาก • การเขียน “กฎของเกม” ใหม่ทุกครั้งที่ระบบพัง ทุกครั้งที่ระบบการเงินทรุดตัว ทองคำไม่เคยถูกลืม — มันถูกเรียกกลับมา ⸻ บทสรุปเชิงวิเคราะห์ ทองคำ • ไม่ใช่เงินในความหมายแคบ • ไม่ใช่การลงทุน • ไม่ใช่สินค้า • ไม่ใช่กระดาษ • ไม่ใช่ดิจิทัล แต่ทองคำคือ ฐานสุดท้ายของความเชื่อมั่นในระบบการเงิน มันไม่สัญญาอะไร ไม่ให้ดอกเบี้ย ไม่เติบโต และเพราะเหตุนี้เอง มันจึงไม่เคยผิดนัด ———— บทที่ 3 ทองคำกับการล่มสลายของระเบียบการเงินโลก จากมาตรฐานทองคำ → มาตรฐานดอลลาร์ → ยุคไร้จุดยึด ⸻ 1. วัฏจักรการเงินโลก: การล่มสลายไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นโครงสร้าง ประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 แสดงรูปแบบซ้ำอย่างชัดเจน ระบบการเงินระหว่างประเทศ ไม่เคยมีอายุยืนถาวร หากระบบใดขยายเครดิตเกินฐานความเชื่อมั่น ระบบนั้นจะต้อง “รีเซ็ต” จุดแตกหักสำคัญเกิดขึ้นในปี • 1914 – สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำลายมาตรฐานทองคำคลาสสิก • 1939–1944 – สงครามโลกครั้งที่สอง และการสร้างระเบียบใหม่ • 1971 – การสิ้นสุดการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ • 2008 – วิกฤตการเงินโลก (ระบบไม่พัง แต่ “ตายทางคลินิก”) ทุกครั้งที่เกิดการล่มสลาย เงินกระดาษ “อยู่รอด” ด้วยการเปลี่ยนกติกา แต่ ทองคำ “อยู่รอด” โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย ⸻ 2. Bretton Woods: การกลับมาของทองคำในคราบใหม่ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกต้องการเสถียรภาพ การประชุมที่ Bretton Woods ปี 1944 สร้างระบบที่เรียกว่า Gold–Dollar Standard โครงสร้างสำคัญคือ • ดอลลาร์ผูกกับทองคำ (35 ดอลลาร์ = 1 ออนซ์) • สกุลเงินอื่นผูกกับดอลลาร์ • ธนาคารกลางต่างประเทศสามารถแลกดอลลาร์เป็นทองคำได้ นี่ไม่ใช่การยกเลิกทองคำ แต่คือการ รวมศูนย์ทองคำไว้ที่สหรัฐฯ ระบบนี้ทำงานได้ดีตราบใดที่ ปริมาณดอลลาร์ ≤ ปริมาณทองคำที่รองรับความเชื่อมั่น ⸻ 3. 1971: Nixon Shock และการตัดสายสะดือกับความจริง เมื่อสหรัฐฯ ขาดดุลเรื้อรังจากสงครามเวียดนามและรัฐสวัสดิการ ดอลลาร์ถูกพิมพ์เกินทองคำรองรับ วันที่ 15 สิงหาคม 1971 Richard Nixon ประกาศ ระงับการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ “ชั่วคราว” แต่ความชั่วคราวนั้น ไม่เคยสิ้นสุด ผลลัพธ์คือ • ดอลลาร์กลายเป็นเงิน fiat เต็มรูปแบบ • ระบบโลกเข้าสู่ยุค “เงินที่ไม่มีหลักประกันทางกายภาพ” • ทองคำถูกผลักออกจากตำรา แต่ไม่เคยออกจากคลังธนาคารกลาง ⸻ 4. ยุค Volcker–Reagan: กู้ชีพดอลลาร์โดยไม่ใช้ทองคำ ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เงินเฟ้อรุนแรง ราคาทองคำพุ่งจาก 35 → 800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การกู้ชีพดอลลาร์เกิดจาก Paul Volcker • ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง • ทำลายเงินเฟ้อ • ฟื้นความเชื่อมั่นใน “มาตรฐานดอลลาร์” โลกจึงเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า King Dollar Era (1981–2010) สำคัญมาก: นี่คือ การทดแทนทองคำด้วยนโยบาย ไม่ใช่การลบล้างบทบาทของทองคำ ⸻ 5. หลังปี 2008: ระบบที่ยังเดิน แต่ไม่มีแรงโน้มถ่วง วิกฤตปี 2008 เผยให้เห็นความจริง • ธนาคารกลางต้องอัดฉีดสภาพคล่องไม่จำกัด • ดอกเบี้ยใกล้ศูนย์หรือ ติดลบ • หนี้สาธารณะพุ่งโดยไม่มีทางออกเชิงโครงสร้าง โลกเข้าสู่ภาวะ ไม่มีมาตรฐาน (No Anchor System) ในระบบเช่นนี้ • เงินคือหนี้ • เสถียรภาพคือภาพลวง • ความเชื่อมั่นคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ และเมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอน ทองคำจะไม่ต้องกลับมา — เพราะมันไม่เคยจากไป ⸻ 6. ทำไมธนาคารกลางยังสะสมทองคำ (แม้บอกว่าไม่สำคัญ) หากทองคำ “ล้าสมัย” จริง ทำไมรัสเซียและจีนจึงสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง? เหตุผลคือ • ทองคำคือสินทรัพย์ที่ ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา • ใช้เป็นหลักประกันในระบบการเงินใหม่ได้ทันที • เป็น “เงินที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร” นี่คือพฤติกรรมของผู้เล่นที่เข้าใจว่า ระบบปัจจุบัน “ชั่วคราว” แต่ทองคำ “ถาวร” ⸻ 7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง บทนี้ไม่ได้บอกว่า “ทองคำจะกลับมาเป็นเงินเหรียญในกระเป๋า” แต่กำลังชี้ว่า • ทุกระบบเงินที่ไร้จุดยึด ต้องกลับไปหาอะไรบางอย่าง • สิ่งนั้นไม่อาจเป็นหนี้ • ไม่อาจเป็นคำสัญญา • และไม่อาจเป็นไฟฟ้า ประวัติศาสตร์ให้คำตอบมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อกฎของเกมถูกเขียนใหม่ ทองคำจะไม่เขียนกฎ แต่จะถูกใช้เป็นไม้บรรทัด ⸻ บทที่ 5 ทองคำไม่เคยหายไปไหน (เรียบเรียงใหม่ เฉพาะตามเนื้อหาในหนังสือ The New Case for Gold ไม่เพิ่มกรอบคิดหรือการคาดการณ์ภายนอก) ⸻ 1. ความเข้าใจผิดร่วมสมัย: “หลังปี 1971 ทองคำหมดบทบาทแล้ว” หนังสือชี้ให้เห็นความเข้าใจผิดสำคัญที่สุดประการหนึ่งของโลกการเงินสมัยใหม่ คือความเชื่อว่า เมื่อสหรัฐฯ ยุติการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำในปี ค.ศ. 1971 ทองคำก็สิ้นสุดบทบาททางการเงินลง ความจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทองคำ ไม่ได้หายไปจากระบบ มันเพียงถูก ย้ายจากพื้นที่สาธารณะไปสู่หลังฉาก ⸻ 2. หลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้: ทองคำในคลังธนาคารกลาง ผู้เขียนย้ำด้วยข้อเท็จจริงง่าย ๆ แต่หนักแน่นว่า หากทองคำ “ไร้ความหมายทางการเงินจริง” ธนาคารกลางจะไม่ถือทองคำไว้เลยแม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริง • ธนาคารกลางทั่วโลกยังถือครองทองคำหลายหมื่นตัน • สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก • ทองคำยังถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์ทางการเงินในงบดุลทางการ ทองคำ ไม่เคยถูกขายทิ้งเป็นระบบ มีเพียงการ “ย้ายบทบาท” จากเงินหมุนเวียน → สินทรัพย์สำรอง ⸻ 3. IMF และทองคำ: เงินที่ไม่เรียกชื่อว่าเงิน หนังสืออธิบายบทบาทของทองคำใน International Monetary Fund อย่างชัดเจนว่า • IMF ยังคงถือทองคำจำนวนมาก • ทองคำไม่ถูกตีมูลค่าตามราคาตลาดในงบดุล • แต่ยังคงทำหน้าที่เป็น “หลักประกันความเชื่อมั่นขั้นสุดท้าย” นี่คือสถานะพิเศษของทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ ไม่ต้องให้ผลตอบแทน แต่ไม่เคยถูกตั้งคำถามเรื่องมูลค่า ⸻ 4. ทำไมรัฐไม่ขายทองคำ แม้จะบอกว่า “ไม่จำเป็น” หนังสือตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า หากทองคำไม่จำเป็น เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ขายทองคำเพื่อลดหนี้สาธารณะ? คำตอบคือ • การขายทองคำ = การลดความน่าเชื่อถือของรัฐ • ทองคำคือสินทรัพย์เดียวที่ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา • เป็นหลักประกันสุดท้ายในกรณีที่เงินกระดาษล้มเหลว รัฐอาจ ไม่พูดถึงทองคำ แต่ไม่เคย กล้าอยู่โดยไม่มีทองคำ ⸻ 5. การนำทองคำกลับประเทศ: สัญญาณที่หนังสือเน้นย้ำ หนังสือกล่าวถึงการที่หลายประเทศ • ขอรับทองคำกลับจากต่างประเทศ • ลดการฝากทองคำไว้ในศูนย์กลางการเงินเดียว พฤติกรรมนี้สะท้อนความจริงว่า ทองคำมีความหมายก็ต่อเมื่อ อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของผู้ถือ ทองคำที่ “เป็นของเรา” แต่เก็บไว้ที่อื่น ยังคงมีความเสี่ยงเชิงระบบ ⸻ 6. ทองคำกับ “ความเงียบเชิงนโยบาย” หนึ่งในประเด็นสำคัญของบทนี้คือ ความเงียบของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทองคำ หนังสือชี้ว่า • ทองคำไม่ถูกพูดถึงในตำราเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ • ไม่ถูกกล่าวถึงในนโยบายการเงินรายวัน • ไม่อยู่ในถ้อยแถลงของธนาคารกลาง แต่ในเวลาเดียวกัน • ไม่เคยถูกลบออกจากงบดุล • ไม่เคยถูกยกเลิกบทบาทสำรอง • ไม่เคยหายไปจากระบบการเงินจริง ความเงียบนี้ ไม่ใช่การหลงลืม แต่คือ ยุทธศาสตร์ ⸻ 7. บทสรุปของบทที่ 5 ตามหนังสือ หนังสือสรุปสาระของบทนี้อย่างชัดเจนว่า ทองคำไม่ได้เป็นเงินในชีวิตประจำวัน แต่ยังคงเป็นเงินในระดับโครงสร้างของระบบ มันไม่ทำหน้าที่ • เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน • หรือหน่วยบัญชี แต่ทำหน้าที่สำคัญที่สุด คือ เป็นฐานความเชื่อมั่นเมื่อความเชื่อมั่นอื่นล้มเหลว ทองคำจึงไม่ต้อง “กลับมา” เพราะมัน ไม่เคยจากไป #Siamstr #nostr #gold

Replies (1)