หมออรรถพล

หมออรรถพล's avatar
หมออรรถพล
npub1y2ma...rwaz
จบลงแล้ว ซีรีย์วิธี "ล้างพิษ" วัคซีนโควิด อ่านให้ "จบ" จะพบ "คำตอบ" ซีรีย์วิธีล้างพิษวัคซีนโควิด 5 ตอน ตอน (1) ตอน (2) ตอน (3) ตอน (4) ตอน (5)
## โครงการ MKUltra, ทฤษฎีสมคบคิด และผลกระทบต่อสังคมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โครงการ MKUltra ของหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ถือเป็นบทมืดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์อย่างผิดกฎหมายและการแสวงหาเทคนิคการควบคุมจิตใจ ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ [1, 2] ### โครงการ MKUltra: ต้นกำเนิด วิธีการ และการมีส่วนร่วมของสถาบันต่างๆ โครงการ MKUltra ดำเนินการโดย CIA ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1973 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนากลวิธีและระบุยาสำหรับการควบคุมจิตใจ การรวบรวมข้อมูล และการทรมานทางจิตวิทยา [1, 2] โครงการนี้เกิดขึ้นจากความกังวลในช่วงสงครามเย็นว่าโซเวียต จีน และเกาหลีเหนือ อาจใช้เทคนิคการควบคุมจิตใจกับเชลยศึกชาวอเมริกัน [2] เป้าหมายคือการหา "เซรุ่มแห่งความจริง" และสร้างบุคคลแบบ "แมนจูเรียน แคนดิเดต" ที่สามารถถูกควบคุมให้กระทำการโดยไม่สมัครใจ [2] วิธีการที่ใช้มีความหลากหลายและมักจะรุนแรง โดยรวมถึง: * การให้ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปริมาณสูงโดยไม่ได้รับความยินยอม เช่น **LSD, MDMA, เมสคาลีน, เฮโรอีน, บาร์บิทูเรต, เมทแอมเฟตามีน, ไซโลไซบิน, มอร์ฟีน และคูเรเร** [2-4] * การใช้ไฟฟ้าช็อต, การสะกดจิต, การจำกัดการรับรู้, การแยกตัว และการล่วงละเมิดทางวาจาและทางเพศ [2] การดำเนินงานของ MKUltra มีการละเมิดจริยธรรมและกฎหมายอย่างร้ายแรง รวมถึงการใช้พลเมืองสหรัฐฯ และแคนาดาเป็นเหยื่อโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งเป็นการละเมิดหลักจริยธรรมสากล **ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก** [2, 5, 6] ความลับสุดยอดของโครงการนี้ถูกปกปิดโดยผู้อำนวยการ CIA ริชาร์ด เฮล์มส์ ซึ่งสั่งทำลายบันทึกส่วนใหญ่ในปี 1973 ทำให้การสอบสวนของรัฐสภาในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก [5-8] **สถาบันที่เกี่ยวข้อง**มีอย่างกว้างขวางถึงกว่า 80 แห่ง นอกเหนือจากหน่วยงานทางทหาร ได้แก่: * **บริษัทยา:** **Eli Lilly & Company** ถูกระบุว่าเป็นผู้จัดหายา LSD หลักให้แก่ CIA [9] นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาอื่นๆ อีกหลากหลาย แต่ชื่อบริษัทอื่นๆ ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน เนื่องจากการทำลายบันทึกและความลับของโครงการ [10, 11] * **สถาบันการศึกษา:** มหาวิทยาลัยหลายแห่งถูกใช้เป็นฉากบังหน้าสำหรับการทดลอง รวมถึง **McGill University (Allan Memorial Institute)** ที่ ดร. โดนัลด์ อีเวน คาเมรอน ดำเนินการทดลอง "psychic driving" และ "depatterning" ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง [12, 13] **Stanford University** และ **Columbia University** ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก CIA เพื่อศึกษาผลกระทบของ LSD [14, 15] **มหาวิทยาลัยแมริแลนด์** ได้ทำการทดลองฝังขั้วไฟฟ้าในสมองสุนัข โดยมีเป้าหมายจะขยายผลไปสู่มนุษย์ [15] * **สถานพยาบาล:** โรงพยาบาลและ "เซฟเฮาส์" ลับถูกใช้เป็นสถานที่ทดลอง [16] **Georgetown University Hospital** ถูกใช้เป็น "cut-out" เพื่อปกปิดการมีส่วนร่วมโดยตรงของ CIA [17] **"เซฟเฮาส์" ของ CIA ในปฏิบัติการ Midnight Climax** ในซานฟรานซิสโกและนิวยอร์กซิตี้ ใช้โสเภณีล่อลวงลูกค้ามาให้ยา LSD และสารอื่นๆ โดยไม่ได้รับความยินยอม และเฝ้าติดตามพฤติกรรม [18] นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ อีกกว่า 130 แห่งทั่วสหรัฐฯ ที่มีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น เด็กชายที่มีความบกพร่องทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช [19] * **เรือนจำ:** เรือนจำถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้ผู้ต้องขังที่เปราะบาง เช่น **Atlanta Penitentiary** ซึ่งนักโทษได้รับยา LSD-25 ในปริมาณมาก [20, 21] การใช้ผู้ต้องขังในการวิจัยคล้ายคลึงกับการทดลองของนาซีในค่ายกักกัน และหน่วย 731 ของญี่ปุ่น [22] * **หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ:** โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ **U.S. Army Chemical Corps, U.S. Army Biological Warfare Laboratories** และ **Federal Bureau of Narcotics** [23-25] MKUltra ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรุ่นก่อนหน้า เช่น **Project CHATTER, Project Bluebird และ Project Artichoke** ซึ่งมุ่งเน้นเทคนิคการซักถามและการควบคุมจิตใจ [25] ### "ทฤษฎีสมคบคิด" และผลกระทบต่อสังคมในอดีต คำว่า **"ทฤษฎีสมคบคิด" (Conspiracy Theory)** ถูกสร้างขึ้นโดย CIA เพื่อ **ปิดกั้นขบวนการแสวงหาความจริง** (Truth Movement) และ **ปิดปากการถกเถียงสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา** [26, 27] การประทับตรานี้ถูกใช้มานานหลายทศวรรษเพื่อขัดขวางผู้แสวงหาความจริง และทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์ถูกมองข้ามและเย้ยหยัน [27] ในอดีต การที่สื่อกระแสหลัก (MSM) เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดปลอมจำนวนมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้นำชาวอเมริกันให้เข้าใจผิด [28] เช่น รายงานทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 และการลอบสังหาร JFK ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา [28, 29] ตัวอย่างการลอบสังหาร JFK ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เช่น CIA, FBI, Secret Service, ตำรวจ และสำนักงานชันสูตรศพ อาจเกี่ยวข้องกับการปกปิดความไร้ประสิทธิภาพหรือการสมรู้ร่วมคิดขนาดใหญ่ [30] แคธี่ โอไบรอัน ผู้เปิดโปงโครงการ MKUltra กล่าวว่าเธอถูกทรมานและควบคุมจิตใจตั้งแต่เด็กภายใต้โครงการนี้ [31] การเป็นพยานของเธอในปี 1995 ถูก **เซ็นเซอร์ภายใต้ "ความมั่นคงของชาติ"** (National Security) เนื่องจากข้อมูลของเธอถูกตรวจสอบและยืนยันแล้ว [32] เธอเน้นย้ำว่า **ความรู้คือการป้องกันการควบคุมจิตใจ** และเหตุผลที่พวกเขาเรียกใช้ความมั่นคงของชาติก็คือไม่ต้องการให้ประชาชนมีข้อมูล [33] เธอเชื่อมโยงสูตรการควบคุมจิตใจที่เข้ามาในสหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่าน **"โครงการ Paperclip"** ซึ่งนำนักวิทยาศาสตร์นาซีมาพร้อมกับงานวิจัยของฮิตเลอร์-ฮิมม์เลอร์เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจโดยอาศัยบาดแผล (trauma-based mind control) [34, 35] ผลกระทบในอดีตคือ **การกัดกร่อนความไว้วางใจของสาธารณะ** ในสถาบันภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานข่าวกรอง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ [6, 15] การละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน MKUltra และการปกปิดข้อมูลในโครงการ Paperclip (ซึ่งมีการ "ล้างประวัติ" นักวิทยาศาสตร์นาซี) ได้สร้าง **รากฐานทางจริยธรรมที่เป็นปัญหา** สำหรับการปฏิบัติการข่าวกรองในอนาคต [36-38] โอไบรอันยังได้เปิดเผยว่านักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น **เจอรัลด์ ฟอร์ด, ปิแอร์ ทรูโด, โรเบิร์ต ซี. เบิร์ด, ดิ๊ก เชนีย์, โรนัลด์ เรแกน และมาเดลีน อัลไบรท์** มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เธอในเรื่องเพศ และกิจกรรมการค้ามนุษย์ เพื่อควบคุมและปั่นป่วนระบบการเมือง [39-47] เธอยังกล่าวถึงความพยายามของบุคคลอย่าง **บิล เบนเน็ตต์** เลขาธิการการศึกษาของเรแกน ในการนำเสนอ **"โครงการการศึกษาระดับโลก" (global education program)** ที่อิงจากแนวคิดการปลูกฝังอุดมการณ์เยาวชนของฮิตเลอร์ โดยถอดการเขียนด้วยมือออกจากการเรียนการสอน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปิดกั้นการคิดเชิงวิพากษ์ [48, 49] ### ผลกระทบต่อสังคมในปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน ความสงสัยในข้อมูลอย่างเป็นทางการยังคงมีอยู่ [6, 15] อย่างไรก็ตาม **การแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต** ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า "นักทฤษฎีสมคบคิด" หรือ "ผู้ยึดมั่นในความเป็นจริงของการสมคบคิด" (conspiracy realists) สามารถทำงานร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การท้าทายเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการ [29] แคธี่ โอไบรอัน เชื่อว่า **การควบคุมจิตใจยังคงถูกใช้เพื่อนำไปสู่วาระ "สังคมทาสนิยมโลกาภิวัตน์" (globalist slave society agenda)** ที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ [33, 34] เธอเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เช่น **การระบาดของ COVID-19 เป็น "การควบคุมจิตใจที่ถูกอำพรางเป็นไวรัส"** ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมประชากรโลก และเชื่อมโยงกับการลดจำนวนประชากรและการเคลื่อนไหวของกลุ่มข้ามเพศเพื่อหยุดการสืบพันธุ์ของมนุษย์ [50-52] การควบคุมโดยการแบล็กเมล์ยังคงเป็นกลไกสำคัญ ดังที่เห็นได้จากกรณีของ **เจฟฟรีย์ เอปสไตน์** ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้การควบคุมของรัฐบาลพังทลาย [40, 53] นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงการที่ **อาหารของเราถูกดัดแปลงพันธุกรรมและปนเปื้อนด้วยฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม** ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สูตรทางวิทยาศาสตร์สำหรับการควบคุมจิตใจแบบ MKUltra" เพื่อ "ทำให้สมองอดอยาก" และหยุดความสามารถในการคิดอย่างถูกต้อง [54] ในที่สุด โอไบรอันมองว่าการควบคุมจิตใจเป็น **"สงครามทางจิตวิญญาณ"** (spiritual warfare) ที่พยายามจะทำลายความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี และการแสดงออกของจิตวิญญาณ เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง [54, 55] ### ผลกระทบต่อสังคมในอนาคต สำหรับอนาคต แคธี่ โอไบรอันเน้นย้ำว่า **การรับรู้ของสาธารณะและการกระทำของแต่ละบุคคลเป็นกุญแจสำคัญ** ในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและทวงคืนอำนาจจากผู้กระทำผิด [32, 55-58] การทำความเข้าใจและ **การเยียวยาจากบาดแผล** ซึ่งเป็นพื้นฐานของการควบคุมจิตใจ จะช่วยให้บุคคลสามารถเอาชนะผลกระทบและหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นได้ [34, 59-64] มรดกของโครงการ MKUltra และ Paperclip จะยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและวิเคราะห์ต่อไป ซึ่งเน้นย้ำถึง **ความตึงเครียดที่ยั่งยืนระหว่างความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กับความรับผิดชอบทางจริยธรรม** [6, 65] โอไบรอันมองว่า หากผู้คนตระหนักถึงการควบคุมจิตใจอย่างกว้างขวางและทวงคืน "ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณมนุษย์" นั่นหมายถึง **"เกมจบ" สำหรับผู้กระทำผิด** [55] อนาคตขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจะตื่นตัว เปิดใจ และเริ่มรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ไม่ให้อำนาจแก่รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือศาสนาที่คลั่งไคล้ [56, 58, 66]
## โครงการ MKUltra, ทฤษฎีสมคบคิด และผลกระทบต่อสังคมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โครงการ MKUltra ของหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ถือเป็นบทมืดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์อย่างผิดกฎหมายและการแสวงหาเทคนิคการควบคุมจิตใจ ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ [1, 2] ### โครงการ MKUltra: ต้นกำเนิด วิธีการ และการมีส่วนร่วมของสถาบันต่างๆ โครงการ MKUltra ดำเนินการโดย CIA ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1973 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนากลวิธีและระบุยาสำหรับการควบคุมจิตใจ การรวบรวมข้อมูล และการทรมานทางจิตวิทยา [1, 2] โครงการนี้เกิดขึ้นจากความกังวลในช่วงสงครามเย็นว่าโซเวียต จีน และเกาหลีเหนือ อาจใช้เทคนิคการควบคุมจิตใจกับเชลยศึกชาวอเมริกัน [2] เป้าหมายคือการหา "เซรุ่มแห่งความจริง" และสร้างบุคคลแบบ "แมนจูเรียน แคนดิเดต" ที่สามารถถูกควบคุมให้กระทำการโดยไม่สมัครใจ [2] วิธีการที่ใช้มีความหลากหลายและมักจะรุนแรง โดยรวมถึง: * การให้ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปริมาณสูงโดยไม่ได้รับความยินยอม เช่น **LSD, MDMA, เมสคาลีน, เฮโรอีน, บาร์บิทูเรต, เมทแอมเฟตามีน, ไซโลไซบิน, มอร์ฟีน และคูเรเร** [2-4] * การใช้ไฟฟ้าช็อต, การสะกดจิต, การจำกัดการรับรู้, การแยกตัว และการล่วงละเมิดทางวาจาและทางเพศ [2] การดำเนินงานของ MKUltra มีการละเมิดจริยธรรมและกฎหมายอย่างร้ายแรง รวมถึงการใช้พลเมืองสหรัฐฯ และแคนาดาเป็นเหยื่อโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งเป็นการละเมิดหลักจริยธรรมสากล **ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก** [2, 5, 6] ความลับสุดยอดของโครงการนี้ถูกปกปิดโดยผู้อำนวยการ CIA ริชาร์ด เฮล์มส์ ซึ่งสั่งทำลายบันทึกส่วนใหญ่ในปี 1973 ทำให้การสอบสวนของรัฐสภาในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก [5-8] **สถาบันที่เกี่ยวข้อง**มีอย่างกว้างขวางถึงกว่า 80 แห่ง นอกเหนือจากหน่วยงานทางทหาร ได้แก่: * **บริษัทยา:** **Eli Lilly & Company** ถูกระบุว่าเป็นผู้จัดหายา LSD หลักให้แก่ CIA [9] นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาอื่นๆ อีกหลากหลาย แต่ชื่อบริษัทอื่นๆ ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน เนื่องจากการทำลายบันทึกและความลับของโครงการ [10, 11] * **สถาบันการศึกษา:** มหาวิทยาลัยหลายแห่งถูกใช้เป็นฉากบังหน้าสำหรับการทดลอง รวมถึง **McGill University (Allan Memorial Institute)** ที่ ดร. โดนัลด์ อีเวน คาเมรอน ดำเนินการทดลอง "psychic driving" และ "depatterning" ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง [12, 13] **Stanford University** และ **Columbia University** ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก CIA เพื่อศึกษาผลกระทบของ LSD [14, 15] **มหาวิทยาลัยแมริแลนด์** ได้ทำการทดลองฝังขั้วไฟฟ้าในสมองสุนัข โดยมีเป้าหมายจะขยายผลไปสู่มนุษย์ [15] * **สถานพยาบาล:** โรงพยาบาลและ "เซฟเฮาส์" ลับถูกใช้เป็นสถานที่ทดลอง [16] **Georgetown University Hospital** ถูกใช้เป็น "cut-out" เพื่อปกปิดการมีส่วนร่วมโดยตรงของ CIA [17] **"เซฟเฮาส์" ของ CIA ในปฏิบัติการ Midnight Climax** ในซานฟรานซิสโกและนิวยอร์กซิตี้ ใช้โสเภณีล่อลวงลูกค้ามาให้ยา LSD และสารอื่นๆ โดยไม่ได้รับความยินยอม และเฝ้าติดตามพฤติกรรม [18] นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ อีกกว่า 130 แห่งทั่วสหรัฐฯ ที่มีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น เด็กชายที่มีความบกพร่องทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช [19] * **เรือนจำ:** เรือนจำถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้ผู้ต้องขังที่เปราะบาง เช่น **Atlanta Penitentiary** ซึ่งนักโทษได้รับยา LSD-25 ในปริมาณมาก [20, 21] การใช้ผู้ต้องขังในการวิจัยคล้ายคลึงกับการทดลองของนาซีในค่ายกักกัน และหน่วย 731 ของญี่ปุ่น [22] * **หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ:** โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ **U.S. Army Chemical Corps, U.S. Army Biological Warfare Laboratories** และ **Federal Bureau of Narcotics** [23-25] MKUltra ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรุ่นก่อนหน้า เช่น **Project CHATTER, Project Bluebird และ Project Artichoke** ซึ่งมุ่งเน้นเทคนิคการซักถามและการควบคุมจิตใจ [25] ### "ทฤษฎีสมคบคิด" และผลกระทบต่อสังคมในอดีต คำว่า **"ทฤษฎีสมคบคิด" (Conspiracy Theory)** ถูกสร้างขึ้นโดย CIA เพื่อ **ปิดกั้นขบวนการแสวงหาความจริง** (Truth Movement) และ **ปิดปากการถกเถียงสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา** [26, 27] การประทับตรานี้ถูกใช้มานานหลายทศวรรษเพื่อขัดขวางผู้แสวงหาความจริง และทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์ถูกมองข้ามและเย้ยหยัน [27] ในอดีต การที่สื่อกระแสหลัก (MSM) เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดปลอมจำนวนมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้นำชาวอเมริกันให้เข้าใจผิด [28] เช่น รายงานทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 และการลอบสังหาร JFK ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา [28, 29] ตัวอย่างการลอบสังหาร JFK ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เช่น CIA, FBI, Secret Service, ตำรวจ และสำนักงานชันสูตรศพ อาจเกี่ยวข้องกับการปกปิดความไร้ประสิทธิภาพหรือการสมรู้ร่วมคิดขนาดใหญ่ [30] แคธี่ โอไบรอัน ผู้เปิดโปงโครงการ MKUltra กล่าวว่าเธอถูกทรมานและควบคุมจิตใจตั้งแต่เด็กภายใต้โครงการนี้ [31] การเป็นพยานของเธอในปี 1995 ถูก **เซ็นเซอร์ภายใต้ "ความมั่นคงของชาติ"** (National Security) เนื่องจากข้อมูลของเธอถูกตรวจสอบและยืนยันแล้ว [32] เธอเน้นย้ำว่า **ความรู้คือการป้องกันการควบคุมจิตใจ** และเหตุผลที่พวกเขาเรียกใช้ความมั่นคงของชาติก็คือไม่ต้องการให้ประชาชนมีข้อมูล [33] เธอเชื่อมโยงสูตรการควบคุมจิตใจที่เข้ามาในสหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่าน **"โครงการ Paperclip"** ซึ่งนำนักวิทยาศาสตร์นาซีมาพร้อมกับงานวิจัยของฮิตเลอร์-ฮิมม์เลอร์เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจโดยอาศัยบาดแผล (trauma-based mind control) [34, 35] ผลกระทบในอดีตคือ **การกัดกร่อนความไว้วางใจของสาธารณะ** ในสถาบันภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานข่าวกรอง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ [6, 15] การละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน MKUltra และการปกปิดข้อมูลในโครงการ Paperclip (ซึ่งมีการ "ล้างประวัติ" นักวิทยาศาสตร์นาซี) ได้สร้าง **รากฐานทางจริยธรรมที่เป็นปัญหา** สำหรับการปฏิบัติการข่าวกรองในอนาคต [36-38] โอไบรอันยังได้เปิดเผยว่านักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น **เจอรัลด์ ฟอร์ด, ปิแอร์ ทรูโด, โรเบิร์ต ซี. เบิร์ด, ดิ๊ก เชนีย์, โรนัลด์ เรแกน และมาเดลีน อัลไบรท์** มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เธอในเรื่องเพศ และกิจกรรมการค้ามนุษย์ เพื่อควบคุมและปั่นป่วนระบบการเมือง [39-47] เธอยังกล่าวถึงความพยายามของบุคคลอย่าง **บิล เบนเน็ตต์** เลขาธิการการศึกษาของเรแกน ในการนำเสนอ **"โครงการการศึกษาระดับโลก" (global education program)** ที่อิงจากแนวคิดการปลูกฝังอุดมการณ์เยาวชนของฮิตเลอร์ โดยถอดการเขียนด้วยมือออกจากการเรียนการสอน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปิดกั้นการคิดเชิงวิพากษ์ [48, 49] ### ผลกระทบต่อสังคมในปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน ความสงสัยในข้อมูลอย่างเป็นทางการยังคงมีอยู่ [6, 15] อย่างไรก็ตาม **การแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต** ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า "นักทฤษฎีสมคบคิด" หรือ "ผู้ยึดมั่นในความเป็นจริงของการสมคบคิด" (conspiracy realists) สามารถทำงานร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การท้าทายเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการ [29] แคธี่ โอไบรอัน เชื่อว่า **การควบคุมจิตใจยังคงถูกใช้เพื่อนำไปสู่วาระ "สังคมทาสนิยมโลกาภิวัตน์" (globalist slave society agenda)** ที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ [33, 34] เธอเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เช่น **การระบาดของ COVID-19 เป็น "การควบคุมจิตใจที่ถูกอำพรางเป็นไวรัส"** ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมประชากรโลก และเชื่อมโยงกับการลดจำนวนประชากรและการเคลื่อนไหวของกลุ่มข้ามเพศเพื่อหยุดการสืบพันธุ์ของมนุษย์ [50-52] การควบคุมโดยการแบล็กเมล์ยังคงเป็นกลไกสำคัญ ดังที่เห็นได้จากกรณีของ **เจฟฟรีย์ เอปสไตน์** ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้การควบคุมของรัฐบาลพังทลาย [40, 53] นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงการที่ **อาหารของเราถูกดัดแปลงพันธุกรรมและปนเปื้อนด้วยฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม** ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สูตรทางวิทยาศาสตร์สำหรับการควบคุมจิตใจแบบ MKUltra" เพื่อ "ทำให้สมองอดอยาก" และหยุดความสามารถในการคิดอย่างถูกต้อง [54] ในที่สุด โอไบรอันมองว่าการควบคุมจิตใจเป็น **"สงครามทางจิตวิญญาณ"** (spiritual warfare) ที่พยายามจะทำลายความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี และการแสดงออกของจิตวิญญาณ เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง [54, 55] ### ผลกระทบต่อสังคมในอนาคต สำหรับอนาคต แคธี่ โอไบรอันเน้นย้ำว่า **การรับรู้ของสาธารณะและการกระทำของแต่ละบุคคลเป็นกุญแจสำคัญ** ในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและทวงคืนอำนาจจากผู้กระทำผิด [32, 55-58] การทำความเข้าใจและ **การเยียวยาจากบาดแผล** ซึ่งเป็นพื้นฐานของการควบคุมจิตใจ จะช่วยให้บุคคลสามารถเอาชนะผลกระทบและหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นได้ [34, 59-64] มรดกของโครงการ MKUltra และ Paperclip จะยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและวิเคราะห์ต่อไป ซึ่งเน้นย้ำถึง **ความตึงเครียดที่ยั่งยืนระหว่างความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กับความรับผิดชอบทางจริยธรรม** [6, 65] โอไบรอันมองว่า หากผู้คนตระหนักถึงการควบคุมจิตใจอย่างกว้างขวางและทวงคืน "ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณมนุษย์" นั่นหมายถึง **"เกมจบ" สำหรับผู้กระทำผิด** [55] อนาคตขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจะตื่นตัว เปิดใจ และเริ่มรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ไม่ให้อำนาจแก่รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือศาสนาที่คลั่งไคล้ [56, 58, 66]
💥มนุษย์พันธุกรรมดัดแปลงจากการฉีด mRNA‼️ มันเกิดขึ้นแล้วมีหลักฐานยืนยันแล้ว นี่ในผู้ใหญ่นะ ลองนึกสภาพว่า เป็นทารกในครรภ์ที่ แพทย์บอกให้แม่ฉีด mRNA ขณะที่ตั้งครรภ์จะเป็นอย่างไร เคยเตือนราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ แต่ แพทย์เหล่านั้น "ไม่สนใจ"!! การสอดแทรกผิดปกติในจีโนม ความผันผวนในระดับโมเลกุลและโปรตีนในผู้ป่วยอายุน้อยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหลังฉีดวัคซีน สรุปสาระ: กรณีศึกษาหญิงอายุ 31 ปี (มะเร็งกระเพาะปัสสาวะหลังฉีดวัคซีน mRNA พื้นหลัง •ผู้ป่วยหญิงสุขภาพดีมาก่อน อายุ 31 ปี • พัฒนาเป็น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะ 4 ภายใน 12 เดือน หลังฉีดวัคซีน Moderna mRNA ครบ 3 เข็ม • มะเร็งชนิดนี้พบได้น้อยมากในผู้หญิงอายุน้อย และกรณีดำเนินโรครุนแรงเร็วเช่นนี้แทบไม่เคยพบมาก่อน • การตรวจวิเคราะห์ (Multi-omics) • ตรวจ DNA ที่หมุนเวียนในเลือด (ctDNA) • ตรวจ RNA จากเลือด • ตรวจโปรตีนจาก exosome ในปัสสาวะ สิ่งที่พบสำคัญ •พบ การแทรกตัวของลำดับพันธุกรรมวัคซีน (Spike gene) ลงในจีโนมมนุษย์ (โครโมโซม 19) • บริเวณนี้ไม่ใช่ “safe harbor” แต่เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของยีนสูง และมีความเสี่ยงรบกวนการทำงานของยีน • พบการทำงานผิดปกติของยีนมะเร็งหลายตัว (KRAS, NRAS, MAPK1, PIK3CA ฯลฯ) นำไปสู่กระตุ้นการเจริญเติบโตแบบไม่ควบคุม •พบความเสียหายของระบบซ่อมแซม DNA (ATM, MSH2) → ทำให้จีโนมไม่เสถียร • สัญญาณผิดปกติทั้งในระดับ DNA, RNA และโปรตีน → แสดงถึงความล่มสลายของระบบโมเลกุล • ความน่าจะเป็นทางสถิติ • โอกาสที่ลำดับนิวคลีโอไทด์ 20 ตัวจะตรงกันโดยบังเอิญกับวัคซีน = ประมาณ 1 ในล้านล้าน → บ่งชี้ว่าไม่ใช่ “artifact” • กลไกที่เป็นไปได้ของการแทรกตัว (Integration) • การซ่อม DNA แบบผิดพลาด (NHEJ, MMEJ, HR) • กิจกรรมของ retrotransposon/LINE-1 → สร้าง DNA จาก RNA แล้วแทรกเข้าไป • ความผิดพลาดจากเอนไซม์ DNA topoisomerase • ความบกพร่องของยีนซ่อม DNA (ATM, MSH2) เพิ่มความเสี่ยงต่อการแทรกตัว • ข้อสรุป • พบเส้นทางที่ “มีความเป็นไปได้ทางชีววิทยา” ว่าวัคซีน mRNA อาจเกี่ยวข้องกับการพัฒนามะเร็งในกรณีนี้ • ต้องการการศึกษายืนยันเพิ่มเติม เพราะเป็น รายงานกรณี (case report) แต่ผลลัพธ์เชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ควรถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง * ราบละเอียด รายงานกรณีหญิงอายุ 31 ปี สุขภาพแข็งแรงดีมาก่อน ซึ่งพัฒนาเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะที่ 4 (stage IV bladder cancer) ที่มีการดำเนินโรคอย่างรวดเร็ว ภายใน 12 เดือนหลังจากได้รับวัคซีน mRNA Moderna ครบ 3 เข็ม มะเร็งกระเพาะปัสสาวะพบได้น้อยมากในผู้หญิงอายุน้อย และการดำเนินโรคที่รุนแรงเช่นนี้แทบไม่เคยพบมาก่อน เพื่อสืบค้น เราได้ทำการตรวจวิเคราะห์เชิงลึกแบบ multi-omic profiling รวมถึง • การตรวจ circulating tumor DNA (ctDNA) จากพลาสมา • การตรวจ RNA จากเลือดทั้งตัวอย่าง • และ proteomics จาก exosome ในปัสสาวะ สิ่งที่ค้นพบโดดเด่นอย่างมาก: • เหตุการณ์การแทรกตัวของจีโนมโดยตรง (Direct genomic integration event): ใน ctDNA พบการอ่านข้อมูลแบบ host–vector chimeric ที่จับคู่กับตำแหน่ง chr19:55,482,637–55,482,674 (GRCh38) บริเวณ cytoband 19q13.42 อยู่ห่าง ~367 kb ด้านล่างของตำแหน่ง AAVS1 “safe harbor” และ ~158 kb เหนือยีน ZNF580 ใกล้ขอบคลัสเตอร์ยีน zinc-finger (ZNF) ลำดับนี้ตรงกับรหัสพันธุกรรม 20/20 bp กับส่วนของ Spike ORF (bases 5905–5924) ภายในพลาสมิดอ้างอิงของวัคซีน Pfizer BNT162b2 (GenBank OR134577.1) • การกระตุ้น oncogenic driver อย่างรุนแรง (KRAS, NRAS, MAPK1, ATM, PIK3CA, SF3B1, CHD4) → ทำให้เกิดการส่งสัญญาณการเจริญเติบโตและมะเร็งแบบไม่สามารถควบคุมได้ • การล้มเหลวของระบบซ่อมแซม DNA ที่สำคัญ (ATM, MSH2) → ทำให้จีโนมเสี่ยงต่อความไม่เสถียร การแตกสายคู่ (double-strand breaks) และการกลายพันธุ์ร้ายแรง • ความผิดปกติอย่างรุนแรงของ transcriptome และ proteome ในพลาสมา เลือด และปัสสาวะ → สอดคล้องกับการล่มสลายเชิงโมเลกุลทั้งระบบ แม้ว่าผู้ป่วยได้รับวัคซีน Moderna เท่านั้น แต่การจัดเรียงลำดับที่พบตรงกับ reference plasmid ของ Pfizer เพราะ Moderna ไม่เคยเผยแพร่พลาสมิดของตนในฐานข้อมูล NCBI และทั้ง Pfizer และ Moderna ต่างก็เข้ารหัสโปรตีน SARS-CoV-2 Spike ชนิด prefusion-stabilized ที่เหมือนกัน ทำให้มีลำดับนิวคลีโอไทด์ที่เหมือนกันบางส่วน การรวมตัวที่พบอยู่ในบริเวณที่อนุรักษ์นี้ จึงทำให้ได้การจับคู่แบบ 20/20 bp ที่ตรงกันพอดีกับข้อมูลอ้างอิงของ Pfizer ตำแหน่งที่รวมตัวนี้อยู่นอกเหนือ AAVS1 “safe harbor” ( ~55.09–55.12 Mb, 19q13.42) โดยไปอยู่ที่ chr19:55,482,637–55,482,674 (GRCh38) เช่นกันในบริเวณ cytoband 19q13.42 ห่าง ~367 kb จาก AAVS1 และ ~158 kb เหนือ ZNF580 ที่ขอบคลัสเตอร์ยีน ZNF พื้นที่นี้มีความหนาแน่นของยีนสูง มีกิจกรรมการถอดรหัสมาก และมีแนวโน้มเกิดการรวมตัวผิดปกติ (recombination-prone) ยีนควบคุมใกล้เคียง ได้แก่ ZNF580 และ ZNF582 การรวมตัวในบริเวณจีโนมที่ไม่เสถียรนี้ทำให้กังวลถึงการถูกรบกวนการถอดรหัส การเกิด fusion transcript และความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ความน่าจะเป็นของการที่ลำดับนิวคลีโอไทด์ 20 ตัวตรงกันพอดีกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าคือ ~1 ในล้านล้าน ซึ่งทำให้โอกาสเกิดโดยบังเอิญแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อรวมกับ ระยะเวลาใกล้เคียงกับการฉีดวัคซีน, หลักฐาน multi-omic ของสัญญาณก่อมะเร็ง, และการแทรกตัวของจีโนมโดยตรง → กรณีนี้แสดงให้เห็นเส้นทางที่มีความเป็นไปได้ทางชีววิทยาว่า วัคซีน mRNA สังเคราะห์อาจมีส่วนในการพัฒนามะเร็ง กลไกที่เป็นไปได้ในการเกิด Integration การแทรกตัวของ DNA จากวัคซีนหรือ RNA ที่ถูก reverse-transcribed ลงในจีโนมเจ้าบ้าน อาจเกิดได้จากหลายเส้นทางที่ทราบแล้ว: • Non-Homologous End Joining (NHEJ): การเชื่อมต่อ DNA ต่างชาติในตำแหน่ง double-strand break โดยตรง • Microhomology-Mediated End Joining (MMEJ): การจัดเรียงโดยใช้ลำดับที่มีความเหมือนสั้น ๆ ที่จุดแตกหัก • Homologous Recombination (HR): การแทรกตัวเมื่อมีความคล้ายกันของลำดับ DNA ยาว • Retrotransposon/LINE-1 Activity: การถอด RNA ย้อนกลับเป็น cDNA แล้วแทรกเข้าไป • Topoisomerase-Mediated Integration: การซ่อมผิดพลาดขณะเอนไซม์คลายเกลียวและเชื่อมต่อ DNA ทั้งหมดเป็นไปได้ในทางชีววิทยา และสอดคล้องกับความบกพร่องของการซ่อม DNA ที่ตรวจพบในผู้ป่วย (ATM, MSH2) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด insertional mutagenesis นอกจากนี้ Speicher และคณะยังรายงานว่ามีเศษพลาสมิด DNA เหลืออยู่ในวัคซีน mRNA นับพันล้านชิ้นต่อโดส ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัย 36–627 เท่า ทำให้เป็นไปได้ว่าเศษ DNA เหล่านี้อาจเป็นแหล่งต้นแบบสำหรับการแทรกตัวลงในจีโนม Genomic Integration and Molecular Dysregulation in Aggressive Stage IV Bladder Cancer Following COVID-19 mRNA Vaccination. รายงานในคลังข้อมูล zenodo 15/9/2025 การสอดแทรกผิดปกติในจีโนม ความผันผวนในระดับโมเลกุลและโปรตีนในผู้ป่วยอายุน้อยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหลังฉีดวัคซีน รวบรวม (ถอดความภาษาไทยโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
คนมากมาย บอกว่า โดน "บังคับฉีดวัคซีน💉☠️" จำกันได้ไหมว่า เขาบอกว่า ฉีดเพื่ออะไร? กันติดเชื้อ? กันแพร่เชื้อ? เขา "โกหก" บริษัทยา โกหก สธ โกหก รัฐบาล โกหก ผู้เชี่ยวชาญ โกหก ถ้าพวกคุณรู้ ว่า พวกเขา โกหก จะยอมให้เขา "บังคับ" ไหม? และ ถ้า ตอนนี้ คุณ ป่วย ญาติ คุณ เสียชีวิต เพราะคำโกหก เหล่านั้น คุณจะโทษ ว่า เพราะคุณโง่เองถึงโดนเขาหลอก หรือ คุณจะเรียกร้องความเป็นธรรม ให้ตัวคุณเอง เอาคนโกหกมารับโทษ!!
## โครงการ MKUltra, ทฤษฎีสมคบคิด และผลกระทบต่อสังคมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โครงการ MKUltra ของหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ถือเป็นบทมืดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์อย่างผิดกฎหมายและการแสวงหาเทคนิคการควบคุมจิตใจ ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ [1, 2] ### โครงการ MKUltra: ต้นกำเนิด วิธีการ และการมีส่วนร่วมของสถาบันต่างๆ โครงการ MKUltra ดำเนินการโดย CIA ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1973 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนากลวิธีและระบุยาสำหรับการควบคุมจิตใจ การรวบรวมข้อมูล และการทรมานทางจิตวิทยา [1, 2] โครงการนี้เกิดขึ้นจากความกังวลในช่วงสงครามเย็นว่าโซเวียต จีน และเกาหลีเหนือ อาจใช้เทคนิคการควบคุมจิตใจกับเชลยศึกชาวอเมริกัน [2] เป้าหมายคือการหา "เซรุ่มแห่งความจริง" และสร้างบุคคลแบบ "แมนจูเรียน แคนดิเดต" ที่สามารถถูกควบคุมให้กระทำการโดยไม่สมัครใจ [2] วิธีการที่ใช้มีความหลากหลายและมักจะรุนแรง โดยรวมถึง: * การให้ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปริมาณสูงโดยไม่ได้รับความยินยอม เช่น **LSD, MDMA, เมสคาลีน, เฮโรอีน, บาร์บิทูเรต, เมทแอมเฟตามีน, ไซโลไซบิน, มอร์ฟีน และคูเรเร** [2-4] * การใช้ไฟฟ้าช็อต, การสะกดจิต, การจำกัดการรับรู้, การแยกตัว และการล่วงละเมิดทางวาจาและทางเพศ [2] การดำเนินงานของ MKUltra มีการละเมิดจริยธรรมและกฎหมายอย่างร้ายแรง รวมถึงการใช้พลเมืองสหรัฐฯ และแคนาดาเป็นเหยื่อโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งเป็นการละเมิดหลักจริยธรรมสากล **ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก** [2, 5, 6] ความลับสุดยอดของโครงการนี้ถูกปกปิดโดยผู้อำนวยการ CIA ริชาร์ด เฮล์มส์ ซึ่งสั่งทำลายบันทึกส่วนใหญ่ในปี 1973 ทำให้การสอบสวนของรัฐสภาในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก [5-8] **สถาบันที่เกี่ยวข้อง**มีอย่างกว้างขวางถึงกว่า 80 แห่ง นอกเหนือจากหน่วยงานทางทหาร ได้แก่: * **บริษัทยา:** **Eli Lilly & Company** ถูกระบุว่าเป็นผู้จัดหายา LSD หลักให้แก่ CIA [9] นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาอื่นๆ อีกหลากหลาย แต่ชื่อบริษัทอื่นๆ ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน เนื่องจากการทำลายบันทึกและความลับของโครงการ [10, 11] * **สถาบันการศึกษา:** มหาวิทยาลัยหลายแห่งถูกใช้เป็นฉากบังหน้าสำหรับการทดลอง รวมถึง **McGill University (Allan Memorial Institute)** ที่ ดร. โดนัลด์ อีเวน คาเมรอน ดำเนินการทดลอง "psychic driving" และ "depatterning" ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง [12, 13] **Stanford University** และ **Columbia University** ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก CIA เพื่อศึกษาผลกระทบของ LSD [14, 15] **มหาวิทยาลัยแมริแลนด์** ได้ทำการทดลองฝังขั้วไฟฟ้าในสมองสุนัข โดยมีเป้าหมายจะขยายผลไปสู่มนุษย์ [15] * **สถานพยาบาล:** โรงพยาบาลและ "เซฟเฮาส์" ลับถูกใช้เป็นสถานที่ทดลอง [16] **Georgetown University Hospital** ถูกใช้เป็น "cut-out" เพื่อปกปิดการมีส่วนร่วมโดยตรงของ CIA [17] **"เซฟเฮาส์" ของ CIA ในปฏิบัติการ Midnight Climax** ในซานฟรานซิสโกและนิวยอร์กซิตี้ ใช้โสเภณีล่อลวงลูกค้ามาให้ยา LSD และสารอื่นๆ โดยไม่ได้รับความยินยอม และเฝ้าติดตามพฤติกรรม [18] นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ อีกกว่า 130 แห่งทั่วสหรัฐฯ ที่มีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น เด็กชายที่มีความบกพร่องทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช [19] * **เรือนจำ:** เรือนจำถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้ผู้ต้องขังที่เปราะบาง เช่น **Atlanta Penitentiary** ซึ่งนักโทษได้รับยา LSD-25 ในปริมาณมาก [20, 21] การใช้ผู้ต้องขังในการวิจัยคล้ายคลึงกับการทดลองของนาซีในค่ายกักกัน และหน่วย 731 ของญี่ปุ่น [22] * **หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ:** โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ **U.S. Army Chemical Corps, U.S. Army Biological Warfare Laboratories** และ **Federal Bureau of Narcotics** [23-25] MKUltra ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรุ่นก่อนหน้า เช่น **Project CHATTER, Project Bluebird และ Project Artichoke** ซึ่งมุ่งเน้นเทคนิคการซักถามและการควบคุมจิตใจ [25] ### "ทฤษฎีสมคบคิด" และผลกระทบต่อสังคมในอดีต คำว่า **"ทฤษฎีสมคบคิด" (Conspiracy Theory)** ถูกสร้างขึ้นโดย CIA เพื่อ **ปิดกั้นขบวนการแสวงหาความจริง** (Truth Movement) และ **ปิดปากการถกเถียงสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา** [26, 27] การประทับตรานี้ถูกใช้มานานหลายทศวรรษเพื่อขัดขวางผู้แสวงหาความจริง และทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์ถูกมองข้ามและเย้ยหยัน [27] ในอดีต การที่สื่อกระแสหลัก (MSM) เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดปลอมจำนวนมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้นำชาวอเมริกันให้เข้าใจผิด [28] เช่น รายงานทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 และการลอบสังหาร JFK ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา [28, 29] ตัวอย่างการลอบสังหาร JFK ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เช่น CIA, FBI, Secret Service, ตำรวจ และสำนักงานชันสูตรศพ อาจเกี่ยวข้องกับการปกปิดความไร้ประสิทธิภาพหรือการสมรู้ร่วมคิดขนาดใหญ่ [30] แคธี่ โอไบรอัน ผู้เปิดโปงโครงการ MKUltra กล่าวว่าเธอถูกทรมานและควบคุมจิตใจตั้งแต่เด็กภายใต้โครงการนี้ [31] การเป็นพยานของเธอในปี 1995 ถูก **เซ็นเซอร์ภายใต้ "ความมั่นคงของชาติ"** (National Security) เนื่องจากข้อมูลของเธอถูกตรวจสอบและยืนยันแล้ว [32] เธอเน้นย้ำว่า **ความรู้คือการป้องกันการควบคุมจิตใจ** และเหตุผลที่พวกเขาเรียกใช้ความมั่นคงของชาติก็คือไม่ต้องการให้ประชาชนมีข้อมูล [33] เธอเชื่อมโยงสูตรการควบคุมจิตใจที่เข้ามาในสหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่าน **"โครงการ Paperclip"** ซึ่งนำนักวิทยาศาสตร์นาซีมาพร้อมกับงานวิจัยของฮิตเลอร์-ฮิมม์เลอร์เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจโดยอาศัยบาดแผล (trauma-based mind control) [34, 35] ผลกระทบในอดีตคือ **การกัดกร่อนความไว้วางใจของสาธารณะ** ในสถาบันภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานข่าวกรอง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ [6, 15] การละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน MKUltra และการปกปิดข้อมูลในโครงการ Paperclip (ซึ่งมีการ "ล้างประวัติ" นักวิทยาศาสตร์นาซี) ได้สร้าง **รากฐานทางจริยธรรมที่เป็นปัญหา** สำหรับการปฏิบัติการข่าวกรองในอนาคต [36-38] โอไบรอันยังได้เปิดเผยว่านักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น **เจอรัลด์ ฟอร์ด, ปิแอร์ ทรูโด, โรเบิร์ต ซี. เบิร์ด, ดิ๊ก เชนีย์, โรนัลด์ เรแกน และมาเดลีน อัลไบรท์** มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เธอในเรื่องเพศ และกิจกรรมการค้ามนุษย์ เพื่อควบคุมและปั่นป่วนระบบการเมือง [39-47] เธอยังกล่าวถึงความพยายามของบุคคลอย่าง **บิล เบนเน็ตต์** เลขาธิการการศึกษาของเรแกน ในการนำเสนอ **"โครงการการศึกษาระดับโลก" (global education program)** ที่อิงจากแนวคิดการปลูกฝังอุดมการณ์เยาวชนของฮิตเลอร์ โดยถอดการเขียนด้วยมือออกจากการเรียนการสอน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปิดกั้นการคิดเชิงวิพากษ์ [48, 49] ### ผลกระทบต่อสังคมในปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน ความสงสัยในข้อมูลอย่างเป็นทางการยังคงมีอยู่ [6, 15] อย่างไรก็ตาม **การแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต** ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า "นักทฤษฎีสมคบคิด" หรือ "ผู้ยึดมั่นในความเป็นจริงของการสมคบคิด" (conspiracy realists) สามารถทำงานร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การท้าทายเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการ [29] แคธี่ โอไบรอัน เชื่อว่า **การควบคุมจิตใจยังคงถูกใช้เพื่อนำไปสู่วาระ "สังคมทาสนิยมโลกาภิวัตน์" (globalist slave society agenda)** ที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ [33, 34] เธอเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เช่น **การระบาดของ COVID-19 เป็น "การควบคุมจิตใจที่ถูกอำพรางเป็นไวรัส"** ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมประชากรโลก และเชื่อมโยงกับการลดจำนวนประชากรและการเคลื่อนไหวของกลุ่มข้ามเพศเพื่อหยุดการสืบพันธุ์ของมนุษย์ [50-52] การควบคุมโดยการแบล็กเมล์ยังคงเป็นกลไกสำคัญ ดังที่เห็นได้จากกรณีของ **เจฟฟรีย์ เอปสไตน์** ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้การควบคุมของรัฐบาลพังทลาย [40, 53] นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงการที่ **อาหารของเราถูกดัดแปลงพันธุกรรมและปนเปื้อนด้วยฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม** ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สูตรทางวิทยาศาสตร์สำหรับการควบคุมจิตใจแบบ MKUltra" เพื่อ "ทำให้สมองอดอยาก" และหยุดความสามารถในการคิดอย่างถูกต้อง [54] ในที่สุด โอไบรอันมองว่าการควบคุมจิตใจเป็น **"สงครามทางจิตวิญญาณ"** (spiritual warfare) ที่พยายามจะทำลายความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี และการแสดงออกของจิตวิญญาณ เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง [54, 55] ### ผลกระทบต่อสังคมในอนาคต สำหรับอนาคต แคธี่ โอไบรอันเน้นย้ำว่า **การรับรู้ของสาธารณะและการกระทำของแต่ละบุคคลเป็นกุญแจสำคัญ** ในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและทวงคืนอำนาจจากผู้กระทำผิด [32, 55-58] การทำความเข้าใจและ **การเยียวยาจากบาดแผล** ซึ่งเป็นพื้นฐานของการควบคุมจิตใจ จะช่วยให้บุคคลสามารถเอาชนะผลกระทบและหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นได้ [34, 59-64] มรดกของโครงการ MKUltra และ Paperclip จะยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและวิเคราะห์ต่อไป ซึ่งเน้นย้ำถึง **ความตึงเครียดที่ยั่งยืนระหว่างความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กับความรับผิดชอบทางจริยธรรม** [6, 65] โอไบรอันมองว่า หากผู้คนตระหนักถึงการควบคุมจิตใจอย่างกว้างขวางและทวงคืน "ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณมนุษย์" นั่นหมายถึง **"เกมจบ" สำหรับผู้กระทำผิด** [55] อนาคตขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจะตื่นตัว เปิดใจ และเริ่มรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ไม่ให้อำนาจแก่รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือศาสนาที่คลั่งไคล้ [56, 58, 66]
👉 เชิญพบกับ อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ... หมออรรถพล อาจารย์แพทย์ จุฬาฯ เป็นหมอคนแรกในไทย ที่ออกมาเตือนเรื่องวัคซีนโควิด 🌈 ในรายการ #สีสันชีวิต💜 2-3 ทุ่ม คืนวันเสาร์ที่ 13 ก.ย.68💜 💜 ที่MCOT News FM100.5 อสมท💜 #ลักขณาจำปาพาชม #นายแพทย์_อรรถพล_สุคนธาภิรมย์_ณ_พัทลุง ช่วง #เร้นไม่ลับกับเซเลบฯ รายการ #สีสันชีวิต โดย #ลักขณาจำปา #เสน่ห์ศรีสุวรรณ #FM1005 #MCOTNews #สีสันชีวิต #ไกรกิติทิพกนก
นี่ คือ รมต สธ แบบที่เราต้องการ ในขณะที่ รมต สธ ไทย ใช้สิทธิวีโต้ จนหน้าแตก ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพของคนไทย รมต สธ ของอเมริกาทำอะไร ลองอ่านใน X (twitter) ของท่านรมต RFK Jr กันเอง หรือ อ่านคำแปลได้คข้างล่าง เมื่อวานนี้ ผมได้ปลดสมาชิก 17 คนออกจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านแนวปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือ **เอซีไอพี (ACIP)** ซึ่งเป็นคณะกรรมการภายนอกของ **@CDCgov (ซีดีซี)** ที่มีหน้าที่รับผิดชอบอันหนักหน่วงในการเพิ่มวัคซีนใหม่เข้าไปในตารางวัคซีนเด็กที่แนะนำ ในไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อประกาศแต่งตั้งสมาชิกใหม่เข้าสู่ **เอซีไอพี** สมาชิกใหม่เหล่านี้จะไม่ใช่บุคคลในกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน (**anti-vaxxers**) ที่มีอุดมการณ์ พวกเขาจะเป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณวุฒิสูง ซึ่งจะตัดสินใจด้านสาธารณสุขที่มีผลกระทบสำคัญโดยใช้การตัดสินใจตามหลักฐาน (**evidence-based decision-making**) อย่างมีวัตถุวิสัยและสามัญสำนึก ผมจะโพสต์ตัวอย่างประวัติความคอร์รัปชันใน **เอซีไอพี** เพื่อช่วยให้สาธารณชนเข้าใจว่าทำไมการกวาดล้างครั้งใหญ่ (**clean sweep**) นี้จึงจำเป็น ตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดของการปฏิบัติหน้าที่อันชั่วร้าย (**malevolent malpractice**) ของ **เอซีไอพี** คือความดื้อรั้นไม่ยอมเรียกร้องให้มีการทดสอบความปลอดภัย (**safety trials**) ที่เพียงพอก่อนจะแนะนำวัคซีนใหม่สำหรับเด็กของเรา ปัจจุบัน เด็กอเมริกันที่ยอมตามแผนจะได้รับวัคซีนตามตาราง (**routine vaccines**) จำนวน 69 ถึง 92 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับแบรนด์/ขนาดโดสที่กำหนด) ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ 18 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการฉีดเพียง 11 เข็มในปี 1986 **เอซีไอพี** ได้แนะนำการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมเหล่านี้ทุกครั้งโดยไม่เรียกร้องให้มีการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุมด้วย **พลาซีโบ (placebo-controlled trials)** สำหรับวัคซีนใดๆ เลย ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครสามารถทราบได้ทางวิทยาศาสตร์ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ป้องกันปัญหาได้มากกว่าที่ก่อให้เกิดหรือไม่ ผู้ส่งเสริมวัคซีน (**vaccine promoters**) จำนวนมากเคยท้าทายข้อกล่าวอ้างนี้ พวกเขาผิดเสมอ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว **@CNN** ซึ่งได้ตกต่ำลงเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ (**propagandist**) ไร้ยางอายให้ **บิ๊กฟาร์มา (Big Pharma)** ได้ประกาศอย่างภูมิใจว่ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าข้อความของผมที่ว่า "ไม่มีการทดสอบความปลอดภัยแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** สำหรับวัคซีนตามตารางใดๆ" นั้นเป็นเท็จ **ซีเอ็นเอ็น** ประกาศอย่างดีใจว่าพบการศึกษาแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** จำนวน 257 รายการสำหรับวัคซีนตามตาราง ดังนั้น โปรดให้เวลาผมสักครู่เพื่อวิเคราะห์ (**deconstruct**) ข้อกล่าวอ้างของ **ซีเอ็นเอ็น** คำเตือน: โพสต์นี้อาจทนอ่านได้เฉพาะพวกคลั่งวิทยาศาสตร์ (**science geeks**) แบบผมเท่านั้น **ซีเอ็นเอ็น** ผิด ไม่มีวัคซีนตามตารางที่ฉีดชนิดใดบนตารางของ **ซีดีซี** ที่ได้รับการรับรอง (**licensed**) สำหรับเด็กโดยอ้างอิงการทดลองแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** ในกรณีที่ใช้วัคซีนเป็นตัวควบคุม (**control**) วัคซีนนั้นก็ไม่เคยได้รับการรับรองโดยอ้างอิงการทดลองแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** นี่ไม่ใช่การคาดเดา แต่เป็นข้อเท็จจริงจากข้อมูลการทดลองทางคลินิก (**clinical trial data**) ของ **เอฟดีเอ (FDA)** (ดู sirillp.com/noplacebo) ในฐานะรัฐมนตรี **@HHSGov (HHS)** การยอมรับความจริงที่น่าเศร้านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาเรื่องความโปร่งใสสุดขีด (**radical transparency**) ของผม การศึกษา 257 รายการที่ **ซีเอ็นเอ็น** อ้างอิง สะท้อนถึงการขาดการทดสอบความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐานของตาราง **ซีดีซี** โดยไม่รู้ตัว แม้ **ซีเอ็นเอ็น** จะพยายามทั่วโลกเพื่อระดม (**crowdsource**) การทดลองที่มีกลุ่ม **พลาซีโบ-คอนโทรล** (ตามนิยาม **@US_FDA/@CDCgov** ว่า "สารเฉื่อย"* - **inert substance**) รายชื่อนี้ก็สะท้อนชัดเจนว่า 236 การศึกษาจัดว่าไม่ได้ใช้ตัวเปรียบเทียบความปลอดภัยที่เป็น "สารเฉื่อย" (**inert safety comparator**) ในการทดลองเพื่อรับรองวัคซีนตามตารางที่ฉีดสำหรับเด็กบนตาราง **ซีดีซี**** สำหรับการศึกษาที่เหลืออีก 21 รายการในรายชื่อ **ซีเอ็นเอ็น** ที่อ้างว่าใช้สารฉีดเฉื่อย (**inert injection**) นั้น 9 รายการไม่ได้ใช้อย่างชัดเจน: * **อาร์ซีที (RCT)** 251, 252 (วัคซีนอีสุกอีใส - **Varivax**) ฉีดยาปฏิชีวนะนีโอมัยซิน (**neomycin**) – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 84, 97 (วัคซีนเอชพีวี HPV-16 และ 16/18) ฉีดสารเสริมภูมิต้านทาน (**adjuvant**) อะลูมิเนียม – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 215 (Almevax) ฉีดวัคซีนอีกชนิดหนึ่ง – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 55 (Lyophilized PedvaxHIB) ฉีดแลคโตส, สารเสริมภูมิต้านทาน (**adjuvant**) อะลูมิเนียม, และไทเมอโรซัล (**thimerosal**) – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 197 (วัคซีนโปลิโอแบบเชื้อตาย - **Salk vaccine**) ฉีดสารละลาย 199, สารสังเคราะห์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (**synthetic tissue culture**), เอทานอล, ฟีนอลเรด (**phenol red**), ยาปฏิชีวนะ, และฟอร์มาลิน (**formalin**) – ไม่เฉื่อย*** * **อาร์ซีที** 168 (วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (**MMR**) ของ Dow) ฉีดวัคซีนเต็มสูตรแต่ไม่มีไวรัส (**full vaccine minus virus**) รวมถึงสารกันเสีย (**stabilizers**), ยาปฏิชีวนะ, สารละลายเจือจาง (**diluent**), สารกันบูด (**preservative**), และบัฟเฟอร์ (**buffers**) – ไม่เฉื่อย**** * **อาร์ซีที** 189 (Menveo) ฉีด Tdap+น้ำเกลือ (**saline**) หรือ Menveo+น้ำเกลือ – ไม่เฉื่อย สำหรับการศึกษาที่เหลืออีก 12 รายการซึ่งอาจมีการฉีดสารเฉื่อย ไม่มีรายการใดเป็นการทดลองที่ใช้เป็นหลักในการรับรองวัคซีนตามตารางสำหรับเด็กของ **ซีดีซี**: * **อาร์ซีที** 170, 171, 172 (MMR VaxPro), 228 (PCV11), 136 (Vaxigrip), 242 (Antitetanus), และ 122 (วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบจีน - **Chinese flu shots**) ทดสอบวัคซีนที่ไม่เคยได้รับการรับรองในสหรัฐฯ หรือใช้เป็นหลักในการรับรองวัคซีนสหรัฐฯ * **อาร์ซีที** 124 (Fluzone IIV3), 102 (WVV/SPV), และ 188 (Menveo) ดำเนินการ *หลัง* วัคซีนแต่ละชนิดได้รับการรับรองแล้ว จึงไม่ได้ใช้เป็นหลักในการรับรอง (**licensure**) * **อาร์ซีที** 176 (วัคซีนคางทูม - **Mumps vaccine**) ไม่ได้ถูกใช้โดย **เอฟดีเอ** เป็นหลักในการรับรองวัคซีน **เอ็มเอ็มอาร์ (MMR)** ตัวปัจจุบัน (ดูรายงานการทดลองทางคลินิกของ MMR-II ในลิงก์ด้านบน) * **อาร์ซีที** 53 (PRP-D) เป็นวัคซีนที่ถูกถอนออก (**withdrawn**) เร็วๆ หลังเปิดตัว และไม่ถูกใช้โดย **เอฟดีเอ** เป็นหลักในการรับรองวัคซีนใดๆ ของสหรัฐฯ แม้การศึกษา 12 รายการนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักในการรับรองวัคซีนตามตารางของ **ซีดีซี** แต่ก็สะท้อนว่าการทดลองวัคซีนแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** เป็นไปได้ และสะท้อนสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อทำการทดลองแบบ **พลาซีโบ** ตัวอย่างเช่น: **อาร์ซีที** 136 พบว่าวัคซีนไม่ได้ผล (**ineffective**); **อาร์ซีที** 122 พบว่า "ผลข้างเคียงรุนแรง (**severe adverse effects**) เกิดขึ้นในผู้รับวัคซีน 69 ราย (0.6%, 95% **ซีไอ (CI)** 0.5–0.8) เทียบกับผู้รับ **พลาซีโบ** 1 ราย (0.1%, 0–0.2)"; และ **อาร์ซีที** 124 พบว่า "อัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลสูงกว่าในกลุ่ม [Fluzone IIV3] ที่ได้รับวัคซีน มากกว่ากลุ่ม **พลาซีโบ**" ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ การทดลองแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่เคยถูกใช้เป็นหลักเมื่อ **เอฟดีเอ** รับรองวัคซีนสำหรับฉีดในเด็ก หรือเมื่อ **เอซีไอพี** แนะนำให้เพิ่มวัคซีนนั้นเข้าไปในตารางตามตารางของ **ซีดีซี** **ซีเอ็นเอ็น** คงได้ข้อสรุปเดียวกันหากตรวจสอบเอกสารของ **เอฟดีเอ** สำหรับวัคซีนแต่ละชนิด แทนที่จะพึ่งพารายชื่อสุ่มๆ จากอินเทอร์เน็ตที่ระดมความคิด (**crowd-sourced**) รายชื่อของ **ซีเอ็นเอ็น** น่าขันที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการขาดการทดสอบความปลอดภัย (**safety trials**) ที่เพียงพอสำหรับวัคซีนตามตารางเด็ก ถึงเวลาต้องหยุดเล่นเกมแล้ว เช่น การจับผิด (**gotcha**) เท็จของ **ซีเอ็นเอ็น** เราเปลี่ยนจากการฉีดวัคซีนตามตาราง 3 เข็มเมื่ออายุหนึ่งขวบในปี 1986 (ปีที่พระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนเด็กแห่งชาติ - **National Childhood Vaccine Injury Act** ผ่าน) เป็น 25 เข็มเมื่ออายุหนึ่งขวบในปี 2025 (ซึ่งยังไม่รวมวัคซีนโควิด-19) เนื่องจากพระราชบัญญัติปี 1986 ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกือบทั้งหมด (เว้นหนึ่งชนิด) ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทต่างๆ ที่รู้ว่าพวกเขาจะแทบไม่ต้องรับผิดชอบ (**liable**) ต่ออันตรายร้ายแรงเลย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ โรคเรื้อรัง (**chronic diseases**) ในเด็กของเราพุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน (**immune system dysregulation**) หากเราต้องการระบุปัจจัยสัมผัส (**exposures**) ที่ก่อให้เกิดการระบาด (**epidemic**) ของโรคภูมิต้านตนเอง (**autoimmune diseases**) นี้ เราจำเป็นต้องแยกผลิตภัณฑ์ที่ให้หลายสิบครั้งกับเด็กเล็ก ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับเปลี่ยนระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ ออกไปในฐานะตัวการที่อาจเป็นไปได้ (**potential culprits**) ทารกและเด็กของเราสมควรได้รับการทดสอบความปลอดภัยที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา เราควรใส่ใจเด็กทุกคนที่อาจได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้เท่ากับเด็กทุกคนที่อาจได้รับอันตรายจากโรคติดเชื้อ เราต้องปกป้องเด็กทุกคน หมายเหตุ: * [ลิงก์ fda.gov 1](fda.gov/media/130326/d...) (“**พลาซีโบ (Placebos)** หมายถึงสารเฉื่อย (**inert substances**) ที่ไม่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (**pharmacologic activity**) มักใช้ในการศึกษาทางคลินิกแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมอำพรางทั้งสองฝ่าย (**double-blind, randomized controlled clinical trials**)”; [ลิงก์ fda.gov 2](fda.gov/media/71349/do...) (“การออกแบบกลุ่มควบคุมด้วย **พลาซีโบ (placebo control design)** โดย...รวมกลุ่มที่ได้รับการรักษาเฉื่อย (**inert treatment**)...”); [ลิงก์ cdc.gov](cdc.gov/vaccines/gloss...) (“**พลาซีโบ (Placebo)**: สารหรือการรักษาที่ไม่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต มักใช้เป็นตัวเปรียบเทียบกับวัคซีนหรือยาในการศึกษาทางคลินิก”) ** แม้ข้างต้นจะกล่าวถึงวัคซีนชนิดฉีด รายชื่อที่ **ซีเอ็นเอ็น** อ้างอิงยังรวมการทดลองวัคซีนโรตาไวรัส (**rotavirus vaccine**) ซึ่งให้ทางน้ำยาหยอด (ไม่มีการทดลองใดใช้น้ำเกลือ (**saline**) เพียงอย่างเดียว): **อาร์ซีที** 205, 207, 208, 209, 210, 213 (Rotarix) มี dextran, sorbitol, กรดอะมิโน, dulbecco’s modified eagle medium, แคลเซียมคาร์บอเนต, และ xanthan; **อาร์ซีที** 211, 212 (RotaTeq) มี polysorbate 80, sucrose, citrate และ phosphate; **อาร์ซีที** 206, 214 (Rotavac) มี neomycin sulphate, kanamycin acid sulphate, trehalose, lactalbumin hydrolysate, human albumin, potassium dihydrogen orthophosphate, dipotassium hydrogen orthophosphate, และ trisodium citrate dihydrate รายชื่อยังรวมการทดลองวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบสูดดม (**inhaled flu vaccine**) 3 รายการ: ตัวควบคุมใน **อาร์ซีที** 104 เป็น OPV+น้ำเกลือ หรือ LAIV (วัคซีน) จึงไม่เฉื่อย; ใน **อาร์ซีที** 106 ตัวควบคุม "ประกอบด้วยของเหลวอัลแลนทอยด์ปกติ (**normal allantoic fluid**) ที่เก็บได้จากไข่ที่ไม่ติดเชื้อและทำให้คงตัว (**stabilized**) ด้วย sucrose–phosphate–glutamate"; และใน **อาร์ซีที** 109 ตัวควบคุมคือ "สเปรย์พ่นจมูก (**intranasal spray**) ของอัลแลนทอยด์ฟลูอิดผสม sucrose-phosphate-glutamate"
สื่อในอเมริกา ออกข่าวชัดเจน พร้อมโชว์หลักฐาน ไทม์ไลน์ ขบวนการโกหก ที่มีหัวโจกชื่อ Anthony Fauci หรือชื่อไทยๆ ว่า นาย "เฝ้าขรี้" ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด เกือบทุกวัน จะเห็นนาย เฝ้าขรี้ Fauci ให้ข่าวตามสื่อกระแสหลัก ต้อนให้คนไปฉีดวัคซีน บอกให้ใส่หน้ากาก บอกให้แยกตัว เก็บตัว ให้ห้างร้านปิดขาย จนเจ๊ง เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไปทั่ว ตอนนี้ มีคนขุดว่า Fauci มั่ว และตั้งใจ 💥โกหก💥 โดยเรื่องสำคัญที่สุด คือ เรื่องที่เชื้อโควิด เป็นฝีมือมนุษย์ ในช่วงเริ่มต้นการระบาดใหม่ มีนักวิทยาศาสตร์หลายราย รวมทั้งนักไวรัสวิทยาที่ได้รางวัลโนเบล อย่าง Prof Luc Montagneir, ออกมาบอกโลกว่า เชื้อไวรัสโควิด เป็นฝีมือมนุษย์สร้าง Anthony Fauci ซึ่งขณะนั้นเป็น ผอ NIAID รีบจัดประชุมลับกับเจ้านาย Francis Collins ผอ NIH ให้หาวิธี *กลบข่าว* นี้ แถมยังบอกให้ Anderson นักวิจัยในกำกับ เขียนงานวิจัยเพื่อ "หลอกสังคม" ว่า เชื้อโควิด มาจากธรรมชาติ เสร็จแล้ว Fauci เฝ้าขรี้ ก็เอางานวิจัยดังกล่าวมาแถลงข่าว อ้างว่า เชื้อมาจากธรรมชาติ ทั้งที่จริงๆ Fauci เป็นคนสั่ง/ให้เงินสนับสนุนการเขียนรายงานนั้นเอง คำถาม คือ ทำไม Fauci ต้อง ปกปิด ความจริง? คำตอบ คือ เพราะว่า Fauci เป็นคนให้ทุน วิจัยเพื่อ สร้างเชื้อโควิด เอง งานวิจัยที่เรียกว่า gain of function research, GOF โดยเป็นการให้ทุนผ่าน Ecohealth Alliance ที่มี Peter Daszak เป็นหัวหน้า Peter Daszak คนเดียวกันที่ นำทีมจาก WHO ไปตรวจสอบห้องปฏิบัติการใน อู่ฮั่น แล้วทำรายงานหลอกชาวโลกว่า เชื้อโควิด ระบาดมาจากตลาด ไม่ได้มาจากห้องปฏิบัติการอู่ฮั่น ที่เขาเองเป็นคนให้ทุนวิจัย Peter Daszak แห่ง Ecohealth Alliance มาให้ทุน ห้องปฏิบัติการในไทยด้วย ให้ทุนทำอะไร เกี่ยวกับการทำวิจัยเพื่อสร้าง เชื้อโรค สร้างอาวุธชีวภาพหรือไม่ ต้องไปตามอ่านบทความของอาจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา โดยเฉพาะคำอธิบายของท่านว่า ทำไมท่านจึงต้องลาออกจากการเป็นหัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ ฝากนักข่าวไทย ที่ยังพอมี จรรยาบรรณวิชาชีพ ยังสนใจรายงาน "ความจริง" อยู่ช่วยกรุณาทำข่าวนี้ด้วยครับ https://mgronline.com/qol/detail/9680000011076