บทที่ 2
ทองคำไม่ใช่เงิน — แต่เป็น “ฐานของเงิน”
บทนี้มิได้โต้แย้งว่าทองคำไร้ค่า ตรงกันข้าม ผู้เขียนกำลังชี้ให้เห็นว่า ทองคำมีสถานะที่ลึกกว่า “เงิน” ในความหมายสมัยใหม่ และแตกต่างจากเงินกระดาษ เงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์การลงทุนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจความจริงข้อนี้ คือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลกอย่างแท้จริง
⸻
1. เงินคืออะไร: นิยามคลาสสิกกับความเข้าใจร่วมสมัย
ตามนิยามดั้งเดิม เงินต้องทำหน้าที่ได้ครบ 3 ประการ
1. สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange)
2. หน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account)
3. เครื่องเก็บรักษามูลค่า (Store of Value)
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักถือว่า “เงิน” ต้องเป็นสิ่งที่ออกโดยรัฐหรือธนาคารกลาง จึงเกิดการถกเถียงเรื่องปริมาณเงินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น M0, M1, M2, M3 โดย
• M0 (Base Money) คือเงินพื้นฐานที่สุด ประกอบด้วยธนบัตรและเงินสำรองของธนาคาร
• นิยามยิ่งกว้าง เงินยิ่งถูก “ขยาย” ผ่านระบบเครดิตและหนี้
ผู้เขียนเสนอแนวคิดที่ท้าทายว่า
ทองคำคือ “M-ลบศูนย์ (M–0)”
คือเงินฐานที่แท้จริงซึ่งอยู่ “ใต้” เงินกระดาษและเงินดิจิทัลทั้งหมด แม้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจะไม่ยอมรับก็ตาม
⸻
2. ทำไมต้องเป็นทองคำ: คำตอบจากฟิสิกส์ ไม่ใช่ความเชื่อ
นักวิจารณ์มักดูหมิ่นทองคำว่าเป็นเพียง “โลหะแวววาว” แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกอย่าง Ben Bernanke ยังเคยกล่าวว่าการเก็บทองคำในคลังสหรัฐฯ เป็นเพียง “จารีตประเพณี”
แต่คำอธิบายที่หนักแน่นที่สุดไม่ได้มาจากเศรษฐศาสตร์ หากมาจาก เคมีและฟิสิกส์
ศาสตราจารย์ Andrea Sella แห่ง University College London อธิบายผ่านการไล่เรียง “ตารางธาตุ” ว่า
• ธาตุส่วนใหญ่ ไม่เหมาะ เป็นเงินโดยสิ้นเชิง
• ก๊าซ → จับต้องไม่ได้
• ของเหลว → ใช้งานไม่ได้
• ธาตุเป็นพิษ → อันตราย
• ธาตุกัมมันตรังสี → เป็นภัย
• โลหะทั่วไป → เป็นสนิม สึกกร่อน หรือเปราะเกินไป
เมื่อคัดออกทั้งหมด เหลือเพียง “โลหะมีตระกูล” ไม่กี่ชนิด และสุดท้าย มีเพียงทองคำกับเงิน ที่
• หาได้ยากพอจะรักษามูลค่า
• แต่ไม่หายากเกินไปจนใช้เป็นระบบเงินไม่ได้
ทองคำโดดเด่นกว่าเงิน เพราะ
• ไม่หมอง ไม่ทำปฏิกิริยา
• หลอมง่ายพอสำหรับอารยธรรมโบราณ
• ทนทานข้ามศตวรรษ
• และมีเอกลักษณ์แม้แต่ใน “สี”
นี่ไม่ใช่เรื่องรสนิยม แต่คือ ผลลัพธ์ของกฎธรรมชาติ
⸻
3. ทองคำไม่ใช่การลงทุน — เพราะมันไม่มีความเสี่ยง
คำวิจารณ์ของ Warren Buffett ที่ว่า “ทองคำไม่ให้ผลตอบแทน” นั้น ถูกต้อง
แต่ผู้เขียนชี้ว่า นั่นไม่ใช่ข้อด้อย หากคือ สาระสำคัญ
การลงทุน = ความเสี่ยง + ผลตอบแทน
แต่ทองคำ
• ไม่มีความเสี่ยงจากผู้ออก (ไม่มีใครออก)
• ไม่มีความเสี่ยงด้านเวลา (ไม่ครบกำหนด)
• ไม่มีความเสี่ยงด้านคุณภาพ (Au = Au)
ทองคำหนึ่งออนซ์วันนี้ อีกสิบปีก็ยังเป็นทองคำหนึ่งออนซ์
สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่ทองคำ แต่คือ มูลค่าของเงินกระดาษที่ใช้วัดมัน
⸻
4. ทองคำไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์
แม้จะถูกซื้อขายในตลาดสินค้า แต่ทองคำ ไม่ได้เป็นปัจจัยการผลิต เหมือนน้ำมัน ทองแดง หรือธัญพืช
บทบาทของมันคือ การเงิน ไม่ใช่อุตสาหกรรม
ตัวอย่างชัดเจนคือช่วง Great Depression (1929–1933)
• ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัว
• แต่ราคาทองคำในดอลลาร์ “ไม่ลดลงเลย”
• ต่อมารัฐบาลสหรัฐฯ ต้อง “ขึ้นราคาทองคำ” เพื่อสร้างเงินเฟ้อ
นี่คือพฤติกรรมของ เงิน ไม่ใช่สินค้า
⸻
5. ทองคำไม่ใช่กระดาษ: กับดักของ ETF และสัญญา
ผลิตภัณฑ์อย่าง GLD หรือสัญญา “ทองคำไม่ได้รับการจัดสรร” ของ London Bullion Market Association
ไม่ใช่ทองคำ แต่คือ สัญญาทางกฎหมาย
ผู้ถือ
• ไม่มีสิทธิในทองคำแท่ง
• รับความเสี่ยงจากระบบ
• อาจถูกชำระเป็น “เงินสด” แทนทองคำเมื่อเกิดวิกฤต
ในภาวะ panic demand สัญญากระดาษเหล่านี้คือสิ่งแรกที่จะล้ม
⸻
6. ทองคำไม่ใช่ดิจิทัล — และนั่นคือเหตุผลที่มันสำคัญ
เงินสมัยใหม่คือข้อมูล
ขึ้นกับไฟฟ้า เซิร์ฟเวอร์ เครือข่าย และการอนุญาตของรัฐ
เหตุการณ์ในไซปรัส (2013) และกรีซ (2015) แสดงให้เห็นว่า
เงินในบัญชี “ไม่ใช่ของคุณเสมอไป”
ทองคำจริง
• ไม่ถูกแฮก
• ไม่ถูกปิดระบบ
• ไม่ถูกตั้งโปรแกรมจำกัดการใช้
⸻
7. ประวัติศาสตร์ยืนยัน: ทองคำไม่เคยหายไป
ตั้งแต่การยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971 โดย Richard Nixon
โลกไม่ได้เข้าสู่ “ระบบที่ดีกว่า”
แต่เข้าสู่ยุคของ
• ความผันผวน
• วิกฤตซ้ำซาก
• การเขียน “กฎของเกม” ใหม่ทุกครั้งที่ระบบพัง
ทุกครั้งที่ระบบการเงินทรุดตัว
ทองคำไม่เคยถูกลืม — มันถูกเรียกกลับมา
⸻
บทสรุปเชิงวิเคราะห์
ทองคำ
• ไม่ใช่เงินในความหมายแคบ
• ไม่ใช่การลงทุน
• ไม่ใช่สินค้า
• ไม่ใช่กระดาษ
• ไม่ใช่ดิจิทัล
แต่ทองคำคือ
ฐานสุดท้ายของความเชื่อมั่นในระบบการเงิน
มันไม่สัญญาอะไร
ไม่ให้ดอกเบี้ย
ไม่เติบโต
และเพราะเหตุนี้เอง
มันจึงไม่เคยผิดนัด
————
บทที่ 3
ทองคำกับการล่มสลายของระเบียบการเงินโลก
จากมาตรฐานทองคำ → มาตรฐานดอลลาร์ → ยุคไร้จุดยึด
⸻
1. วัฏจักรการเงินโลก: การล่มสลายไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นโครงสร้าง
ประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 แสดงรูปแบบซ้ำอย่างชัดเจน
ระบบการเงินระหว่างประเทศ ไม่เคยมีอายุยืนถาวร หากระบบใดขยายเครดิตเกินฐานความเชื่อมั่น ระบบนั้นจะต้อง “รีเซ็ต”
จุดแตกหักสำคัญเกิดขึ้นในปี
• 1914 – สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำลายมาตรฐานทองคำคลาสสิก
• 1939–1944 – สงครามโลกครั้งที่สอง และการสร้างระเบียบใหม่
• 1971 – การสิ้นสุดการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ
• 2008 – วิกฤตการเงินโลก (ระบบไม่พัง แต่ “ตายทางคลินิก”)
ทุกครั้งที่เกิดการล่มสลาย
เงินกระดาษ “อยู่รอด” ด้วยการเปลี่ยนกติกา
แต่ ทองคำ “อยู่รอด” โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย
⸻
2. Bretton Woods: การกลับมาของทองคำในคราบใหม่
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกต้องการเสถียรภาพ
การประชุมที่ Bretton Woods ปี 1944
สร้างระบบที่เรียกว่า Gold–Dollar Standard
โครงสร้างสำคัญคือ
• ดอลลาร์ผูกกับทองคำ (35 ดอลลาร์ = 1 ออนซ์)
• สกุลเงินอื่นผูกกับดอลลาร์
• ธนาคารกลางต่างประเทศสามารถแลกดอลลาร์เป็นทองคำได้
นี่ไม่ใช่การยกเลิกทองคำ
แต่คือการ รวมศูนย์ทองคำไว้ที่สหรัฐฯ
ระบบนี้ทำงานได้ดีตราบใดที่
ปริมาณดอลลาร์ ≤ ปริมาณทองคำที่รองรับความเชื่อมั่น
⸻
3. 1971: Nixon Shock และการตัดสายสะดือกับความจริง
เมื่อสหรัฐฯ ขาดดุลเรื้อรังจากสงครามเวียดนามและรัฐสวัสดิการ
ดอลลาร์ถูกพิมพ์เกินทองคำรองรับ
วันที่ 15 สิงหาคม 1971
Richard Nixon ประกาศ
ระงับการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ “ชั่วคราว”
แต่ความชั่วคราวนั้น ไม่เคยสิ้นสุด
ผลลัพธ์คือ
• ดอลลาร์กลายเป็นเงิน fiat เต็มรูปแบบ
• ระบบโลกเข้าสู่ยุค “เงินที่ไม่มีหลักประกันทางกายภาพ”
• ทองคำถูกผลักออกจากตำรา แต่ไม่เคยออกจากคลังธนาคารกลาง
⸻
4. ยุค Volcker–Reagan: กู้ชีพดอลลาร์โดยไม่ใช้ทองคำ
ช่วงปลายทศวรรษ 1970
เงินเฟ้อรุนแรง ราคาทองคำพุ่งจาก 35 → 800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การกู้ชีพดอลลาร์เกิดจาก
Paul Volcker
• ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
• ทำลายเงินเฟ้อ
• ฟื้นความเชื่อมั่นใน “มาตรฐานดอลลาร์”
โลกจึงเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า
King Dollar Era (1981–2010)
สำคัญมาก:
นี่คือ การทดแทนทองคำด้วยนโยบาย
ไม่ใช่การลบล้างบทบาทของทองคำ
⸻
5. หลังปี 2008: ระบบที่ยังเดิน แต่ไม่มีแรงโน้มถ่วง
วิกฤตปี 2008 เผยให้เห็นความจริง
• ธนาคารกลางต้องอัดฉีดสภาพคล่องไม่จำกัด
• ดอกเบี้ยใกล้ศูนย์หรือ ติดลบ
• หนี้สาธารณะพุ่งโดยไม่มีทางออกเชิงโครงสร้าง
โลกเข้าสู่ภาวะ
ไม่มีมาตรฐาน (No Anchor System)
ในระบบเช่นนี้
• เงินคือหนี้
• เสถียรภาพคือภาพลวง
• ความเชื่อมั่นคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่
และเมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอน
ทองคำจะไม่ต้องกลับมา — เพราะมันไม่เคยจากไป
⸻
6. ทำไมธนาคารกลางยังสะสมทองคำ (แม้บอกว่าไม่สำคัญ)
หากทองคำ “ล้าสมัย” จริง
ทำไมรัสเซียและจีนจึงสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง?
เหตุผลคือ
• ทองคำคือสินทรัพย์ที่ ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา
• ใช้เป็นหลักประกันในระบบการเงินใหม่ได้ทันที
• เป็น “เงินที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร”
นี่คือพฤติกรรมของผู้เล่นที่เข้าใจว่า
ระบบปัจจุบัน “ชั่วคราว”
แต่ทองคำ “ถาวร”
⸻
7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง
บทนี้ไม่ได้บอกว่า
“ทองคำจะกลับมาเป็นเงินเหรียญในกระเป๋า”
แต่กำลังชี้ว่า
• ทุกระบบเงินที่ไร้จุดยึด ต้องกลับไปหาอะไรบางอย่าง
• สิ่งนั้นไม่อาจเป็นหนี้
• ไม่อาจเป็นคำสัญญา
• และไม่อาจเป็นไฟฟ้า
ประวัติศาสตร์ให้คำตอบมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อกฎของเกมถูกเขียนใหม่
ทองคำจะไม่เขียนกฎ
แต่จะถูกใช้เป็นไม้บรรทัด
⸻
บทที่ 5
ทองคำไม่เคยหายไปไหน
(เรียบเรียงใหม่ เฉพาะตามเนื้อหาในหนังสือ The New Case for Gold ไม่เพิ่มกรอบคิดหรือการคาดการณ์ภายนอก)
⸻
1. ความเข้าใจผิดร่วมสมัย: “หลังปี 1971 ทองคำหมดบทบาทแล้ว”
หนังสือชี้ให้เห็นความเข้าใจผิดสำคัญที่สุดประการหนึ่งของโลกการเงินสมัยใหม่ คือความเชื่อว่า
เมื่อสหรัฐฯ ยุติการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำในปี ค.ศ. 1971
ทองคำก็สิ้นสุดบทบาททางการเงินลง
ความจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ทองคำ ไม่ได้หายไปจากระบบ
มันเพียงถูก ย้ายจากพื้นที่สาธารณะไปสู่หลังฉาก
⸻
2. หลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้: ทองคำในคลังธนาคารกลาง
ผู้เขียนย้ำด้วยข้อเท็จจริงง่าย ๆ แต่หนักแน่นว่า
หากทองคำ “ไร้ความหมายทางการเงินจริง”
ธนาคารกลางจะไม่ถือทองคำไว้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในความเป็นจริง
• ธนาคารกลางทั่วโลกยังถือครองทองคำหลายหมื่นตัน
• สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก
• ทองคำยังถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์ทางการเงินในงบดุลทางการ
ทองคำ ไม่เคยถูกขายทิ้งเป็นระบบ
มีเพียงการ “ย้ายบทบาท” จากเงินหมุนเวียน → สินทรัพย์สำรอง
⸻
3. IMF และทองคำ: เงินที่ไม่เรียกชื่อว่าเงิน
หนังสืออธิบายบทบาทของทองคำใน International Monetary Fund อย่างชัดเจนว่า
• IMF ยังคงถือทองคำจำนวนมาก
• ทองคำไม่ถูกตีมูลค่าตามราคาตลาดในงบดุล
• แต่ยังคงทำหน้าที่เป็น “หลักประกันความเชื่อมั่นขั้นสุดท้าย”
นี่คือสถานะพิเศษของทองคำ
เป็นสินทรัพย์ที่ ไม่ต้องให้ผลตอบแทน
แต่ไม่เคยถูกตั้งคำถามเรื่องมูลค่า
⸻
4. ทำไมรัฐไม่ขายทองคำ แม้จะบอกว่า “ไม่จำเป็น”
หนังสือตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า
หากทองคำไม่จำเป็น
เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ขายทองคำเพื่อลดหนี้สาธารณะ?
คำตอบคือ
• การขายทองคำ = การลดความน่าเชื่อถือของรัฐ
• ทองคำคือสินทรัพย์เดียวที่ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา
• เป็นหลักประกันสุดท้ายในกรณีที่เงินกระดาษล้มเหลว
รัฐอาจ ไม่พูดถึงทองคำ
แต่ไม่เคย กล้าอยู่โดยไม่มีทองคำ
⸻
5. การนำทองคำกลับประเทศ: สัญญาณที่หนังสือเน้นย้ำ
หนังสือกล่าวถึงการที่หลายประเทศ
• ขอรับทองคำกลับจากต่างประเทศ
• ลดการฝากทองคำไว้ในศูนย์กลางการเงินเดียว
พฤติกรรมนี้สะท้อนความจริงว่า
ทองคำมีความหมายก็ต่อเมื่อ
อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของผู้ถือ
ทองคำที่ “เป็นของเรา” แต่เก็บไว้ที่อื่น
ยังคงมีความเสี่ยงเชิงระบบ
⸻
6. ทองคำกับ “ความเงียบเชิงนโยบาย”
หนึ่งในประเด็นสำคัญของบทนี้คือ
ความเงียบของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทองคำ
หนังสือชี้ว่า
• ทองคำไม่ถูกพูดถึงในตำราเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
• ไม่ถูกกล่าวถึงในนโยบายการเงินรายวัน
• ไม่อยู่ในถ้อยแถลงของธนาคารกลาง
แต่ในเวลาเดียวกัน
• ไม่เคยถูกลบออกจากงบดุล
• ไม่เคยถูกยกเลิกบทบาทสำรอง
• ไม่เคยหายไปจากระบบการเงินจริง
ความเงียบนี้ ไม่ใช่การหลงลืม
แต่คือ ยุทธศาสตร์
⸻
7. บทสรุปของบทที่ 5 ตามหนังสือ
หนังสือสรุปสาระของบทนี้อย่างชัดเจนว่า
ทองคำไม่ได้เป็นเงินในชีวิตประจำวัน
แต่ยังคงเป็นเงินในระดับโครงสร้างของระบบ
มันไม่ทำหน้าที่
• เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
• หรือหน่วยบัญชี
แต่ทำหน้าที่สำคัญที่สุด คือ
เป็นฐานความเชื่อมั่นเมื่อความเชื่อมั่นอื่นล้มเหลว
ทองคำจึงไม่ต้อง “กลับมา”
เพราะมัน ไม่เคยจากไป
#Siamstr #nostr #goldThread
บทที่ 2
ทองคำไม่ใช่เงิน — แต่เป็น “ฐานของเงิน”
บทนี้มิได้โต้แย้งว่าทองคำไร้ค่า ตรงกันข้าม ผู้เขียนกำลังชี้ให้เห็นว่า ทองคำมีสถานะที่ลึกกว่า “เงิน” ในความหมายสมัยใหม่ และแตกต่างจากเงินกระดาษ เงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์การลงทุนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจความจริงข้อนี้ คือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลกอย่างแท้จริง
⸻
1. เงินคืออะไร: นิยามคลาสสิกกับความเข้าใจร่วมสมัย
ตามนิยามดั้งเดิม เงินต้องทำหน้าที่ได้ครบ 3 ประการ
1. สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange)
2. หน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account)
3. เครื่องเก็บรักษามูลค่า (Store of Value)
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักถือว่า “เงิน” ต้องเป็นสิ่งที่ออกโดยรัฐหรือธนาคารกลาง จึงเกิดการถกเถียงเรื่องปริมาณเงินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น M0, M1, M2, M3 โดย
• M0 (Base Money) คือเงินพื้นฐานที่สุด ประกอบด้วยธนบัตรและเงินสำรองของธนาคาร
• นิยามยิ่งกว้าง เงินยิ่งถูก “ขยาย” ผ่านระบบเครดิตและหนี้
ผู้เขียนเสนอแนวคิดที่ท้าทายว่า
ทองคำคือ “M-ลบศูนย์ (M–0)”
คือเงินฐานที่แท้จริงซึ่งอยู่ “ใต้” เงินกระดาษและเงินดิจิทัลทั้งหมด แม้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจะไม่ยอมรับก็ตาม
⸻
2. ทำไมต้องเป็นทองคำ: คำตอบจากฟิสิกส์ ไม่ใช่ความเชื่อ
นักวิจารณ์มักดูหมิ่นทองคำว่าเป็นเพียง “โลหะแวววาว” แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกอย่าง Ben Bernanke ยังเคยกล่าวว่าการเก็บทองคำในคลังสหรัฐฯ เป็นเพียง “จารีตประเพณี”
แต่คำอธิบายที่หนักแน่นที่สุดไม่ได้มาจากเศรษฐศาสตร์ หากมาจาก เคมีและฟิสิกส์
ศาสตราจารย์ Andrea Sella แห่ง University College London อธิบายผ่านการไล่เรียง “ตารางธาตุ” ว่า
• ธาตุส่วนใหญ่ ไม่เหมาะ เป็นเงินโดยสิ้นเชิง
• ก๊าซ → จับต้องไม่ได้
• ของเหลว → ใช้งานไม่ได้
• ธาตุเป็นพิษ → อันตราย
• ธาตุกัมมันตรังสี → เป็นภัย
• โลหะทั่วไป → เป็นสนิม สึกกร่อน หรือเปราะเกินไป
เมื่อคัดออกทั้งหมด เหลือเพียง “โลหะมีตระกูล” ไม่กี่ชนิด และสุดท้าย มีเพียงทองคำกับเงิน ที่
• หาได้ยากพอจะรักษามูลค่า
• แต่ไม่หายากเกินไปจนใช้เป็นระบบเงินไม่ได้
ทองคำโดดเด่นกว่าเงิน เพราะ
• ไม่หมอง ไม่ทำปฏิกิริยา
• หลอมง่ายพอสำหรับอารยธรรมโบราณ
• ทนทานข้ามศตวรรษ
• และมีเอกลักษณ์แม้แต่ใน “สี”
นี่ไม่ใช่เรื่องรสนิยม แต่คือ ผลลัพธ์ของกฎธรรมชาติ
⸻
3. ทองคำไม่ใช่การลงทุน — เพราะมันไม่มีความเสี่ยง
คำวิจารณ์ของ Warren Buffett ที่ว่า “ทองคำไม่ให้ผลตอบแทน” นั้น ถูกต้อง
แต่ผู้เขียนชี้ว่า นั่นไม่ใช่ข้อด้อย หากคือ สาระสำคัญ
การลงทุน = ความเสี่ยง + ผลตอบแทน
แต่ทองคำ
• ไม่มีความเสี่ยงจากผู้ออก (ไม่มีใครออก)
• ไม่มีความเสี่ยงด้านเวลา (ไม่ครบกำหนด)
• ไม่มีความเสี่ยงด้านคุณภาพ (Au = Au)
ทองคำหนึ่งออนซ์วันนี้ อีกสิบปีก็ยังเป็นทองคำหนึ่งออนซ์
สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่ทองคำ แต่คือ มูลค่าของเงินกระดาษที่ใช้วัดมัน
⸻
4. ทองคำไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์
แม้จะถูกซื้อขายในตลาดสินค้า แต่ทองคำ ไม่ได้เป็นปัจจัยการผลิต เหมือนน้ำมัน ทองแดง หรือธัญพืช
บทบาทของมันคือ การเงิน ไม่ใช่อุตสาหกรรม
ตัวอย่างชัดเจนคือช่วง Great Depression (1929–1933)
• ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัว
• แต่ราคาทองคำในดอลลาร์ “ไม่ลดลงเลย”
• ต่อมารัฐบาลสหรัฐฯ ต้อง “ขึ้นราคาทองคำ” เพื่อสร้างเงินเฟ้อ
นี่คือพฤติกรรมของ เงิน ไม่ใช่สินค้า
⸻
5. ทองคำไม่ใช่กระดาษ: กับดักของ ETF และสัญญา
ผลิตภัณฑ์อย่าง GLD หรือสัญญา “ทองคำไม่ได้รับการจัดสรร” ของ London Bullion Market Association
ไม่ใช่ทองคำ แต่คือ สัญญาทางกฎหมาย
ผู้ถือ
• ไม่มีสิทธิในทองคำแท่ง
• รับความเสี่ยงจากระบบ
• อาจถูกชำระเป็น “เงินสด” แทนทองคำเมื่อเกิดวิกฤต
ในภาวะ panic demand สัญญากระดาษเหล่านี้คือสิ่งแรกที่จะล้ม
⸻
6. ทองคำไม่ใช่ดิจิทัล — และนั่นคือเหตุผลที่มันสำคัญ
เงินสมัยใหม่คือข้อมูล
ขึ้นกับไฟฟ้า เซิร์ฟเวอร์ เครือข่าย และการอนุญาตของรัฐ
เหตุการณ์ในไซปรัส (2013) และกรีซ (2015) แสดงให้เห็นว่า
เงินในบัญชี “ไม่ใช่ของคุณเสมอไป”
ทองคำจริง
• ไม่ถูกแฮก
• ไม่ถูกปิดระบบ
• ไม่ถูกตั้งโปรแกรมจำกัดการใช้
⸻
7. ประวัติศาสตร์ยืนยัน: ทองคำไม่เคยหายไป
ตั้งแต่การยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971 โดย Richard Nixon
โลกไม่ได้เข้าสู่ “ระบบที่ดีกว่า”
แต่เข้าสู่ยุคของ
• ความผันผวน
• วิกฤตซ้ำซาก
• การเขียน “กฎของเกม” ใหม่ทุกครั้งที่ระบบพัง
ทุกครั้งที่ระบบการเงินทรุดตัว
ทองคำไม่เคยถูกลืม — มันถูกเรียกกลับมา
⸻
บทสรุปเชิงวิเคราะห์
ทองคำ
• ไม่ใช่เงินในความหมายแคบ
• ไม่ใช่การลงทุน
• ไม่ใช่สินค้า
• ไม่ใช่กระดาษ
• ไม่ใช่ดิจิทัล
แต่ทองคำคือ
ฐานสุดท้ายของความเชื่อมั่นในระบบการเงิน
มันไม่สัญญาอะไร
ไม่ให้ดอกเบี้ย
ไม่เติบโต
และเพราะเหตุนี้เอง
มันจึงไม่เคยผิดนัด
————
บทที่ 3
ทองคำกับการล่มสลายของระเบียบการเงินโลก
จากมาตรฐานทองคำ → มาตรฐานดอลลาร์ → ยุคไร้จุดยึด
⸻
1. วัฏจักรการเงินโลก: การล่มสลายไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นโครงสร้าง
ประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 แสดงรูปแบบซ้ำอย่างชัดเจน
ระบบการเงินระหว่างประเทศ ไม่เคยมีอายุยืนถาวร หากระบบใดขยายเครดิตเกินฐานความเชื่อมั่น ระบบนั้นจะต้อง “รีเซ็ต”
จุดแตกหักสำคัญเกิดขึ้นในปี
• 1914 – สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำลายมาตรฐานทองคำคลาสสิก
• 1939–1944 – สงครามโลกครั้งที่สอง และการสร้างระเบียบใหม่
• 1971 – การสิ้นสุดการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ
• 2008 – วิกฤตการเงินโลก (ระบบไม่พัง แต่ “ตายทางคลินิก”)
ทุกครั้งที่เกิดการล่มสลาย
เงินกระดาษ “อยู่รอด” ด้วยการเปลี่ยนกติกา
แต่ ทองคำ “อยู่รอด” โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย
⸻
2. Bretton Woods: การกลับมาของทองคำในคราบใหม่
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกต้องการเสถียรภาพ
การประชุมที่ Bretton Woods ปี 1944
สร้างระบบที่เรียกว่า Gold–Dollar Standard
โครงสร้างสำคัญคือ
• ดอลลาร์ผูกกับทองคำ (35 ดอลลาร์ = 1 ออนซ์)
• สกุลเงินอื่นผูกกับดอลลาร์
• ธนาคารกลางต่างประเทศสามารถแลกดอลลาร์เป็นทองคำได้
นี่ไม่ใช่การยกเลิกทองคำ
แต่คือการ รวมศูนย์ทองคำไว้ที่สหรัฐฯ
ระบบนี้ทำงานได้ดีตราบใดที่
ปริมาณดอลลาร์ ≤ ปริมาณทองคำที่รองรับความเชื่อมั่น
⸻
3. 1971: Nixon Shock และการตัดสายสะดือกับความจริง
เมื่อสหรัฐฯ ขาดดุลเรื้อรังจากสงครามเวียดนามและรัฐสวัสดิการ
ดอลลาร์ถูกพิมพ์เกินทองคำรองรับ
วันที่ 15 สิงหาคม 1971
Richard Nixon ประกาศ
ระงับการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ “ชั่วคราว”
แต่ความชั่วคราวนั้น ไม่เคยสิ้นสุด
ผลลัพธ์คือ
• ดอลลาร์กลายเป็นเงิน fiat เต็มรูปแบบ
• ระบบโลกเข้าสู่ยุค “เงินที่ไม่มีหลักประกันทางกายภาพ”
• ทองคำถูกผลักออกจากตำรา แต่ไม่เคยออกจากคลังธนาคารกลาง
⸻
4. ยุค Volcker–Reagan: กู้ชีพดอลลาร์โดยไม่ใช้ทองคำ
ช่วงปลายทศวรรษ 1970
เงินเฟ้อรุนแรง ราคาทองคำพุ่งจาก 35 → 800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การกู้ชีพดอลลาร์เกิดจาก
Paul Volcker
• ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
• ทำลายเงินเฟ้อ
• ฟื้นความเชื่อมั่นใน “มาตรฐานดอลลาร์”
โลกจึงเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า
King Dollar Era (1981–2010)
สำคัญมาก:
นี่คือ การทดแทนทองคำด้วยนโยบาย
ไม่ใช่การลบล้างบทบาทของทองคำ
⸻
5. หลังปี 2008: ระบบที่ยังเดิน แต่ไม่มีแรงโน้มถ่วง
วิกฤตปี 2008 เผยให้เห็นความจริง
• ธนาคารกลางต้องอัดฉีดสภาพคล่องไม่จำกัด
• ดอกเบี้ยใกล้ศูนย์หรือ ติดลบ
• หนี้สาธารณะพุ่งโดยไม่มีทางออกเชิงโครงสร้าง
โลกเข้าสู่ภาวะ
ไม่มีมาตรฐาน (No Anchor System)
ในระบบเช่นนี้
• เงินคือหนี้
• เสถียรภาพคือภาพลวง
• ความเชื่อมั่นคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่
และเมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอน
ทองคำจะไม่ต้องกลับมา — เพราะมันไม่เคยจากไป
⸻
6. ทำไมธนาคารกลางยังสะสมทองคำ (แม้บอกว่าไม่สำคัญ)
หากทองคำ “ล้าสมัย” จริง
ทำไมรัสเซียและจีนจึงสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง?
เหตุผลคือ
• ทองคำคือสินทรัพย์ที่ ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา
• ใช้เป็นหลักประกันในระบบการเงินใหม่ได้ทันที
• เป็น “เงินที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร”
นี่คือพฤติกรรมของผู้เล่นที่เข้าใจว่า
ระบบปัจจุบัน “ชั่วคราว”
แต่ทองคำ “ถาวร”
⸻
7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง
บทนี้ไม่ได้บอกว่า
“ทองคำจะกลับมาเป็นเงินเหรียญในกระเป๋า”
แต่กำลังชี้ว่า
• ทุกระบบเงินที่ไร้จุดยึด ต้องกลับไปหาอะไรบางอย่าง
• สิ่งนั้นไม่อาจเป็นหนี้
• ไม่อาจเป็นคำสัญญา
• และไม่อาจเป็นไฟฟ้า
ประวัติศาสตร์ให้คำตอบมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อกฎของเกมถูกเขียนใหม่
ทองคำจะไม่เขียนกฎ
แต่จะถูกใช้เป็นไม้บรรทัด
⸻
บทที่ 5
ทองคำไม่เคยหายไปไหน
(เรียบเรียงใหม่ เฉพาะตามเนื้อหาในหนังสือ The New Case for Gold ไม่เพิ่มกรอบคิดหรือการคาดการณ์ภายนอก)
⸻
1. ความเข้าใจผิดร่วมสมัย: “หลังปี 1971 ทองคำหมดบทบาทแล้ว”
หนังสือชี้ให้เห็นความเข้าใจผิดสำคัญที่สุดประการหนึ่งของโลกการเงินสมัยใหม่ คือความเชื่อว่า
เมื่อสหรัฐฯ ยุติการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำในปี ค.ศ. 1971
ทองคำก็สิ้นสุดบทบาททางการเงินลง
ความจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ทองคำ ไม่ได้หายไปจากระบบ
มันเพียงถูก ย้ายจากพื้นที่สาธารณะไปสู่หลังฉาก
⸻
2. หลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้: ทองคำในคลังธนาคารกลาง
ผู้เขียนย้ำด้วยข้อเท็จจริงง่าย ๆ แต่หนักแน่นว่า
หากทองคำ “ไร้ความหมายทางการเงินจริง”
ธนาคารกลางจะไม่ถือทองคำไว้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในความเป็นจริง
• ธนาคารกลางทั่วโลกยังถือครองทองคำหลายหมื่นตัน
• สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก
• ทองคำยังถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์ทางการเงินในงบดุลทางการ
ทองคำ ไม่เคยถูกขายทิ้งเป็นระบบ
มีเพียงการ “ย้ายบทบาท” จากเงินหมุนเวียน → สินทรัพย์สำรอง
⸻
3. IMF และทองคำ: เงินที่ไม่เรียกชื่อว่าเงิน
หนังสืออธิบายบทบาทของทองคำใน International Monetary Fund อย่างชัดเจนว่า
• IMF ยังคงถือทองคำจำนวนมาก
• ทองคำไม่ถูกตีมูลค่าตามราคาตลาดในงบดุล
• แต่ยังคงทำหน้าที่เป็น “หลักประกันความเชื่อมั่นขั้นสุดท้าย”
นี่คือสถานะพิเศษของทองคำ
เป็นสินทรัพย์ที่ ไม่ต้องให้ผลตอบแทน
แต่ไม่เคยถูกตั้งคำถามเรื่องมูลค่า
⸻
4. ทำไมรัฐไม่ขายทองคำ แม้จะบอกว่า “ไม่จำเป็น”
หนังสือตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า
หากทองคำไม่จำเป็น
เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ขายทองคำเพื่อลดหนี้สาธารณะ?
คำตอบคือ
• การขายทองคำ = การลดความน่าเชื่อถือของรัฐ
• ทองคำคือสินทรัพย์เดียวที่ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา
• เป็นหลักประกันสุดท้ายในกรณีที่เงินกระดาษล้มเหลว
รัฐอาจ ไม่พูดถึงทองคำ
แต่ไม่เคย กล้าอยู่โดยไม่มีทองคำ
⸻
5. การนำทองคำกลับประเทศ: สัญญาณที่หนังสือเน้นย้ำ
หนังสือกล่าวถึงการที่หลายประเทศ
• ขอรับทองคำกลับจากต่างประเทศ
• ลดการฝากทองคำไว้ในศูนย์กลางการเงินเดียว
พฤติกรรมนี้สะท้อนความจริงว่า
ทองคำมีความหมายก็ต่อเมื่อ
อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของผู้ถือ
ทองคำที่ “เป็นของเรา” แต่เก็บไว้ที่อื่น
ยังคงมีความเสี่ยงเชิงระบบ
⸻
6. ทองคำกับ “ความเงียบเชิงนโยบาย”
หนึ่งในประเด็นสำคัญของบทนี้คือ
ความเงียบของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทองคำ
หนังสือชี้ว่า
• ทองคำไม่ถูกพูดถึงในตำราเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
• ไม่ถูกกล่าวถึงในนโยบายการเงินรายวัน
• ไม่อยู่ในถ้อยแถลงของธนาคารกลาง
แต่ในเวลาเดียวกัน
• ไม่เคยถูกลบออกจากงบดุล
• ไม่เคยถูกยกเลิกบทบาทสำรอง
• ไม่เคยหายไปจากระบบการเงินจริง
ความเงียบนี้ ไม่ใช่การหลงลืม
แต่คือ ยุทธศาสตร์
⸻
7. บทสรุปของบทที่ 5 ตามหนังสือ
หนังสือสรุปสาระของบทนี้อย่างชัดเจนว่า
ทองคำไม่ได้เป็นเงินในชีวิตประจำวัน
แต่ยังคงเป็นเงินในระดับโครงสร้างของระบบ
มันไม่ทำหน้าที่
• เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
• หรือหน่วยบัญชี
แต่ทำหน้าที่สำคัญที่สุด คือ
เป็นฐานความเชื่อมั่นเมื่อความเชื่อมั่นอื่นล้มเหลว
ทองคำจึงไม่ต้อง “กลับมา”
เพราะมัน ไม่เคยจากไป
#Siamstr #nostr #gold
Login to reply