Thread

Article header

Soy protein isolate

ข้อมูลพื้นฐาน โปรตีนจากถั่วเหลือง

พักเรื่องประวัติศาสตร์ มาตอบคำถามจากทางบ้านสักเล็กน้อย

เรามาทำความเข้าใจเรื่อง Soy protein isolate กันครับ วางอัตตาการ snob ลงก่อน เปิดตา เปิดใจ เรียนรู้ทำความเข้าใจในตัวมัน เพื่อเข้าใจความเป็นตัวมัน แล้วจะกลับไปเกลียดเหมือนเดิม เฉยๆเหมือนเดิม หรือชอบเหมือนเดิม มันก็แล้วแต่ปักเจกไป ที่แน่ๆคือ ไม่ว่าจะยังไง เธอก็รู้จักมันมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน better than nothing ไหมหล่ะ เดี๋ยวนี้เฮียมองโลกบวกมากแหละครับ หลังจากค้นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอนาคตที่เกิดขึ้นไปแล้วแต่เพิ่งจะกำลังมาหาเรา

ถั่วเหลืองเป็นพืชที่ให้โปรตีนสูง และเมื่อถูกนำมาแปรรูปให้เหลือเกือบแต่โปรตีนล้วน เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า soy protein isolate หรือโปรตีนถั่วเหลืองสกัดเข้มข้น กระบวนการนี้จะค่อย ๆ แยกไขมัน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยออก เหลือไว้เฉพาะส่วนที่เป็นโปรตีนในสัดส่วนสูงประมาณ 85–90% ผลลัพธ์คือผงโปรตีนที่ละลายน้ำได้ง่าย ย่อยง่าย และให้โปรตีนต่อกรัมมากกว่าถั่วเหลืองในรูปแบบอาหารทั่วไปหลายเท่า

ในแง่โภชนาการ นี่คือพัฒนาการที่น่าสนใจของโปรตีนจากพืช เพราะมันช่วยให้คนที่แพ้นมหรือไม่รับประทานอาหารจากสัตว์ สามารถเพิ่มปริมาณโปรตีนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเวย์หรือเคซีนจากนม และถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนจำเป็นเกือบครบทุกตัว ซึ่งถือว่ามีคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนจากพืชชนิดอื่น ๆ หลายชนิด

อย่างไรก็ตาม โปรตีนไม่ได้มีคุณค่าจากตัวเลขบนฉลากเพียงอย่างเดียว ร่างกายเรานำโปรตีนไปใช้ผ่านการย่อยและแตกตัวเป็นกรดอะมิโนเล็ก ๆ ก่อนดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้นจึงนำไปประกอบเป็นโปรตีนใหม่ตามที่ร่างกายต้องการ เช่น กล้ามเนื้อ เอนไซม์ หรือฮอร์โมนต่าง ๆ ความสามารถของร่างกายในการใช้โปรตีนนั้นขึ้นอยู่กับว่า มี “กรดอะมิโนจำเป็น” ครบถ้วนและสมดุลเพียงใด ไม่ใช่แค่ปริมาณมากหรือน้อยเท่านั้น

soy protein isolate จึงมีจุดแข็งที่เห็นชัดคือ “เข้มข้นและสะดวก” แต่ในเวลาเดียวกันก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น การที่กรดอะมิโนบางตัวโดยเฉพาะเมไธโอนีนและซิสเทอีนนั้น มีปริมาณไม่มากนัก ร่างกายยังต้องอาศัยกรดอะมิโนจากอาหารอื่นในวันเดียวกันเพื่อให้กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนสมบูรณ์ มองในภาพรวม โปรตีนชนิดนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแข่งขันกับโปรตีนชนิดอื่น แต่เพื่อเกื้อหนุนกันและกันในระบบอาหาร การทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดที่ต้องเสริมของแต่ละแหล่งโปรตีน จะทำให้เราใช้มันได้อย่างเหมาะสมมากกว่าเลือกเพียงชนิดเดียว แล้วเชื่อว่ามันดีที่สุด การมองโภชนาการในลักษณะนี้จะช่วยให้เราสร้างสมดุลได้ทั้งคุณภาพของโปรตีน และความหลากหลายของอาหารที่เรากินในแต่ละวันครับ

เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนจากอาหารหรือเครื่องดื่ม โปรตีนนั้นจะถูกย่อยจนกลายเป็นกรดอะมิโนอิสระ แล้วดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อใช้สร้างโปรตีนใหม่ตามหน้าที่ต่าง ๆ หนึ่งในกระบวนการสำคัญคือการสร้างโปรตีนของกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกว่า Muscle Protein Synthesis (MPS) ซึ่งเป็นเหมือนการซ่อมและต่อเติมเนื้อเยื่อให้แข็งแรงขึ้นตามการใช้งาน ในกระบวนการนี้ ร่างกายใช้กรดอะมิโนบางตัวเป็น “ตัวส่งสัญญาณเริ่มงาน” หนึ่งในนั้นคือ ลิวซีน (Leucine) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรดอะมิโนจำเป็นที่อยู่ในกลุ่ม BCAA (Branched-Chain Amino Acids) ร่วมกับไอโซลิวซีน (isoleucine ) และวาลีน(valine) เมื่อระดับลิวซีนในเลือดสูงถึงจุดหนึ่ง ร่างกายจะรับสัญญาณว่า “มีวัตถุดิบพร้อม” และเริ่มเปิดระบบ mTORC1 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ควบคุมการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ นี่คือเหตุผลที่มักเห็นคำว่า “BCAA สูง” หรือ “มี Leucine เพียงพอ” บนฉลากโปรตีนเสริมต่าง ๆ เพราะมันบ่งบอกถึงศักยภาพในการกระตุ้นการเริ่มต้นของกระบวนการนี้

แต่การเปิดระบบไม่ได้หมายความว่าการสร้างโปรตีนจะสมบูรณ์ในทุกกรณี หลังจาก mTOR ถูกเปิดแล้ว ร่างกายยังต้องการกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้งเก้าตัวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการต่อสายโปรตีนจริง ๆ ถ้าขาดเพียงบางตัว ระบบจะเดินต่อได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ตัวอย่างเช่น โปรตีนจากถั่วเหลืองมีลิวซีนในระดับที่เพียงพอ แต่มีกรดอะมิโนกลุ่มซัลเฟอร์อย่างเมไธโอนีนและซิสเทอีนในปริมาณค่อนข้างน้อย การสร้างโปรตีนจึงอาจเกิดได้ไม่เต็มที่เมื่อเทียบกับโปรตีนที่มีโครงสร้างครบถ้วนกว่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้โปรตีนจากพืชด้อยค่าอะไรนะครับ เพราะในชีวิตจริง ร่างกายเราไม่ได้ทำงานโปรตีนพืชตัวเดียวแบบแยกขาดจากมื้ออาหารอื่น หากในมื้อเดียวกันมีอาหารที่หลากหลาย กรดอะมิโนที่ขาดจากแหล่งหนึ่งก็สามารถได้รับจากอีกแหล่งหนึ่งมาช่วยเสริมได้ ตัวอย่างเช่น การกินโปรตีนจากถั่วเหลืองในจานหนึ่ง และมีข้าวหรือพืชตระกูลถั่วอื่นในอีกจานหนึ่ง ร่างกายจะรวมกรดอะมิโนทั้งหมดไว้ในแหล่งเดียวกันแล้วใช้ร่วมกันได้ หรือจะเป็นคนละมื้อกันในช่วงห่างราวๆ 3-4ชม. ก็ได้ แต่เอาจริงๆถ้าเป็นสายฟาสติ้งด้วย ในมื้อนึงกินหลากหลายย่อมดีกว่าครับ

ดังนั้น ตัวเลข BCAA หรือปริมาณลิวซีนบนฉลาก จึงควรเข้าใจว่าเป็น “สัญญาณเริ่มต้นของการสร้าง” มากกว่าจะเป็นคำรับรองว่า “กระบวนการสร้างสำเร็จครบ” ร่างกายของเราต้องการทั้งการกระตุ้นและวัตถุดิบที่ครบเพื่อให้ระบบเดินต่ออย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโภชนาการที่สมดุลจึงไม่ได้หมายถึงการเลือกสิ่งที่กระตุ้นได้แรงที่สุด เข้มข้นที่สุด แต่มันคือการจัดสัดส่วนให้ทุกอย่างมีส่วนร่วมเติมเต็มกันอย่างพอดีครับ

ถ้ามองโปรตีนแต่ละชนิดเป็นเหมือนวงกลมที่ประกอบจากกรดอะมิโนจำเป็นทั้งเก้าชิ้น โปรตีนจากถั่วเหลืองจะอยู่ในลักษณะของ “วงกลมที่ยังไม่เต็ม” เพราะมีบางส่วนที่อยู่ในระดับน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะกรดอะมิโนกลุ่มซัลเฟอร์ ได้แก่ เมไธโอนีน (Methionine) และ ซิสเทอีน (Cysteine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย แม้ถั่วเหลืองจะมีสองตัวนี้อยู่บ้าง แต่ปริมาณที่ได้จาก soy isolate เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการให้ MPS ทำงานได้เต็มรอบ

ในภาษาของนักโภชนาการ สิ่งนี้เรียกว่า limiting amino acids คือกรดอะมิโนที่มีปริมาณน้อยจนเป็นตัวจำกัดคุณภาพของโปรตีนนั้น ๆ ต่อให้มีกรดอะมิโนตัวอื่นมากเพียงใด ร่างกายก็ยังใช้ได้เท่าที่ตัวที่มีน้อยที่สุดอนุญาต ตัวอย่างเช่น ถ้าเมไธโอนีนอยู่ในระดับ 70% ของที่ร่างกายต้องการ ประสิทธิภาพโดยรวมของโปรตีนนั้นก็จะถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 70% เช่นกัน ส่วนเกินของกรดอะมิโนตัวอื่นจะถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานแทนที่จะกลายเป็นเนื้อเยื่อใหม่ อธิบายยังไงดี ถ้าสายคอมก็เหมือนกับ mainboard มันมี bus ที่ 133 ต่อให้ใส่แรม bus 166 มันก็วิ่งแค่ 133 อารมณ์ประมาณนั้นครับ

โชคดีที่ธรรมชาติออกแบบให้แหล่งโปรตีนแต่ละชนิดมีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างกัน เช่น โปรตีนจากถั่วเหลืองอาจมีเมไธโอนีนน้อย แต่โปรตีนจากถั่วลันเตา (pea protein) กลับมีกรดอะมิโนกลุ่มนี้สูงกว่า การนำสองอย่างมาผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสมจึงช่วยปิดช่องว่างของกันและกันได้อย่างลงตัว สูตรที่นิยมใช้ในงานวิจัยและอุตสาหกรรมคือการเอา soy isolate ผสมกับ pea protein ตามสูตรของแต่ละโรงงาน ซึ่งช่วยเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของโปรตีน (DIAAS) จนใกล้เคียงกับโปรตีนจากไข่หรือเวย์

วิธีนี้ไม่ได้เป็นเพียงเทคนิคสำหรับโรงงานเท่านั้นนะครับ แต่มันปรับไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปด้วย เช่น ถ้าในวันนั้นเราเลือกดื่มนมถั่วเหลืองผสม soy isolate เป็นมื้อหนึ่ง ก็อาจมีมื้อถัดไปที่กินข้าว ถั่ว หรือธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งมีเมไธโอนีนมากกว่าเข้ามาช่วยเสริมในภาพรวม โดยต้องอยู่ภายใต้กฎของ amino acid pool คือภายใน 3–4 ชั่วโมงหลังมื้อแรก เพื่อความสมดุลพอดี ร่างกายจะยังมี amino pool จาก soy เหลืออยู่พอให้ pea มาต่อเติมได้ครบ loop พอดี

ซึ่งการมองอาหารในลักษณะนี้ทำให้เราไม่ต้องยึดติดกับโปรตีนชนิดใดชนิดหนึ่งว่าจะต้องสมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุด เจ๋งที่สุด เพราะโภชนาการที่ดีไม่ใช่การแข่งขันระหว่างแหล่งอาหารเทพๆ แต่คือการเข้าใจว่าทุกชนิดต่างมีหน้าที่ของมัน และเมื่อรวมกันอย่างถูกจังหวะ ร่างกายก็จะได้สิ่งที่ครบถ้วนโดยไม่ต้องพยายามมากเกินไป soy isolate จึงเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ที่ช่วยเติมเต็มปริมาณโปรตีนในแต่ละวัน แต่การจะให้ภาพสมบูรณ์ ร่างกายยังต้องการจิ๊กซอว์อีกไม่กี่ชิ้นจากอาหารอื่น ๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน นี่คือแนวทางที่ทำให้โปรตีนจากพืชไม่เพียงพอแค่ในเชิงปริมาณ แต่ทำงานได้เต็มศักยภาพในระดับเดียวกับโปรตีนจากสัตว์ได้ครับ

เมื่อเข้าใจแล้วว่าโปรตีนแต่ละแหล่งมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำมาจัดวางให้สมดุลในชีวิตประจำวัน มากกว่าการเลือกชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วฝากความหวังไว้ทั้งหมด ร่างกายไม่ต้องการโปรตีนชนิดที่ “ดีที่สุด” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องการ “ความครบ” ของกรดอะมิโนในภาพรวมของแต่ละวัน

สำหรับคนที่ใช้ soy protein isolate เป็นแหล่งหลักในแต่ละวัน อาจกำหนดให้แต่ละมื้อมีโปรตีนสุทธิประมาณ 30–40 กรัม ซึ่งเพียงพอต่อการกระตุ้นการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ดี ถ้ามื้อใดเป็นโปรตีนพืชล้วน เช่น นมถั่วเหลืองหรือผงเชคจาก soy isolate ก็อาจจัดมื้ออื่นให้มีอาหารที่ช่วยเสริม เช่น ข้าว ถั่วลันเตา ถั่วแดง ซึ่งให้เมไธโอนีนและซิสเทอีนเพิ่มขึ้น วิธีนี้ช่วยให้กรดอะมิโนรวมของทั้งวันครบและสมดุลโดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมากนัก

การจัดโปรตีนให้พอดีในแต่ละวันยังดีกว่าการกินถี่หลายมื้อโดยไม่จำเป็น เพราะร่างกายดูดซึมกรดอะมิโนได้ต่อเนื่องราว 3–4 ชั่วโมงหลังอาหารแต่ละมื้อ ถ้าปริมาณในมื้อนั้นเพียงพอ การเว้นระยะ 4–6 ชั่วโมงระหว่างมื้อก็ยังทำให้ร่างกายมีกรดอะมิโนหมุนเวียนในเลือดต่อเนื่องอยู่แล้ว ความสม่ำเสมอในแต่ละวันจึงสำคัญกว่าความถี่ในแต่ละชั่วโมง

สิ่งที่ควรใส่ใจอีกอย่างคือการมองโปรตีนให้เป็นส่วนหนึ่งของโภชนาการทั้งระบบ ไม่แยกขาดจากพลังงานรวมและสารอาหารอื่น โปรตีนทำงานได้ดีเมื่อมีคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มากเกินร่างกายใช้งานและไขมันที่เพียงพอในมื้ออาหาร เพราะร่างกายจะยังไม่ดึงโปรตีนไปเผาเป็นพลังงานแบบเต็มสูบจนเสียโอกาสในการนำไปสร้างเนื้อเยื่อ การมีแหล่งพลังงานและสารอาหารครบจึงช่วยให้โปรตีนถูกใช้ในทิศทางที่ตั้งใจไว้มากที่สุด

ทีนี้มาถึงความกังวลเรื่องต้นตอวัตถุดิบว่า สิ่งที่เคยกังวลกับถั่วเหลืองมันยังตามมาใน soy protein isolate ไหมนะครับ ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) หรือไฟโตเอสโตรเจน เป็นสารที่ทำให้ถั่วเหลืองถูกจับตามองมากที่สุด เพราะมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในระดับอ่อน หลายคนกังวลว่าจะกระทบต่อฮอร์โมนเพศชายหรือเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ในขั้นตอนการสกัดโปรตีน ไอโซฟลาโวนจะถูกละลายออกไปกับสารตัวทำละลายเกือบหมด มีงานวิจัยของ Messina & Erdman, J Nutr 2022 รายงานว่า soy protein isolate มีไอโซฟลาโวนเพียงราวๆ 10–20 มก./100 กรัม ในขณะที่ ถั่วเหลืองต้มมีถึง 90–100 มก./100 กรัม ปริมาณที่เหลือนี้ต่ำกว่าระดับที่มีผลต่อสมดุลฮอร์โมนในคนส่วนใหญ่ (ระดับที่เริ่มเห็นผลต้องมากกว่า 100 มก./วันต่อเนื่องหลายเดือน)

สารตกค้างจากกระบวนการผลิต ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่มักถูกพูดถึงในฝั่ง “สาย clean food” คือการใช้ตัวทำละลายเช่น เฮกเซน (hexane) ในขั้นตอนแยกไขมัน โดยมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหาร (FAO/WHO Codex) และของไทย (อย.) กำหนดให้สารตกค้างของเฮกเซนในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต้องไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ppm) ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปลอดภัยทางสรีรวิทยา และยังต่ำกว่าปริมาณที่พบในอาหารทอดทั่วไป เพราะตอนเราทอดอาหารในน้ำมันร้อนจัด น้ำมันจะสลายตัวบางส่วนและเกิดสารระเหย volatile hydrocarbons หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ระเหยได้ง่าย (มีจุดเดือดต่ำ) เกิดจากการสลายของกรดไขมันในน้ำมันเมื่อโดนความร้อนสูงในกลุ่ม ไฮโดรคาร์บอนสายตรง (straight-chain hydrocarbons) และ อัลดีไฮด์ (aldehydes) ซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีและผลต่อร่างกาย “คล้ายกับเฮกเซน” เลยครับ

มีงาน Comprehensive Reviews in Food Science and Food Safety ในปี 2007 ซึ่งเป็นการรีวิวขนาดใหญ่เรื่อง “Chemistry of Deep-Fat Frying Oils” ระบุชัดว่าเมื่อทอดน้ำมันพืชที่อุณหภูมิ 180 °C ขึ้นไป จะเกิด volatile hydrocarbons เช่น hexanal, heptane, octane, nonane ในปริมาณรวม 20–80 mg/kg (20–80 ppm) ในอาหารทอดทั่วไป และสูงกว่านี้มากหากเป็นน้ำมันใช้ซ้ำ และก่อนหน้านั้นยิ่งหนักใหญ่ครับว่า Journal of the American Oil Chemists’ Society (JAOCS) ในปี 1998 ศึกษาการทอดน้ำมันถั่วเหลือง พบสารระเหยในกลุ่ม C₆–C₉ hydrocarbons (รวม hexane, hexene, heptane) ตรวจพบในอาหารทอดและไอระเหยจากน้ำมันระดับ 40–120 ppm โดยเฉพาะในน้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำ

และในการผลิตจริงนั้น เฮกเซนที่เหลือใน soy isolate เป็นแค่เศษเงาจากขั้นตอนสกัด ปริมาณน้อยกว่าที่ร่างกายเจอจากอาหารทอดทั่วไปหลายสิบเท่า เพราะมันไปอยู่ในน้ำมันถั่วเหลืองครับ ลำดับกระบวนการจริงของน้ำมันถั่วเหลือง เขาจะเอาเฮกเซนดึงไขมันออกจากเมล็ดถั่ว เพราะ เฮกเซนละลายในไขมันได้ดีมาก แต่ไม่ละลายในน้ำหรือโปรตีน ดังนั้นหลังสกัด ไขมันจะเก็บเฮกเซนไว้บางส่วน ในขณะที่กากโปรตีนเกือบไม่ดูดซับไว้เลย เขาก็จะเอา น้ำมันถั่วเหลืองดิบ (crude soybean oil) ไปทำน้ำมัน แล้วเหลือกากถั่วเหลืองที่ไม่มีไขมัน (defatted soybean meal) ไปละลายโปรตีนในน้ำ ปรับค่า pH ให้โปรตีนตกตะกอน แล้วกรองแห้ง เพื่อนำไปผลิตโปรตีนถั่ว กากที่นำไปทำ isolate ผ่านการล้างและทำให้ร้อนอีกหลายครั้ง เฮกเซนจึงแทบหมดไป อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 ppm หรือให้เห็นภาพคือ ต่ำกว่าน้ำมันพืชบรรจุขวดทั่วไปประมาณ 10 เท่า เฮกเซนไม่ได้อยู่ในผงโปรตีน มันไปอยู่กับน้ำมันตั้งแต่ต้นแล้ว เวลามีใครบอกว่า “soy isolate มีเฮกเซนปนเปื้อนแน่ ๆ” ตอบได้เลยว่า ถ้ามีก็แค่เศษฝุ่นจากระบบผลิต ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในระดับมีผลต่อสุขภาพครับ

ในมุมนี้ soy isolate จึงไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้ายของอาหารเทพอะไร แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือของระบบใหญ่ที่ชื่อว่า “อาหารทั้งวัน” การเลือกใช้ให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย และการวางแผนให้แหล่งโปรตีนอื่นมาช่วยเติมเต็ม คือหัวใจของโภชนาการที่แท้จริง เพราะเป้าหมายของเราคือความต่อเนื่องและความสมดุล มากกว่าความสุดโต่งของอาหารเพียงชนิดเดียว เพราะสุดท้ายแล้ว ร่างกายไม่ต้องการของดีที่สุดจากโลกภายนอก แต่อาศัยการจัดการอย่างเข้าใจจากภายใน การกินโปรตีนจากพืชจึงไม่ใช่เรื่องด้อย ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของมัน และใช้ให้เข้ากับบริบทของอาหารทั้งวัน นั่นแหละครับคือการกินอย่างรู้จริง กินเพื่อเสริมกัน มากกว่าการเลือกข้างว่าใครดีกว่าใครครับ

ทีนี้เมื่อเราทำความรู้จักกับ Soy protein isolate แล้วก็คงมีความเข้าใจผู้ที่เป็นมังสวิรัติมากขึ้น เข้าใจผู้ที่ออกกำลังกายมากขึ้น การเรียนรู้ทำความรู้จักสิ่งที่เราไม่สนใจบ้าง มันช่วยเพิ่มมุมมอง empathy ให้กับโลกนี้ครับ เพราะสายสุขภาพมักมีพื้นฐานต่างกัน แล้วความต่างกันทำให้เกิดการเหยียดหยามโภชนาการกันบ่อยครั้ง การเรียนรู้ที่จะมองโลกแง่บวก (ไม่ใช่การมองแต่ความสวยงามและทำเป็นตาบอดกับสิ่งไม่ดี) จะช่วยให้เราเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และมองหาทางที่ “เป็นไปได้” ที่จะให้เขาใช้ชีวิตในแบบที่เขาอยากเลือก อยากเป็น ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่จ้องจะเปลี่ยนให้ทุกคนต้องมาเหมือนเรา แต่ก็ไม่ได้ให้มองข้ามจุดควรระวังในสายโภชนาการหรือวัตถุดิบอาหารที่เขาเลือก เพราะแก่นกลางของทุกโภชนาการ ล้วนอยู่ภายใต้ การกินที่หลากหลาย และสุขภาพที่ดี มาจากองค์รวมที่กลมกล่อมอยู่ดีครับ Food is just a factor ไม่ได้เชียร์ให้ชอบ ไม่ได้บอกให้เกลียด สิ่งเดียวที่บทความนี้อยากให้คือ

แค่อยากให้รู้จักมันไว้ครับ จะเกลียดจะชอบจะเฉย ก็อยากให้รู้ไว้ก่อนครับ #pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!