image เด็กมหาลัยยืนชูป้ายออกช่องกีฬาดัง หวังขอ #Bitcoin จากแม่ แต่ได้ไป 22 #BTC !!! 🔥 อย่างที่เห็นเลยสหาย... เด็กมหาลัยในภาพ ยืนชูป้าย "HI MOM SEND" ต่อด้วย QR Code และโลโก้ Bitcoin อารมณ์แบบ "เฮ่ แม่ ส่ง Bitcoin ให้หน่อย" (ส่งผ่าน QR Code ที่ชูนั่นแหละ55555) 🤭 แต่ไม่ได้ยืนชูตามท้องถนนนะ แต่ยืนถือป้ายนี้ออกช่องกีฬาชื่อดังของอเมริกา "ESPN" เอากับน้องแกสิ ! ไม่รู้มีคนเห็นไปตั้งกี่คนเลยตอนนั้น 🤣 เรื่องนี้เกิดขึ้นราว 12 ปีก่อน จบลงที่เด็กคนนี้ได้รับ Bitcoin ไปราว ๆ 22 BTC ซึ่ง ณ วันนี้มีมูลค่า "เกือบ $2 ล้าน" (เกิน 64 ล้านบาทไทย) 🎉 ปะ... สหาย เราไปหาป้ายกันคนละอันเถอะ อะแซวเล่นนน ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image กว่า 13 ปีแล้ว กับเหรียญทอง #Bitcoin ในตำนาน และ Jay ผู้สร้างวัฒนธรรม "Wen Lambo?" 🥇 ไอหนุ่มแลมโบกลับมาอีกแล้วสหาย ! โดยหลังจากพลิกชีวิตจากการ All in ลงในการ์ดจอเพื่อขุด #BTC ก็ยังซื้อรถแลมโบกินีด้วย Bitcoin จนโลกต้องจารึกว่า "แลมโบ" คือสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในตลาดคริปโต จนทำเอาคนถามหาแต่แลมโบกันทั้งตลาด ("Wen Lambo?") แต่เขายังเหลืออีกตำนาน... 🤣 นอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ข้างต้น พี่แกยังเป็นผู้ซื้อ "เหรียญทอง Casascius" หรือเหรียญทองกลม ๆ ที่มีโลโก้ Bitcoin สวยสง่า เป็นของกายภาพที่จับต้องได้ในชีวิตจริง แล้วแถมด้านในยังมี Bitcoin จริง ๆ ฝังอยู่ 1,000 BTC ด้วยนะ !!! 🔥 เหรียญทองของเขาถือว่าเป็นของแรร์สุด ๆ เพราะมันมีเพียงแค่ 3 ชิ้นบนโลก !!! และความจริงมันคือเหรียญที่มีมูลค่า "มากที่สุดในโลก" ณ ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ !!! จนเขาให้สัมภาษณ์ว่า... การที่ผู้คนรู้ว่าเหรียญมีมูลค่าขนาดนี้อยู่กับเขา แอบเครียดมากกว่าภูมิใจ 💰 กรอบใส่เหรียญจะมีตัวเลขฐาน 2 จึงมีแต่เลข 0 กับ 1 รอบ ๆ แบบโคตรเท่สะใจ ถูกใจสาย Geek หรือคนที่อินกับการเขียนโค้ดเลยสหาย ! 💻 เหรียญทองดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น "ทองคำบริสุทธิ์ .999" (ทองคำ 99.9%) น้ำหนัก "1 ทรอยออนซ์" ตรงด้านบนของหน้าเหรียญ ⚖ มีปีระบุไว้พร้อมชื่อเหรียญ โดยสลักเอาไว้ด้านขวาของหน้าเหรียญว่า "2012 Casascius" 📌 นอกจากนั้นตรงหน้าเหรียญด้านซ้ายยังมีการสลักคำเอาไว้ว่า "Vires in numeris. ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลได้ประมาณว่า "พลังอยู่ที่จำนวน" เป็นวลีที่มักใช้ในบริบทของ Bitcoin ตีความได้ประมาณว่าความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของระบบไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานจำนวนมากในเครือข่าย ทุกธุรกรรม โหนด หรือบล็อกที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความปลอดภัยของระบบแบบกระจายศูนย์ คาดว่าหมายถึงอะไรประมาณนั้น 🗣 เจ้าเหรียญทองที่ว่ามีระบุสลักไว้ชัดเจนตรงด้านล่างของหน้าเหรียญ ว่ามีอยู่ "1,000 Bitcoins" อยู่ในนี้จ้า ซึ่งก็จะมีชุด Private Key สำหรับเข้าถึง 1,000 BTC อยู่ในนั้น ใต้ฉลากที่มีไว้ป้องกันการงัดแงะ (เพราะถ้ามีการเปิดออก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย ฉลากนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการแอบเปิดแบบไม่ให้ใครรู้โดยเฉพาะ) 📜 Jay ซื้อเหรียญนี้มาทั้งหมดในราคา $5,000 แต่ปัจจุบันแค่มูลค่า Bitcoin ข้างในก็ตก $67M (หกสิบเจ็ดล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าไปแล้ว !!! ก็คือถ้าแกะเอา BTC ข้างในตอนนี้มาขาย (สมมุตินะ แต่ Jay คงไม่ทำ เพราะเขารัก Bitcoin มาก ๆ) คิดเป็นเงิน Fiat เขาจะได้กำไร "13,400,000 เท่า" แค่นั้นเอ๊งงง !!! 🚀 แหม่... อยากจะได้สักเหรียญจังเลยน้า ใครมีส่งให้พ่อมดได้นะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image #Bitcoin วันนั้นได้แม็คโดนัลด์ 1 มื้อ วันนี้ได้รถมาเซราติ คันละ 7 ล้าน ! 🎉 “ตอนปี 2011 หรือหลังจากนั้นนี่แหละ ผมถอน 2-4 Bitcoin เพื่อซื้อ McDonald's กินหนึ่งมื้อ” - ผู้ประกอบการชาวออสเตเลีย นามว่า "Kane Ellis" 🗣 โชคดีนะที่เขาขายแค่จำนวนเล็ก ๆ จากที่ถืออยู่ ไม่งั้นอาจจะต้องมานั่งเสียดายไปทั้งชีวิตแน่ 😅 ตอนนั้นแค่ถอนไปซื้อแม็คโดนัลด์กินมื้อเดียว โดนไป 2-4 Bitcoin โดยประมาณ เลยนะ 🔥 แต่หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็กะว่าจะถอนอีก ซึ่งก็กะถอนจำนวนเล็ก ๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ เห็นว่าจะเอามาปรนเปรอตามใจตัวเองบ้าง 😁 แต่ไอจำนวนเล็ก ๆ ที่ว่ารอบนี้มันไม่เท่าเดิม ! ไอเล็กน่ะใช่ แต่ถอนออกมามูลค่ามันเพิ่ม !!! จนซื้อรถมาเซราติสีเหลือง ได้คันหนึ่ง !!! 🏎 คันละ $200,000 (เกือบ 7 ล้านบาทไทย) 📌 การใช้จ่าย #BTC ที่ตัวเองมี ไม่ผิดนะสหาย แต่พออ่านเรื่องนี้จบ ใครจะกล้าใช้ฟระ !!! 🤣 พวกเจ้าคิดว่าไงสหาย ? ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image สมัยก่อน กระเป๋า #Bitcoin ของชาวบ้านทั่วไป จะถือกันคนละ 50 #BTC ก็นับเป็นเรื่องปกติ 😲 โดยเมื่อ 14 ปีก่อน การจะโอนเข้าโอนออกกันเป็นหลัก Bitcoin (ไม่ได้โอนเป็นทศนิยมหรือหน่วยย่อยที่เรียกว่า Satoshi หรือ Sat) เช่น โอนทีละ 20 BTC นับว่าไม่แปลกและไม่ได้น่าตกใจอะไรเลย เรียกได้ว่าสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน 🌞 ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบันนี้ 50 BTC จะเป็นมูลค่าเกิน $5M (เกิน 161 ล้านบาทไทย) เผลอ ๆ ขยับที Whale Aleart นี่แจ้งเตือนกันแล้ว 🐳 ล่าสุดพึ่งเห็นมาเลย กระเป๋ามีเงินหลักล้านดอลโดน freeze ก็ขึ้นแจ้งเตือนแล้ว BTC ขยับหลักร้อยก็แจ้งเตือน ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก มูลค่ามันเยอะ ไม่ได้ว่าอะไรคนที่ติดตามเลยนะสหาย แค่เล่าสู่กันฟังว่าเมื่อก่อนจำนวนเท่านี้มันปกติมาก อารมณ์พาย้อนวันวาน ฟังปู่เล่าหน่อยนะหลาน อะไรงี้ สงสัยเหงา 🤣 บรรยากาศเมื่อก่อน มันดูสนุกดีเนอะ เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีแนวคิดเหรียญแบบ Dogecoin เกิดขึ้น เพราะเมื่อก่อนมันก็ดูเป็นของเล่นปุ๊กปิ๊กที่โอนให้กันได้สนุกสนานและเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ให้ผู้คนได้ติดต่อสื่อสารกันจริง ๆ นั่นแหละ แต่ทุกวันนี้ถามว่ามันเติบโตมาในทางที่ถูกที่ควรแล้วไหม แน่นอนสหาย ข้าเชื่อเยี่ยงนั้น ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image การ์ดจอธรรมดา... ขุดเจอ 25 #BTC !!! รุ่นเก๋าเขาทำกัน ! 😎 . เครื่องขุดหน้าตาประหลาด ที่เราเห็นในภาพประกอบ มันคือเครื่องขุด #Bitcoin ใช้ขุดได้จริง ๆ นะ !!! สมัยยุครุ่นเก๋าเขาขุดกัน . ถ้าใครเกิดสงสัยขึ้นมาว่า มันก็แค่ "การ์ดจอ" ธรรมดา ที่อยู่ในคอมเราไม่ใช่เหรอ ? คำตอบคือ... ใช่เลย !!! มันแค่ GPU คอมนี่แหละ . แต่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ เพราะในบล็อกแรกสุด ของ Halving ปี 2012 (Halving ครั้งแรกของโลก) เคยมีคนใช้มันขุดสำเร็จ . ตอน Halving ครั้งแรก รางวัลของผู้ที่ปิดบล็อกได้ จากบล็อกละ 50 BTC จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง เหลือ 25 BTC ต่อบล็อก . การ์ดจอธรรมดาอันเดียว ได้ 25 BTC ในบล็อกนั้น เปิด Halving ปุ๊บ... ปิดบล็อกแรกสำเร็จเลย และได้รางวัลทั้งหมด . แต่เพื่อความแฟร์นะสหาย ต้องบอกไว้ก่อนว่าสมัยนั้น ยังไม่ได้มีเครื่อง ASIC . คนส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ GPU และก่อนหน้านั้นเป็น CPU บน Laptop ก็มีด้วยซ้ำ . จึงอาจนับว่าความสำเร็จนี้ ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือโชคดีนัก (หมายถึงในด้านกำลังขุด) เพราะคู่แข่งส่วนใหญ่เอง ก็เป็นการ์ดจอเหมือนกัน . และไม่นานในปี 2013 ซึ่งเวลาไล่เลี่ยกันมาก เครื่อง ASIC ค่อยมา . โดยรุ่นของการ์ดจอที่ใช้ คือซีรีส์ Radeon HD 5800 ซึ่งการ์ดจอนี้ราคา $500 หรือประมาณ 16,145 บาท ถือว่าก็แรงแล้วมั้ง สมัยนั้น . หลายคนอาจจะมองว่า... การ์ดจอสเปคแค่นี้ "แพงจัง" ก็คงไม่แปลก เพราะสมัยนั้น การ์ดจอยังราคาสูงมากกก รุ่นแรง ๆ ก็มีแค่ประมาณนี้ . ต่างกับสมัยนี้ที่มีแรงกว่ามาก แถมรุ่นเก่า ๆ ที่ออกมานาน... ก็ราคาตกจนถูกแบบทุกวันนี้ . แต่ความพีคที่ชวนเอาตกใจ คือการ์ดจอที่ว่าไปเครื่องนี้ พึ่งเริ่มขุดได้ไม่ถึงสัปดาห์ 🔥 . บางคนขุดมาทั้งชีวิตก็มี ยังไม่เคยปิดบล็อกได้สักครั้ง อันนี้ขุดไม่ถึงสัปดาห์ได้เลย . ซึ่งผู้ที่ขุดได้ตอนนั้นคือ Mining Pool ชื่อ "Slush" (มีข่าวประกาศไปทั่วเลย) . ใครไม่รู้จัก Mining Pool มันคือการเอาพลังขุด จากเครื่องขุดตัวเอง ส่งไปรวมกันเพื่อช่วยกันขุด แล้วแบ่งรางวัลที่ได้ร่วมกัน . เจ้าของการ์ดจอในตำนาน ที่ใช้ปิดบล็อกสำเร็จนี้ ใช้ชื่อเล่นว่า "laughingbear" . ภายหลัง (26 ส.ค. 2013) การ์ดจอนี้ได้ถูกขายให้กับ "ช้างน้อย" (Chaang Noi) สมาชิกชื่อดังคนหนึ่งใน... เว็บไซต์ BitcoinTalk . มีรูปภาพจำนวนหนึ่ง ของการ์ดจอเครื่องนี้ ถูกโพสต์ลงใน Bitmit เว็บซื้อขายของออนไลน์ หน้าตาคล้าย Ebay แต่ใช้ Bitcoin ซื้อขาย แต่ตอนนี้ภาพหายหมด . หวังว่าเรื่องนี้จะอ่านกัน แล้วสนุกสนานนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ . #พ่อมดคริปโต #siamstr
image "พื้นฐาน" ของ #Bitcoin ไม่เคยเปลี่ยนไป... มีแต่ "ใจคน" ที่เปลี่ยน... (ตามราคา555) 🧙‍♂️ #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr
image ครบรอบ 15 ปี "#Bitcoin Logo Day" !!! 🎉 วันกำเนิดโลโก้ #BTC ที่ใช้กันมาจนวันนี้ 🎂 วันนี้ (1 พ.ย.) แต่เป็นเมื่อปี 2010 ถือเป็น... วันเกิดโลโก้ Bitcoin สีส้มอ้วนกลมที่ใช้กัน ซึ่งมันก็คือโลโก้อันปัจจุบันนี้แหละ !!! 🥳 ภาพโลโก้ BTC ที่พวกเราใช้กันทุกวันนี้นั้น... ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่โดยศิลปินท่านหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงบนโลกออนไลน์ว่า "bitboy" ซึ่งเป็นนามแฝงบนเว็บ Bitcointalk forum ซึ่งก็คือเว็บที่โลโก้นี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรก 🖼 โลโก้นี้ถูกระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ชัดเจน เช่น "ภาพนี้ปรับเอียง 14% ตามเข็มนาฬิกา" เป็นภาพตัดพื้นหลังโปร่งใส สกุลไฟล์ PNG ก่อนที่จะมีแบบ vector ให้โหลดภายหลัง มีลองวางให้ดูทั้งบนพื้นหลังสว่างและมืด 😲 และในหัวข้อกระทู้เดียวกันที่โพสต์เอาไว้... bitboy ก็ยังแปะภาพอื่น ๆ อีกมากมายเลย ตัวอย่าง เช่น "Bitcoin Accepted Here", "Love Bitcoin", และ "Bitcoin wallet" 👏 แต่ภาพที่ชุมชนชอบมาก เสียงตอบรับดีสุด จนถูกยกให้เป็นภาพแบรนด์ดิ้งของ Bitcoin ที่ "ดีที่สุดตลอดกาล" ก็คือ "Bitcoin Logo" และมันก็ถูกใช้งานมาจนถึงวันนี้นั่นเอง ! 💖 นี่ก็คือที่มาของภาพโลโก้ Bitcoin นั่นเอง เหรียญสีส้ม กลม ๆ ที่เอียงตามเข็ม 14% กระทู้ดังกล่าวยังอยู่เลยนะสหาย ไปดูได้ เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ แค่ภาพอาจหายหมด... คงหมดอายุ ไม่ก็เซิร์ฟเวอร์ที่รับฝากภาพ คงจะปิดตัวหรือบินไปแล้ว ไม่แน่ใจแฮะ หวังว่าจะอ่านสนุกนะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image ครบรอบ 49 ปี !!! วันกำเนิด Public/Private Key !!! ถ้าไม่มีสิ่งนี้ #Bitcoin และคริปโตก็ไม่เกิด 👏 1 พ.ย. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวัน "Diffie-Hellman day" เพื่อรำลึกถึง Whitfield Diffie และ Martin E. Hellman ผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องคู่ Public Key และ Private Key ซึ่งมันทำให้ศาสตร์ Cyptography ก้าวผ่านกำแพงด่านสำคัญของมนุษยชาติมาได้จนวันนี้ !!! คารวะจากใจจริงขอรับ 🙏 ในสมัยก่อน ศาสตร์ Cryptography เคยติดปัญหาใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นั่นคือการที่ "ผู้รับและผู้ส่ง ต้องใช้ Secret Key เดียวกัน" 🗝 Secret Key เปรียบเสมือนเป็น "กุญแจลับ" ที่ใช้สำหรับ "เข้ารหัสข้อความ" (encrypt) ดังนั้นหากเราอยากจะสื่อสารกับใครแบบลับ ๆ เราจำเป็นจะต้องมี Secret Key เพื่อใช้เข้ารหัสข้อความเสียก่อน 👍 แต่ประเด็นคือ... ไอเจ้า Secret Key มันดันจำเป็นต้องใช้เพื่อ "ถอดรหัสข้อความ" (decrypt) ด้วยเช่นกัน !!! ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่มี Secret Key ของเรา ก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราสื่อสารไปหาได้ !!! เอ้า !!! ง่าย ๆ คือคนสองคนจะต้องใช้ Secret Key เดียวกัน เพื่อเข้ารหัสข้อความและถอดรหัสข้อความกันไปมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสื่อสารกันลับ ๆ สองคนได้ (แค่ฟังก็นึกภาพงานงอกออกเต็มเลย) 🤣 ตอนนี้ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ... เราต้องใช้ Secret Key ในการล็อค และต้องใช้มันในการปลดล็อคด้วยเช่นกัน ตอนนี้จึงเหมือน Secret Key มันเป็นทั้ง "แม่กุญ+ลูกกุญแจ" ในอันเดียว ถ้าเราอยากสื่อสารกับใคร ก็ต้องยอมให้เขารู้ Secret Key ของเราด้วย ทีนี้พอจะจินตนาการปัญหาที่จะตามมาได้ไหมสหาย ? 🙃 ❌ ปัญหาที่ตามมา คือ... ก็ในเมื่อทั้งผู้รับและผู้ส่งมี Secret Key เดียวกัน หมายความว่าเขาก็จะแอบอ่านข้อความที่เราคุยกับคนอื่นโดยใช้ Secret Key นี้ได้เช่นกัน (ถ้าเราแบ่ง Secret Key ให้คนอื่นใช้มากกว่า 1 คน) นี่คือปัญหาแรก !!! ❌ ไม่พอนะ... เราจะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้รับจะเอา Secret Key เราไปเพื่อใช้ถอดรหัสอ่านข้อความอย่างเดียว ในเมื่อมันคือ Secret Key เดียวกันกับที่เขาสามารถใช้เข้ารหัสข้อความและเป็นผู้ส่งได้เหมือนกัน ผู้รับจึงจะแกล้งตีเนียนเป็นผู้ส่งก็ได้ ส่งข้อความและตีเนียนเป็นอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก็ไม่รู้อยู่แล้วนิว่าใครรับใครส่ง เพราะคนเข้ารหัสกับคนถอดรหัสมันคือคนที่มี Secret Key เดียวกัน ทีนี้... ถ้าโลกยังฝืนดันทุรังใช้ศาสตร์ Cyptography ที่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้กันต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ยุค Cryptocurrency ขึ้นมา ไม่อยากจะนึกภาพเลย... ในโลกที่คนโอนเงินและคนรับเงินต้องใช้ Secret Key เดียวกัน 😱 ผู้รับเงินที่รู้ Secret Key ของผู้โอน ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต สามารถเซ็นธุรกรรมต่าง ๆ หรือ Sign Smart Contract ใด ๆ ก็ได้ จะโยกเงินเราไปที่อื่นเล่น ๆ ยังไงก็ได้ อลม่านกันหมดแน่นอนทีนี้ ต้องขอบคุณนักนวัตกรรมยุคก่อน ๆ ที่ใส่ใจกับปัญหานี้ ไม่ทู่ซี้จะมองข้ามปัญหาและพัฒนาอะไรต่อไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (เข้าใจเนอะว่าจะสื่ออะไร หึหึ...) เราจึงไม่ต้องประสบกับพหุจักรวาลนั้นกัน ฮู้เร่ !!! 55555555 🌌 และต้องขอขอบคุณ Diffie และ Hellman ที่ริเริ่ม "คู่ Public Key และ Private Key" ขึ้นมา ✅ โดยทั้ง Public Key และ Private Key จะมีความเชื่อมโยงกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เลยเป็นที่มาที่หลายคนกลัวจะโดน Quantum Computer ย้อนรอยหา Private Key กันหนักหนานั่นแหละ คือมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเสี่ยงหรอก ตอนนี้มันยังมี แต่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ขี้เกียจจะตอบแล้ว แหะ ๆ 😅 โดย Public Key จะมีไว้ใช้ encrypt ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถใช้ decrypt ได้ เราจึงสามารถส่งในพื้นที่สาธารณะหรือให้ใครรับรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในเชิงการเข้ารหัส เพราะต่อให้คนนอกเห็น "แม่กุญแจ" ของเรา แต่เขาก็ไม่มีอะไรมาไข ส่วน Private Key ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ลูกกุญแจ" อันนี้เราต้องเก็บไว้ให้ปลอดภัย เรารู้ได้คนเดียว ไม่ต้องทะลึ่งบ้องไปแชร์ให้ใครทั้งนั้น 🔐 ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ Cyptography จึงแก้ปัญหาคอขวดในอดีตได้ และทำให้เราได้มี #BTC รวมถึงพวกเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใช้กันจนปัจจุบันนี้นั่นเองงงง ขอบคุณฮ้าฟฟู่ววว 🎉 และหากย้อนไปยังวันที่เปเปอร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมา (1 พ.ย. 1976) วันนี้ก็ถือเป็นวันครบรอบ 49 ปีแล้ว หวังว่าจะอ่านสนุกกันนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image ฉลอง 17 ปี #Bitcoin Whitepaper Day ด้วย 17 Fun Facts เกี่ยวกับ Bitcoin White Paper !!! 🤩 🗓️ 1. วันนี้ เป็นวันครบรอบ 17 ปี ที่ White Paper ของเครือข่าย Bitcoin ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน โดย Satoshi Nakamoto ตัวผู้สร้าง #BTC เอง วันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 17 ปีก่อน (31 ตุลาคม 2008) จึงนับเป็นวันปล่อย White Paper แบบทางการ ! (ผู้ที่ได้รับกลุ่มแรกคือเหล่า Mailing List) 📃 2. Bitcoin White Paper ยาวเพียง 2,736 คำ สั้นกว่าเปเปอร์วิชาการทั่วไปโดยเฉลี่ยราวครึ่งหนึ่ง (เปเปอร์วิชาการยาวเฉลี่ย 4,000 ถึง 10,000 คำ) 📛 3. มีคำว่า Bitcoin ในเปเปอร์เพียงแค่ 2 ครั้ง หลายคนเชื่อว่า Satoshi Nakamoto ไม่ได้คิดไว้ และอาจจะมาตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า Bitcoin ทีหลัง โดยมีหลักฐานปรากฎไว้ด้วยว่า ซาโตชิ "อาจจะ" ตั้งใจเรียก “Electronic Cash” หรือ “Netcoin” ในตอนเริ่มคิดโปรเจ็กต์ (เดี๋ยวแปะวาร์ปให้555) ⏲ 4. ใน White Paper ไม่มีคำว่า "blockchain" และไม่มีคำว่า "cryptocurrency" แม้แต่คำเดียว แต่ซาโตชิเรียกสิ่งที่ทำหน้าที่ blockchain ว่า... "เซิร์ฟเวอร์ประทับเวลา" (timestamp server) ส่วนเปเปอร์เวอร์ชั่นก่อนหน้า เรียก "timechain" 📦 5. คำที่ใช้บ่อยที่สุด คือ คำว่า "block" โดย "บล็อก" คือชุดธุรกรรมที่ได้รับการ... "ประทับเวลา" ลงบนบล็อกเชนแล้ว และได้รับ "การอนุมัติว่าถูกต้อง" จากเครือข่าย Bitcoin ซึ่งคำนี้ถูกใช้บ่อยถึง 48 ครั้งใน White Paper ทั้งนี้คือไม่ได้นับพวกที่เติม s ต่อท้ายนะสหาย เช่น คำว่า "transaction" กับ "transactions" จะนับว่าเป็นคนละคำกัน คำไหนถูกใช้กี่ครั้งว่าไป ทั้งสองคำจะไม่ถูกนับจำนวนการใช้รวมกันนะ 🔢 6. ไม่ได้มีสมการคณิตศาสตร์เยอะขนาดนั้น หลายคนอาจเข้าใจว่าเปเปอร์นี้ต้อง Geek มาก คงมีสมการทางคณิตศาสตร์เต็มไปหมดแน่เลย แต่ความจริง "ไม่ใช่เลย" สหาย นับทั้งเปเปอร์ ประกอบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด... เพียงแค่ "3 สมการ" เท่านั้น (เดี๋ยวแปะวาร์ป) แถมนิด ทั้ง 3 สมการที่ยกขึ้นมาประกอบนั้น... เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นที่จะมีคน... โจมตีหรือขัดขวางเครือข่าย Bitcoin ได้นั่นเอง คนอ่านจะได้เห็นภาพว่าเครือข่ายปลอดภัย 💪 ✍ 7. ซาโตชิเขียนโค้ดก่อนเขียนเปเปอร์ โดยมีข้อความที่เขาเคยบอกว่าเขานั้น... เขียนโค้ดอยู่ราว 2 ปีก่อนปล่อยเปเปอร์ 🗣 8. Bitcoin White Paper มีการอ้างอิง ถึงแหล่งข้อมูล 8 รายการ ซึ่งในนั้นมีพูดถึง โปรเจ็กต์ที่พยายามจะสร้างเงินสดดิจิทัล อย่าง B-money โดย Wei Dei และพูดถึง Hashcash โดย Adam Back ด้วยเช่นกัน และในปัจจุบัน ก็มีเพียงแค่ Adam Back ที่ยังมีมีส่วนร่วมอยู่ในโลกคริปโตทุกวันนี้ (หมายถึงในบรรดาชื่อคนทีพูดถึงอะนะ555) 💻 9. มีการระบุว่า CPU ใช้สร้างบล็อก ใน White Paper ระบุว่าพลังงานจาก CPU จะถูกใช้เพื่อสร้างบล็อก ซึ่งไม่ใช่แล้ว ! ปัจจุบันข้อนี้จึงไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะพลังงานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ที่ใช้กันในเครือข่าย มาจากเครื่อง ASIC 🎃 10. จงใจปล่อยในวัน Halloween ?! วันที่และเวลาแบบเป๊ะ ๆ ที่ปล่อยเปเปอร์ คือ... "วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม" !!! ปี 2008 ณ ตอน 14:10 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หลายคนจึงคาดเดาว่าเป็นการ "ตั้งใจ" เพื่อจะได้เล่นกับธีมของวัน Halloween ในเรื่อง "การดับสูญและเกิดสิ่งใหม่" สื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยเก่า ที่เงินแบบเก่ากำลังจะได้เวลาจบไป และได้เวลากำเนิดยุคสมัยเงินใหม่ขึ้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย เป็นเพียงการคิดต่อยอดกันเองเท่านั้น 🤏 11. ไม่มีการพูดเรื่อง 21 ล้านเหรียญ !!! หลายคนเชื่อว่าเรื่อง Bitcoin จะมีกี่เหรียญ ซาโตชิน่าจะตัดสินใจเป็นส่วนท้าย ๆ สุดเลย เพราะในเปเปอร์ไม่มีพูดถึงแม้แต่คำเดียว มาประกาศเรื่องนี้เอาตอน มกราคม ปี 2009 🔥 12. เป็นที่ถกเถียงยับตอนเปเปอร์ออก ! เหล่า Mailing List (รายชื่อผู้จะได้รับอีเมล) ต่างถกเถียงกันดุเดือดหลังเปเปอร์ออกมา จนผู้ดูแลต้องเข้ามาแทรกกลางและห้ามไว้ โดยบอกให้คุยกันแค่เรื่องโปรโตคอลเท่านั้น หยุดลามไปจวกเงิน Fiat, ภาษี, หรืออื่น ๆ และถ้าอยากคุยให้ก็ทำ Mailing List แยก ซึ่ง Satoshi และ Hal Finney ก็ทำแยกจริง 🤔 13. คนแรกที่ตอบกลับเปเปอร์ยังอยู่ ! James A. Donald คือคนแรกที่ตอบกลับ เพื่อแสดงความเห็นที่มีต่อ White Paper ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนั้น... เขาดันไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะสำเร็จได้จริง 😎 14. Hal Finney นี่แหละของแทร่ !!! เขาคือคนทดลองใช้งาน Bitcoin คนแรก และให้การสนับสนุนซาโตชิเรื่อยมาแต่เดิม ทันทีที่ได้อ่าน White Paper เขาพูดเลยว่า ระบบ Proof of Work นี่แหละ เป็นแนวคิด ที่ "มีแนวโน้มจะสำเร็จสูงมาก ๆ" 💪 ⚖ 15. White Paper โดนกฎหมายโจมตี หลายคนตอนนั้นก็ดราม่ากันยับ ไม่แฟร์เลย แต่ช่างเถอะ เพราะมันทำให้แข็งแกร่งขึ้น หลัง White Paper โดนสั่งลบ ก็มีเว็บไซต์ หลายแห่งทั่วโลกช่วยกันกระจายให้เลย แม้แต่เว็บของภารรัฐสหรัฐและเมืองไมอามี ก็มี White Paper นี้แปะบนหน้าเว็บเช่นกัน แม้แต่บริษัทมหาชน อย่าง บริษัท Block และบริษัท Microstrategy ก็ด้วย อิอิ ! 💪 📱 16. บางส่วนของเปเปอร์ก็ไม่ได้ไปต่อ ใน White Paper ซาโตชิเคยมีเสนอเรื่อง การแก้ปัญหาด้าน Scaling เอาไว้ โดยใช้ "Simple Payment Verification (SPV)" เป็นแนวคิดที่จะทำให้ผู้ใช้ยืนยันธุรกรรม โดยไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดมา ไม่ต้องดึงมาหมดทั้งเครือข่ายบล็อกเชน แต่แนวคิดนี้ยังมีช่องโหว่และไม่ได้ไปต่อ (ซึ่งซาโตชิก็รู้ ไม่ได้บอกว่ามันสมบูรณ์) ข้อเสนอนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในท้ายที่สุด ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ และมีทางอื่นมาแทน 🌐 17. เว็บไซต์แรกที่ให้โหลดเปเปอร์ คือ "Bitcoin .org" ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะ แถมมีให้เลือกโลดมากกว่า 40 ภาษา แต่ประเด็นคือ... ข้าได้ยินมาว่าเว็บนี้นั้น เคยมีประวัติโดนแฮ็คอยู่ และเคยมีเหตุ ปล่อย client เวอร์ชั่นอันตรายลงในเว็บ ใครจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเว็บนี้ก็ดูให้ดีนะ เสียหายโทษใครไม่ได้ เช็คกันเอง555 จบแล้วกับ 17 Fun Facts เกี่ยวกับ #Bitcoin White Paper เพื่อฉลอง ครบรอบ 17 ปี Whitepaper Day อ่านกันเพลิน ๆ นะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr
image ยังทัน ยังพอทนไหว ไม่ต้องรีบต้องร้อน !!! 🔥 ไอน้องใจเย็น !!! 🤣 ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr