Thread

image 🌍บทความ : อนาคตของมนุษยชาติ – ระหว่างความคิดที่สร้างความแตกแยก และมิติของจิตที่ไร้การแบ่งแยก Krishnamurti และ David Bohm สนทนากันในสิ่งที่อาจเรียกว่า “จุดแตกหักของวิวัฒนาการทางจิต” — จุดที่มนุษย์จำเป็นต้องมองดูรากฐานของความคิด ความกลัว ความขัดแย้ง และความเป็นตัวตน… มิฉะนั้น “อนาคตของมนุษยชาติ” จะไม่อาจต่างจากอดีตได้เลย บทสนทนาไม่ได้เสนอคำตอบสำเร็จรูป แต่ เปิดเผยกลไกภายในของความคิด ให้เห็นว่ามนุษย์กำลังติดอยู่ในวัฏจักรแบบเดียวกับ “เครื่องจักรที่ผลิตซ้ำตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว ⸻ 1. ปัญหาของมนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ในโครงสร้างของความคิด ทั้งสองตั้งต้นด้วยประเด็นสำคัญว่า— มนุษยชาติสะสมปัญหามากมาย ทั้งสงคราม ความแตกแยก การเมือง ความรุนแรง และความหวาดกลัว แต่ปัญหาเหล่านั้น มีต้นกำเนิดเดียวกัน คือ ความคิด (thought) ที่ดำเนินไปตามเงื่อนไขเก่า ๆ โดยเชื่อว่าตัวเอง “เข้าใจ” โลกแล้ว ในความจริง ความคิดเป็นกระบวนการที่ถูกกำหนดโดยความทรงจำ ความกลัว ประสบการณ์ และคำจำกัดความที่สังคมมอบให้เรา Krishnamurti ชี้ว่า มนุษย์กำลังมองโลกด้วย เลนส์ที่ผิดเพี้ยน แต่กลับเชื่อว่าชัดเจนที่สุด Bohm สะท้อนว่า ความคิดมีแนวโน้มหลอกตัวเอง (self-deception) และพยายามปิดบังความขัดแย้งที่มันสร้างขึ้น—ทั้งในจิตปัจเจกและในสังคม ความคิดจึงไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์โลกอย่างบริสุทธิ์ แต่เป็นสาเหตุของโลกที่วิเคราะห์ไม่ได้ต่างหาก ⸻ 2. ความคิดแบ่งแยกโดยธรรมชาติ: ความเป็น “ฉัน–เธอ”, “เรา–เขา”, “ชาติ–ชาติ” เมื่อความคิดทำงาน มันจำเป็นต้อง แยกแยะ—ต้องตั้งชื่อ ต้องตีกรอบ ต้องแบ่งฝ่าย เพื่อจะดำเนินการใด ๆ ได้ แต่การแบ่งแยกภายในระดับจิตใจนี้เองคือจุดกำเนิดของความขัดแย้ง Krishnamurti ย้ำประโยคสำคัญในบทสนทนาว่า “ตราบใดที่มนุษย์ใช้ความคิดเดิมในการแก้ปัญหา ความคิดนั้นเองจะยังผลิตความแตกแยกต่อไป” Bohm เสริมจากมุมฟิสิกส์เชิงลึกว่า โลกธรรมชาติเป็นกระบวนการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว (wholeness) แต่ความคิดสร้าง “ภาพจำลองของความเป็นส่วนตัว” ซึ่งแตกต่างจากความจริงโดยสิ้นเชิง มนุษย์จึงใช้ชีวิตอยู่ใน โลกของภาพจำ (thought-made reality) มากกว่า โลกของความจริงที่สัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว ⸻ 3. เวลาเชิงจิตสำนึก (psychological time) คือรากของความกลัว Krishnamurti อธิบายสิ่งที่เขาย้ำตลอดชีวิต— ความกลัวเกิดจาก “เวลา” ที่สร้างขึ้นในจิต เช่น • ความคิดเรื่อง สิ่งที่อาจเกิดขึ้น • ความทรงจำเรื่อง สิ่งที่เคยทำให้เจ็บปวด ความคิดจึง “สร้างอนาคตสมมติ” แล้วหวาดกลัวสิ่งที่มันสร้างขึ้นเอง Bohm ถามอย่างลุ่มลึกว่า ความคิดสามารถหยุดสร้างเวลาจิตวิทยานี้ได้จริงหรือ? Krishnamurti ตอบว่า— มันจะหยุดได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์เห็นความจริงของมันอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่บังคับตัวเองให้หยุดคิด ไม่ใช่ใช้เทคนิค หรือสร้างวินัยจิต แต่คือ “การเห็นตรง ๆ” ว่าโครงสร้างของความคิดคือสาเหตุของความทุกข์ เมื่อมีการเห็นอย่างสมบูรณ์— การเคลื่อนไหวของความกลัว จะยุติโดยไม่ต้องพยายามใดๆ ⸻ 4. ความปลอดภัยลวง ๆ ของเอกลักษณ์ส่วนตัว ความคิดสร้าง “ตัวฉัน” ขึ้นมาเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางของการรับรู้ แต่ Krishnamurti ชี้ว่าตัวตนนี้ • เป็นเพียงเงาของความทรงจำ • เป็นการสะสมประสบการณ์ • ไม่ได้มีตัวตนแท้จริงใด ๆ Bohm สังเกตว่า ระบบความคิดปกป้อง “ตัวฉัน” อย่างแข็งแรงจนเกิดความขัดแย้ง ทั้งในระดับบุคคล (ความกังวล, ความหวงแหน) และในระดับสังคม (ลัทธิ, ชาติ, ศาสนา) Krishnamurti: “เมื่อตัวตนถูกคุกคาม ความรุนแรงจึงเกิดขึ้น — และตัวตนถูกคุกคามตลอดเวลา เพราะมันไม่มีความจริงรองรับอยู่แล้ว” ⸻ 5. จะเกิดการปฏิวัติภายใน (inner revolution) ได้อย่างไร? หัวใจของบทสนทนาคือคำถามนี้ มนุษย์สามารถเปลี่ยนโครงสร้างของความคิดได้จริงหรือ? Krishnamurti เสนอสิ่งที่อาจฟังดูเรียบง่าย แต่ลึกที่สุด— การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ เมื่อจิตเห็นว่าโครงสร้างเดิมใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง เหมือนคนโยนเชือกที่ขาดออกจากมือทันทีที่รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยชีวิต Bohm ทำให้ประเด็นนี้เฉียบขึ้นว่า ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ ความคิดที่ “เห็นด้วย” แต่เป็นการรับรู้ที่ไม่มีช่องว่างระหว่างผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต Krishnamurti เรียกภาวะนี้ว่า การสังเกตอย่างบริสุทธิ์ (pure observation) ซึ่งไม่มีผู้สังเกต ไม่มีการตีความ ไม่มีตัวตนเข้าไปแทรก เมื่อการสังเกตเป็นอิสระจากความคิด — “ตัวตนที่ถูกสร้างด้วยความคิด” ก็ยุติลง พร้อมกับความกลัว การแบ่งแยก และความรุนแรงโดยธรรมชาติ ⸻ 6. เมื่อจิตว่างจากเงื่อนไข — ความเป็นมนุษย์รูปแบบใหม่จึงเกิดขึ้น ทั้ง Krishnamurti และ Bohm เห็นตรงกันว่า อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับ คุณภาพของจิตมนุษย์ ไม่ใช่เทคโนโลยี วิทยาการ หรืออำนาจทางการเมือง จิตที่ถูกกำหนดด้วยความกลัวและความคิดซ้ำ ๆ ย่อมสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่จิตที่ • ไม่ถูกแบ่งแยก • ไม่ถูกกำหนดด้วยอดีต • ไม่สร้างเวลาเชิงจิต • ไม่ปกป้องตัวตนสมมติ จะสามารถแสดง ความกรุณา และ สติปัญญา ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นเรื่องของศีลธรรม แต่เป็นโครงสร้างของจิตที่เป็นอิสระโดยแท้ Krishnamurti กล่าวอย่างลึกซึ้งในตอนหนึ่งว่า “ในความเงียบสงบของจิตที่ไม่ถูกแบ่งแยก ปัญญาอันไม่มีเจ้าของปรากฏขึ้นเอง” นี่ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นการชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ของจิตเมื่อมันไม่ถูกปิดบังด้วยความคิด ⸻ 7. อนาคตของมนุษยชาติ คืออนาคตของ “จิต” ท้ายที่สุด บทสนทนาพาไปสู่ข้อสรุปสำคัญที่สุด— มนุษยชาติไม่ได้ต้องการระบบใหม่ ความเชื่อใหม่ หรือผู้นำใหม่ แต่ต้องการ ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของจิต ถ้าไม่มีการปฏิวัติภายในนี้ มนุษย์จะเดินซ้ำรอย —สงคราม —การแบ่งแยก —ความเห็นแก่ตัว —ความกลัว เพราะความคิดเดิมจะสร้างโลกแบบเดิมเสมอ แต่ถ้ามีการมองเห็นอย่างแท้จริง— จิตจะก้าวออกจากกรอบของอดีต และเริ่มความเป็นมนุษย์แบบใหม่ ซึ่งไม่ถูกกำกับด้วยการแบ่งแยก แต่ดำรงอยู่ใน wholeness — ความเป็นหนึ่งเดียวของชีวิต ⸻ บทสรุป : บทสนทนาที่ไม่ได้ชี้ให้เชื่อ แต่ชี้ให้ “เห็น” สิ่งที่ทำให้การสนทนานี้ทรงพลังไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นการชี้ให้มนุษย์เห็น ว่าปัญหาที่เรากำลังตามแก้มาตลอดหลายพันปี คือ ผลผลิตของความคิดที่ไม่เคยถูกเข้าใจจริง ๆ เมื่อความคิดถูกเห็นตามความเป็นจริง โดยไม่มีผู้สังเกตที่แยกออกมา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และอนาคตของมนุษยชาติจึงเริ่มต้นใหม่ได้จริง ⸻ บทความตอนที่ 2 : การแตกตัวของความคิด การกำเนิดของปัญญาไร้ศูนย์กลาง และความเป็นมนุษย์ยุคใหม่ ในภาคที่สองของบทสนทนา Krishnamurti และ Bohm เคลื่อนจากการวิเคราะห์โครงสร้างของความคิด (thought-structure) ไปสู่สิ่งที่ลึกกว่า— ความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเกิดการปฏิวัติภายในพร้อมกันทั้งโลก (global inner transformation) บทสนทนานี้ไม่ใช่เพียงสุนทรียภาพทางปัญญา แต่เป็นการวิเคราะห์ “กลไกของความทุกข์” ถึงราก และชี้ให้เห็น “จุดเหนือกลไก” ที่ความคิดไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ ⸻ 1. ความสับสนภายใน (inner confusion) คือรากของความวุ่นวายภายนอก สนทนาเริ่มต้นจากข้อสรุปในตอนก่อนหน้า— มนุษย์กำลัง “คิดจากความสับสน” (thinking from confusion) แต่กลับเชื่อว่าตนกำลังใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง Krishnamurti ตั้งคำถามที่กระทบใจลึกที่สุดว่า: “หากตัวเราเองสับสน เราจะคาดหวังให้โลกมีความสงบได้อย่างไร?” Bohm มองประเด็นเดียวกันในเชิงทฤษฎีระบบ ว่าความสับสนในจิตเป็นเหมือน “noise” ที่แทรกซึมทุกการรับรู้ ทำให้การแก้ปัญหาใด ๆ เริ่มต้นบนพื้นฐานที่บิดเบี้ยว มนุษย์พยายามแก้ระบบการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา แต่ไม่เคยมองกลไกของความสับสนภายในที่ก่อให้เกิดปัญหาภายนอกทั้งหมด ⸻ 2. จิตที่แตกตัวเป็นเศษส่วน (fragmented mind) Bohm—ซึ่งมีแนวคิดเรื่อง fragmentation ในงานฟิสิกส์และปรัชญา— ชี้ว่าจิตมนุษย์คิดแยกตัวเองออกเป็นส่วน ๆ เช่น • ผู้สังเกต vs. สิ่งที่ถูกสังเกต • ตัวฉัน vs. สังคม • ความคิด vs. อารมณ์ • ประเทศของฉัน vs. ประเทศของเขา • ความเชื่อของฉัน vs. ความเชื่อของคนอื่น Krishnamurti ตอกย้ำว่า การแตกตัวนี้คือรากของการก่อความรุนแรงทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งของจิตต่อสู้กับอีกส่วนหนึ่ง และเราคิดว่าความขัดแย้งนี้คือ “ธรรมชาติของมนุษย์” ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ “ผลผลิตของความคิดที่ไม่เข้าใจตัวเอง” มนุษย์จึงอยู่ในสภาพขัดแย้งตลอดเวลา— ทั้งภายในตนเองและระหว่างกัน ⸻ 3. ความขัดแย้งภายในเป็นภาพลวง เพราะผู้ขัดแย้งและสิ่งที่ถูกขัดแย้งเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในช่วงสำคัญของบทสนทนา Krishnamurti พูดประโยคที่โดดเด่นที่สุดตอนหนึ่งว่า: “ผู้คิด คือ ความคิด ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจากกัน” นี่คือหัวใจที่ยากที่สุดแต่เปลี่ยนชีวิตได้ที่สุด เพราะทำลายภาพลวงว่ามี “ตัวฉัน” ที่ควบคุมความคิดอยู่เบื้องหลัง Bohm ยอมรับว่า ในเชิงจิตวิทยาและฟิสิกส์เชิงระบบ ผู้กระทำและการกระทำมีความต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน (non-dual action) ถ้าเห็นความจริงนี้ ความขัดแย้งภายในจะยุติทันที เพราะไม่มีผู้ควบคุมที่ต้อง “ต่อสู้กับความคิดของตัวเอง” อีกต่อไป ⸻ 4. แล้วการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในการสนทนา Bohm ถามอย่างสำคัญว่า: “หากผู้คิดคือความคิด แล้วใครกันที่จะเปลี่ยนแปลงมัน?” Krishnamurti ให้คำตอบที่สั่นสะเทือน— การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจาก “ผู้ใด” แต่เกิดจากการ “เห็น” (insight) ที่ทำให้ความคิดตกไปเอง เหมือนเมื่อเราเห็นความอันตรายของงู เราไม่จำเป็นต้องสร้างวินัยเพื่อไม่ถูกมันกัด การรู้เห็นอย่างสมบูรณ์คือการกระทำทันที เขาเรียกสิ่งนี้ว่า การกระทำที่ไร้เวลา (action without time) หรือ การปฏิวัติแบบฉับพลันทางจิต ซึ่งไม่ค่อยถูกเข้าใจ เพราะมนุษย์คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ⸻ 5. ทำไมมนุษย์ไม่สามารถเห็นอย่างแจ่มชัด? Bohm ชี้ว่า ความคิดไม่เพียงแต่สับสน แต่ยังสร้าง “วงจรป้องกันตัวเอง” คือพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อผิดพลาดของตน เหมือนระบบปิดที่ซ่อนรอยรั่วของตัวเองไว้เสมอ Krishnamurti อธิบายเพิ่มว่า มนุษย์ไม่สามารถเห็นความจริงได้เพราะมี “ศูนย์กลาง” ที่ต้องการความมั่นคง คือ “ตัวตน” ที่ถูกสร้างด้วยความจำ เมื่อศูนย์กลางนี้สั่นคลอน ความคิดจะปกป้องตัวเองทันทีด้วยกลไก เช่น • การหาเหตุผล • การหนี • การโยนความผิด • การสร้างความเชื่อปลอม ดังนั้น ศูนย์กลางคืออุปสรรค ไม่ใช่ผู้เปลี่ยนแปลง ⸻ 6. เมื่อศูนย์กลางดับลง — ปัญญาที่ไม่ใช่ของใครจึงเกิดขึ้น ช่วงท้ายของบทสนทนาเป็นช่วงที่ลึกซึ้งที่สุด เมื่อ Bohm ถามถึงธรรมชาติของการรู้แจ้ง (insight) ว่าเป็นอะไร Krishnamurti ตอบว่า: • Insight ไม่ได้มาจากความคิด • ไม่ได้เป็นประสบการณ์ • ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะวิธีการ • และไม่ใช่ผลของความพยายาม Insight คือ การระเบิดของความกระจ่าง (flash of clarity) ที่ทำให้โครงสร้างของความคิดหยุดลงชั่วขณะ ในขณะนั้น “ตัวฉัน” หายไป และสิ่งที่เหลืออยู่คือความเงียบที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ เขาใช้ถ้อยคำทำนองว่า: “เมื่อจิตเงียบสนิท ปัญญาที่ไม่ใช่ของใครเกิดขึ้นเอง” Bohm เห็นว่านี่สอดคล้องกับแนวคิด implicate order คือระดับความจริงที่ลึกกว่า ซึ่งไม่แตกเป็นส่วน ๆ และทุกสิ่งเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว ⸻ 7. อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเกิดของจิตไร้ศูนย์กลาง บทสนทนาปิดด้วยคำถามใหญ่ที่สุด: “มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงร่วมกันได้หรือไม่?” ไม่ใช่การปฏิวัติภายนอก แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของจิตทั่วทั้งมนุษยชาติ เพราะความแตกแยก ความรุนแรง และความกลัว เป็นผลผลิตจากจิตเดียวกัน—ไม่ว่าจะในคนหนึ่งหรือคนทั้งโลก Krishnamurti เชื่อว่า ถ้าคนคนหนึ่งเห็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เขาจะเป็น “แสงสว่าง” ที่ส่งต่อได้โดยไม่มีคำสอน เพราะการกระจายของปัญญาไม่ต้องอาศัยเวลา แต่เกิดขึ้นเหมือนการสื่อสารในสนามเดียวกันของมนุษยชาติทั้งหมด Bohm เห็นด้วยว่า จิตมนุษย์มีโครงสร้างร่วมกันทางวัฒนธรรม–ภายใน และการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในคนหนึ่งสามารถสะเทือนทั้งระบบได้ ⸻ บทสรุปตอนที่ 2 : ความเงียบคือการปฏิวัติ “The Future of Humanity” จึงไม่ใช่คำพยากรณ์ แต่เป็นแผนที่ภายในที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าความคิดยังคงปกครองจิตมนุษย์ ประวัติศาสตร์จะทำซ้ำ แต่ถ้าจิตเห็นธรรมชาติของความคิดอย่างทะลุปรุโปร่ง อนาคตจะไม่เหมือนอดีตอีกต่อไป เพราะในความเงียบที่ไร้ศูนย์กลาง มีพลังแห่งความรัก ความกรุณา และปัญญาที่ไม่ใช่ของใคร ซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษย์รูปแบบใหม่ #Siamstr #nostr #philosophy

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!