ในสภาวะเศรษฐกิจที่แย่เรื้อรัง สุขภาพกายก็แย่เพราะฝุ่น สุขภาพจิตที่แย่ มันทำให้ทุกคนดูเหนื่อยไปหมด เงินก็หายาก ข้าวของแพงขึ้น ส่วนตัวมีประสบการณ์ ทำงานมา 12 ปี และ ลงทุนในหุ้นไทย ตลอด 12 ปี แบบไม่ใส่ใจอะไรมาก ไม่มีความต่อเนื่อง เงินลงทุนน้อย
ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ชิลๆ กินบ้าง ท่องเที่ยวสนุกสนานบ้าง (ตอนนั้น วินัยทางการเงินยังน้อย เก็บ ออม ลงทุนตามอารมณ์)
จุดเปลี่ยนคือ โควิด 19 ผมก็ต้องเอาชีวิตรอดแบบคนถูกออกจากงาน กระเสือกกระสนมา ผ่านไปอีก 2 ปี โควิดซา แต่เงินเก็บใช้หมด
(โดน gamefi,nft ไป ประมาณ 150,000 บาท)
ผมกลับมาทำงานได้เงิน แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมแก่ตัวลงเป็นวัยกลางคนที่รอบตัว มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนบางคนมีความมั่นคง รวยเป็น10ล้าน มีธุรกิจ มีครอบครัวที่อบอุ่น
ตัดมาที่ตัวผมที่ไม่มีอะไรเลย 12 ปีที่ผ่านไป
(หุ้นไทยไม่ไปไหนเลย)
ผมคิดว่าเราทำอะไรอยู่ ทำไมเรายังย่ำอยู่กับที่
แถมไม่มีความมั่นคงอะไรเลย ทั้งความสัมพันธ์ ทั้งความมั่งคั่ง ทั้งการงาน ทำไมเราไม่เก่งเลย เราไร้ค่ามาก เราดูแลใครไม่ได้เลย
ชีวิตที่ดูหมดหวังกับทุกอย่าง เกือบซึมเศร้า แต่ผมได้รู้จัก Bitcoin ได้ศึกษาจากวิดีโอ ของ Right Shift (จริงๆรู้จักมานานแต่ไม่สนใจ)
มันได้เบิกเนตรผมหลายอย่าง (คลิป อ.ตั๊ม เป็นชั่วโมงๆ ผมทยอยดูเรื่อยๆ)ตั้งแต่ระบบการเงินโลก เงินเฟ้อที่โคตรน่ากลัวและน่ารังเกียจ
ชีวิตที่เราเติบโตมา เราโดนเงินเฟ้อแย่ๆกระทำโดยไม่รู้ตัวมาตั้งแต่เกิด และที่สำคัญ เราจะรักษาเงินออมโดยไม่เสื่อมค่าได้ยังไง ยิ่งคลิปงาน Bitcoin Thailand 2024 นอกจากควาทรู้อัดแน่นๆ ผมยังเห็น bitcoiner community ผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจ และความอบอุ่นที่มีเพื่อนที่คุยเรื่องเดียวกัน (ผมยิ้มกว้างมากตอนที่พี่ speaker พูดถึงโปรเจ็คบ้านพักคนชรา ของ bitcoiner ในเมื่อคนแก่เยอะ ไม่มีลูก เราก็ดูแลกันเอง) มันทำให้ผมรู้สึกมีความหวังในการจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกครั้ง
ความล้มเหลวทางการเงินในอดีต ผมแก้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมรู้วิธีที่จะทำให้การเงินในอนาคตผมไม่เสื่อมค่าลง ด้วยการ ออมนิ่งๆไว้ใน Bitcoin
ขอบคุณ อ.ตั๊ม และทีมงาน Right Shift ทุกคน
ที่ทำคลิปดีๆออกมาให้ความรู้คนไทยเกี่ยวกับระบบเงิน fiat และ Bitcoin
ผมเบิกเนตรแล้วครับ
#siamstr #bitcoin
ในตอนนี้คอนเท้นแนวพัฒนาตัวเองกำลังเป็นที่นิยม ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้คนเริ่มทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพ การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ งานอดิเรก ภาษา
ผมเป็นคนที่ดูคอนเท้นพวกนี้เยอะมาก เหมือนกับการเสพเลยในบางช่วง มันได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ เช่น ออกกำลังกาย ออมเงิน ลงทุน หารายได้เสริม หรือในบางครั้งก็สร้างกำลังใจให้เรามากขึ้น
สำหรับผม คอนเท้นพวกนี้ ทำให้ผมลงมือทำสิ่งนั้นๆจริงๆ และพยายามพัฒนาตัวเองในแบบของเราไปเรื่อยๆ
แต่ในบางครั้ง คอนเท้นพวกนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกด้อยค่าลงไปอีกเหมือนกัน ผมก็มาถามตัวเองว่าทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้ การรับรู้ความสำเร็จของคนอื่นมากเกินไปก็ทำให้เรากดดันเหมือนกัน
ผมก็เลยพยายามตัดคอนเท้นไร้ประโยชน์ออกไป ซึ่งทำได้ง่ายมากแถมได้ผลดี
วิธีก็คือ แค่กดซ่อนคอนเท้นที่ไม่ใช่ครับ ก่อนอื่นถ้าเจอคอนเท้นที่น่าสนใจ เช่น อายุ 27 ปี มีพอร์ตลงทุน 5 ล้านบาท
ผมจะเข้าไปดูก่อนว่า ครีเอเตอร์คนนี้ทำคอนเท้นประมาณไหน ถ้าส่วนใหญ่เป็นคอนเท้นอวด โชว์ไลฟ์สไตล์ที่เราไม่อิน หน้าที่เราก็คือ แค่กดไม่ความสนใจไป บางคนโพสคอนเท้นอวดสิ่งต่างๆเพราะเขามี Hidden Agenda ครับ ต้องพยายามดูให้ออกว่าสิ่งที่เขาสื่อ เขาทำเพื่ออะไร
แต่ถ้ากดเข้าไปแล้วรู้สึกว่า คอนเท้นคนนี้ สร้างแรงบันดาลใจกับเรา ทำให้เราไม่รู้สึกด้อยค่า เราสามารถเอาคอนเท้นนี้ไปพัฒนาต่อยอดในชีวิตเราได้ ผมก็จะกดติดตามครับ บางคนเขาก็อวดนะแต่เป็นการอวดที่ผู้ติดตามได้ประโยชน์ ผมก็โอเคครับ
เอาตัวอย่างเดิมจากด้านบน อายุ 27 ปี มีพอร์ต 5 ล้านบาท ถ้าเป็นคอนเท้นโชว์พอร์ตเฉยๆผมซ่อน
แต่ถ้าเขามาแชร์วิธีการจัดพอร์ต การเลือกสินทรัพย์ การบริหารความเสี่ยง Money management
ซึ่งเขาอาจจะบอกในคลิปอื่น ไปดูหลายๆคลิปในช่องก่อน ถ้าเคสแบบนี้ผมติดตามครับ
พอเราทำไปเรื่อยๆ อัลกอริทึมจะเริ่มรู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไรมากขึ้น จนในที่สุด เราก็จะมีคอนเท้นที่เราถูกจริตเยอะกว่าไม่ถูกจริตครับ
คอนเท้นที่ไร้ประโยชน์สำหรับผม อาจจะมีประโยชน์สำหรับคนอื่นก็ได้ ดั้งนั้น สิ่งที่มาแชร์วันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลเท่านั้นครับ ผมก็โดนมาเยอะเหมือนกันกว่าจะเรียนรู้ว่า เราจะต้องมีภูมิคุ้มกันในสิ่งพวกนี้บ้าง เพราะโลกยุคนี้ เราสามารถส่งผ่านความคิดของเราออกมาให้โลกรู้เพียงแค่ โพสลงอินเทอร์เน็ต
หลังจากผมใช้วิธีที่บอกไป ผมรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมากครับ ได้ดูคอนเท้นที่เราชอบและไม่บั่นทอนจิตใจ ซึ่งถามว่ามันกรองได้หมดมั้ย คือไม่หมดนะครับ แต่ก็ดีกว่าเราไม่มีฟิลเตอร์ในการรับสื่อเลย #แชร์ประสบการณ์
ใครหลายๆคนคงเห็นว่า มีคนมาแชร์ความสำเร็จเยอะมากในการขายสินค้า digital products เช่น ขายภาพวาด media arts สติ๊กเกอร์ หรือสินค้า print on demand (pod)
ผมขอมาแชร์ในส่วนของคนที่ล้มเหลว ในการทำแล้วกัน
ผมเป็นคนหนึ่งที่ซื้อคอร์สเรียนขายสินค้า pod ซื้อรายเดือน mid journey และ canva เพื่อออกแบบ รูปภาพ แล้วนำไป upload บนเว็บขาย pod ซึ่งเป็นเว็บที่จะนำลายที่เราออกแบบนั้น ไปทำเป็นสินค้าจริงเช่น ลายบนเสื้อ กระเป๋า นาฬิกา เป็นต้น ลูกค้าเป็นคนเลือกเอง
ถ้ามีคนชอบลายที่เราออกแบบและกดซื้อ เราก็ได้เงินแล้ว เรามีหน้าที่แค่ออกแบบ และ หาเทรนสินค้าที่จะขายดี ออกแบบให้ถูกใจคนซื้อ
สิ่งที่ผมทำคือ หาเทรน keywords แล้วนำไปสร้างภาพผ่าน mj แล้วนำรูปไปแต่งต่อใน canva แล้ว upload ลงเว็บเพื่อขาย
ผมทำมา 3 เดือน
เริ่มขายได้แล้ว อยู่ดีๆก็โดนเว็บที่ตั้งขาย digital product แบนซะงั้น ส่งข้อมูลชี้แจงแล้วสรุป ไม่ได้ครับ เงินก็ค้างอยู่ในเว็บ ผมขายใน Redbubble อยากทำ Amazon สมัครไม่ผ่านครับ ส่วน Etsy ไม่ได้สมัคร เพราะ มีค่าใช้จ่ายในการอัพโหลดรูปตั้งขาย และต้องยิงแอด
จากฝันสวยหรู กลายเป็นความเซ็ง ลงแรง ลงทุนทั้งเครื่องมือ ค่าคอร์สไป 6000-7000 บาท
ตอนนี้เลิกทำแล้ว(และคงจะไม่กลับไปทำอีก) ในกลุ่ม ที่ผมอยู่ตอนแรกคนเยอะ คึกคักมาก โพสยอดขายกัน แต่ช่วงหลังเงียบเหงามาก แทบจะเป็นกลุ่มร้าง
อยากมาแชร์เหรียญอีกด้านนึงของ การขาย digital art ที่คนมาพูดแบบสวยหรู ว่ามันทำง่าย ได้เงินง่าย แต่ความจริงเราต้องมีทักษะระดับหนึ่ง แถมมันเป็นตลาด red ocean ที่การแข่งขันสูงมาก มันมีคนที่ทำได้จริง และคนที่เลิกไปก็เยอะ
ผมไปหารายได้เสริมอื่นที่ถนัดมากกว่าครับ
คนที่ไปรอดต้องหาเทรนเก่ง ถ้าให้ดีต้องวาดรูปเอง จะดีที่สุด เพราะใช้ mj มันมีคนก็อปได้ง่าย การใช้ ai ออกแบบ มันมีความเสี่ยงที่จะโดนแบน โดนก็อปผลงาน
สิ่งที่ได้จากการล้มเหลวครั้งนี้ คือ pod เป็นรายได้เสริมที่น่าสนใจ แต่ถ้าเราวาดรูปเองไม่ได้ ไม่ค่อยมีทักษะศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และงบน้อย เริ่มต้นค่อนข้างลำบากเลยครับ (ทุกเครื่องมือไม่ฟรีนะครับ) ผมก็สู้มา จนโดนแบน มันผิดหวัง ทุกอย่างพังไปหมด สุดท้ายคิดว่าสิ่งนี้คงไม่เหมาะกับตัวเอง
ใครอยากลองทำดูก็ลองศึกษากันนะครับ
#แชร์ประสบการณ์ #siamstr #printondemand #รายได้เสริม