อยากเปลี่ยนชีวิต ต้องคิด 3 steps ล่วงหน้า- Sats And Sound Ep.58 คอนเท้นวันนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากคลิป วิดีโอ "Long-Term Thinking, 2nd Order Consequences & Effect Horizons" โดย Sam Ovens Founder ของ Skool ซึ่งเป็น แพลตฟอร์ม community + learning ที่ประสบความสำเร็จมากๆในตอนนี้ ในคลิปนั้น เขาจะพูดถึงการคิด 3 ขั้น ที่จะเปลียนชีวิตคุณให้ดีขึ้น 1 Long-Term Thinking คิดระยะยาว 2 Second Order Consequences ผลกระทบจากการกระทําของเรา ขั้นที่ 2 ยกตัวอย่าง กินของหวานมากๆในวันนี้ ผลกระทบแรก อาจจะแค่เสียเงิน และ นํ้าหนักเพิ่ม ผลกระทบขั้นที่สองคือ ภาวะดื้ออินซูลิน และ เป็นเบาหวานในที่สุด เป็นต้น 3 Effect Horizons คาดเดาผลลัพท์ในอนาคต โดยมองหลายๆมิติ จากตัวอย่างเดิม ผลกระทบที่ต่อจาก การเป็นเบาหวาน คือ โรคเรื้อรังอื่นๆ ร่วมกับ ร่างกายอ่อนแอ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว แถมต้องรักษาด้วยการกินยา และคุมอาหาร ซึ่งยากกว่าการป้องกันตั้งแต่แรก ถ้าย่อยเป็นวลีสั้นๆก็คือ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องคิดระยะยาว วางแผน และดูผลลัพท์ของสิ่งที่เราทําล่วงหน้า ถ้าคุณอยากสบายในมิติไหนก็โฟกัสเรื่องนั้น วันนี้ผมก็จะมายกตัวอย่างการคิด 3 steps เพื่อเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นใน 2 ด้านคือ สุขภาพ และ การเงิน เป็นตัวอย่างให้ ท่านผู้ฟังทุกคน นําไอเดียวันนี้กลับไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง 1 สุขภาพ 1.1 Long-Term Thinking (Step 1) การสร้างนิสัยและการกินที่ดี ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอในวันนี้ จะส่งผลต่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็นทางกายและทางจิต - ร่างกายของเราไม่เคยหยุดทํางาน ตั้งแต่เราเกิดมา - การใช้งานร่างกายหนัก ไม่ดูแลสุขภาพเลย ร่างกายของเราก็จะเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ - เราจะต้องอยู่กับร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น ใส่ใจและดูแลมันให้ดี เพื่อให้เราไม่เป็นทุกข์ด้วยโรคภัยต่างๆที่ป้องกันได้ 1.2 Second Order Consequences (Step 2) ว่ากันว่า ชีวิตของพวกเรามีทางเลือก 2 ทางเสมอ นั้นคือ ทางเลือกที่ง่าย และ ทางเลือกที่ยาก ทางเลือกที่ง่าย (Wheelchair Path) สบายก่อนลําบากทีหลัง เช่น ผ่อนจ่ายสินค้า, กิน Junk food/UPF กินตามใจปาก ทางเลือกที่ยาก (The Hill) ลําบากก่อนสบายทีหลัง เช่น ออกกําลังกาย, การศึกษา/การออมเงิน ,พัฒนาตัวเอง , การกินอาหารสุขภาพ ทุกครั้งที่เราเลือกเส้นทางยาก มันเหมือนเราฝึกซ้อมปีนเขา เพื่อความแข็งแกร่งไปเรื่อยๆ ส่งผลให้ในอนาคต "ภูเขาที่เราปีน” จะเตี้ยลงเรื่อย ๆ เปรียบคล้ายๆกับ ชีวิตเราก็จะง่ายขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง กลับมาที่หัวข้อสุขภาพของเราต่อ 1.2 Second Order Consequences (Step 2) ทางเลือกง่าย ถ้าเรากินอาหารไม่ดี กลุ่ม UPF สูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ ไม่ออกกําลังกาย ---- ขั้นแรก อาจจะแค่เสียเงิน และติดนิสัยกินของอร่อย หาง่าย ตามใจปาก ติดสบาย ---- ขั้นที่สอง มันจะสร้างนิสัยและความเคยชินที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ตามมาด้วยโรคเรื้อรังต่างๆเช่น ความดัน เบาหวาน ไขมัน การกิน UPF ส่งผลเสียต่อร่างกายมากๆ แนะนำคลิป fiat food/UPF ที่ผมเคยทํา ทางเลือกยาก ถ้าหากเรา สร้างนิสัยและการกินที่ดี ลดอาหารแปรรูป UPF ไม่กินตามใจปาก เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ร่วมกับการออกกําลังกายสมํ่าเสมอ ---- ขั้นแรกอาจจะรู้สึกว่ามันยากลําบาก ไม่สะดวกสบาย ยุ่งยากไปหมดไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร หาเวลาออกกําลังกาย ---- ขั้นที่สอง เมื่อเริ่มทําไปสัก 6 เดือน เราจะเริ่มสังเกตุเห็นการพัฒนาของสุขภาพโดยรวม ไม่ว่าร่างกาย จิตใจ แถมยังสร้างวินัยระยะยาวที่ดีต่อตัวเองในด้านสุขภาพด้วย สังเกตคนที่รักสุขภาพ ทําแล้วเกิดผลดีต่อตัวเอง เขาจะเลือกทําสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ 1.3 Effect Horizons (Step 3) ผลของทางเลือกง่าย ---- ขั้นที่สาม ถ้าเราใช้ชีวิตปล่อยประละเลย สุขภาพ มาเป็นเวลานาน จะเกิดปัญหาที่แก้ไขได้ยาก รวมถึง เกิดโรค NCD ภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตของเราจะแย่ในระยะยาว การต้องกินยาตลอดชีวิตมันไม่สนุกเลย แถมร่างกายจะทรุดโทรมลงไปเรื่อย ตามอายุ โรคภัยจะทําให้คุณมีภาวะเครียด ตามมาได้ กันดีกว่าแก้นะ คําพูดเล่นที่ว่า "กินของหวาน อร่อย มีความสุขวันนี้ อีก 30 ปี ตัดขา (เพราะเบาหวาน) ไม่เป็นไร" การถูกตัดขาเพราะเป็นเบาหวานก็คือ Effect Horizons นั่นเอง ผลของทางเลือกยาก ---- ขั้นที่สาม ถ้าหากเราดูแลสุขภาพของตัวเองมีดี ไม่ว่าจะเป็นการกิน การออกกําลังกาย วินัยที่ดีตัวนี้แหละที่จะทําให้เรา รักตัวเองอย่างถูกทาง ผลลัพท์พวกนี้ เราจะไม่เห็นมันในข้ามวัน แต่อาจจะต้องใช้เวลานับ 10 ปี ง่ายๆเวลาเราไปงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่นอ่ะ เทียบได้เลยว่า จะมีเพื่อนที่สุขภาพดี ดูสดใส กับ เพื่อนที่ดูแก่กว่าวัย มีปัญหาสุขภาพ ลองไปคุยดูจะได้คําตอบว่า แต่ละคนใช้ชีวิตยังไง คุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณเลือกได้ ผมเป็นคนติดนิสัย ชอบเลือกทางยาก (The Hill) หรือทําอะไรยากๆก่อน เพราะความยาก สิ่งที่ท้าทาย เป็นการเทสตัวเองได้ด้วยครับ ถ้าเราทําได้ ชีวิตเราก็จะง่ายขึ้น เปรียบเหมือน ภูเขาอุปสรรคที่เราต้องปีนมันเตี้ยลงนั่นเอง 2 การเงิน 2.1 Long-Term Thinking (Step 1) - เรื่องเงินสําคัญกับทุกคน การมีเงินเท่ากับเรามีทางเลือก มีชีวิตที่ดีได้ ซื้อความสะดวกสบายได้ - การหาเงินมาได้ต้องใช้ทั้งความสามารถ เวลา ของเรา เมื่อได้เงินมาแล้ว ขึ้นอยู่กับเราที่จะบริหาร หรือใช้จ่ายเงินในมือไปกับอะไร - ในโลกการเงินปัจจุบันที่เราอยู่ใน fiat standard ที่เกิดการพิมพ์เงินมหาศาล เกิดเงินเฟ้อขึ้นตลอดเวลา - เมื่อเงินในระบบมีมากขึ้น ส่งผลให้เงินเฟียตในมือของทุกคนเสื่อมค่าลง ส่งผลให้เกิดความคิดแบบ High Time Preference - ระบบการเงินโลกมันทําให้คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ ใช้ชีวิตแบบคนจนที่ต้องหาเงิน หมุนเงินตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากจะมีวินัยในการออมเงินอย่างสมํ่าเสมอแล้ว คุณจะต้องมีความรู้เรื่องการเงิน และระบบการเงินโลกที่ถูกต้องด้วย ถึงจะหลุดจากสภาวะจนหรือเงินไม่พอใช้อย่างแท้จริง แนะนำคลิป ระบบเงินโลก ที่ผมได้เล่าถึง เงินเฟ้อที่โคตรแย่ แต่กลุ่มคนมีอํานาจไม่อยากให้คนส่วนใหญ่รู้ แค่เข้าใจเงินเฟ้อ และออกจากระบบเฟียตได้ คุณจะรวยกว่าคนทั่วไป 2.2 Second Order Consequences (Step 2) ทางเลือกง่าย ไม่ศึกษาเรื่องการเงิน อยากมีความสุขตอนนี้ คิดระยะสั้น ใช้ให้หมดไปเลย เดือนหน้าหาใหม่ High Time Preference ---- ขั้นแรก เกิด fast dopamine มีความสุขสั้นๆตรงหน้า ใช้เงินตามอารมณ์ เช่น ชินกับการซื้อของเงินผ่อน ที่ไม่รู้จะผ่อนครบมั้ย ---- ขั้นที่สอง มันจะสร้างนิสัยและความเคยชินที่ ทําให้คุณไม่สามารถออมเงิน เพื่ออนาคตได้ โทษทุกอย่างไปเรื่อย ไม่มีทางรวยขึ้นได้ ทางเลือกยาก ศึกษาเรื่องการเงิน วางแผน คิดระยะยาว เก็บออมเงินเพื่ออนาคต Low Time Preference ---- ขั้นแรก ประหยัด อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิต ไปกิน เที่ยว ซื้อของที่อยากได้ การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ที่สังคมบอกว่าดี มันเหมาะสมกับเรามั้ย สิ่งสําคัญที่สุดคือการทํารายรับรายจ่าย รู้สถานะการเงินที่แท้จริงของเรา ---- ขั้นที่สอง มันจะสร้างนิสัยและความเคยชินที่ ทําให้คุณจะหาความรู้เรื่องการเงิน ออมเงินอย่างสมํ่าเสมอ เก็บไว้ในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า เช่น บิทคอยครับ บิทคอยนั้นเป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ ไม่มีใครควบคุมได้ คุณจะออกมาจากโลกของเงินเฟียต แล้วพบกับอิสระที่แท้จริง 2.3 Effect Horizons (Step 3) ผลของทางเลือกง่าย ---- ขั้นที่สาม เมื่อเวลาผ่านไปเงินเฟ้อมากขึ้นเรื่อยๆ เงินเก็บมูลค่าลดลง คุณจะจนอย่างอัตโนมัติ ต้องวิ่งตามหาเงินไปเรื่อยๆ ชีวิตไม่มีหลักประกัน พอแก่ตัวไม่มีแรงทํางาน คุณก็จะไม่มีเงินใช้จ่าย ซื้อคุณภาพชีวิตอีกต่อไป ผลของทางเลือกยาก ---- ขั้นที่สาม เมื่อเวลาผ่านไป 5-10 ปี บิทคอยที่คุณมี จะทําให้คุณรู้สึกมั่นคง และไม่ต้องวิ่งตามหาเงินเฟียตที่เสื่อมค่าอีกต่อไป ชีวิตง่ายขึ้น และมีทางเลือกมากขึ้น เนื่องจากเรามีสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าลง ทั้งที่การพิมพ์เงิน และ เงินเฟ้อก็ยังมีอยู่ และไม่มีใครหยุดมันได้ ในยุคหลังจากนี้ เงินในมือที่เราออมจะมียิ่งมีมูลค่าน้อยลงเรื่อยๆ ใครยังถือเงินเฟียตอยู่เท่ากับว่า คุณจะติดอยู่ในกับดักความจนตลอดชีวิต จะเห็นได้ว่า อยากเปลี่ยนชีวิตต้องคิด 3 steps ล่วงหน้า ทั้งเรื่องสุขภาพและการเงินที่ผมยกตัวอย่างมา มันเป็นทางเลือกของบุคคล ที่เราจะต้องมองภาพระยะยาว และวางแผน รวมถึงคํานึงถึงผลที่จะตามมา สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ เวลา ซึ่งในความจริง ไม่มีใครคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่อย่างน้อยเราจะลดความเสี่ยงของปัญหาที่เราป้องกันไม่ให้เกิดจากการวางแผนได้ ซึ่งก็จะทําให้ชีวิตคุณดีขึ้นกว่าเดิม ยกตัวอย่าง Effect Horizons เกี่ยวกับการสร้างระบบ network ของบิทคอย - ระบบการเงินโลกแบบเก่า ต้องพึ่งตัวกลาง อาศัย trust ที่โกงกันง่ายมาก - ทําให้การออกแบบ network ของบิทคอย จะเป็นระบบ trustless ไม่ต้องเชื่อใจตัวกลาง หรือใครกันนั้น เพื่อป้องกันการโกงตั้งแต่แรก เป็นการกําจัดที่ต้นเหตุเลย สรุป 1 ทุกเรื่องในชีวิตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ และ ผลการกระทําของเราเสมอ อยากเป็นคนแบบไหนคุณเลือกได้ 2 อยากมีชีวิตที่ดีและง่ายขึ้น ให้คิดระยะยาว การวางแผนจะทําให้คุณ มองภาพไกลๆได้ง่ายขึ้น ไม่มีใครรู้อนาคต แต่เราสามารถป้องกันความเสี่ยงที่คาดการณ์ได้ 3 ชีวิตของทุกคน มีทางเลือก 2 ทางเสมอ นั้นคือ ทางง่าย กับ ทางยาก ทางเลือกที่ยากก็เปรียบเหมือนภูเขาอุปสรรค์ที่เราต้องข้ามไป ความชํานาญ ความแข็งแรง จะส่งผลให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรค์นั้นไปได้ง่ายขึ้น เหมือนภูเขาที่เดินมันเตี้ยลงนั่นเอง 4 "เวลา" เป็นสิ่งที่หวนกลับมาไม่ได้ สิ่งที่คุณเป็นในตอนนี้ คือ สิ่งที่คุณเลือกทําในอดีต ดังนั้น ถ้าคุณยังรู้สึกว่าชีวิตคุณยังแย่ในวันนี้ คุณก็ต้องเริ่มปรับปรุงให้ตรงจุด หาสาเหตุให้เจอ ร่างกายแย่ รักษาสุขภาพ การเงินแย่ ศึกษาการเงิน ออมให้ถูกที่ 5 ทุกอย่างที่พูดว่า คุณจะยังไม่เห็นผลภายใน 1 ปีนี้ แต่ให้ทําอย่างสมํ่าเสมอ มีวินัยสัก 5-10 ปี แล้วคุณจะขอบคุณตัวเอง ที่คุณรักตัวเองอย่างถูกทาง ส่งผลให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นและดีขึ้น #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats #ออมbitcoin
มี 0.1 BTC คุณรวยกว่า คนครึ่งโลกไปแล้ว - Sats And Sound Ep.57 คลิปนี้พูดจากความเห็นส่วนตัวร่วมกับข้อมูลสถิติที่ไปหามานะครับ ใครจะมองว่ากาว หรือ เว่อ อยากให้ฟังให้จบก่อน ผมมีเหตุผลสนับสนุนที่มีน้ำหนัก ในสังคมปัจจุบันที่หลายคนเหนื่อยกับการใช้ชีวิต เงินแต่ละเดือนหาแทบไม่พอ ข้าวของแพงขึ้น ค่าครองชีพแพงขึ้นตลอด และมันพุ่งขึ้นหลังจากที่อเมกาทํา QE ช่วงโควิด ทุกอย่างมันแย่มาเรื่อยๆ จนคําว่า รวย อาจจะไม่อยู่ในความคิดของใครหลายๆคน ในโลกที่มืดมน เต็มไปด้วยความสิ้นหวังจากเงินเฟียตที่เฟ้อตลอดเวลาเป็นอัตราเร่ง ความเฮียของเงินเฟ้อที่เสื่อมค่า มันกัดกินคุณภาพชีวิตของคนทุกวัยในระบบ แค่หาเงินใช้จ่าย ก็เดือนชนเดือน จะออมก็ลําบากแล้ว อย่าคิดจะรวยเลย เรายังมีสินทรัพย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา ต่อต้านเงินเฟ้อ อย่างบิทคอย มันเปรียบเสมือนความหวังของคนในยุคนี้ ที่โลกการเงินเต็มไปด้วยอํานาจมืดจากเงินเฟียตที่ควบคุมทุกอย่าง บิทคอย lunch ครั้งแรกในวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยคนที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ ถือว่าเป็นเงินดิจิตอลเหรียญแรกที่ทําสําเร็จ ก่อนหน้านี้มีคนรู้ปัญหาเงินเฟ้อมาตั้งแต่ปี 1971 ที่เกิด Nixon shock ริบทองคําจากประชาชน กลุ่มคนที่ชื่อว่า Cypherpunk ก็ได้พยายามคิดค้น เงินดิจิตอลที่จะแก้ไขเงินเฟ้อ ป้องกันการถูกรวบศูนย์ และถูกควบคุม 40 ปี ผ่านไป จากหลายๆเทคโนโลยีมาผสมกัน ก็เกิด บิทคอยที่ใช้งานได้จริงในปี 2009 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงวิกฤต hamburger ที่ตลาด อสังหาฯในอเมริกา พังระแนระนาด จากปี 2009 - 2025 เป็นเวลา 16 ปี ที่บิทคอยเกิดมาและ run อยู่ใน network มันก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่สิ่งที่หลายๆคนเห็นชัดเจนคือ มันต้านเงินเฟ้อได้จริง ไม่มีใครควบคุมได้ และ ยิ่งโดนโจมตี ยิ่งแข็งแกร่ง ระบบ network ของบิทคอย ที่ต้องอาศัยการรันโหนด ซึ่งในช่วงเริ่มต้น มันอ่อนแอเพราะคนรันโหนดน้อย ในตอนนี้ network มันแข็งแกร่งจนแทบไม่มีใครสามารถโจมตีได้แล้ว 16 ปีที่ผ่านมาเกิดเงินเฟ้อขึ้นมหาศาล จากการ FED ที่พิมพ์เงิน เพื่อใช้หนี้ ทําสงคราม กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึง แบงค์เอกชน ที่ใช้ระบบ fractional reserve banking ปล่อยกู้จนเกิดเงินที่ไม่มีอยู่จริงเยอะมาก ว่ากันว่าทุกครั้งที่คุณไปฝากเงิน ไปกู้เงินแบ้งก็จะเสกเงินนั้นจากอากาศขึ้นมาได้ แต่เมื่อมีบิทคอย มันทําให้ผมมีความหวังที่จะ รวย ขึ้นมาอีกครั้ง คําถามคือ เราจะต้องมี บิทคอย มูลค่าเท่าไหร่? จากรายงานความมั่งคั่งระดับโลก (Global Wealth Report) ของ Credit Suisse และ UBS ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มีการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง ข้อมูลการแบ่งชั้นความมั่งคั่งจะอ้างอิงจาก "ความมั่งคั่งสุทธิ" (Net Worth) ซึ่งคือมูลค่าของสินทรัพย์ทั้งหมด (เช่น เงินสด, หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, สินทรัพย์ดิจิทัล, ฯลฯ) หักด้วยหนี้สินทั้งหมด กลุ่ม Top 1% ของโลก: ต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ $1 ล้าน หรือประมาณ 36 ล้านบาท ขึ้นไป กลุ่ม Top 5% ของโลก: ต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ $250,000 หรือประมาณ 9 ล้านบาท ขึ้นไป กลุ่ม Top 10% ของโลก: ต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ $100,000 หรือประมาณ 3.6 ล้านบาท ขึ้นไป กลุ่มที่มีความมั่งคั่งสุทธิต่ำกว่า $10,000 (ประมาณ 360,000 บาท) เป็นกลุ่มประชากรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมผู้ใหญ่ประมาณ 50-60% ของประชากรโลก คุณเห็นตัวเลขพวกนี้แล้วยังครับ ถ้าคุณมีสินทรัพย์ ประมาณ 360,000 ไทยบาท คุณก็จะรวยกว่า "คนครึ่งโลก" ไปแล้ว ซึ่งมันก็เทียบเท่ากับ 0.1 BTC ในวันนี้นั่นเอง 0.1 BTC มูลค่า 360,000 บาท ไม่น้อยเลยนะ แต่เราไม่จําเป็นต้องเก็บก้อนใหญ่ทีเดียว เราสามารถทยอยสะสมทีละน้อยๆได้ อยากให้เริ่มจาก เป้าหมายแรก 0.01 BTC ก่อนครับ ผมเคยทําคลิป ลองไปดูกันได้ ดูจบวางแผนออมได้เลย เมื่อเป้าหมาย 0.01 BTC สําเร็จ ก็มาถึงเป้าหมาย 0.1 BTC ที่ท้าทายขึ้น แต่ถ้าเราทําได้ เท่ากับว่า เราจะรวยกว่า คนครึ่งโลกนี้เลยนะ ประชากรโลกมี 8พันล้านคน ถ้าคุณมี 0.1 BTC คุณรวยกว่าคน 4พันล้านคน แล้วนะ มันน่าตกใจเหมือนจะเกินความจริง แต่มันเป็นจริงไปแล้วครับ ผมเชื่อว่า ถ้าหากคุณทําเป้า 0.01 BTC สําเร็จได้ คุณจะมีวิธีของตัวเองในการทําเป้า 0.1 BTC สําเร็จได้เหมือนกัน เงินเหมือนจะเยอะ แต่ถ้าเราทยอยเก็บ stack sats ไปเรื่อยๆ สัก2-3 ปี ก็ถึง ยิ่งหลังจากนี้อาจจะเป็นช่วงบิทคอยราคาลงในช่วงตลาดหมี คุณก็จะเก็บบิทคอยได้มากขึ้นอีกด้วย อาจจะมีคําถามว่า ทําไมต้องเก็บเป็นบิทคอย เก็บเป็นหุ้น ทองคํา อสังหาฯ เงินสด altcoin อื่นๆ ไม่ได้เหรอ มันก็มีมูลค่าเหมือนกัน??? - เงินสด ตัดออกไปก่อนเลย เพราะมูลค่าของมันจะลดลงตามเงินที่พิมพ์ออกมาเรื่อยๆ เงินเฟ้อในปัจจุบันเฉลี่ย 6-8% ทบต้น เท่ากับว่าใครเก็บเงินสดหรือเงินเฟียตไว้เฉยๆ ผ่านไป 10 ปี อํานาจการจับจ่ายจะลดลงครึ่งนึง จํานวนเงินเท่าเดิมแต่มันจะซื้อของได้น้อยลง - หุ้น สําหรับคนที่มีความรู้ มีเวลาศึกษา สามารถหาหุ้นที่ชนะเงินเฟ้อจริงๆได้เหมือนกัน แต่ที่ผมไม่ลงทุนในหุ้นเพราะผมมี บิทคอยที่เข้าใจง่ายกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า ผลตอบแทนดีกว่ามาก และไม่ต้องมานั่งอ่านงบการเงิน ตามข่าวบริษัทย่อยๆอยู่ พวกกองทุนก็ช่วยลดภาระตรงนี้แต่เราจะไปเสียค่าธรรมเนียมกองทุนแทน หุ้นเช่น s&p 500 มูลค่าของมันไม่ได้โตตามผลประกอบการของบริษัท เพราะบริษัทพวกนี้โตมากๆแล้ว มูลค่าหุ้นมันแค่โตตามเงินเฟ้อที่อัดเข้าไปในระบบ ดังนั้นเมื่อ การวิกฤต มีการประกาศเพิ่ม-ลด ดอกเบี้ย มูลค่าปลอมๆของหุ้นเหล่านี้ก็จะขึ้นลงตามคําพูดของคนมีอํานาจ คําถามคือ สินทรัพย์ของเราที่หามาอย่างยากลําบาก ทําไมต้องมาขึ้นอยู่กับคําพูดของคนพวกนี้? อยากปลดแอกจากระบบเงินเฟียต ถ้าถือหุ้น คุณจะต้องทําผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ (ใช้พลังชีวิตเยอะเหมือนกันนะ) ศึกษาที่เหมาะกับตัวเอง - เหรียญ altcoin อยากให้เทียบเป็นบริษัท start up ที่เสี่ยงสูง มีคนดูแล คนควบคุม และไม่ต่างจะโลกของเงินเฟียตที่เราอยู่ แค่มันถูก tokenize ให้เข้าไปในดิจิตอลเท่านั้น อยากให้ไปดูคลิป ผมขาดทุน altcoin หลักแสน คลิปนั้นเล่าละเอียดเลยว่าทําไมผมไม่ลง altcoin - อสังหาฯ ข้อนี้ผมมี 2 คลิปที่พูดถึง บิทคอยทําไมถึงดีกว่า อสังหาฯปล่อยเช่า และ ถ้าชีวิตยังไม่มั่นคง การมีบิทคอยถึงสําคัญกว่าการมีบ้าน ทั้งสองคลิปนี้จะเฉลยความยุ่งยากและผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนของอสังหาฯ ที่ผูกติดอยู่กับโลกการเงินแบบเดิมๆ - ทองคํา ข้อนี้น่าจะดีที่สุดในที่เทียบมาแล้ว ทองคําเก็บรักษามูลค่าได้ แต่การเก็บทองจริงๆนั้นยากนะ เพราะต้องไปถอนมาเก็บในเซฟที่บ้านเอง ถ้าหากซื้อทองแล้วต้องอาศัยตัวกลางในการจัดการ และเก็บรักษาให้ มันก็มีความเสี่ยงอยู่นะ ถ้าเกิดวิกฤตทุกคนไปแห่ถอนทองคําพร้อมกันหมด เราไม่มีทางรู้เลยว่า โบรกเกอร์จะมีทองคําให้เราไหม ทองคําไม่เก็บเอง มันก็ไม่ได้เป็นของเราอยู่ดี และอีกหนึ่งข้อเสียของทองคําคือ มันเป็น physical product ที่ถูกระบบเงินเฟียตควบคุมมานาน การขนย้ายทองคํา จํานวนมากๆ ยิ่งย้ายข้ามประเทศ จะต้องขออนุญาตรัฐ และ จํากัดจํานวนด้วย คําถามคือ ทองคําของเรา ซื้อมา เก็บอย่างดี แต่พอจะขนย้าย หรือ ใช้งาน กลับมีรัฐมาควบคุม มันเป็นสินทรัพย์ของเราจริงๆเหรอ? สรุปสั้นๆว่า ทําไมผมถึงเลือกบิทคอย แทนสินทรัพย์ตัวอื่นๆ เพราะสินทรัพย์ที่กล่าวมาขั้นต้นไม่ว่าเป็น เงินสด หุ้น กองทุน อสังหาฯ ทองคํา altcoin ล้วนแต่เป็นสินทรัพย์ที่เป็นระบบเงินเฟียตที่มีอํานาจเบื้องหลังควบคุม ผ่านการดูแลโดยตัวกลาง ผมถือว่าสินทรัพย์เหล่านั้น ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง เพราะเรายังต้องพึ่งระบบในการเก็บหรือ ดูแลอยู่ เขาสามารถยืดหรืออายัดสินทรัพย์เราได้ตลอดเวลา ถ้าสินทรัพย์นั้นถึงเราจะมีมากเท่าไหร่ แต่ถ้ายังอาศัยตัวกลางในการดูแล ควบคุม ย่อมมีความเสี่ยงเสมอ สินทรัพย์นั้นอาจจะไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง ดังนั้น ถ้าจะรวย ผมจะไม่รวยจากสินทรัพย์ที่เราควบคุมเองไม่ได้ครับ บิทคอย คือคําตอบของทุกอย่างครับ - ต่อต้านเงินเฟ้อ มูลค่าไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น - ไร้ศูนย์กลาง ไม่มีใครควบคุม หรือ อายัดบิทคอยของเราได้ - แค่จํา seed phrase 12-24 คําเราก็สามารถพกบิทคอยออกไปใช้ที่ไหนก็ได้ทั่วโลก โดยที่ไม่มีใครขโมยมันไปได้ - ต้องมีความรู้เรื่องการเก็บบิทคอยด้วยตัวเอง เก็บ seed phrase อย่างปลอดภัยด้วยนะ ผมเคยมีคลิปสอน โอนเข้า HW แบบจับมือทําเข้าไปดูได้ เท่านี้ คุณก็จะเป็นเจ้าของบิทคอยของคุณอย่างแท้จริง - บิทคอยคือความรับผิดชอบส่วนตัว ถ้าคุณเผลอทํา seed phrase หลุด โอนผิด บิทคอยที่มีอาจจะหายไปตลอดกาลได้เหมือนกัน ดังนั้น ต้องศึกษาและทําทุกอย่างอย่างมีสติ เป้าหมาย 0.1 BTC คุณจะรวยกว่าคนตั้งครึ่งโลก ใครจะทําได้ระยะสั้นๆก็ดี ถ้าใครมีสินทรัพย์เก่าที่แพ้เงินเฟ้อ เปลี่ยนมาเป็นบิทคอยก็ได้นะ เป้าจะถึงเร็วขึ้น แต่ถ้าใครยังไม่ไหว ก็ขยายเป้าหน่อยก็ได้ครับ แนะนําเป้าระยะกลาง 1-3 ปี ที่อยากให้เก็บให้ได้ภายใน cycle นี้ เพราะ เงินเฟ้อและราคาบิทคอยครับ จากสถิติ ราคามันจะพุ่งไปเรื่อยๆ ยิ่งแผนนานเช่นสัก 10 ปี ผมว่า เราจะเก็บบิทคอยยากขึ้น เพราะราคามันอาจจะแพง ไปมากแล้วครับ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ทยอยเก็บไป 10 ปี ก็ดีกว่าไม่เก็บเลยนะครับ สรุป 1 แค่มีบิทคอย 0.1 BTC คุณก็จะรวยกว่าคนอีกครึ่งโลกไปแล้ว 2 ปริมาณ 0.1 BTC เหมือนจะน้อย แต่ด้วยความที่บิทคอยไม่เสื่อมมูลค่า ผ่านไปนานเท่าไหร่ มูลค่ามันก็ไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึนเรื่อยๆ สิ่งแบบนี้หาไม่ได้ ถ้ายังถือเงินเฟียต 3 สินทรัพย์อย่างอื่นที่ยังอยู่ในระบบเงินเฟียตเดิมนั้น ก็ทําให้เรารวยขึ้นได้เหมือนกัน แต่ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ ความรู้ และพลังชีวิตที่มากกว่า ในเมื่อผมเจอบิทคอยแล้ว สินทรัพย์ในโลกเงินเฟียตที่ทําให้ชีวิตเรายากขึ้น แถมได้ผลตอบแทนน้อยกว่าไม่รู้จะไปถือให้เสียเวลาชีวิตทําไม 4 รวยไม่รวยอยู่ที่มายเซ็ตและความรู้ทางการเงิน "ที่ถูกต้อง" ศึกษาเงินเฟ้อก่อนเลย มันจะนําทางต่อเอง 5 บิทคอยนั้น ยิ่งซื้อช้า ยิ่งแพง ดังนั้นใครมีเป้าหมาย 0.01 BTC หรือ เป้ารวย 0.1 BTC พยายามทําให้สําเร็จใน 1-3 ปี ใน cycle ช่วงตลาดหมีที่จะมาถึงนี้ เพราะ ถ้าเป้าที่นานเกินไปสัก 5-10 ปี คุณอาจจะเก็บบิทคอยปริมาณนี้ได้ยากกว่าเดิมหลายเท่า แต่เหมือนที่บอก ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยเก็บก็ได้ ทยอยเก็บ 10 ปี ดีกว่าไม่ได้เก็บเลย แต่ผมเชื่อว่าคนที่ศึกษาบิทคอย และเข้าใจความเลวร้ายของเงินเฟ้อ เราจะมีแรงพลักดันให้เก็บบิทคอยสําเร็จ เพราะยิ่งช้ายิ่งโดนเงินเฟ้อทําร้ายไปเรื่อยๆ 6 การเก็บบิทคอยด้วยตัวเองใน HW ถือเป็นการรับผิดของเรา ถ้าหากเราทําหาย seed phrase หลุดบิทคอยอาจจะหายไปทั้งหมดได้เหมือนกัน ต้องระวังให้ดี 7 คุณจะรวยได้จริง ก็ต่อเมื่อ สินทรัพย์ที่คุณครอบครองอยู่นั้น เป็นของคุณ และมีคุณคนเดียวที่จัดการมันได้ #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #stacksats #0.1BTC
ออม Bitcoin แทน ซื้อหวย รวย แบบไม่ต้องลุ้น - Sats And Sound Ep.56 ใครๆก็อยากถูกหวย เสี่ยงดวงด้วยเงินหลักร้อย แต่ได้รับเงินหลักล้าน เงินก้อนโต ที่จะพลิกชีวิตที่แสนเหนื่อยยากในโลกปัจจุบัน ผมโตมาในสังคมที่บ้านไม่ได้มีฐานะอะไร ผมเห็นผู้ใหญ่ที่คนรู้จัก คนรอบตัว เล่นหวย ซื้อหวย มาตลอด ทั้งบนดิน ใต้ดิน หวยหุ้น หวยต่างประเทศ มากมายไปหมด บางคนก็ได้ชื่อว่าเป็น เจ้ามือขายใต้ดิน การตีเลข การทํานายฝัน การขอเลขเด็ด ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไร บางคนซื้อทุกงวด ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง บางคนซื้อเหมือนกันแต่ไม่เคยถูกเลย แต่ก็ไม่หยุดซื้อนะ ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นคนโชคดีที่ถูกรางวัลใหญ่ๆ ที่ผมเคยเจอเองคือถูกหลักแสน หรือหลายแสนบาท คนพวกนี้หลังจากเงินหลักแสนนั่นหมด เขาซื้อหวยหนักกว่าเดิมอีก เพราะหวังลมๆแล้งๆว่าจะได้เงินก้อนใหญ่อีก ในโซเชียล การซื้อหวย การถูกหวยกิน เป็นเรื่องขําขัน ทั่วไปที่เจอกันได้ตลอด คนทํางานไม่ว่าจะอาชีพ ฐานะยังไง ก็ซื้อหวยอยากรวยเร็วกันหมด หวย กับ คนไทย แยกกันแยกมากๆเลยนะ คําถามคือ ทําไมคนไทยถึงซื้อหวยกันมากขนาดนี้?? ผมเชื่อมโยงได้หลายๆปัจจัย 1 ความจนเป็นเหตุ อยากรวยเร็ว ได้เงินก้อน บางคนรายได้น้อย หาเงินมาไม่พอใช้ เงินเฟ้อมันกัดกินคนทั่วโลกมาหลายสิบปี เงินเฟ้อเป็นหนึ่งสาเหตุหลักที่ทําให้ คนทั่วไปคุณภาพชีวิตแย่ลง ลองไปดูคลิป การโกงและการโหกคือธรรมชาติของมนุษย์ ผมได้เปรียบเทียบ อัตราเงินเฟ้อของไทยไว้ บางคนอาจจะสยองและขนลุกว่า พวกเราใช้ชีวิตกันมาได้ยังไง 2 ไม่มีความรู้ทางการเงิน คนไทยส่วนใหญ่ ไม่รู้จักหรือเข้าใจสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น บอกเลย แพ้เงินเฟ้อทั้งสองอย่าง อยากชนะเงินเฟ้อต้องออกมาจากระบบเงินเฟียตก่อน อยากให้ไปดูคลิป 1 ล้านsats รวยกว่า 1 ล้านบาท 3 เสพติดความสุขจากการได้ลุ้น (Fast Dopamine) ทุกข้อทุกความรู้ทางคณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็น เจอข้อนี้แพ้หมด การลงเงินน้อย แต่มีโอกาสได้เงินรางวัลขนาดใหญ่ มันเปรียบเสมือน ความสุขแบบฉาบฉวย ถ้า...เราได้มาเงินก้อนใหญ่มาจริงๆ ชีวิตคงจะดีกว่านี้ ความสุขเกิดจากการได้ลุ้น ยิ่งคนที่เคยถูกรางวัลนะ ยิ่งหนักเลย เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้ว่าการถูกหวยรางวัลใหญ่ มันเกิดซํ้าได้ยาก อยากให้ไปดูคลิป ความสําเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทําซํ้าๆได้ การถูกหวยเป็นเคสกรณีศึกษาเลยที่ไม่ใช่ความสําเร็จที่แท้จริง ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ก็ซื้อหวยกันหมด ยิ่งมีข่าว มีคนโชคดี ถูกหวยรางวัลได้เงินล้าน หรือสิบล้าน ผมได้ยินทุกเดือน ขนาดไม่ได้ซื้อยังรู้สึกอยากได้เงินนั้นบ้างเลย ไม่แปลกที่คนที่ซื้อหวยเป็นประจําอยู่แล้วจะยิ่งซื้อหวยมากขึ้นไปอีก ทําไมผมถึงไม่ซื้อหวย เพราะโอกาสถูกหวยรางวัลที่หนึ่งมันตํ่ามากๆนั่นเอง จากข้อมูลที่ไปหามานะครับ ต่อหนึ่งงวด กองสลากฯ จะพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลออกมาประมาณ 100 ล้านฉบับ มีตัวเลขตั้งแต่ 000000 ถึง 999999 ซึ่งมีทั้งหมด 1,000,000 ชุด ดังนั้นในแต่ละงวดจะมีรางวัลที่หนึ่ง อยู่ 100 ฉบับ นั่นเอง ตัวเลขนี้บอกว่า โอกาสที่เราจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง เท่ากับ 0.0001% เท่านั้นเองครับ มันคือ หนึ่งในล้าน ที่จะถูก ใครยังไม่เห็นภาพว่า หนึ่งในล้าน มันถูกยากขนาดไหน ผมจะลองจําลองเหตุการณ์ให้ดูครับ สมมติมี เม็ดข้าวสารที่อยู่ในกระสอบ จํานวนทั้งหมด 1 ล้านเม็ด คุณมีโอกาสแค่ 1 ครั้ง ในการหยิบ เม็ดข้าวสาร 1 เม็ด โดยข้าวสารที่ถูกรางวัลซึ่งมีแค่ เม็ดเดียวในกระสอบ เปรียบกับ ซื้อสลาก 1 ใบแล้วลุ้นรางวัลที่หนึ่ง ต้องอาศัยดวง อาศัยโชคขนาดไหน วิชาความน่าจะเป็น ทําให้ผมรู้เลยว่า โอกาสถูกน้อยขนาดนี้ ไปหาทางอื่นดีกว่า ความจริงจากชื่อ เขาก็บอกเราชัดเจนอยู่นะว่า สลาก "กิน - แบ่ง" รัฐบาล เป็นสลากลุ้นโชคที่คุณจะโดนกินก่อน แล้วมาแบ่งทีหลัง ดังนั้นคนถูกต้องน้อยมากๆกว่าคนไม่ถูกอยู่แล้ว ความ advance ของชาวไทย เราไม่ได้ลุ้นแค่หวยวันที่ 1 กับ 16 ยังมีหวยใต้ดิน หวยหุ้นที่ลุ้น จุดทศนิยม สองตําแหน่งของ set index ลุ้นกัน 4 รอบต่อวันเลย ไม่ลุ้นหวย ไม่ลุ้นโชคแล้วจะรวยได้ยังไง ออมบิทคอยสิ แค่นี้ในระยะยาว คุณก็จะรวยโดยที่ไม่ต้องลุ้น บางคนอาจจะคิดว่า ใครก็พูดได้ ผมก็เลยมีหลักฐานมาสนับสนุนสิ่งที่พูด - เงินเฟ้อที่มาขึ้นทุกวัน จากปี 1997 ถึงปี 2025 ปริมาณเงินบาทเพิ่มขึ้น 300% หรือ 6-8% ทบต้น ผมเคยพูดในคลิป บิทคอยเปลี่ยนโลก ใครออลอิน ใจเย็นก่อน คลิปนั้นบอกตัวเลขด้วย เข้าไปดูกันได้ และในช่วงหลังปี 2009 ที่มีการพิมพ์เงินเพิ่มของอเมริกา เพื่อใช้ในสงคราม ใช้หนี้เก่า ทําให้เงินเฟ้อจะเพิ่มเป็นอัตราเร่ง ถ้าคุณยังอยู่ในระบบเงินเฟียตที่เฟ้อแบบนี้ คุณก็จะต้องวิ่งตามหาเงินไปตลอด เพราะเงินในมือเสื่อมค่า เงินเก็บที่มีอยู่เดิมก็โดนเงินเฟ้อกัดกินจนอํานาจการจับจ่ายลดลงครึ่งหนึ่งทุก 10 ปี การจนลงอัตโนมัติแบบนี้ อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทุกคนอยากจะถูกหวย ได้เงินมากๆพลิกชีวิตก็ได้นะ หวยคือหนึ่งในกลไกของเงินเฟียต ทุกคนต้องอยากได้เงินเร็วๆ high time preference บิทคอยมาแก้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ดังนั้น ถ้าคุณถือบิทคอยระยะยาว อํานาจการจับจ่ายของคุณจะไม่ลดลง อย่างในคลิป ถ้ายังลําบาก การมีบิทคอย สําคัญกว่ามีบ้าน ผมก็ได้เทียบให้เห็น บ้านหลังเดียวกัน ราคาขึ้นตามเงินเฟ้อ ปี 2010 ราคา 1พัน BTC ปี 2025 ราคาเหลือ 5 BTC ลดลง 200 เท่า แค่ตัวอย่างนี้ ถ้าคนเข้าใจ คุณจะหยุดซื้อหวยมาออมบิทคอยเลย - รางวัลที่ได้จากหวย เป็นเงินเฟียต ถ้าไม่รีบใช้ รีบจัดการ จะเสื่อมค่า ต่างจากบิทคอยที่เปนเงินไม่เสื่อมค่า แถมบางคนที่ถูกรางวัลใหญ่ ไม่มีความรู้เรื่องการเงิน กลายเป็น "ทุกขลาภ" ไม่กี่ปี เงินหลักล้านก็หมดเกลี้ยงเหมือนคําที่ว่า "สามล้อถูกหวย" การที่เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ต้องพลิกชีวิตในข้ามวัน ข้ามคืน หลักการถูกหวยรางวัลใหญ่ก็เป็นแบบนั้น มันคือ high time preference เหมือนที่บอก แต่บิทคอย ตรงข้ามเลยครับ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ก้าวช้าๆแต่มั่นคงกว่า แบบ low time preference รางวัลที่คุณจะได้จากการออมบิทคอยระยะยาว 4 ปีขึ้นไป มันมั่นคงกว่า และจะไม่หายไปไหน และถ้าคุณออม มันเกิดขึ้นแน่นอน รวยแบบไม่ต้องลุ้น ถ้าหากคุณเริ่มสนใจบิทคอย แต่ก็ยังซื้อหวยทุกงวด คุณไม่ต้องหยุดซื้อหวย แต่อยากให้เริ่มแบ่งเงินออกมาออมบิทคอยด้วย ยกตัวอย่างเช่น จากที่ซื้อหวย 1,000 บาททุกเดือน แบ่งเป็น ซื้อหวย 500 บาท และ ออมบิทคอย 500 บาท ลองทําสัก 1 ปี มาดูกันว่า อะไรให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน ผมบอกได้เลยว่า ยังไงบิทคอยก็ชนะ อยากให้ไปดูคลิป 40 บาทก็เริ่มออมบิทคอยได้แล้ว เห็นได้ว่าเงินหลักสิบก็เริ่มทําให้เรารวยแบบไม่ต้องลุ้นได้ ลองดูก่อน คุณจะตกใจเมื่อรู้ว่า คุณออมเงินได้เยอะขนาดไหน พอเป็นบิทคอยมันโตเร็วขึ้นไปอีก หวยซื้อแล้วถ้าไม่ถูกก็หมดมูลค่า ต่างจากบิทคอย ที่เราจะสะสม sats ไปเรื่อยๆ เหมือนคําพูดที่ว่า sats พึงบรรจบให้ครบ bit รากฐานการออม เป็นแม่ทุกสถาบัน อยากมั่งคั่ง ต้องออมให้เป็นก่อน และต้องเลือกสินทรัพย์ให้ถูกตัวด้วยนะ ถึงหวยจะแย่ แต่ผมจะไม่ได้บังคมให้ทุกคนหยุดซื้อทันที เพราะบางคนที่ซื้อมาหลายสิบปี มันเลิกไม่ได้ แถมยังมีความเชื่อว่า สักวันจะถูกรางวัลใหญ่ พลิกชีวิต ดังนั้น อยากให้เริ่มแบ่งเงินบางก้อนมาออมบิทคอย และจากประสบการณ์ส่วนตัวอีกแล้ว บางคนแมร่งเล่นหวยเดือนๆนึง หลักพัน หลักหมื่น บาท เงินหายไปเปล่าทุกเดือนๆ คิดดู เสียโอกาสรวยจากบิทคอยไปขนาดไหน บางคนเขาแค่ยังไม่รู้ ผมก็เลยทําคลิปนี้มาบอก คุณไม่ต้องชอบ หรือเปิดใจให้บิทคอยก็ได้ แต่อยากให้รู้ว่า ไม่ควรเอาเงินไปลงกับหวย สรุป 1 โอกาสถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง มีแค่ 1 ใน ล้านเท่านั้น อยากให้มองภาพความจริงว่า เงินที่ซื้อหวยแล้วโดนกินเดือนๆนึงหายไปเท่าไหร่ จะไปลุ้นโอกาสยากขนาดนั้นอยู่ทําไม ถ้าเงินก้อนนั้นเปลี่ยนเป็นบิทคอย ในระยะยาวคุณก็รวยได้แบบไม่ต้องลุ้นเลย 2 รู้เท่าทันตัวเอง ลดการเสพติดการลุ้นรางวัล และ Fast Dopamine ความสุขที่ฉาบฉวย ความ High Time Preference ไม่ใช่คําตอบที่แท้จริง การที่คุณหลุดออกจากระบบเงินเฟียตได้ คุณจะพบความสุขที่ยั่งยืนแบบ Low Time Preference 3 เมื่อเจอข่าวคนถูกหวย ให้นึกไว้ตลอดว่า มันเป็นคนส่วนน้อย ถ้าดูข่าวแล้วรู้สึกแย่ก็เลิกดู เลิกสนใจ เราไปหาสินทรัพย์ที่ทําให้เรารวยได้อย่างยั่งยืนดีกว่า 4 คุณไม่ต้องหักดิบหยุดซื้อหวยวันนี้ แต่อยากให้ลองแบ่งเงินมาออมในบิทคอย ทําสัก 1 ปีแล้วลองเทียบดูว่า สิ่งไหนทําให้คุณรวยมากกว่า 5 บางคนเล่นหวยทั้งชีวิต ผมก็เห็นว่าเขายังคงจนเท่าเดิม ดังนั้นหวย หรือ โชคลาภ ไม่ใช่คําตอบของความมั่งคั่งนะครับ แค่เปลี่ยนมาออมบิทคอยระยะยาว คุณก็รวยได้แบบไม่ต้องลุ้น ถึงจะช้าหน่อย แต่มันคุมค่ามาก 6 แทนที่หวังว่า "สักวันฉันจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแล้วพลิกชีวิต" เปลี่ยนเป็น "ฉันจะออมบิทคอย แล้วชีวิตจะดีเองในระยะยาว" ดีกว่า ถ้ามีความรู้การเงินที่ถูกต้อง ความน่าจะเป็น และบิทคอย คุณจะรู้ว่า แค่ stack sats คุณก็จะรวยในระยะยาว ต่างจากการซื้อหวยที่ละลายเงินคุณไปทุกเดือน อย่างอัตโนมัติ คุณไม่ได้อะไรกลับมาเลย อย่างน้อยในคลิปนี้ อยากให้คุณรู้ว่า การซื้อหวย มันไม่ต่างจากการเสียเงินเปล่า เลย #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #หวย #ซื้อหวย #สลากกินแบ่ง
เงินในธนาคารถูกอายัดได้แต่ BITCOIN ที่คุณถอนมาเก็บเองไม่มีใครอายัดได้นะ - Sats And Sound Ep.55 คอนเท้นนี้ได้แรงบันดาลใจจากโพสของอาจารย์พิริยะเมื่อวาน เป็นคำสั้นๆที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีมาก สปอยนิดหนึ่ง คลิปนี้พูดถึงบิทคอยน้อยมาก แต่จะมาเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จากระบบการเงินที่ "ใช้ตัวกลาง" ผ่าน "ความเชื่อใจ" ของประชาชนให้ฟัง ก่อนหน้านี้ ช่วงต้นเดือนกันยายน 2025 มีเคส เงินในบัญชีติดลบ ถอนไม่ได้ ใครโดนโคตรซวยเลยนะ เพราะช่วงต้นเดือน อาจจะต้องใช้เงินจ่ายค่าเช่า นํ้าไฟ ค่าอื่นๆที่จําเป็น แล้วพอมากลางเดือน ธนาคารก็ยังท็อปฟอร์มอีก มีหลายคน ถูกอายัดบัญชี เนื่องจากมีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับ "บัญชีม้า" อันนี้พูดกันแฟร์ๆ ผมว่ามันมีเคสที่เป็นมิจฉาชีพที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าจริงๆ แต่ยังมีอีกหลายเคสที่ไม่ใช่ เช่น พ่อค้าออนไลน์ หรือ ร้านค้าที่มิจไปกินข้าวแล้วมันก็ใช้บัญชีนี้โอน ซึ่งมีข่าวว่าเริ่มมีหลายๆร้านไม่รับเงินโอนกันแล้ว สิ่งที่ธนาคารทํานั้นเป็นการแก้ปัญหาแบบตัดจบ ถ้ามองในมุมแบงค์ทำแบบนี้ง่ายสําหรับเขาที่สุด แบงค์อาจจะไม่ได้รู้จริงๆว่าใครเป็นมิจฉาชีพบ้าง แค่เกี่ยวข้องกันโดนหมด แต่ในมุมของลูกค้าทั่วไปที่ไม่ใช่มิจฉาชีพ เดือดร้อนมากนะ เพราะตอนนี้คนไทย โอนกันเป็นหลักแล้ว เหตุการณ์นี้ทําให้บางคนเริ่มแห่ไปถอนเงินจากธนาคาร เมื่อคนไปถอดเงินสดออกมาพร้อมกัน บรรลัยสิครับ ธนาคารไม่มีเงินสดเพียงพอกับทุกคน มีการแจ้งประชาชนว่า ให้นัดวันมาถอน เงินสดไม่พอ คุณรู้มั้ยว่า สาเหตุนี้เกิดจากระบบ Fractional Reserve Banking ที่ธนาคารไม่ได้เก็บเงินฝากทั้งหมดไว้เขาสํารองแค่บางส่วน เช่น เราฝากไป 100 บาท แบ้งเก็บไว้ 10 บาท ปล่อยกู้ต่อ 90 บาท เมื่อทําต่อเนื่องๆไปเรื่อย ทําให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล ผมมีคลิป ความจริงของ เงินเฟียตและระบบการเงินโลก ที่บอกความจริงในสิ่งที่แบงค์ทํา ใครยังไม่เข้าใจว่า Fractional Reserve Banking คืออะไรไปดูคลิปนนั้นได้เลย ในสถานการณ์ปกติ ธนาคารจะจัดการสมดุลของการฝาก การถอน ได้ แต่เมื่อเกิดเหตุความวุ่นวายแบบนี้ ธนาคารไม่มีทางรับมือได้เลย เพราะเงินสดที่เขาสำรองพร้อมให้ประชาชนถอนมันน้อยกว่าความเป็นจริงมาก ถ้าสถานการณ์มันบานปลายไปเหมือนกับ บางประเทศที่ระบบการเงินล้มเหลวไปแล้วอย่าง เวเนซุเอล่า เลบานอน เราจะได้เห็นเหตุการณ์ Bank Run อย่างแน่นอนครับ Bank Run พูดง่ายๆคือแบงค์เจ๊งอ่ะ ไม่มีเงินสดให้ประชาชนถอน Fractional Reserve Banking มันเฮีย มีคนรู้เรื่องนี้ดี ย้อนกลับไปหลังวิกฤตการเงินปี 2008 เคยมีกลุ่มคนที่ต้องการ ทํา Full Reserve Banking เหมือนในอดีตยุด Gold standard Full Reserve Banking ก็คือ ธนาคารที่จะมีหน้าที่ดูแลเงินฝากให้ประชาชนเท่านั้น ไม่เอาไปปล่อยกู้ แบงจะได้แค่ค่าธรรมเนียมจากการดูแลเงินฝากของลูกค้า Full Reserve Banking จะไม่มีโอกาสเกิด Bank Run เพราะเงินเรามันอยู่ครบตามเดิมตลอดเวลา แล้วก็เป็นไปตามคาด แผน Full Reserve Banking ล่มครับ เพราะมันมีคนที่อยู่ในโลก tradfi เดิม และได้ประโยชน์จากระบบ Fractional Reserve Banking คัดค้าน เท่าที่หาข้อมูลมาได้ ในโลกนี้มีแค่ที่ ภูฏาน ที่เดียวที่มี Full Reserve Banking Fractional Reserve Banking เป็นสวรรค์ของเศรษฐศาสตร์แบบ "เคนเชียน" ที่ทำให้เกิดการพิมพ์เงิน การกู้มหาศาล เงินเฟ้อ เพื่อทําให้เศรษฐกิจเติบโตและหมุนไปข้างหน้า เช็คได้จริงตามตัวเลข แต่อย่างที่เรารู้กันว่า ในบางประเทศที่ตัวเลข เศรษฐกิจเติบโตมากๆแต่ผู้คนก็ยังลำบาก ไม่มีความสุข ไม่ต่างจากการตกแต่งตัวเลขให้ดูดี แต่ปลอมเปลือกนั้นแหละ Full Reserve Banking จะไม่เกิดการพิมพ์เงิน และการปล่อยกู้จะทําได้ยากมากๆ แน่นอนพวกชนชั้นที่ได้ประโยชน์จากการพิมพ์เงิน ไม่มีทางยอมรับแน่นอน มาแชร์ประสบการณ์ตัวผมเอง เคยเจอสถานการณ์ถอนเงินออกไม่ได้เหมือนกันครับ ย้อนกลับไปเมื่อตอนโควิด เดือนมกราคม ปี 2020 ตัวผมเองได้ ซื้อกองทุนตราสารหนี้ เอาไว้ 1 กอง เขาลงทุนใน - เงินฝาก - ตราสารหนี้ภาครัฐ/สถาบันการเงิน - ตราสารหนี้ภาคเอกชนชั้นดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมเอาไว้พักเงิน เพราะได้ดอกเบี้ยดีกว่า กองตราสารหนี้ทั่วไป (ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องเงินเฟ้อเลย ) ผมก็พักเงินอยู่ในกองนี้ 2-3 ปีก่อนหน้านี้แล้วไม่มีปัญหาอะไร ผมมั่นใจมากๆว่า กองทุนตราสารหนี้พวกนี้ โคตรมั่นคง โอกาสเจ๊งน้อยมาก 0.0001% พอโควิดมา 0.0001% ดันเกิดขึ้นจริง ความชิบหายมาเยือนทั้งสุขภาพกาย ทั้งตลาดหุ้น ตราสารหนี้ คนเริ่ม panic เก็บเงินสดไว้กับตัว แล้วกองตราสารหนี้พักเงินแบบนี้น่าจะเป็นสิ่งแรกๆที่คนจะขายออก เพราะมันถูกดีไซน์มาให้ใช้ได้รวดเร็วเกือบแทนเงินสดได้เลย คนก็แห่ขายกองทุนที่ผมถือฉํ่า พอผ่านไป 2 เดือน มีนาคม 2020 มีอีเมลล์มาแจ้งจาก บลจ ว่า จะปิดกองทุนนี้ ผมแบบห๊ะ ชิบหาย ตังมีอยู่แสนกว่าบาท ถอนไม่ได้ทําไงดี ในอีเมลล์เขาจะแจ้งว่าจะทยอยคืนเป็นรอบๆ โดยบอกว่าจะทยอยแจ้งให้ทราบภายหลัง คําถามคือ ตอนนี้ลําบาก เงินที่คิดว่าจะไว้ใช้ตอนฉุกเฉินถอนไม่ได้อีก แล้วตอนนั้นผมตกงานอีก โคตรเฮียเลย สรุป กองทุน ใช้เวลา 8 เดือน ในการทยอยคืนเงินต้นจนครบ โอนมา 15 ครั้ง หลังจากนั้นผมบอกตัวเองว่า กองทุนตราสารหนี้ที่เราคิดว่ามันมั่นคงมากๆ ยังเจ๊ง ยังปิดกองได้ 0.0001% ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ช่วงนั้นผมก็ศึกษาเหรียญคริปโต เล่นdefi ที่เจ๊งไปอีกหลักแสนที่เคยเล่าในช่องไปดูกันได้ ถึงชีวิตจะมีมรสุมมากมาย ชิบหายหลายเรื่อง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมขอบคุณตัวเองในวันนั้นก็คือ ผมเริ่มแตะๆ สนใจบิทคอยแล้ว แต่ตอนนั้นรู้แบบพื้นๆ ยังไม่ลงหลุมกระต่าย เมื่อย้อนคิด เหตุการณ์ครั้งนั้น ผมก็ตกผลึกได้ 2 อย่าง 1 เหตุการณ์ไม่คาดฝันมันเกิดขึ้นได้เสมอ อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงแม้แต่ 0.0001% เราก็ต้องระวัง 2 เราถูกสอนมาให้เชื่อใจธนาคาร เอาเงิน เอาความมั่งคั่งไปให้เขาดูแล โดยไม่ตั้งคําถามอะไรเลย นี่แหละคือระบบการเงินเฟียต เงินสร้างทาส อยากให้ทุกคนเข้าไปดูคลิป การโกงและโกหก คือธรรมชาติของมนุษย์ แค่ถือ BTC คุณก็ไม่ต้อง "เชื่อใจ" ใครอีก คลิปนี้จะเป็นการสรุปเลยว่า การเชื่อใจตัวกลางมันมีความเสี่ยงอะไร แล้วในโลกนี้มันมี บิทคอยที่เป็นสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องเชื่อใจคนอื่นอยู่นะ เกริ่นมาโคตรยาว เพิ่งเข้าหัวข้อ เงินในธนาคารถูกอายัดได้ แต่ BITCOIN ที่คุณถอนมาเก็บเอง ไม่มีใครอายัดได้นะ รู้ยัง? สิ่งแรกทีผมคิดเลยก็คือ 1 ปัญหาถอนเงินไม่ได้ เกิดจากธนาคารที่ทําตัวเป็น "ตัวกลาง" ร่วมกับการเล่นแร่แปรธาตุอย่าง ระบบ Fractional Reserve Banking ที่เอาเงินไปปล่อยกู้ทํากําไรหมด ทําให้เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย เงินสดไม่พอให้ทุกคนมาถอนพร้อมๆกัน 2 การอายัดเงินในธนาคารที่แก้ปัญหาเรื่องบัญชีม้า ก็เป็นสิ่งที่ทําให้เราเห็นว่า "ตัวกลาง" อย่างธนาคาร สามารถทําอะไรกับเงินที่เรา "เชื่อใจ" ไปฝากไว้กับเขา มีประชาชนเดือดร้อนเสียหาย เราก็ทําได้แค่รอ 3 ทุกระบบที่มี "มนุษย์" เข้าไปเกี่ยวข้อง เกิดการโกง เกิดความผิดพลาดได้เสมอ 4 ถ้าคุณถือบิทคอย มันจะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นของคุณอย่างแท้จริง ไม่มีตัวกลางใดๆ ระบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทํางานได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณจะเอาไปใช้ โอนให้ใคร หรือแม้แต่ทําหาย มันก็เป็นสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบเอง 5 ถึงแม้ว่าจะถือบิทคอยแล้ว ถ้าหากเรายังฝากไว้กับ exchange ซึ่งเป็นตัวกลางในการจัดการคอยดูแล บิทคอยของเรา มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี เช่น FTX ที่ชิบหายกันทั่วหน้า หรือ Zipmex ที่เอาเงินฝากไปปล่อยกู้แล้วบริหารสภาพคล่องไม่ดี ฝั่งบริษัทแม่มีปัญหา ลูกค้าถอนเงินไม่ได้ สุดท้ายเจ๊ง เหมือน เคสผมที่ไปลงในกองทุน ก็ทํานองนี้นะครับ เกิดจากการบริหารสภาพคล่องรวมกับโควิด สรุปกองเจ๊ง ยังดีที่ของผมได้เงินคืน แต่ตอนนี้ลูกค้า Zipmex เหมือนยังไม่ได้คืนทั้งหมดนะ ดังนั้นการเป็นเจ้าของบิทคอยอย่างแท้จริง เราต้องถอนบิทคอยมาเก็บด้วยตัวเองนะครับ ผมมีคลิปสอน โอนบิทคอยจาก exchange เข้า HW แบบจับมือทํา ไปดูกันได้ สรุป 1 โลกการเงินแบบเฟียต ระบบการเงินเก่าที่เราต้องอาศัย "ตัวกลาง" อย่างธนาคาร มีความเสี่ยงที่มองไม่เห็น หลายอย่าง เช่น ระบบ Fractional Reserve Banking ที่ทํากำไรให้แบงค์มหาศาล แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย คนก็จะถอนเงินไม่ได้แบบที่เคยเห็น 2 พวกเราทุกคนถูกทําให้เชื่อ และ ไว้ใจธนาคารในการจัดการเงิน ดูแลความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคําถามมาหลายสิบปี ธนาคารอาศัยช่องโหว่จากความเชื่อใจ ทําให้ระบบการเงินโลกเป็นไปตามที่คนมีอํานาจต้องการ เงินเฟียตที่เฟ้อขึ้นแบบอัตราเร่งทุกปี ประชาชนจนลงแบบอัตโนมัติ 3 ถามว่ามีคนเห็นความไม่ชอบมาพากลนี้มั้ย บอกเลยว่ามี แต่ด้วยอํานาจของฝั่งเงินเฟียต มันยิ่งใหญ่มาก ทําให้แนวคิดดีๆอย่าง Full Reserve Banking เกิดไม่ได้ 4 บิทคอยคือคําตอบครับ ถ้าตัวกลางทําให้เกิดปัญหา มนุษย์ที่ใช้ความเชื่อใจโกงคนอื่นทําให้เกิดปัญหา บิทคอยตัดปัจจัยพวกนี้ออกไป ทุกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ระบบรันมาแล้ว 16 ปี ผ่านการกระจายศูนย์ มีคนพยายามโจมตีตลอดเวลาแต่ด้วยคุณสมบัติความเป็น Antifragile ของบิทคอย ทําให้ทุกครั้งที่โดน บิทคอยจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ 5 การถือบิทคอยดีแล้ว แต่การเก็บไว้ใน exchange ก็ยังคงมีความเสี่ยงเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าต้องการเป็นเจ้าของบิทคอยอย่างแท้จริง ต้องโอนมาเก็บด้วยตัวเองใน HW 6 ใครยังลังเลไม่ต้องเชื่อผมให้ลองศึกษาด้วยตนเองก่อน จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ธนาคาร #ระบบการเงิน #อายัดบัญชี
Bitcoin คือสินทรัพย์เปลี่ยนโลก ดีขนาดนี้ All In ไปเลยใครคิดแบบนี้ ใจเย็นก่อน - Sats And Sound Ep.54 ในตอนนี้สินทรัพย์อย่าง บิทคอย เป็นที่รู้จักและพูดถึงกันกว้างขวาง - มันจะเปลี่ยนโลกการเงินใบใหม่ให้มีความแฟร์ - มันคือเงินของประชาชนที่ไม่เสื่อมค่า - มันจะช่วยทําให้เราไปติดกับดักของโลกแห่งเงินเฟียตที่ทําร้ายทุกคนตลอดเวลา ใครที่ศึกษาบิทคอยมาตลอด รู้ถึงข้อดีของมันอยู่แล้ว ยิ่งในช่องของผมที่พูดถึงบิทคอยเป็นหลัก มันโคตรดีขนาดนี้ ก็ All In ไปเลย ใครกําลังอยู่ในสเต็ปนี้ ผมทําคอนเท้นนี้มาเบรคหลายๆคนไว้ก่อน โดยเฉพาะมือใหม่ ไม่ใช่ว่าผมไปเจอบัคที่น่ากลัวของบิทคอย หรือ ข้อมูลที่ทําให้บิทคอยไม่ใช่เงินที่ดีอีกต่อไป แต่อยากจะมาแนะนําให้ทุกคน ก่อนที่ออม จะ All In คุณต้องเข้าใจบิทคอยด้วยตัวเองก่อน " เราจะมีบิทคอย เท่าที่ความรู้เรามี " คําพูดนี้มันลึกซึ้งมากๆครับ อยากจะให้มือใหม่ทุกๆคนที่เพิ่งศึกษา ได้เข้าใจบิทคอยจริงๆก่อน ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องแต่รู้เรื่องจําเป็นและถูกต้องก็พอ เช่น - บิทคอยแก้ปัญหาอะไร - เงินเฟ้อน่ากลัวขนาดไหน - การออมและเก็บบิทคอยอย่างปลอดภัย จากคลิป เริ่มออมบิทคอยเท่าไหร่ดี ผมก็จะบอกละเอียดมากเลยว่าต้องทําอะไรก่อนหลัง เช่น ดูการเงินส่วนบุคคล เป้าออมเท่าไหร่ ซึ่งสรุปในคลิปก็คือ อยากให้เริ่มออมจริงๆด้วยจำนวนเงินน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอก่อน เมื่อเราเข้ามามีส่วนร่วมหรือ skin in the game ผมเชื่อว่ามันจะทําให้เราเริ่มศึกษา และเข้าใจบิทคอยมากขึ้น ความรู้ที่มีนี่แหละจะเป็นตัวบ่งบอกว่า - เราควรบิทคอยเท่าไหร่ ? - เราจะ All In ไปเลยมั้ย ? ในบิทคอยคอมมูนิตี้มันก็จะมีคนหลายๆแบบอยู่ร่วมกัน stereotype ของบิทคอยเนอร์ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็นคือ เป็นคนประหยัด เป็นตัวของตัวเอง ถ้าพูดถึงการ All In ก็ต้องพูดถึง Bitcoin Maxi ซึ่งคือคนที่ All In และเชื่อมั่นในบิทคอยมากๆ ทุ่มหมดตัว ผมเชื่อว่าใครที่เป็น Bitcoin Maxi ต้องผ่านการศึกษา มี proof of work มามากมายจนมั่นใจ เราจะเห็นหลายๆคนที่เปิดตัวและไม่เปิดตัว อีกกลุ่มที่น่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ก็คือ คนที่เป็นบิทคอยเนอร์ที่ถือสินทรัพย์อื่นๆอยู่ด้วย เช่น คริปโต หุ้น อสังหาฯ ในคอมมูก็จะมีการถกเถียงประเด็นต่างๆกัน ถึงแม้ทุกคนจะสนใจบิทคอย แต่ก็ไม่ได้จะมีความเห็นตรงกัน หรือ เข้าใจตรงกันทุกเรื่อง สิ่งนี้มันเป็นความจริงของสังคมของโลกเราเลยครับ ใครที่เข้ามาศึกษาบิทคอย น่าจะมีมายเซ็ตในการยืนด้วยลําแข้งตัวเอง ไม่พึ่งพาคนอื่น ดังนั้น การตัดสินใจที่จะถือบิทคอยเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความต้องการ และเงื่อนไขของแต่ละบุคคลเลยครับ ใครจะ All In ใครจะแบ่ง เรื่องของคุณเลย เพราะสินทรัพย์ในมือคุณคือความรับผิดชอบของคุณเอง ไม่ว่าจะรวยหรือเจ๊ง เป็นทางเลือกของคุณเอง สิ่งที่อยากจะบอกในคลิปนี้ก็คือ 1 ถ้าสนใจและศึกษาบิทคอยมาระยะหนึ่ง ให้เริ่มจากการออมในสัดส่วนที่เราไม่ลําบากก่อน พอเริ่มถือเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นการเช็คตัวเราไปด้วยว่าทนความผันผวนระยะสั้นได้แค่ไหน มีมือใหม่บางคนที่ยังคิดแบบระบบเงินเฟียต ที่บิทคอยลง5% ก็ขายแล้ว อันนี้ไม่ใช่นะครับ บิทคอยเป็นเกมระยะยาว 2 การที่เข้ามาถือ เราก็จะศึกษาและเรียนรู้ บิทคอยมากขึ้นโดยอัตโนมัติ พอทําไปถึงจุดหนึ่งจะเป็นจุดตัดสินใจว่า คุณเหมาะกับบิทคอยมั้ย หรือ เราจะทยอยเก็บ หรือ เราจะ All In ไปเลย ถ้าใครยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมแนะนําทําตามสเต็ปนี้ 1 วางแผนการเงินส่วนบุคคล 2 ศึกษาเรื่องเงินเฟ้อ 3 หลังจากนั้นก็ศึกษาว่าบิทคอยมาแก้ปัญหาอะไร พยายามดูว่าบิทคอยแก้ปัญหาให้เราได้มั้ย? 4 วางแผนการออมบิทคอยระยะยาว โดยแผนเราจะต้องทําได้อย่างสมํ่าเสมอ 5 ถ้าหากเรามั่นใจอาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เดิมที่มีและแพ้เงินเฟ้อมาเป็นบิทคอย จะเห็นได้ว่า สเต็ปต่างๆที่ผมบอกมา ต้องอาศัยความรู้ เวลา และ การคิดมาอย่างดีแล้วนะครับ ผมเชื่อว่า ทุกคนที่ถือบิทคอย ต้องผ่านจุดนี้มาก่อนเหมือนกัน ถ้าคุณไม่เข้าใจบิทคอยจริงๆ คุณเข้ามาถือได้ แต่สักวันคุณก็จะขายบิทคอยออกไปอยู่ดี แล้วมายเซ็ต All In มาจากไหน? ส่วนตัวคิดว่ามันจะเกิดกับคนที่อยู่ในโลกเงินเฟียตเดิม มีความคิดแบบ high time preference เช่นคนที่ลงทุนใน Alt Coin ที่ต้องรีบซื้อ พอเห็นโอกาส ต้อง All In เพราะต้องการรวยเร็ว พลิกชีวิต ต้องวิ่งให้ทันเงินที่เสื่อมค่าอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่ชอบออกข่าว มีคนลงทุน เหรียญคริปโตเล็กๆ ใช้เงินหลักหมื่น ได้กำไรทิพย์ 30ล้าน แต่ในความจริง ถอนออกไม่ได้ โดนล็อคกระเป๋า ถ้าไม่ใช่ dev หรือเจ้า คุณทํากําไรขนาดนั้นไม่ได้จริงนะ หรือล่าสุดที่ เหรียญ WLFI ที่วาฬโดนล็อคกระเป๋า เพราะเจ้าของกลัววาฬเทขายแล้วเหรียญราคาดิ่ง นี่คือข้อเสียของเงินเฟียต หรือ Alt Coin ที่มีคนคุมระบบ มีเจ้าของ เขาทําได้ทุกอย่าง ดังนั้นกลับมาที่บิทคอยต่างกันเลย บิทคอยที่ต้องออมระยะยาว ความคิดแบบ low time preference ไม่ว่าคุณจะเริ่มออมบิทคอย หรือ จะ All In ในวันนี้ มันไม่มีทางทําให้คุณรวย หรือ เปลี่ยนชีวิตได้ในช่วงเวลาสั้นๆเช่น 6-12 เดือน ผมแนะนําว่าต้องถือสัก 4 ปีครับ ผมเชื่อว่าในระยะนี้ ถ้าคุณได้ศึกษาบิทคอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวคุณเอง มายเซ็ต วิธีชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ศึกษาบิทคอยเรื่องเดียว คุ้มค่ามาก นอกจากมันแก้การเงินแล้ว มันแก้ชีวิตเราได้ดีขึ้นได้ด้วย สรุป 1 คุณจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี และเวลาที่เหมาะสม จะ All In หรือ ค่อยๆออม มีเป้าเท่าไหร่ มันเป็นทางเลือกของตัวคุณเอง 2 สําหรับมือใหม่ แนะนําให้ เริ่มจากการออมด้วยเงินน้อยๆ ร่วมกับการ ศึกษาบิทคอยไปด้วย เมื่อเรามี skin in the game คุณจะเริ่มเรียนรู้ว่า บิทคอยเหมาะสมกับตัวเองมั้ย และ ตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวเองได้ 3 การถือสินทรัพย์ใดๆ หรือ เท่าไหร่ ล้วนเป็นทางเลือกของตัวคุณเอง ความเสียดาย ความรู้งี้ในอดีตแก้ไม่ได้ แต่เราทําปัจจุบันเพื่ออนาคตที่ดีกว่าได้ 4 การถือบิทคอย ถึงคุณจะ All In ในตอนนี้ มันก็ไม่ได้ทําให้คุณรวยขึ้นทันตาเห็น เพราะบิทคอยคือเกมระยะยาว ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลลัพท์ 5 อะไรก็ตามที่เรารู้สึกว่ามันดีเกินไป ต้องระวังไว้เสมอ don't trust,verify 6 การที่คุณเริ่มสนใจถือบิทคอย ผมว่าคุณก็โชคดีกว่าคนอีกจํานวนมากที่ยังคงติดอยู่ในระบบเงินเฟียตที่ต้องวิ่งตามหาเงินที่เสื่อมไปเรื่อยๆตลอดเวลา #siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #allin #การออม #การเงิน
แนะนำ หนังสือ เล่มแรก สำหรับมือใหม่ ที่เริ่มสนใจ BITCOIN เงินเฟ้อคือคดีอาญา #เงินเฟ้อคือคดีอาญา เอามาแชร์ใน nostr อาจจะเหมือน สอนจระเข้ว่ายน้ำ แต่เผื่อใคร อยากป้ายยาส้มให้มือใหม่ ให้อ่านหนังสือเล่มแรก เอาคลิปนี้ให้เขาดูได้เลยครับ #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin
ของไม่จําเป็น ไม่ซื้อในทันทีทําแค่นี้ ประหยัดได้มหาศาล - sats and sound EP28 ตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคการซื้อของออนไลน์ ที่ง่ายดายไปหมดไม่ว่าจะเป็น การหาของที่ต้องการ คลิปป้ายยาแปะพิกัด การจ่ายเงิน กดสั่งง่ายๆหน้าจอมือถือที่บ้าน อีก 2-3 วันของก็มาส่งแล้ว สะดวกสบายมาก เทียบกับ 10 ปีก่อน พฤติกรรมของผมเปลี่ยนไปเลย ตอนนี้ผมซื้อ ออนไลน์ 95% แล้ว ผมว่าคนไทยส่วนมากก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอซื้อง่าย จ่ายง่าย แถมมีเทรน ของมันต้องมี อยู่ตลอด ทําให้บางครั้งเราอาจจะไปซื้อสินค้าที่ไม่ได้จําเป็นต่อเราขนาดนั้น เบื้องหน้าการช้อปปิ้งบําบัดเพื่อความสุขแบบนี้ มันคือ การใช้ชีวิตแบบ High Time Preference ที่ตัวผมเองก็เป็น แต่ผมเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากมัน โดยที่รู้เท่าทันตัวเอง สินค้าที่เราต้องซื้อผมจะแบ่งออกเป็น 4 แบบ ตามความจําเป็นและความเร่งด่วนของสินค้านั้นๆ 1 สินค้าจําเป็นและเร่งด่วน 2 สินค้าไม่จําเป็นแต่เร่งด่วน 3 สินค้าจําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน *** 4 สินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วน 1 สินค้าจําเป็นและเร่งด่วน สินค้ากลุ่มนี้คือสิ่งที่คุณต้องมีทันที และขาดไม่ได้ เพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน สุขภาพ ความปลอดภัย หรือการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ - ป่วยต้องไปซื้อยามากิน - ฝักบัวที่บ้านเสีย ต้องซื้อใหม่เลย - มือถือ ถ้าเสีย หรือ ทําหาย สมัยก่อนผมใช้ ไอโฟน 5s ซึ่งพังคามือเลย ข้อมูลหายหมด ทําให้ผมต้องไปยืมมือถือสํารองเพื่อนใช้ระหว่าง รอเครื่องใหม่ ใช้ชีวิตลําบากมาก แต่ตอนนั้น ยังไม่ได้ใช้แอฟธนาคารจ่ายเงิน ถ้าเป็นตอนนี้ ไม่มีมือถือไม่ได้เลย - คอมพิวเตอร์ที่ทํางาน หาเงิน เสียกระทันหัน ชีวิตวุ่นวาย - รถเสีย/อุบัติเหตุ ต้องซ่อมทันที เพราะไม่งั้นเราเดินทางไม่ได้ แนะนํา - พวกนี้ยังไงก็ต้องซื้อใช้เลย ถ้าไม่มีลำบาก จัดการเงินไว้ก่อนชีวิตจะไม่ได้สะดุด - ในกรณีที่สินค้านั้นราคาไม่แพงมากเช่น ไม่เกิน 1000 บาท ผมใช้เงินรายเดือนได้เลยเพราะผมได้กันเงินไว้เผื่อซื้อของพวกนี้ไว้อยู่แล้ว เคสจริงจากด้านบน ซื้อยา หรือฝักบัวในบ้านพัง ใช้เงินรายเดือนนี่แหละ สรุปรายเดือนเหลือเท่าไหร่ก็ค่อยเก็บออม - ถ้าสินค้านั้นราคาแพงมาก อาจจะสัก 2-3พันบาท หรือ แพงกว่านั้น ผมจะใช้เงินสํารองฉุกเฉินมาใช้ (ประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน) โดยหลังจากนั้นก็ค่อยๆเก็บสะสมให้เท่าเดิม มือถือพัง คอมพัง และรถเสียใช้เงินสํารองฉุกเฉินที่เก็บไว้มาใช้ 2 สินค้าไม่จําเป็นแต่เร่งด่วน กลุ่มสินค้าที่ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ตอนนั้นมีโอกาสที่ซื้อในราคาถูกมาก หรือเป็นสิ่งที่ทําให้เรามีความสุข - ตั๋วคอนเสิร์ต/ตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชันแบบ Flash Sale - ของขวัญให้คนสําคัญในวันพิเศษ หรือ hang out กับเพื่อนๆ - งานภาษีสังคมต่างๆ เช่น งานแต่ง งานศพ งานบวช แนะนํา - กลุ่มนี้ก็ใช้การบริหารเงินเหมือนกับกลุ่มแรกได้เลย ผมกันเงินไว้ส่วนหนึ่งรายเดือนเผื่อใช้อยู่แล้ว - เราสามารถลดหรือตัดได้ เช่น ไม่จําเป็นต้องไป hang out คอนเสิร์ตทุกครั้งที่เพื่อนชวน - งานภาษีสังคมต่างๆ ผมก็จะเลือกไปบางงาน งานไหนไม่ได้ไปก็ส่งเงินไปแทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไม่ต้องลางานด้วย กลุ่มสินค้าที่ต้องใช้ด่วน หลักคิดสําคัญคือการบริหารเงินและดูความจําเป็น ชีวิตจะได้ไม่สะดุด 3 สินค้าจําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน เป็นกลุ่มที่เราต้องใช้ความสําคัญมากที่สุด มันคือของจำเป็นแต่ไม่ต้องใช้ตอนนี้เดี๋ยวนี้ กลุ่มนี้แหละที่ผมจะใช้ทริคไม่ซื้อเลยในทันที จะมีการวางแผน คิดนานขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่า เราต้องซื้อสินค้านี้จริงๆ เป็นกลุ่มที่ผมโฟกัสที่สุด เพราะเป็นของส่วนใหญ่ในชีวิตที่ผมซื้อ ถ้าเราจัดการกลุ่มนี้ดี แล้วเราจะประหยัดได้มหาศาล - เสื้อผ้า - ของใช้ทั่วไป เช่น สบู่ ยาสีฟัน สกินแคร์ ทิชชู่ - ของใช้ในบ้านที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เรา ซึ่งความจําเป็นต้องขึ้นอยู่กับบุคคลอีกทีครับ เช่น โครงเตียงเหล็ก เครื่องเติมอากาศ - มือถือส่วนตัวที่ใกล้พัง แนะนํา - ผมจะ list ของใช้ที่จําเป็น แล้ว กดใส่ตระกร้าไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่ลืม แต่จะไม่กดซื้อทันที สิ่งที่ผมทําคือ คิดนานๆ หาข้อมูลเยอะๆ สัก 2-3 วัน แล้วกลับมาคิดอีกทีว่า สินค้านั้นยังจําเป็นมั้ย ทําให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น สะดวกขึ้น หรือแค่อยากได้ - ถ้าเป็นเสื้อผ้า แน่นอนครับ ซื้อของลดราคา และเลือกทุกอย่างสีพื้นๆ ลายน้อยๆ เนื้อผ้าสมราคา เพื่อใส่ได้หลายๆงาน ด้วยหลักการนี้ทําให้ 5 ปีที่ผ่านมา ผมซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดไม่ถึง 10 ตัว ถ้าใครซื้อออนไลน์ ถ้าชอบร้านไหนลองซื้อมาลองสัก 1 ตัวก่อน ถ้าโอเคค่อย list เป็นร้านที่ซื้อได้ - ถ้าเป็นของทั่วไป ราคาไม่เกิน 1,000 บาท เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผมจะดูโปรโมชั่นแล้วซื้อครั้งละเยอะๆใช้ได้ 3-6 เดือน ถ้าเราซื้อตัวไหนบ่อยๆเราจะรู้ว่า ราคาสินค้ามันประมาณไหน ตัวไหนมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 ก็ค่อยกดตอนโปร ต้องรู้และรอเป็น - ถ้าเป็นสินค้าราคาสูง เช่นหลายพันบาท ผมจะหาข้อมูล ใช้เวลาพิจารณาหลายๆวันว่าสิ่งนี้มันจำเป็นจริงๆมั้ย เอาความอยากได้กับเหตุผลสู้กันก่อน แนะนําเขียนข้อดีข้อเสีย ออกมาเลย ว่าเราจําเป็นต้องใช้ไหม -- ตัวอย่างเคสจริง เตียงโครงเหล็ก ผมเพิ่งย้ายที่อยู่มาใหม่ ห้องไม่มีอะไรเลย ที่นอนเราซื้ออยู่แล้ว แต่โครงเตียงอ่ะ ผมชั่งใจอยู่นานมาก ตอนแรกอยากได้มากๆ กดใส่ตระกร้าไว้ก่อน แล้วหาข้อมูลหลายๆร้าน หาข้อมูลไปเรื่อยๆอยู่ 3 วัน จนรู้ว่ามันมี 2 เกรด เกรดแรกราคา ประมาณ 1200 แต่มันก็อาจจะโยกแยก อ่านรีวิวแล้วต้องวัดดวงว่าของที่ได้จะพังมั้ย เกรดที่สอง ดีขึ้นมาหน่อย คงทน ไม่โยกเยก ราคา 3000 ผมอยากได้อันนี้ แต่ด้วยราคามันสูงผมเลือกที่จะรอ แล้วลองทดลองนอนบนฟูกติดพื้นดูก่อน ผมทดลองอยู่ 3 เดือนพบว่า การนอนแบบไม่มีโครงเตียงก็ไม่ได้แย่ การซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ในห้องเช่า ตอนย้ายก็ลำบากอีก สรุปเคสนี้คือ ผมไม่ซื้อโครงเตียงเหล็ก ประหยัดไป 3000 บาท -- เครื่องเติมอากาศ ห้องที่ผมอยู่มีฝุ่นเยอะมาก ขนาดทําความสะอาดและไม่ได้เปิดหน้าต่างประตูเยอะ ผมก็ไปหาข้อมูลจนเจอเครื่องเติมอากาศ หลักการของมันคือ ทําห้องเป็นแรงดันบวก ดันฝุ่นในห้องออก ป้องกันฝุ่นด้านนอกเข้ามา ถ้ามีเครื่องนี้เท่ากับว่า ฝุ่นในห้องจะลดลงมาก ผมทั้งอ่านรีวิว ศึกษา 4-5 วัน สนใจมาก ราคาเครื่องก็ 4000 บาท ทําให้ผมต้องไปศึกษา ดูรีวิวหนักกว่าเดิมว่า ซื้อมาแล้วคุ้มมั้ย ดูถึงขั้นเราจะติดตั้งตรงไหน เปิดใช้ตอนไหน ผมเขียนข้อดีข้อเสียออกมา ชั่งน้ำหนัก จนสรุปว่า ผมซื้อ เพราะมันทําให้ฝุ่นในห้องเราลดลงโดยภาพรวม ทําความสะอาดห้องน้อยลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น -- มือถือใกล้พัง อันนี้ ต่างจากเคส มือถือไอโฟน 5sพังไปแล้วที่ต้องซื้อเลยนะครับ ตอนนี้ผมใช้ ไอโฟน 11 ที่ซื้อมาตั้ง ตุลาคม 2562 ตอนนี้ปี 2568 ผ่านมาเกือบ 6 ปี ไอโฟน 11 ผมยังใช้งานได้ดี ผมรักมาก ทนมาก แต่แบตเริ่มเสื่อม และ iOS ไม่รู้จะซับพอร์ตไปอีกกี่ปี ดังนั้นสิ่งที่ผมทําคือ การสะสมเงินไว้ก่อนเดือนละ 2000 บาท เพื่อรอซื้อไอโฟนใหม่ ตอนนี้มือถือคือชีวิตถูกมั้ยใช้ทําทุกอย่าง จากบทเรียน ไอโฟน 5s พังคามือ ข้อมูลในมือถือหายหมด ดังนั้น เราได้เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เงินพร้อม ประมาณ 35000 บาท ถ้า ไอโฟน 11 เริ่มส่งสัญญาณไม่ไหว ผมมีเวลาไปซื้อเครื่องใหม่ พร้อมกับ ย้ายข้อมูลมือถือได้ทัน ชีวิตก็ไม่สะดุดแล้ว ไอโฟนแพงขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ซื้อตัวท็อปนะ ซื้อตัวธรรมดาพอครับ 4 สินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วน กลุ่มนี้คือแสดงถึงความเป็น ของต้องมี ของโดนป้ายยา แสดงถึง High Time Preference เข้ากับ ระบบเงินเฟียตสุดๆ ตัดได้ตัด ที่เขาต้องการให้เราซื้อได้เร็ว ก็เพราะแบบนี้แหละ - ของตกแต่งบ้านที่ไม่จำเป็น - ของเล่น/เกมใหม่ล่าสุด - อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ล่าสุด - เสื้อผ้าแฟชั่นที่ยังไม่ถึงฤดู - ของตามกระแสต่างๆ แนะนํา - ตัดได้ตัด - ก่อนซื้ออะไรคิดเยอะๆ นานๆ ว่าเราแค่อยากได้ หรือ มันจำเป็นจริงๆ - ตั้งเป้าหมายออมเงิน เช่นผมต้องออมในบิทคอย อย่างน้อยเดือนละ 1000 บาท ห้ามน้อยกว่านี้ เราก็จะคิดเยอะและประหยัดขึ้นมาอัตโนมัติ สรุป 1 ท้ายที่สุดการซื้อสินค้าทุกอย่างต้องดูที่ความจําเป็นเป็นหลัก 2 การบริหารการซื้อสินค้าที่จําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน เป็นคีย์สําคัญในการบริหารการเงิน และจัดการชีวิตให้ราบรื่น 3 คิดเยอะๆและชะลอการจ่ายเงินซื้อสินค้าออกไป แค่ 2-3 วัน อาจจะทําให้คุณประหยัดเงินขึ้นมหาศาล 4 ผมทําแบบนี้มาสักพักแล้ว ข้อดีที่สุดคือ ของที่ซื้อมาทุกอย่าง ได้ใช้งานจริงๆและคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป #siamstr #btc #ประหยัด #ประหยัดเงิน #bitcoin
Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด - sats and sound EP23 Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด Fiat Food เป็นคําเปรียบเปรยถึงอาหารที่ผ่านการแปรรูปและผลิตจำนวนมาก แสดงถึงความ high time preference โดยไม่คํานึงถึงผลเสียต่อร่างกายระยะยาว Ultra-Procesed Food คือ อาหารแปรรูป ผลผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ที่เต็มไปด้วย สารเคมี สารกันบูด สารแต่งรสแต่งกลิ่นสังเคราะห์ Fiat Food / Ultra Process Food 2 สิ่งนี้มันเป็นซับเซ็ทกันอยู่ ที่บอกว่ามันแย่กว่าที่คิด ลดได้ลดเพราะว่าอาหารเหล่านี้ มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ ทํากําไรให้แก่นายทุน คิดง่ายๆนะ อาหารที่ต้องผลิตจํานวนมาก ต้องหาต้นทุนการผลิตที่น้อยที่สุด ต้องเก็บได้นานๆ และรสชาติเข้มข้น ในตอนนี้อาหารแปรรูปราคาถูกและหาซื้อง่ายกว่า อาหารทั่วไปไปแล้ว แต่ภาพลวงตาของความง่ายและสะดวกนี้เต็มไปด้วยผลเสียต่อสุขภาพระยะยาวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรัง ความดัน เบาหวาน ไขมัน หรือแม้แต่มะเร็ง ย้อนไปในอดีต มนุษย์อยู่ได้มาตั้งนาน จนมาถึงยุคการมาถึงของเงินเฟียต ที่ทุกอย่างต้องเร็ว รวมไปถึงการสร้างกําไรของภาคธุรกิจ ในภาคเกษตรกรรม ต้องปลูกพืชที่โตเร็วเท่านั้น เพื่อสร้างผลผลิตได้เร็ว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมื่อดินฟื้นฟูตัวเองไม่ทัน ก็เผาป่าสิ แล้วปลูกใหม่ pm มลพิษฉ่ำ แล้วผลผลิตที่มากแบบนี้มันต้องแปรรูปทุกอย่างให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น - แป้ง ทําขนมปังได้ง่าย - มาการีน ทําได้เร็ว ถูกกว่าเนยแท้ - นํ้ามันพืช ปรับแต่งโครงสร้างไม่ให้เหม็นหืนเร็ว - High Fructose Corn Syrup ลดการใช้นํ้าตาลจริงๆ น่ากลัวมาก อยู่ในขนม ซอส แยมต่างๆ แล้วมันก็ไปอยู่ในพวกอาหารแปรรูปต่างๆที่เรากินกันจนถึงทุกวันนี้เพราะมีผลิตง่าย ผลิตได้เยอะๆ สิ่งที่เลวร้ายต่อมาคือ การแทรกแซงโดยรัฐบาล การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและการกำหนดนโยบาย อำนาจนี้สามารถถูกใช้โดยกลุ่มผลประโยชน์พิเศษและนักการเมืองเพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางสังคม รวมถึงแนวทางการบริโภคอาหาร งานวิจัยพวกนี้มีผลสนับสนุนว่าการใช้สารเคมีในอาหารอุตสาหกรรมนั้นปลอดภัย สปอนเซอร์เงินทุนงานวิจัยก็พวกบริษัทผลิตอาหารพวกนี้นั่นแหละที่ให้มา ลองผลไม่ดีสิ ได้ถอนสปอนเซอร์ เริ่มเห็นความเน่ายัง ใครเคยเห็น ปิรมิดอาหารบ้าง แบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางภาครัฐแนะนําสัดส่วนในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน เรียนในโรงเรียนด้วยถูกมั้ย ดูดิ เขาให้เรากินแป้ง และ ผักผลไม้ที่ปลูกได้ง่าย ขายเร็ว สัดส่วนรวมกันถึง 75% แล้วให้กินโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต หรือซ่อมแซมร่างกายแค่ 20% มันแปลกมั้ย เพราะโปรตีนจากสัตว์นั้น ผลิตยากและแพงกว่า และกลุ่มนายทุนได้กําไรน้อยกว่า ส่งผลให้เขาพยายามรณรงค์ให้กินของที่ถูก ผลิตง่ายแทน เริ่มเห็นภาพแล้วยัง นี่ยังไม่รวมงานวิจัยที่แนะนําให้ลดการกินเนื้อสัตว์เพราะเสี่ยงมะเร็งอีก ทุกคนก็ใช้ชีวิตในการกินแป้ง น้ำตาล อาหารแปรรูป แบบนี้กันมา 30-40ปี อเมกาที่ดังคือพวก fast food ที่ทุกอย่างคืออาหารแปรรูป ที่เอามาทอดอีก มันโคตรอร่อย แต่มันน่ากลัวมาก จากสถิติคนอเมริกัน อ้วนขึ้นจํานวนมาก และมาพร้อมกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น ความดัน เบาหวาน ไขมัน ซึ่งโรคพวกนี้มันเกิดจากพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตเป็นหลักเลย พันธุกรรมก็มีส่วน แต่พฤติกรรมมีผลมากกว่า พอเราเป็นโรค ก็ต้องใช้ยา บริษัทผลิตยา ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีก อยากให้ไปคิดต่อกันเอง สงสัยมั้ยว่าพอเราเป็นโรค NCD มีคนบอกเราตรงๆว่า กินแค่ยารักษาโรคไปตลอดชีวิต แต่กลับ ไม่มีใครมาบอกเราตรงๆว่า อาหารที่เรากินมันแย่ และเป็นสาเหตุของโรคเหล่านั้น? วิธีที่ผมใช้จริงในการ ลด ละ เลิก Fiat Food / Ultra-Processed Food สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องเลือกการกินมากขึ้น you are what you eat - ลดการกิน fiat food หรือ Ultra Process Food อาหารแปรรูปให้มากที่สุด พวกขนมปัง ขนมขบเคี้ยว น้ำหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก หมูยอ อาหารกระป๋อง พวกนี้เต็มไปด้วยสารเคมี สารกันบูดและ สารแต่งรสสังเคราะห์ ตระกูล high fructose corn syrup - กินอาหารสด ปรุงสุกใหม่ เท่านั้น - กินอาหารให้หมดเป็นมื้อๆ - ไม่กินอาหารค้างคืน หรือของเหลือในตู้เย็น อาหารพวกนี้จะเกิดแบคทีเรียสะสมได้ ผมเคยกินแล้วปวดท้อง เคยมีปัญหา IBS ปวดท้องแก้ไม่หาย หาหมอก็ไม่หาย สรุปคือ ผมกินแต่อาหารย่อยยาก และน้ำเต้าหู้แช่เย็นที่เก็บไว้เป็นสัปดาห์ พอเปลี่ยนการกิน อาการก็ค่อยๆดีขึ้น - ไม่กินน้ำหวาน หรือ ของหวาน ของกินจุกจิก ถ้าอยากกินของกินเล่นก็กินหลังมื้ออาหาร น้อยครั้ง ไม่ใช่กินทุกวัน ไม่ได้นะ - เลิกความเชื่อผิดๆว่า ถ้าอยากอิ่มท้องให้กินข้าวเยอะๆ เปลี่ยนเป็นกินโปรตีนเยอะ โปรตีนจากสัตว์ จากไข่ นมนะ ไม่เอาพวกโปรตีนผง - เน้นการกินโปรตีนมากขึ้น ไม่กลัวการกินไขมันจากสัตว์ ผมไม่ใช่สายกินเนื้อล้วน แต่มีการ balance สิ่งที่กินต่อวัน - ลดแป้ง คาร์โบไฮเดรตลง กินผัก ไฟเบอร์ มากขึ้น - กินนํ้าเปล่าวันละ 1.5 - 2 ลิตร - ผลไม้กินเป็นลูกๆ ไม่กินน้ำปั่น เพราะจะทําให้การดูดซึมนํ้าตาลเร็วเกินไป - วิธีที่ดีที่สุดคือทำอาหารกินเอง แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นก็จะพยายามเลือกกิน แต่สิ่งที่มีประโยชน์ และ สดใหม่ปรุงสุก - เรื่องน้ำมันพืช เราสั่งข้าวกิน ลดยากมาก ผมก็พยายามสั่งร้านว่าใส่น้ำมันน้อยๆ - ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ - บางครั้งก็มีกินสิ่งที่อยากกินบ้าง อัตราส่วนไม่เกิน 5-10% ของทั้งหมด - การกินคลีน สำหรับผมไม่ใช่คำตอบ เพราะทำให้สัดส่วนโปรตีนที่เราได้รับไม่สมดุล แถมถ้าเป็นคลีนที่ไม่อร่อย เราจะทำได้ไม่นาน พอหลุด cheat day ก็กินยับเลย แนะนํากินแบบมีความสุขบ้าง จะได้ทําได้นานๆ อาหารที่ดี ไร้ Fiat Food / UPF 90% ของอร่อย 10 % สรุป Fiat Food / Ultra-Procesed Food เป็นอาหารที่เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่น่ากลัวคือ มีคนมากมายยังไม่รู้ว่ามันส่งผลต่อเราในระยะยาวมากแค่ไหน ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ไม่ใช่มันไม่มีใครรู้ แต่มันมีกลุ่มนายทุนที่ได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง หน้าที่ของเราคือการรู้เท่าทัน และดูแลอาหาร สุขภาพของเราให้ดีในระยะยาว ถ้าคุณลดการกินอาหารแย่ๆพวกนี้ได้ ชีวิตคุณจะดีขึ้น You Are What You Eat #siamstr #fiatfood #upf #อาหาร #อาหารแปรรูป
รู้จัก บิทคอย และ เป็น Bitcoiner ได้ยังไง แชร์ ปสก จาก คนในชุมชนบิทคอยในไทย - Sats and Sound EP 22 ผมไปเจอคําถามในกลุ่ม Siamese Bitcoiners น่าสนใจมากผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนในคอมมินิตี้ รู้จักบิทคอยได้ยังไงและทําไมถึงเลือกที่จะเป็น bitcoiner ผมได้รวบรวม วิเคราะห์และสรุปคําตอบออกมาได้ดังนี้ 1 รู้จักบิทคอยได้ยังไง : จากความบังเอิญ สู่การศึกษาจริงจัง การที่ผู้คนมารู้จัก Bitcoin นั้นมีที่มาหลากหลาย บางครั้งก็เป็นเรื่องของความบังเอิญหรือคำบอกเล่า 1 จากสื่อและโซเชียลมีเดีย (13 คําตอบ) - บางคนเห็นข่าวจาก Blognone - กระทู้ใน Pantip - จากช่อง YouTube ของผู้มีอิทธิพลต่างๆ เช่น นายอาร์ม , อาจารย์ตั๊ม , Coinman , Right Shift , หรือแม้กระทั่งฟังลุงนิคที่เคยด่า Bitcoin 2 จากเพื่อนและคนรอบข้าง (6 คําตอบ) - หลายคนเริ่มรู้จักจากคำแนะนำของเพื่อน - คนใกล้ตัวที่อยู่ในแวดวง - บางคนถึงขนาดถูกเพื่อนชวนทำ Survey รับ Bitcoin ฟรีตั้งแต่อยู่ ม.ต้นในปี 2013 3 จากความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว (4 คําตอบ) - บางคนเริ่มต้นจากการเห็น Bitcoin เป็นช่องทางลงทุนทำกำไร - อยากหาอาชีพเสริม - สงสัยว่าไอคอน Bitcoin ใน Steam คืออะไร 4 จากประสบการณ์ที่เจ็บปวด (3 คําตอบ) - หลายคนเข้ามาสู่ Bitcoin อย่างจริงจังหลังเจอวิกฤต หรือความผิดหวัง เช่น พอร์ตพังจาก GameFi หรือขาดทุนหนัก - รู้สึกว่าอาชีพที่มั่นคงกลับไม่มั่นคงอีกต่อไป ปสก ผม ร้จักจากทั้ง 4 ข้อนี้รวมกันเลยครับ - ตอนแรกรู้จักบิทคอยผ่านสื่อและโชเชียลมีเดีย ข่าวซื้อพิชช่า - ข่าวการใช้บิทคอยซื้อสิ่งผิดกฏหมาย - การปิดเว็บ silk road Mt Gox แน่นอนว่า ผมมองว่าบิทคอยคือเงินในอากาศ มีความเสี่ยง จับต้องไม่ได้ และ scam หลอกลวง น่ากลัว อย่าไปยุ่งกับมัน หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเพื่อนพูดถึงบิทคอย - มีทั้งคนที่บอกให้ซื้อ - มีคนบอกว่าคนรู้จักได้กำไรจากบิทคอย - บอกว่าบิทคอยราคาหลักล้านแล้ว แน่นอนครับด้วยความที่คิดว่าเป็น scam ผมก็ยังไม่สนใจ ไม่ศึกษาอะไรมันทั้งนั้น และท้ายที่สุดจาก ประสบการณ์เจ็บปวดเรื่องเงินเฟ้อ ความไม่มั่นคง ไม่รวยสักที ขาดทุนจาก shit coin - ผมก็ได้เข้ามาศึกษาบิทคอย รู้จัก right shift อาจารย์พิริยะ และคนในชุมชนอื่น รวมถึงความอยากรู้ส่วนตัว - ในช่วงแรกผมแค่คนที่เข้ามาศึกษาในบิทคอยนะครับ ยังไม่ใช่บิทคอยเนอร์ซะทีเดียว 2. ทำไมถึงเลือกเป็น Bitcoiner: ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่อง "ความเข้าใจ" การตัดสินใจเป็น Bitcoiner นั้นลึกซึ้งกว่าแค่การเห็นโอกาสทำกำไร และมักจะมาจาก "ความตระหนักรู้" และการตั้งคำถามต่อระบบเดิม 1 ความเบื่อหน่ายต่อระบบการเงินแบบ Fiat: นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า (7 คําตอบ) - หลายคนเริ่มสงสัยว่าทำไมเงินถึงเฟ้อ - ทำไมต้องทำงานอย่างไร้สิ้นสุด - ทำไมระบบดูเหมือนไม่ถูกต้อง - พบว่า Bitcoin เสนอทางเลือกที่ดีกว่าการเป็น "ทาสในระบบ Fiat" 2 การเก็บรักษามูลค่าที่แท้จริง (Store of Value) (4 คําตอบ) - เมื่อได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ผู้คนจำนวนมากตระหนักว่า Bitcoin สามารถ "เก็บรักษามูลค่า" - ทำให้บางคนเลิกเป็นนักเทรดและหันมา "สะสม" (HODL) แทน 3 ตรรกะที่สมเหตุสมผลกับยุคสมัย (3 คําตอบ) - Bitcoin มี Logic ที่ Make Sense กับยุคสมัยปัจจุบันมากกว่าระบบการเงินแบบเก่า - โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่นๆ 4 แนวคิดเรื่องอิสรภาพ (Libertarianism) (2 คําตอบ) - สำหรับหลายคน Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Libertarianism หรือการใฝ่หาอิสรภาพและอธิปไตยส่วนบุคคล - การได้ศึกษา Bitcoin ทำให้เลือดลิเบอร์ทาเรี่ยนเดือดพล่าน และรู้สึกว่า Bitcoin ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างแท้จริง 5 ไม่ต้องการพลาดโอกาสครั้งที่สอง (2 คําตอบ) - บางคนเคยพลาดโอกาส Bitcoin ในช่วงราคาถูก - เมื่อได้ศึกษาและเข้าใจถึงแก่นแท้ จึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้อีกต่อไป 6การค้นหาคำตอบที่ค้างคาใจ (2 คําตอบ) - หลายคนใช้เวลาในการค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ผู้ใหญ่พูดวกวนมาทั้งชีวิต - ความสงสัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ติดลบ - พบว่า Bitcoin หรือแนวคิดเบื้องหลัง Bitcoin สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ปสก ส่วนตัว ผมคือทั้ง 6 ข้อนี้เลยครับ หลังจากปี 2021 ขาดทุน defi มาหลักแสนบาท - ตอนนั้นผมก็เริ่มซื้อบิทคอยแล้วด้วยเงินหลักพันบาทรู้ว่ามันดีแต่ก็ยังไม่ได้ศึกษามาก - ผมใช้เวลาศึกษา 1 ปีร่วมกับการเข้ามาอยู่ในชุมชนบิทคอยในประเทศไทย - เป็นช่วงที่เปิดโลกมากครับ - ผมเปลี่ยนวิธีการคิดเกี่ยวกับ ระบบการเงิน การจัดการเงินส่วนบุคคล การพัฒนาตัวเอง การดูแลสุขภาพ อาหารที่กิน เหมือนการีเซ็ตชีวิตใหม่ - ตอนนี้ผมเป็นคนใหม่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจมากครับ - ส่วนการเงินก็มีความมั่นคงมากขึ้นหลังจากได้ออมในบิทคอย ถึงตอนนี้ยังลำบากแต่ผมก็สู้และรู้แล้วว่าทางที่เดินมาถูกต้อง จากคำตอบนี้ คนในชุมชน "รู้จัก Bitcoin ในช่วงปีต่างๆ กันไป" โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาหลักๆ ที่มีการกล่าวถึงได้ดังนี้ 1 ช่วงปี 2013-2015: ยุคแรกเริ่มของการรับรู้ (3 คําตอบ) เป็นช่วงที่ Bitcoin ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เริ่มได้ยินและสนใจ - ปี 2013: มีคนรู้จัก Bitcoin ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้น หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่ Bitcoin เริ่มมีการพูดถึงบ้าง - ปี 2015: มีผู้ที่ได้ยินคำว่า Bitcoin แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่สนใจเรื่องการเงิน 2 ช่วงปี 2017-2018: กระแสแรกและตลาดขาขึ้น (4 คําตอบ) เป็นช่วงที่ Bitcoin เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีคนจำนวนมากเข้ามาในตลาด ซึ่งหลายคนเข้ามาเพราะ "การลงทุนทำกำไร" - ปี 2017: มีคนรู้จักจาก นายอาร์ม (ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจ) และจำได้ว่าราคาประมาณ 20,000 บาท - ปี 2018: เริ่มมีการตามหาอาชีพที่สองผ่านคริปโต และมองว่าน่าเทรดกว่าหุ้น หรือเจอกระทู้ในพันทิปเมื่อ 8 ปีก่อน (เทียบจากปี 2024 คือ 2016) 3 ช่วงปี 2021: ตลาดขาขึ้นครั้งใหญ่ (Bull Run) (1 คําตอบ) เป็นช่วงที่ Bitcoin ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และมีคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก - ปี 2021: มีคนเริ่มดูอาจารย์ตั๊ม หรือได้ยินเรื่อง DCA และตามฟังอาจารย์ เป็นช่วงที่คนจำนวนมากเข้ามาลงทุน เพราะกระแสและเห็นโอกาส 4 ช่วงปี 2024: การตระหนักรู้และเข้าใจแก่นแท้ (4 คําตอบ) แม้ Bitcoin จะถูกพูดถึงมานาน แต่หลายคนเพิ่งมา "เข้าใจอย่างลึกซึ้ง" และเลือกเป็น Bitcoiner ในช่วงนี้ - ปี 2024: มีผู้ที่เพิ่งมาสนใจจริงๆ และเริ่มวิวัฒนาการเป็น Bitcoiner ในช่วงปลายปี 2024 - เพิ่งมาศึกษาลึกซึ้งช่วงปีที่แล้ว (2023-2024) มีคนที่เพิ่งมาศึกษาจริงจังช่วงปีที่แล้ว (2023) หลังจากการศึกษา Traditional Finance หรือจากการแนะนำของเพื่อน รวมถึงการไปงาน TBC 2024 แล้วได้ตระหนักรู้ - รู้จักมานานแต่เพิ่งเข้าใจ หลายคนรู้จัก Bitcoin มานานในฐานะสินทรัพย์ผันผวนหรือสแกมเมอร์ แต่เพิ่งมาศึกษาลึกซึ้งและเข้าใจแก่นแท้ในช่วงหลังๆ สรุป การเป็น Bitcoiner จึงไม่ใช่แค่การ "เลือก" สินทรัพย์เพื่อลงทุน แต่เป็นการเดินทางแห่ง "การค้นพบ" และ "ความเข้าใจ" ตั้งแต่การรู้จัก Bitcoin ผ่านความบังเอิญ ไปจนถึงการตั้งคำถามต่อระบบ การศึกษาอย่างลึกซึ้ง และการตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของมันในฐานะสินทรัพย์ที่ขาดแคลน ปลอดจากการควบคุมของรัฐบาล และเป็นทางเลือกเพื่ออิสรภาพทางการเงินในโลกที่ไม่แน่นอน หลายคนเริ่มต้นด้วยความอยากรวย หรือแค่สนใจเทคโนโลยี แต่สุดท้ายกลับค้นพบปรัชญาที่ลึกซึ้งกว่านั้น กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อเงิน ความมั่งคั่ง และชีวิตไปโดยสิ้นเชิง ดังที่บางคนกล่าวว่า "เหมือนได้กินยาเม็ดสีส้ม" และพบว่า "โพรงกระต่ายก็กว้างใหญ่กว่าที่คิด" การเดินทางสู่การเป็น Bitcoiner มักไม่ใช่การตัดสินใจในทันที แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้และตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของ Bitcoin ที่อาจใช้เวลาหลายปีสำหรับบางคนรวมถึงผมด้วย #siamstr #btc #bitcoin
0.01 BTC เป้าขั้นต่ำที่อยากทุกคนมีไว้ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในวันหน้า - Sats and Sound EP 20 คลิปนี้ไม่ใช่การอวย แต่เป็นการคิดไปถึงอนาคต จากสถานะการณ์ปัจจุบัน ทั้งเศรษฐกิจ สภาพสังคมที่แย่ลงจากเงินเฟียตที่เสื่อมค่า จากการพิมเงินมหาศาล วงจรนรกที่แย่ต่อคนส่วนใหญ่ แต่ความตลกร้ายคือมันจะยังดําเนินต่อไปแบบนี้โดยไม่มีใครหยุดได้ นับตั้งแต่ปี 1971 ที่มีการใช้ระบบ Fiat Standard เงินกระดาษมูลค่าของมันก็ลดลงไปแล้วกว่า 99% นี่แหละคือสาเหตุที่ของทุกอย่างแพงขึ้นตามเวลา โดยที่พวกเราโดนปลูกฝังว่า มันเป็นเรื่องปกตินะ เงินก็ต้องเฟ้อขึ้นแต่ที่จริงมันไม่ใช่โว้ยย พวกเราถูกทําให้เชื่อแบบนี้เพราะมันมีกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากการพิมเงินไง ถ้าศึกษาเทียบไปในยุค Gold Standard ที่โลกยังเทียบมูลค่ากับทองคํา ยุคนั้นเงินกระดาษคือตั๋วใช้แลกทองคําได้นั้น ราคาสินค้าหรือแม้แต่บ้าน จะมีมูลค่าคงที่หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นจนซื้อบ้านกันไม่ได้เหมือนตอนนี้ ลองคิดง่ายๆดู 10 ปีก่อน บอกว่ามีเงิน 10 ล้านบาทเกษียณได้ แต่ตอนนี้ปี 2025 เป้าหมายบางคนคือ 50 ล้านบาทกันแล้ว ก็เพราะเงินเฟ้อไงหล่ะ คนที่ตระหนักถึงภัยเงียบอย่างเงินเฟ้อ จะพยายามหาทางออกโดยการเปลี่ยนเงินเฟียตที่เสื่อมค่าของตัวเองให้เป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ ซึ่งมีหลายอย่างและมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดังนี้ 1 พันธบัตรรัฐบาล 1-3% ต่อปี 2 หุ้น 7-10% ต่อปี 3 อสังหาฯ 3-10% ต่อปี 4 ทองคํา 6-10% ต่อปี 5 บิทคอย 80-100% ต่อปี บิทคอยดูดีสุดแต่ต้องบอกก่อนว่า บิทคอยผันผวนมากที่สุด เพราะเพิ่งเป็นสินทรัพย์ใหม่ และในระยะยาวผลตอบแทนจะน้อยลงเรื่อยๆ นี่คือเหตุผลแรกที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย อีกอย่างที่สําคัญเหมือนกันคือ อัตราเงินเฟ้อ ที่ตัวเลขบอกว่า ไม่เกิน 2-3% ต่อปี “เป็นเรื่องไม่จริง” ถ้าอัตราเงินเฟ้อเท่านี้จริง ทําไมของต่างๆ ราคาบ้านแพงขึ้นเกือบ 50-80% ใน 10 ปีหล่ะ คําตอบคือเพราะเงินมันเฟ้อมากกว่า นั้นไง ถ้าไปดูปริมาณเงินในระบบที่เรียกว่า M2 ทั้งในโลก หรือในไทย จะพบว่ามันเฟ้อขึ้น 7-8% ต่อปี ดังนั้นสินทรัพย์ที่เราต้องถือเพื่อต้านเงินเฟ้อ มันต้องให้ผลตอบแทนมากกว่า 7-8% ไม่งั้นเงินเราจะเสื่อมค่าถูกมั้ย นี่คือเหตุผลที่สองที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย แล้วการออมในบิทคอยเราไม่ต้องเล่นท่ายากอะไรเลย แค่ออมสม่ำเสมอและเก็บอย่างปลอดภัยใน HW เอาเวลา พลังชีวิตเราไปทําอย่างอื่นที่สนใจได้อีก อย่างที่บอกว่าวงจรนรกของการพิมเงินในโลกนี้ ไม่มีใครหยุดมันได้ ดังนั้น เราจะอยู่ในโลกที่ของแพงขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยบางคนคิดแค่ว่าตัวเองไม่เก่ง หาเงินไม่มากพอ ก็เลยลําบาก รู้สึกไม่มั่นคงสักที คุณภาพชีวิตแย่ แต่ที่จริงมันมีสาเหตุจากเงินเฟ้อที่ไม่คนไม่อยากให้คนส่วนใหญ่อย่างเรารู้ คนที่เจอคําตอบไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือ แม้แต่บริษัท เขารู้ไงว่าบิทคอยคือทางออก ทําให้พวกเขาเก็บสะสมบิทคอยจนทําให้ทุกวันนี้ บิทคอย 1 บิทคอยมีมูลค่าประมาณ 3.5ล้านบาท ในอนาคตบิทคอยจะมีมูลค่ามากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะมาจากการพิมเงิน การแย่งกันสะสมจากคนทั้งโลก นี่คือเหตุผลที่สามที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย 0.01 BTC ใครยังรู้สึกว่าตัวเองช้า อย่ามัวแต่ท้อครับ แนะนําว่าให้ศึกษา และเริ่มจัดสรรเงินมาออมในบิทคอยตั้งแต่วันนี้ แล้วทําไมผมถึงแนะนํา จํานวน 0.01 BTC หรือ 1ล้าน Sats - ผมคิดว่า นี่คือจํานวนที่ทุกคนควรมีไว้ 0.01BTC ในวันนี้มูลค่าประมาณ 35,000 บาท มันไม่ได้ทําให้คุณรวยในวันนี้ แต่จะเป็นสิ่งที่ทําให้คุณศึกษาบิทคอยมากขึ้น ซึ่งมันจะทําให้คุณได้ทบทวนและปรับปรุงทักษะทางการเงิน พัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว - Bitcoin จะมีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้นในโลก ผลิตเพิ่มไม่ได้ แล้วสูญหายหรืออยู่ในกระเป๋าที่เก็บยาวหรือไม่เคลี่ยนไหวอีก 4 ล้านเท่ากับว่าตอนนี้ทุกคนต้องแย่งกันสะสม 17 ล้านเหรียญที่เหลือ - การเป็นเจ้าของ 0.01 BTC เท่ากับว่า คุณอยู่ในกลุ่มประมาณ 2% แรกของประชากรโลกที่มีศักยภาพในการถือครอง Bitcoin - ที่สำคัญกว่านั้นถ้าคุณได้ตามข่าวบริษัทที่เก็บบิทคอยกันแบบ ซื้อทุกราคา ซื้อกระหน่ำ การถือบิทคอยไม่ใช่แค่ทางรอดของคนทุนใหญ่อย่างเดียว มันก็เป็นทางรอดสําหรับพวกเราคนตัวเล็กๆเหมือนกัน สรุป 1 บิทคอยคือทางรอดที่ make sense ที่สุดแล้วในโลกที่เงินเฟ้อมากขึ้นตลอดเวลาแบบนี้ 2 ปริมาณ 0.01 BTC ที่แนะนําให้ทุกคนถือนั้น อาจจะดูเหมือนไม่มากในวันนี้ แต่ก็เป็นก้าวสําคัญในการศึกษาระบบการเงิน ปรับปรุงและพัฒนาตัวเราเองให้รอดจากสถานการณ์โหดร้ายจากเงินเฟียตที่กัดกินเราไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด 3 ในอนาคตเมื่อผู้คนตื่นรู้เรื่องเงินเฟ้อมากขึ้น บิทคอยจะยิ่งหายากขึ้นและมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ 0.01 BTC ในอนาคต ทําให้ชีวิตคุณหลุดพ้นจากวงจรเฟียตที่น่ากลัวได้ 4 ถ้าใครสะสมบิทคอยจะเข้าใจดีว่า มีเท่าไหร่มันก็ไม่พอ แต่ถ้าไม่เริ่มต้น เราก็จะไม่มีสักที วันที่ดีที่สุดในการออมบิทคอยก็คือวันนี้ 5 อย่าติดกับดับราคาว่า บิทคอยแพงแล้ว ให้มองถึงการรักษามูลค่าว่าเงินที่เราซื้อไป มันจะไม่เสื่อมลงต่างจากการเก็บไว้ในเงินเฟียต “คนที่รู้ช้าซื้อแพงกว่าเสมอ” #siamstr #btc #bitcoin