Thread

เห็นกระแส IPhone 17 ออกใหม่แล้วนึกถึงตัวเองในอดีตที่ล้มเหลวมาก่อน แล้วอยากบันทึกเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาเก็บไว้ ว่าเราสามารถกำหนดเส้นทางของตัวเองในแบบที่มันควรจะเป็นได้ เมื่อสมัยตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม ฐานะครอบครัวตอนนั้นก็ปานกลาง ข้าวต่อจานเพียงแค่ 15-20 บาท พอเวลาเริ่มผ่านไปเรื่อยรายได้ของที่บ้านไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม่สักนิด แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปีแบบไม่มีที่สิ้นสุด จนเริ่มเข้ามหาลัยพ่อแม่ต้องไปกู้หนี้ยื้มสินนอกระบบ มาเพื่อส่งผมเรียน ซึ่งมารู้ตอนหลังหลังผมเรียนจบ เพียง 4 ปี หนี้เงินต้นเพียงไม่ถึง 50,000 ดอกเบี้ย 100 ละ 20 กลายเป็นหลักแสน ในปีแรกของการทำงานผมก็ทำงานใช้หนี้วนอยู่แบบนี้ พอรู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลา 2-3 ปีหนี้ถึงหมด มันเป็นความรู้สึกที่เหนื่อยมาก ทั้งที่เพื่อน ๆ คนอื่นจบมาทำงานอยากซื้ออะไรก็ซื้อได้ แต่เรากลับต้องมาใช้หนี้ไม่มีเงินเก็บสักบาท ผมก็แอบน้อยใจชีวิตตัวเองที่ติดลบตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่ในแง่ดีของเรามันทำให้เราเป็นคนอดทนขยันทำงาน เหนื่อยแค่ไหนก็สู้มีภูมิคุ้มกันในการต้านทานแรงกดดันจากสิ่งรอบข้าง และมองโลกในแง่ดีเสมอมา เอาล่ะเข้าเรื่อง… ตั้งแต่เรียนจบมาไม่เคยคิดที่จะจับหนังสือขึ้นมาอ่านเลย เสียเวลาไปวันๆกับการเสพสื่อบันเทิง ทั้งหนังซีรีย์ และเกมตามยุคตามสมัย ใช้ชีวิตตามสังคมนิยม เรียนจบแล้วต้องมีโทรศัพท์ใหม่ดี ๆ สักเครื่อง ก็เลยเกิดบัตรเครดิตใบแรก ออกมาเพื่อรูดซื้อโทรศัพท์ แต่มันไมใช่แบบนั้น ด้วยความที่มันสะดวกสบายรูดง่าย ใช้ง่าย ก็เลยใช้แบบไม่ได้คิดอะไรจนยอดผ่อนต่อเดือนเริ่มสูงขึ้น เป็นแบบนี้สะสมมาเป็นเวลาหลายปี พยายามที่จะเก็บเงินเพื่อไปโปะบัตรก็ทำได้ยาก เพราะความที่เงินเฟ้อและรายได้เพิ่มขึ้นอันน้อยนิด แต่ข้าวต่อจานราคาวิ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ เมื่อก่อนร้านข้างทางน้ำแข็งกับน้ำฟรี สมัยนี้หลายร้านเริ่มคิดค่าน้ำและน้ำแข็งเพิ่ม ทำให้ต่อมื้อเกือบแตะ 100 บาท และความอยากได้ของใหม่ตามกระแสนิยมของเราก็ไม่มีจุดสิ้นสุด ทำให้ภาระหนี้ต่อเดือนเริ่มเยอะ การ management สิ้นทรัพย์และหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น จนรู้สึกว่าไม่ได้การและ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะรายได้เพิ่มขึ้นเท่าไร ก็สู้รายจ่ายต่อเดือนไม่ได้แน่ ผมก็เลยเริ่มหา Podcast เกี่ยวกับการเงินฟังทุกวันเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องตัวเอง จนไปเจอโคชหนุ่ม และคุณพอล ผมก็ฟังไปเรื่อยๆ แล้วค่อยปรับการใช้จ่ายตามความเหมาะสม ก็เริ่มค่อยๆดีขึ้น (จากที่เมื่อก่อนใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลังบางเดือนบ้าง) พอเริ่มมีสภาพคล่องกลับมา ก็เริ่มสนใจเรื่องหุ้นต่างประเทศ ที่มาแรงๆก็หุ้น 7 นางฟ้า แล้วได้ยินคำว่า DCA ที่มันตอบโจทย์เราตรงที่ไม่ต้องมานั่งเกรงกำไร ไม่อยากเล่นหุ้น อยากออมในหุ้น ก็เลย DCA ตามกำลังที่เราเหลือในแต่ละเดือน ก็แฮปปี้ที่เห็นพอร์ตค่อย ๆ โต ระหว่างนั้นก็ยังฟัง Podcast อยู่ต่อเนื่องแล้วไปเจอคลิปที่พูดเกี่ยวกับ Bitcoin ประมาณว่าเทียบระยะเวลา 5-10 ปีของหุ้น ผลตอบแทนโตต่อปี 7-10% ก็คิดว่าเยอะแล้วถ้าเทียบกับธนาคารบ้านเรา แต่เพิ่ม Bitcoin ในพอร์ตลงทุนเพียง 1-5 % ในระยะยาวโตแรงกว่าที่ออมหุ้นระยะเวลาเท่ากันเลย และในคลิปก็เตือนว่า Bitcoin มีความผันผวนสูงมากถ้าเทียบกับหุ้น เลยรู้สึก เอ๊ะ ! ผมเคยได้ยิน Bitcoin มาตั้งแต่ ปี 2017 ช่วงที่เริ่มทำงานได้ 1-2 ปี ตอนนั้นจำราคาได้ ราคา ในหน่วยบาทไทย หลักล้านบาท มันบูมจนได้ยินคำว่า Bitcoin เลยไม่ได้สนใจอะไร หลังฟังคลิปจบเลยเข้าไปดูราคา Bitcoin ณ ตอนนั้น ราคาไปแตะ 3 ล้านกว่า ความรู้สึกแบบ เชี่ยย!! ทำไมมันมาไกลได้ขนาดนี้วะ ถ้าตอนนั้น มี Bitcoin สักนิด ตอนนี้จะมีกี่บาทวะ เลยรู้สึกเอ๊ะขึ้นมาทันที ในยูทูปพอฟังเรื่องอะไรเยอะๆ อัลกอริทึมมันก็เริ่มโชว์เรื่องเกี่ยวกับ Bitcoin ซึ่งตอนนั้นเริ่มสนใจ คลิปนั้นเป็นคลิปสัมภาษณ์ อ.ต๊ำ พิริยะ พูดเกี่ยวกับเรื่อง Bitcoin เลยได้รู้ว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า Halving และด้วยตัวมันเองมันมีจำกัด ฟังครั้งแรกก็ไม่ได้เชื่อสักเท่าไร แต่รู้สึกว้าวในใจเอามากๆ จนหาฟังเกี่ยวกับ Bitcoin มากขึ้น แต่หาฟังหลายๆช่องแล้ว มีแต่อินฟลูที่พูดถึงแต่ Bitcoin แบบผิวเผิน แล้วก็ไปพูดถึงเหรียญอื่น ซึ่งตอนนั้นเราสนใจอยู่แค่เหรียญเดียว แล้วก็กลับมานึกถึงเสียงนุ่มๆ คลิปที่เปิดโลก Bitcoin ในใจเรา จึงกลับไปค้นหาคลิปนั้น แล้วย้อนกลับไปฟังแล้วเลื่อนไปช่วงท้ายของคลิปเพื่อที่จะหาช่องทางติดตาม จนมาเจอ Right Shift กับ CDC หลังจากนั้นก็ฟัง Bitcoin talk อย่างจริงจัง จนคำถามในใจเรามันค่อยๆหายไปหลังจากฟังอาจารย์ไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเชื่อ Bitcoin และเมื่อประมาณปลายปี 67 เป็นการตัดสินใจครั้งในของผม คือการขายหุ้นทุกตัวในพอร์ตลงทุน เพื่อมาเปลี่ยนเป็น Bitcoin ทั้งหมด และเริ่มปี 68 จะเริ่มเก็บออมแบบ DCA ทุกเดือน ที่ผ่านมาไม่เคยกล้าตัดสินใจหรือมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อน ก็เลยลองดูสักตั้งเพราะคิดว่า มันโตมาได้ขนาดนั้นมันคงต้องมีอะไรดีแน่ ๆ แล้วก็เริ่มซื้อหนังสือมาลองอ่านที่ละเล่ม เริ่มจาก เงินเฟ้อคือคดีอาญา จริง ๆ ถ้าอ่านเล่มนี้จบ ก็ทำให้มั่นใจใน Bitcoin มากขึ้น และสนุกกับหนังสือพี่ชิตเอามาก ๆ แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าพอ จนเริ่มได้อ่าน The bitcoin Standard ที่ทำให้เราเข้าใจประวัติศาตร์ในอดีตมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่มนุษย์พยายามจะสร้างสินทรัพย์ที่เหมาะกับการแลกเปลี่ยนหลายครั้ง แล้วมันจบลงเพราะมันสร้างง่าย ไม่เหมือนกับ Bitcoin สินทรัพย์เดียวที่มีจำนวนจำกัด จนเรามั่นใจที่กล้าจะทุ่มแรงกายแรงใจในการทำงานแล้วหาเงินมาให้ได้มากที่สุด แล้วเปลี่ยนเป็น Bitcoin เพราะมันเป็นสิ่งที่สะสมพลังงานไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลายของเราในอนาคตได้ จนถึงปัจจุบันแค่ซื้อแล้วถือเฉย ๆ รู้ตัวอีกทีมูลค่าก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องมานั่งดูกราฟถือแบบโง่ ๆ เงียบ ๆ ลดเสียงนอยส์จากโซเชียล แล้วเอาเวลาว่างที่ไม่รู้จะไปทำอะไร มาอ่านหนังสือเพื่อเติมความรู้ความเข้าใจ แล้วทำให้เรามีสมาธิในการจดใจอะไรได้นานขึ้น ทำให้ทำงานได้ดีขึ้น สุดท้ายไม่เคยโทษตัวเองเลยที่มารู้จัก Bitcoin ช้าขนาดนี้ เพราะเคยถามเพื่อนรอบตัว เขาก็รู้จัก Bitcoin กันหมด แต่ไม่มีใครถือแม้แต่คนเดียว ซึ่งมันไม่ได้สายไปสำหรับผม เพราะเงินที่ออมผมไม่ได้ต้องการใช้จ่ายวันนี้ อีก 10-20 ปี ค่อยว่ากัน ผมอยากเห็นพลังที่ผมสะสมมามันโตไปพร้อมกับผม อยากเห็นสังคมที่เป็น Bitcoin Standard จริงๆ ในสักวันนึง ขอบคุณลมหนาวช่วงปลายปี 67 ที่พัดผมให้มาเจอ Bitcoin #siamstr #bitcoin image

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!