"ชีวิตอาจล็อกประตูขวางหน้าเพื่อคัดกรองความอ่อนแอ แต่จะเปิดกว้างต้อนรับเสมอสำหรับคนที่กล้าเอาชนะใจตัวเองให้ได้กลับบ้าน... พร้อมหัวใจดวงใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม"
บางทีชีวิตก็เปรียบเหมือนการเดินทางไกลที่ไร้แผนที่ เดินเพลินๆ อยู่ดีๆ ประตูบานหนึ่งก็อาจปรากฏขึ้นขวางหน้า
โดยไม่มีป้ายบอกเตือนระดับความยากง่าย มีเพียงความเงียบงันที่ท้าทายให้เราตัดสินใจว่า... จะกล้าเปิดเข้าไปหรือเปล่า
สมัยก่อน ผมมักมองว่าประตูอุปสรรคเหล่านี้คือสิ่งกีดขวางที่น่ารำคาญ แต่พอได้เผชิญหน้ากันบ่อยเข้า มุมมองก็เริ่มเปลี่ยนไป
ผมเริ่มเห็นความจริงว่า หลังบานประตูที่ดูน่ากลัวเหล่านั้น มักมีตัวเราคนใหม่ที่เข้มแข็งกว่าเดิมซ่อนอยู่เสมอ
เหมือนชีวิตตั้งรหัสผ่านเอาไว้ว่า... ต้องก้าวผ่านความกลัวไปให้ได้ก่อน ถึงจะได้รางวัลล้ำค่านั้นมาครอบครอง
หากเราเลือกที่จะถอยหลัง เราก็จะวนกลับไปอยู่ที่เดิม ด้วยหัวใจดวงเดิมที่ยังคงตื่นกลัวกับเรื่องเดิมๆ แต่หากเรากลั้นใจก้าวข้ามไป แม้ท่าทางจะดูโซเซ หรือยังไม่สมบูรณ์แบบนัก
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดจากโลกที่ใจดีกับเรามากขึ้นหรอกครับ
มันเกิดจากพื้นที่ภายในใจของเราที่ขยายกว้างขึ้นต่างหาก
เราจะเริ่มรับมือกับความกังวลได้นิ่งขึ้น อ่านความรู้สึกคนรอบข้างได้ดีกว่าเดิม และที่สำคัญ... เรารู้จักวิธีวางของหนักลงจากบ่า ก่อนที่ขาจะทรุดลงไป
บททดสอบหลังประตูแต่ละบานมีรสชาติไม่เหมือนกัน บางครั้งมันก็มาในรูปแบบของการสูญเสีย บางครั้งเป็นความอึดอัดที่ยาวนาน
หรือบางทีก็เป็นความผิดพลาดที่ทำเอาเราอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน
มันเปรียบเสมือนครูจอมเฮี้ยบที่ไม่ค่อยพูดพร่ำทำเพลง แต่จะสอนบทเรียนที่ตรงจุดและเจ็บลึกที่สุดเสมอ
ผมชอบคิดเสียว่า ด่านเคราะห์เหล่านี้มันเกิดขึ้นเพื่อวัดทักษะชีวิตที่เราอาจหลงลืมฝึกฝน ทั้งความอดทน สติ และความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
พอผ่านมันไปได้ สิ่งที่เราได้ติดมือมาคือขุมพลังในใจที่จะพาเราไปต่อในด่านถัดไปได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเอาไว้คุยโว
ท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนที่เก่งกล้าขึ้นมันเกิดจากวินาทีนั้น...
วินาทีที่เรายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไป...
ทั้งที่ขายังสั่นอยู่นั่นแหละครับ
#JakkDiary #Siamstr

บ้างวิ่งเหยาะๆ จนเหงื่อซึมเสื้อ และบ้างก็สวมรองเท้าแตะเดินทอดน่องคุยโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์
ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่พาตัวเองมาวนเวียนอยู่รอบผืนน้ำแห่งนี้ (โดยบังเอิญ)
จำได้ว่าสมัยเริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ สายตาของผมมักจะพุ่งตรงไปจับจ้องอยู่ที่ปลายทางเสมอ
พอมองข้ามฝั่งไปเห็นระยะทางที่ทอดยาว ก็พาลให้ใจฝ่อตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มก้าวขา รู้สึกเหมือนหนทางมันช่างไกลแสนไกล
การวิ่งในตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความกดดัน เหมือนมีเสียงนาฬิกาเร่งรัดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่จะถึง... เมื่อไหร่จะจบภารกิจนี้เสียที
จนวันหนึ่ง ผมลองเปลี่ยนวิธีวางสายตาดูใหม่
แทนที่จะมองไปไกลจนสุดขอบฟ้า ผมลองดึงความรู้สึกกลับมาอยู่กับลมหายใจใกล้ๆ ตัว จดจ่ออยู่กับจังหวะเท้าที่กระทบพื้น ฟังเสียงน้ำกระฉอกกระทบตั่ง
มองดูดอกหญ้าข้างทาง หรือยิ้มให้เด็กน้อยที่ปั่นจักรยานสวนมา
จู่ๆ โลกที่เคยกว้างใหญ่และน่าเหนื่อยหน่าย ก็ย่อส่วนลงมาเหลือเพียงแค่ระยะหนึ่งก้าวตรงหน้า
ปลายทางยังคงอยู่ที่เดิม ระยะทางก็ไม่ได้สั้นลง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คือความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
ผืนน้ำกว้างใหญ่นี้สอนบทเรียนสุขภาพให้ผมโดยไม่ต้องมีป้ายคำคมแปะบอก
มันสอนว่า หากเราโหมวิ่งเร็วเกินกำลังเพื่อหวังผลลัพธ์ทันตา รอบแรกเราอาจจะเข้าเส้นชัยได้อย่างสวยงาม
แต่วันรุ่งขึ้น ร่างกายและหัวใจอาจจะประท้วงจนไม่อยากลุกออกมาอีกเลย
กลับกัน หากเรารักษาจังหวะก้าวให้พอดีกับที่ร่างกายรับไหว
วันพรุ่งนี้เราจะยังมีแรงเหลือพอที่จะก้าวออกจากบ้านได้ใหม่ หัวใจจะค่อยๆ จดจำว่า การดูแลตัวเองคือวิถีชีวิตปกติที่ทำได้เรื่อยๆ
ไม่ใช่ภารกิจพิเศษแสนสาหัสที่ต้องใช้แรงฮึดเป็นครั้งคราว
เรื่องของจิตใจก็ใช้หลักการเดียวกันครับ
ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างจำเป็นต้องอาศัยกาลเวลาบ่มเพาะ บาดแผลบางเรื่องไม่อาจสมานได้สนิทเพียงชั่วข้ามคืน
ทางวิ่งรอบอ่างเตือนสติผมเสมอว่า
สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ มากกว่าการเร่งรีบพาตัวเองไปให้ถึงเส้นชัย
ทุกเย็นที่ได้มาเดินทอดน่องริมน้ำ ผมเหมือนได้กลับมาทบทวนกับตัวเองซ้ำๆ ว่าเราอยากจะดูแลกายและใจนี้ในระยะยาวแบบไหน
คำตอบคือ... ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ หายใจ
รักษาความรู้สึกดีๆ เอาไว้ ให้พรุ่งนี้เรายังมีเหตุผลที่อยากจะกลับมาหาความสุขรอบอ่างน้ำแห่งนี้ได้อีกครั้ง... ก็พอแล้วครับ
"ความยั่งยืนของการดูแลสุขภาพ ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วในการเข้าเส้นชัยในวันเดียว มันวัดกันที่ว่า... พรุ่งนี้เรายังมีความสุขที่จะลุกออกมาวิ่งอีกไหม"
#JakkDiary #Siamstr #Running
หลายปีมานี้ ผมเริ่มคุ้นชินและโอบกอดจังหวะชีวิตใหม่ของตัวเอง
เป็นจังหวะที่ไม่ต้องคอยเร่งฝีเท้าเพื่อแซงหน้าใคร และหมดความรู้สึกที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้โลกยอมรับ
ในสายตาคนภายนอก ผมอาจดูเหมือนคนเงียบเชียบ ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวช้าลง และใช้เวลาไตร่ตรองนานขึ้นกว่าจะเอื้อนเอ่ย
เมื่อเจอแรงปะทะ ก็มักจะทำเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วนิ่งฟัง
ความนิ่งที่ว่านี้ แท้จริงแล้วคือความรู้สึกที่ตื่นรู้อยู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยม
ผมยังคงรับรู้ถึงความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า ความเสียใจ หรือความหวั่นไหวได้ชัดเจนเฉกเช่นคนทั่วไป
ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไป คือการที่ผมหวงแหนพื้นที่ว่างก่อนที่จะปล่อยให้คำพูดหรือการกระทำหลุดออกไป
ผมเลือกที่จะเว้นจังหวะ ให้หัวใจได้มีโอกาสหายใจและจัดระเบียบตัวเองก่อนเสมอ
ประโยคที่ผมใช้กล่อมเกลาใจตัวเองอยู่เสมอก็คือ
"ไม่ต้องเร่ง... ขอแค่ให้เติบโต"
การเติบโตในความหมายของผม คือ ความงอกงามในรายละเอียดเล็กๆ ของความรู้สึก
เช่น การสังเกตว่าคลื่นอารมณ์ที่เคยโหมกระหน่ำ วันนี้มันเบาแรงลงบ้างไหม
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหัวที่เคยดังอื้ออึง ปีนี้มันแผ่วลงไปบ้างหรือยัง
หรือในยามที่ถูกเข้าใจผิด ใจเรายังร้อนรนที่จะรีบแก้ต่าง หรือเริ่มวางเฉยและปล่อยผ่านได้ดีขึ้น
ในทุกๆ วัน ผมจึงมักกันพื้นที่เงียบสงบไว้มุมหนึ่ง
อาจเป็นยามเช้าตรู่ก่อนที่โลกจะตื่น หรือยามค่ำคืนที่เสียงอึกทึกจางหาย
ช่วงเวลานั้นเปรียบเสมือนการเดินเข้าสู่ห้องทดลองส่วนตัวในใจ ห้องที่ปราศจากผู้พิพากษา มีเพียงคำถามง่ายๆ ที่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของตัวเอง
"วันนี้... มีอะไรที่สะกิดใจเราแรงที่สุด?"
"ความกลัวแบบไหนกันนะ ที่ซ่อนอยู่หลังคำพูดเมื่อเช้า?"
"ทำไมเรื่องเล็กเพียงแค่นั้น ถึงทำให้เราหงุดหงิดได้ขนาดนี้?"
ผมมองทุกอารมณ์เป็นข้อมูลที่ล้ำค่า เพื่อใช้ทำความเข้าใจรูปแบบของจิตใจ มากกว่าจะใช้เป็นไม้เรียวไว้คอยเฆี่ยนตีตัวเอง
บางวันอ่านบันทึกใจแล้วก็นึกขำในความดื้อรั้นของตัวเอง แต่บางวันก็นั่งนิ่งไปนาน เพราะตระหนักได้ว่าบางเรื่องราวยังไม่ตกผลึกดี
เจตนาของผม คือความตั้งใจที่จะรับผิดชอบต่อแรงสั่นสะเทือนภายในใจตัวเอง
ดูแลมันให้ดี... เพื่อไม่ให้มวลอารมณ์เหล่านั้น ไหลบ่าไปกระแทกคนรักหรือคนใกล้ชิดโดยไม่จำเป็น
เมื่อมองชีวิตผ่านเลนส์ของความเข้าใจเช่นนี้ คำเร่งเร้าอย่าง... "ต้องรีบหาย ต้องรีบเก่ง ต้องรีบลืม" จึงค่อยๆ เลือนหายไป
และถูกแทนที่ด้วยคำถามที่เรียบง่ายกว่าเดิม...
"วันนี้... เราเข้าใจตัวเองเพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วใช่ไหม?"
"ความโกรธเกรี้ยว... ช้าลงกว่าปีก่อนหรือเปล่า?"
"และเรา... ให้อภัยตัวเองได้เก่งขึ้นบ้างไหม?"
หากในหนึ่งปี ผมสามารถตอบว่า ใช่ ได้เพียงไม่กี่ข้อ ผมก็นับว่าปีนั้นเป็นปีที่คุ้มค่าและไม่เสียเปล่าเลย
จังหวะก้าวเดินจากนี้ จึงไร้ซึ่งเสียงนาฬิกาที่คอยกดดัน เหลือเพียงเสียงกระซิบเบาๆ จากหัวใจที่บอกว่า...
ค่อยเป็นคน ค่อยเป็นใจ และค่อยๆ เติบโตลึกลงไป... ในความจริงของตัวเองก็พอ
#JAKKDIARY #SIAMSTR
เรามักถูกปลูกฝังให้เติบโตมาพร้อมกับเหตุผล
ถูกสอนให้คิดหน้าคิดหลัง วางแผนให้รัดกุม และเปรียบเทียบทุกทางเลือกอย่างละเอียด
จนทักษะการวิเคราะห์ของเราแข็งแกร่ง
แต่เรื่องที่น่าแปลกคือ พอถึงเวลาต้องก้าวเท้าออกจากจุดเดิมจริงๆ ขาที่ควรจะก้าวกลับหนักอึ้งและขยับไม่ออกเสียอย่างนั้น
ที่เป็นแบบนั้นเพราะ เหตุผลทำหน้าที่เสมือนแผนที่นำทางที่ช่วยให้เห็นเส้นทางชัดเจน
ทว่าสิ่งที่จะขับเคลื่อนให้เราลุกจากเก้าอี้ออกไปเผชิญโลกได้จริงๆ กลับเป็นหน้าที่ของหัวใจที่เปรียบเสมือนเครื่องยนต์
หากเรามีแต่แผนที่เต็มมือแต่เครื่องยนต์ข้างในดับสนิท แผนการเหล่านั้นก็คงเป็นได้เพียงกระดาษเปื้อนหมึกที่วางกองไว้เฉยๆ
แท้จริงแล้ว... อารมณ์กับเหตุผลคือเพื่อนร่วมทางที่ขาดกันไม่ได้ครับ
เปรียบเสมือนแขนซ้ายที่กางแผนที่เพื่อดูทิศทาง ในขณะที่แขนขวาก็ทำหน้าที่เข้าเกียร์พาเราออกตัวไปข้างหน้า
โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราจะดูแลเครื่องยนต์หัวใจนี้อย่างไรให้มีพลังอยู่เสมอ
คำตอบอาจเริ่มจากการสำรวจลึกลงไปว่าสิ่งที่หัวใจเราให้คุณค่าจริงๆ คืออะไร?
บางคนรักอิสระเป็นชีวิตจิตใจ
บางคนยิ้มได้กว้างที่สุดเมื่อเห็นครอบครัวปลอดภัย
หรือบางคนใจเต้นแรงเสมอเมื่อได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ
สิ่งเหล่านี้แหละครับ คือ เชื้อเพลิงชั้นดี
เมื่อเรานำเหตุผลมาผูกโยงกับสิ่งที่เรารัก
แผนการบนกระดาษที่เคยแห้งแล้งจะเริ่มมีความอบอุ่นและมีชีวิตชีวาขึ้น
เป้าหมายเรื่องการเก็บเงินหรือดูแลสุขภาพ หากมองด้วยเหตุผลอาจดูไกลตัว
แต่ลองจินตนาการถึงภาพวันที่เราแข็งแรงพอจะวิ่งเล่นกับลูกหลานในวัยชราดูสิครับ
ความรู้สึกอุ่นวาบในใจจะเปลี่ยนคำว่าหน้าที่ที่ควรทำ ให้กลายเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อคนที่เรารักไปโดยปริยาย...
ในวันที่เหนื่อยล้าจนอยากจะผัดวันประกันพรุ่ง
แทนที่จะดุด่าหรือตำหนิตัวเองซ้ำๆ ลองกลับมาเช็กดูว่าเชื้อเพลิงก้อนไหนของเราที่พร่องไป
เราอาจเผลอลืมภาพฝันที่อยากไปถึง
อาจห่างเหินจากคนที่เป็นแรงบันดาลใจ
หรืออาจหลงลืมการดูแลร่างกายจนแรงกายหดหายไป
เมื่อเราให้เหตุผลช่วยดูทิศทาง และอนุญาตให้หัวใจทำหน้าที่จุดไฟ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างสมองหรือความรู้สึกอีกต่อไป
เพราะชีวิตที่สมดุลคือการเดินทางที่เรารู้ทั้งทิศที่จะไป และยังมีแรงใจที่จะเดินต่อไปในทุกๆ เช้าครับ
"มอบหน้าที่การวางแผนเส้นทาง... ให้เป็นเรื่องของเหตุผล และปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่บอกเล่าว่า...
ปลายทางนั้นมีความหมายเพียงใด และใครคือคนที่เราอยากจูงมือเดินไปให้ถึง"
#JakkDiary #Siamstr