🌍บทความ : อนาคตของมนุษยชาติ – ระหว่างความคิดที่สร้างความแตกแยก และมิติของจิตที่ไร้การแบ่งแยก
Krishnamurti และ David Bohm สนทนากันในสิ่งที่อาจเรียกว่า “จุดแตกหักของวิวัฒนาการทางจิต” — จุดที่มนุษย์จำเป็นต้องมองดูรากฐานของความคิด ความกลัว ความขัดแย้ง และความเป็นตัวตน… มิฉะนั้น “อนาคตของมนุษยชาติ” จะไม่อาจต่างจากอดีตได้เลย
บทสนทนาไม่ได้เสนอคำตอบสำเร็จรูป แต่ เปิดเผยกลไกภายในของความคิด ให้เห็นว่ามนุษย์กำลังติดอยู่ในวัฏจักรแบบเดียวกับ “เครื่องจักรที่ผลิตซ้ำตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว
⸻
1. ปัญหาของมนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ในโครงสร้างของความคิด
ทั้งสองตั้งต้นด้วยประเด็นสำคัญว่า—
มนุษยชาติสะสมปัญหามากมาย ทั้งสงคราม ความแตกแยก การเมือง ความรุนแรง และความหวาดกลัว แต่ปัญหาเหล่านั้น มีต้นกำเนิดเดียวกัน คือ ความคิด (thought) ที่ดำเนินไปตามเงื่อนไขเก่า ๆ โดยเชื่อว่าตัวเอง “เข้าใจ” โลกแล้ว
ในความจริง ความคิดเป็นกระบวนการที่ถูกกำหนดโดยความทรงจำ ความกลัว ประสบการณ์ และคำจำกัดความที่สังคมมอบให้เรา
Krishnamurti ชี้ว่า
มนุษย์กำลังมองโลกด้วย เลนส์ที่ผิดเพี้ยน แต่กลับเชื่อว่าชัดเจนที่สุด
Bohm สะท้อนว่า
ความคิดมีแนวโน้มหลอกตัวเอง (self-deception) และพยายามปิดบังความขัดแย้งที่มันสร้างขึ้น—ทั้งในจิตปัจเจกและในสังคม
ความคิดจึงไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์โลกอย่างบริสุทธิ์
แต่เป็นสาเหตุของโลกที่วิเคราะห์ไม่ได้ต่างหาก
⸻
2. ความคิดแบ่งแยกโดยธรรมชาติ: ความเป็น “ฉัน–เธอ”, “เรา–เขา”, “ชาติ–ชาติ”
เมื่อความคิดทำงาน มันจำเป็นต้อง แยกแยะ—ต้องตั้งชื่อ ต้องตีกรอบ ต้องแบ่งฝ่าย เพื่อจะดำเนินการใด ๆ ได้
แต่การแบ่งแยกภายในระดับจิตใจนี้เองคือจุดกำเนิดของความขัดแย้ง
Krishnamurti ย้ำประโยคสำคัญในบทสนทนาว่า
“ตราบใดที่มนุษย์ใช้ความคิดเดิมในการแก้ปัญหา ความคิดนั้นเองจะยังผลิตความแตกแยกต่อไป”
Bohm เสริมจากมุมฟิสิกส์เชิงลึกว่า
โลกธรรมชาติเป็นกระบวนการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว (wholeness) แต่ความคิดสร้าง “ภาพจำลองของความเป็นส่วนตัว” ซึ่งแตกต่างจากความจริงโดยสิ้นเชิง
มนุษย์จึงใช้ชีวิตอยู่ใน
โลกของภาพจำ (thought-made reality)
มากกว่า
โลกของความจริงที่สัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว
⸻
3. เวลาเชิงจิตสำนึก (psychological time) คือรากของความกลัว
Krishnamurti อธิบายสิ่งที่เขาย้ำตลอดชีวิต—
ความกลัวเกิดจาก “เวลา” ที่สร้างขึ้นในจิต เช่น
• ความคิดเรื่อง สิ่งที่อาจเกิดขึ้น
• ความทรงจำเรื่อง สิ่งที่เคยทำให้เจ็บปวด
ความคิดจึง “สร้างอนาคตสมมติ” แล้วหวาดกลัวสิ่งที่มันสร้างขึ้นเอง
Bohm ถามอย่างลุ่มลึกว่า
ความคิดสามารถหยุดสร้างเวลาจิตวิทยานี้ได้จริงหรือ?
Krishnamurti ตอบว่า—
มันจะหยุดได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์เห็นความจริงของมันอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่บังคับตัวเองให้หยุดคิด ไม่ใช่ใช้เทคนิค หรือสร้างวินัยจิต
แต่คือ “การเห็นตรง ๆ” ว่าโครงสร้างของความคิดคือสาเหตุของความทุกข์
เมื่อมีการเห็นอย่างสมบูรณ์—
การเคลื่อนไหวของความกลัว จะยุติโดยไม่ต้องพยายามใดๆ
⸻
4. ความปลอดภัยลวง ๆ ของเอกลักษณ์ส่วนตัว
ความคิดสร้าง “ตัวฉัน” ขึ้นมาเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางของการรับรู้
แต่ Krishnamurti ชี้ว่าตัวตนนี้
• เป็นเพียงเงาของความทรงจำ
• เป็นการสะสมประสบการณ์
• ไม่ได้มีตัวตนแท้จริงใด ๆ
Bohm สังเกตว่า
ระบบความคิดปกป้อง “ตัวฉัน” อย่างแข็งแรงจนเกิดความขัดแย้ง
ทั้งในระดับบุคคล (ความกังวล, ความหวงแหน)
และในระดับสังคม (ลัทธิ, ชาติ, ศาสนา)
Krishnamurti:
“เมื่อตัวตนถูกคุกคาม ความรุนแรงจึงเกิดขึ้น — และตัวตนถูกคุกคามตลอดเวลา เพราะมันไม่มีความจริงรองรับอยู่แล้ว”
⸻
5. จะเกิดการปฏิวัติภายใน (inner revolution) ได้อย่างไร?
หัวใจของบทสนทนาคือคำถามนี้
มนุษย์สามารถเปลี่ยนโครงสร้างของความคิดได้จริงหรือ?
Krishnamurti เสนอสิ่งที่อาจฟังดูเรียบง่าย แต่ลึกที่สุด—
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ เมื่อจิตเห็นว่าโครงสร้างเดิมใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เหมือนคนโยนเชือกที่ขาดออกจากมือทันทีที่รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยชีวิต
Bohm ทำให้ประเด็นนี้เฉียบขึ้นว่า
ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ ความคิดที่ “เห็นด้วย”
แต่เป็นการรับรู้ที่ไม่มีช่องว่างระหว่างผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต
Krishnamurti เรียกภาวะนี้ว่า
การสังเกตอย่างบริสุทธิ์ (pure observation)
ซึ่งไม่มีผู้สังเกต ไม่มีการตีความ ไม่มีตัวตนเข้าไปแทรก
เมื่อการสังเกตเป็นอิสระจากความคิด —
“ตัวตนที่ถูกสร้างด้วยความคิด” ก็ยุติลง
พร้อมกับความกลัว การแบ่งแยก และความรุนแรงโดยธรรมชาติ
⸻
6. เมื่อจิตว่างจากเงื่อนไข — ความเป็นมนุษย์รูปแบบใหม่จึงเกิดขึ้น
ทั้ง Krishnamurti และ Bohm เห็นตรงกันว่า
อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับ คุณภาพของจิตมนุษย์
ไม่ใช่เทคโนโลยี วิทยาการ หรืออำนาจทางการเมือง
จิตที่ถูกกำหนดด้วยความกลัวและความคิดซ้ำ ๆ
ย่อมสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
แต่จิตที่
• ไม่ถูกแบ่งแยก
• ไม่ถูกกำหนดด้วยอดีต
• ไม่สร้างเวลาเชิงจิต
• ไม่ปกป้องตัวตนสมมติ
จะสามารถแสดง ความกรุณา และ สติปัญญา ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่เป็นเรื่องของศีลธรรม แต่เป็นโครงสร้างของจิตที่เป็นอิสระโดยแท้
Krishnamurti กล่าวอย่างลึกซึ้งในตอนหนึ่งว่า
“ในความเงียบสงบของจิตที่ไม่ถูกแบ่งแยก
ปัญญาอันไม่มีเจ้าของปรากฏขึ้นเอง”
นี่ไม่ใช่คำสอน
แต่เป็นการชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ของจิตเมื่อมันไม่ถูกปิดบังด้วยความคิด
⸻
7. อนาคตของมนุษยชาติ คืออนาคตของ “จิต”
ท้ายที่สุด บทสนทนาพาไปสู่ข้อสรุปสำคัญที่สุด—
มนุษยชาติไม่ได้ต้องการระบบใหม่ ความเชื่อใหม่ หรือผู้นำใหม่
แต่ต้องการ ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของจิต
ถ้าไม่มีการปฏิวัติภายในนี้
มนุษย์จะเดินซ้ำรอย
—สงคราม
—การแบ่งแยก
—ความเห็นแก่ตัว
—ความกลัว
เพราะความคิดเดิมจะสร้างโลกแบบเดิมเสมอ
แต่ถ้ามีการมองเห็นอย่างแท้จริง—
จิตจะก้าวออกจากกรอบของอดีต
และเริ่มความเป็นมนุษย์แบบใหม่
ซึ่งไม่ถูกกำกับด้วยการแบ่งแยก
แต่ดำรงอยู่ใน wholeness — ความเป็นหนึ่งเดียวของชีวิต
⸻
บทสรุป : บทสนทนาที่ไม่ได้ชี้ให้เชื่อ แต่ชี้ให้ “เห็น”
สิ่งที่ทำให้การสนทนานี้ทรงพลังไม่ใช่คำตอบ
แต่เป็นการชี้ให้มนุษย์เห็น
ว่าปัญหาที่เรากำลังตามแก้มาตลอดหลายพันปี
คือ ผลผลิตของความคิดที่ไม่เคยถูกเข้าใจจริง ๆ
เมื่อความคิดถูกเห็นตามความเป็นจริง
โดยไม่มีผู้สังเกตที่แยกออกมา
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
และอนาคตของมนุษยชาติจึงเริ่มต้นใหม่ได้จริง
⸻
บทความตอนที่ 2 : การแตกตัวของความคิด การกำเนิดของปัญญาไร้ศูนย์กลาง และความเป็นมนุษย์ยุคใหม่
ในภาคที่สองของบทสนทนา Krishnamurti และ Bohm เคลื่อนจากการวิเคราะห์โครงสร้างของความคิด (thought-structure) ไปสู่สิ่งที่ลึกกว่า—
ความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเกิดการปฏิวัติภายในพร้อมกันทั้งโลก (global inner transformation)
บทสนทนานี้ไม่ใช่เพียงสุนทรียภาพทางปัญญา
แต่เป็นการวิเคราะห์ “กลไกของความทุกข์” ถึงราก
และชี้ให้เห็น “จุดเหนือกลไก” ที่ความคิดไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้
⸻
1. ความสับสนภายใน (inner confusion) คือรากของความวุ่นวายภายนอก
สนทนาเริ่มต้นจากข้อสรุปในตอนก่อนหน้า—
มนุษย์กำลัง “คิดจากความสับสน” (thinking from confusion)
แต่กลับเชื่อว่าตนกำลังใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง
Krishnamurti ตั้งคำถามที่กระทบใจลึกที่สุดว่า:
“หากตัวเราเองสับสน เราจะคาดหวังให้โลกมีความสงบได้อย่างไร?”
Bohm มองประเด็นเดียวกันในเชิงทฤษฎีระบบ
ว่าความสับสนในจิตเป็นเหมือน “noise” ที่แทรกซึมทุกการรับรู้
ทำให้การแก้ปัญหาใด ๆ เริ่มต้นบนพื้นฐานที่บิดเบี้ยว
มนุษย์พยายามแก้ระบบการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา
แต่ไม่เคยมองกลไกของความสับสนภายในที่ก่อให้เกิดปัญหาภายนอกทั้งหมด
⸻
2. จิตที่แตกตัวเป็นเศษส่วน (fragmented mind)
Bohm—ซึ่งมีแนวคิดเรื่อง fragmentation ในงานฟิสิกส์และปรัชญา—
ชี้ว่าจิตมนุษย์คิดแยกตัวเองออกเป็นส่วน ๆ เช่น
• ผู้สังเกต vs. สิ่งที่ถูกสังเกต
• ตัวฉัน vs. สังคม
• ความคิด vs. อารมณ์
• ประเทศของฉัน vs. ประเทศของเขา
• ความเชื่อของฉัน vs. ความเชื่อของคนอื่น
Krishnamurti ตอกย้ำว่า
การแตกตัวนี้คือรากของการก่อความรุนแรงทั้งหมด
เพราะส่วนหนึ่งของจิตต่อสู้กับอีกส่วนหนึ่ง
และเราคิดว่าความขัดแย้งนี้คือ “ธรรมชาติของมนุษย์”
ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ “ผลผลิตของความคิดที่ไม่เข้าใจตัวเอง”
มนุษย์จึงอยู่ในสภาพขัดแย้งตลอดเวลา—
ทั้งภายในตนเองและระหว่างกัน
⸻
3. ความขัดแย้งภายในเป็นภาพลวง เพราะผู้ขัดแย้งและสิ่งที่ถูกขัดแย้งเป็นอันหนึ่งเดียวกัน
ในช่วงสำคัญของบทสนทนา Krishnamurti พูดประโยคที่โดดเด่นที่สุดตอนหนึ่งว่า:
“ผู้คิด คือ ความคิด ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจากกัน”
นี่คือหัวใจที่ยากที่สุดแต่เปลี่ยนชีวิตได้ที่สุด
เพราะทำลายภาพลวงว่ามี “ตัวฉัน” ที่ควบคุมความคิดอยู่เบื้องหลัง
Bohm ยอมรับว่า
ในเชิงจิตวิทยาและฟิสิกส์เชิงระบบ
ผู้กระทำและการกระทำมีความต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน (non-dual action)
ถ้าเห็นความจริงนี้
ความขัดแย้งภายในจะยุติทันที
เพราะไม่มีผู้ควบคุมที่ต้อง “ต่อสู้กับความคิดของตัวเอง” อีกต่อไป
⸻
4. แล้วการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ในการสนทนา Bohm ถามอย่างสำคัญว่า:
“หากผู้คิดคือความคิด แล้วใครกันที่จะเปลี่ยนแปลงมัน?”
Krishnamurti ให้คำตอบที่สั่นสะเทือน—
การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจาก “ผู้ใด”
แต่เกิดจากการ “เห็น” (insight) ที่ทำให้ความคิดตกไปเอง
เหมือนเมื่อเราเห็นความอันตรายของงู
เราไม่จำเป็นต้องสร้างวินัยเพื่อไม่ถูกมันกัด
การรู้เห็นอย่างสมบูรณ์คือการกระทำทันที
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า
การกระทำที่ไร้เวลา (action without time)
หรือ การปฏิวัติแบบฉับพลันทางจิต
ซึ่งไม่ค่อยถูกเข้าใจ เพราะมนุษย์คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
⸻
5. ทำไมมนุษย์ไม่สามารถเห็นอย่างแจ่มชัด?
Bohm ชี้ว่า
ความคิดไม่เพียงแต่สับสน แต่ยังสร้าง “วงจรป้องกันตัวเอง”
คือพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อผิดพลาดของตน
เหมือนระบบปิดที่ซ่อนรอยรั่วของตัวเองไว้เสมอ
Krishnamurti อธิบายเพิ่มว่า
มนุษย์ไม่สามารถเห็นความจริงได้เพราะมี “ศูนย์กลาง” ที่ต้องการความมั่นคง
คือ “ตัวตน” ที่ถูกสร้างด้วยความจำ
เมื่อศูนย์กลางนี้สั่นคลอน
ความคิดจะปกป้องตัวเองทันทีด้วยกลไก เช่น
• การหาเหตุผล
• การหนี
• การโยนความผิด
• การสร้างความเชื่อปลอม
ดังนั้น ศูนย์กลางคืออุปสรรค ไม่ใช่ผู้เปลี่ยนแปลง
⸻
6. เมื่อศูนย์กลางดับลง — ปัญญาที่ไม่ใช่ของใครจึงเกิดขึ้น
ช่วงท้ายของบทสนทนาเป็นช่วงที่ลึกซึ้งที่สุด
เมื่อ Bohm ถามถึงธรรมชาติของการรู้แจ้ง (insight) ว่าเป็นอะไร
Krishnamurti ตอบว่า:
• Insight ไม่ได้มาจากความคิด
• ไม่ได้เป็นประสบการณ์
• ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะวิธีการ
• และไม่ใช่ผลของความพยายาม
Insight คือ การระเบิดของความกระจ่าง (flash of clarity)
ที่ทำให้โครงสร้างของความคิดหยุดลงชั่วขณะ
ในขณะนั้น “ตัวฉัน” หายไป
และสิ่งที่เหลืออยู่คือความเงียบที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์
เขาใช้ถ้อยคำทำนองว่า:
“เมื่อจิตเงียบสนิท ปัญญาที่ไม่ใช่ของใครเกิดขึ้นเอง”
Bohm เห็นว่านี่สอดคล้องกับแนวคิด implicate order
คือระดับความจริงที่ลึกกว่า ซึ่งไม่แตกเป็นส่วน ๆ
และทุกสิ่งเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว
⸻
7. อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเกิดของจิตไร้ศูนย์กลาง
บทสนทนาปิดด้วยคำถามใหญ่ที่สุด:
“มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงร่วมกันได้หรือไม่?”
ไม่ใช่การปฏิวัติภายนอก
แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของจิตทั่วทั้งมนุษยชาติ
เพราะความแตกแยก ความรุนแรง และความกลัว
เป็นผลผลิตจากจิตเดียวกัน—ไม่ว่าจะในคนหนึ่งหรือคนทั้งโลก
Krishnamurti เชื่อว่า
ถ้าคนคนหนึ่งเห็นความจริงอย่างสิ้นเชิง
เขาจะเป็น “แสงสว่าง” ที่ส่งต่อได้โดยไม่มีคำสอน
เพราะการกระจายของปัญญาไม่ต้องอาศัยเวลา
แต่เกิดขึ้นเหมือนการสื่อสารในสนามเดียวกันของมนุษยชาติทั้งหมด
Bohm เห็นด้วยว่า
จิตมนุษย์มีโครงสร้างร่วมกันทางวัฒนธรรม–ภายใน
และการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในคนหนึ่งสามารถสะเทือนทั้งระบบได้
⸻
บทสรุปตอนที่ 2 : ความเงียบคือการปฏิวัติ
“The Future of Humanity” จึงไม่ใช่คำพยากรณ์
แต่เป็นแผนที่ภายในที่ชี้ให้เห็นว่า
ถ้าความคิดยังคงปกครองจิตมนุษย์
ประวัติศาสตร์จะทำซ้ำ
แต่ถ้าจิตเห็นธรรมชาติของความคิดอย่างทะลุปรุโปร่ง
อนาคตจะไม่เหมือนอดีตอีกต่อไป
เพราะในความเงียบที่ไร้ศูนย์กลาง
มีพลังแห่งความรัก ความกรุณา และปัญญาที่ไม่ใช่ของใคร
ซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษย์รูปแบบใหม่
#Siamstr #nostr #philosophyThread
🌍บทความ : อนาคตของมนุษยชาติ – ระหว่างความคิดที่สร้างความแตกแยก และมิติของจิตที่ไร้การแบ่งแยก
Krishnamurti และ David Bohm สนทนากันในสิ่งที่อาจเรียกว่า “จุดแตกหักของวิวัฒนาการทางจิต” — จุดที่มนุษย์จำเป็นต้องมองดูรากฐานของความคิด ความกลัว ความขัดแย้ง และความเป็นตัวตน… มิฉะนั้น “อนาคตของมนุษยชาติ” จะไม่อาจต่างจากอดีตได้เลย
บทสนทนาไม่ได้เสนอคำตอบสำเร็จรูป แต่ เปิดเผยกลไกภายในของความคิด ให้เห็นว่ามนุษย์กำลังติดอยู่ในวัฏจักรแบบเดียวกับ “เครื่องจักรที่ผลิตซ้ำตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว
⸻
1. ปัญหาของมนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ในโครงสร้างของความคิด
ทั้งสองตั้งต้นด้วยประเด็นสำคัญว่า—
มนุษยชาติสะสมปัญหามากมาย ทั้งสงคราม ความแตกแยก การเมือง ความรุนแรง และความหวาดกลัว แต่ปัญหาเหล่านั้น มีต้นกำเนิดเดียวกัน คือ ความคิด (thought) ที่ดำเนินไปตามเงื่อนไขเก่า ๆ โดยเชื่อว่าตัวเอง “เข้าใจ” โลกแล้ว
ในความจริง ความคิดเป็นกระบวนการที่ถูกกำหนดโดยความทรงจำ ความกลัว ประสบการณ์ และคำจำกัดความที่สังคมมอบให้เรา
Krishnamurti ชี้ว่า
มนุษย์กำลังมองโลกด้วย เลนส์ที่ผิดเพี้ยน แต่กลับเชื่อว่าชัดเจนที่สุด
Bohm สะท้อนว่า
ความคิดมีแนวโน้มหลอกตัวเอง (self-deception) และพยายามปิดบังความขัดแย้งที่มันสร้างขึ้น—ทั้งในจิตปัจเจกและในสังคม
ความคิดจึงไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์โลกอย่างบริสุทธิ์
แต่เป็นสาเหตุของโลกที่วิเคราะห์ไม่ได้ต่างหาก
⸻
2. ความคิดแบ่งแยกโดยธรรมชาติ: ความเป็น “ฉัน–เธอ”, “เรา–เขา”, “ชาติ–ชาติ”
เมื่อความคิดทำงาน มันจำเป็นต้อง แยกแยะ—ต้องตั้งชื่อ ต้องตีกรอบ ต้องแบ่งฝ่าย เพื่อจะดำเนินการใด ๆ ได้
แต่การแบ่งแยกภายในระดับจิตใจนี้เองคือจุดกำเนิดของความขัดแย้ง
Krishnamurti ย้ำประโยคสำคัญในบทสนทนาว่า
“ตราบใดที่มนุษย์ใช้ความคิดเดิมในการแก้ปัญหา ความคิดนั้นเองจะยังผลิตความแตกแยกต่อไป”
Bohm เสริมจากมุมฟิสิกส์เชิงลึกว่า
โลกธรรมชาติเป็นกระบวนการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว (wholeness) แต่ความคิดสร้าง “ภาพจำลองของความเป็นส่วนตัว” ซึ่งแตกต่างจากความจริงโดยสิ้นเชิง
มนุษย์จึงใช้ชีวิตอยู่ใน
โลกของภาพจำ (thought-made reality)
มากกว่า
โลกของความจริงที่สัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว
⸻
3. เวลาเชิงจิตสำนึก (psychological time) คือรากของความกลัว
Krishnamurti อธิบายสิ่งที่เขาย้ำตลอดชีวิต—
ความกลัวเกิดจาก “เวลา” ที่สร้างขึ้นในจิต เช่น
• ความคิดเรื่อง สิ่งที่อาจเกิดขึ้น
• ความทรงจำเรื่อง สิ่งที่เคยทำให้เจ็บปวด
ความคิดจึง “สร้างอนาคตสมมติ” แล้วหวาดกลัวสิ่งที่มันสร้างขึ้นเอง
Bohm ถามอย่างลุ่มลึกว่า
ความคิดสามารถหยุดสร้างเวลาจิตวิทยานี้ได้จริงหรือ?
Krishnamurti ตอบว่า—
มันจะหยุดได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์เห็นความจริงของมันอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่บังคับตัวเองให้หยุดคิด ไม่ใช่ใช้เทคนิค หรือสร้างวินัยจิต
แต่คือ “การเห็นตรง ๆ” ว่าโครงสร้างของความคิดคือสาเหตุของความทุกข์
เมื่อมีการเห็นอย่างสมบูรณ์—
การเคลื่อนไหวของความกลัว จะยุติโดยไม่ต้องพยายามใดๆ
⸻
4. ความปลอดภัยลวง ๆ ของเอกลักษณ์ส่วนตัว
ความคิดสร้าง “ตัวฉัน” ขึ้นมาเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางของการรับรู้
แต่ Krishnamurti ชี้ว่าตัวตนนี้
• เป็นเพียงเงาของความทรงจำ
• เป็นการสะสมประสบการณ์
• ไม่ได้มีตัวตนแท้จริงใด ๆ
Bohm สังเกตว่า
ระบบความคิดปกป้อง “ตัวฉัน” อย่างแข็งแรงจนเกิดความขัดแย้ง
ทั้งในระดับบุคคล (ความกังวล, ความหวงแหน)
และในระดับสังคม (ลัทธิ, ชาติ, ศาสนา)
Krishnamurti:
“เมื่อตัวตนถูกคุกคาม ความรุนแรงจึงเกิดขึ้น — และตัวตนถูกคุกคามตลอดเวลา เพราะมันไม่มีความจริงรองรับอยู่แล้ว”
⸻
5. จะเกิดการปฏิวัติภายใน (inner revolution) ได้อย่างไร?
หัวใจของบทสนทนาคือคำถามนี้
มนุษย์สามารถเปลี่ยนโครงสร้างของความคิดได้จริงหรือ?
Krishnamurti เสนอสิ่งที่อาจฟังดูเรียบง่าย แต่ลึกที่สุด—
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ เมื่อจิตเห็นว่าโครงสร้างเดิมใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เหมือนคนโยนเชือกที่ขาดออกจากมือทันทีที่รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยชีวิต
Bohm ทำให้ประเด็นนี้เฉียบขึ้นว่า
ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ ความคิดที่ “เห็นด้วย”
แต่เป็นการรับรู้ที่ไม่มีช่องว่างระหว่างผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต
Krishnamurti เรียกภาวะนี้ว่า
การสังเกตอย่างบริสุทธิ์ (pure observation)
ซึ่งไม่มีผู้สังเกต ไม่มีการตีความ ไม่มีตัวตนเข้าไปแทรก
เมื่อการสังเกตเป็นอิสระจากความคิด —
“ตัวตนที่ถูกสร้างด้วยความคิด” ก็ยุติลง
พร้อมกับความกลัว การแบ่งแยก และความรุนแรงโดยธรรมชาติ
⸻
6. เมื่อจิตว่างจากเงื่อนไข — ความเป็นมนุษย์รูปแบบใหม่จึงเกิดขึ้น
ทั้ง Krishnamurti และ Bohm เห็นตรงกันว่า
อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับ คุณภาพของจิตมนุษย์
ไม่ใช่เทคโนโลยี วิทยาการ หรืออำนาจทางการเมือง
จิตที่ถูกกำหนดด้วยความกลัวและความคิดซ้ำ ๆ
ย่อมสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
แต่จิตที่
• ไม่ถูกแบ่งแยก
• ไม่ถูกกำหนดด้วยอดีต
• ไม่สร้างเวลาเชิงจิต
• ไม่ปกป้องตัวตนสมมติ
จะสามารถแสดง ความกรุณา และ สติปัญญา ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่เป็นเรื่องของศีลธรรม แต่เป็นโครงสร้างของจิตที่เป็นอิสระโดยแท้
Krishnamurti กล่าวอย่างลึกซึ้งในตอนหนึ่งว่า
“ในความเงียบสงบของจิตที่ไม่ถูกแบ่งแยก
ปัญญาอันไม่มีเจ้าของปรากฏขึ้นเอง”
นี่ไม่ใช่คำสอน
แต่เป็นการชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ของจิตเมื่อมันไม่ถูกปิดบังด้วยความคิด
⸻
7. อนาคตของมนุษยชาติ คืออนาคตของ “จิต”
ท้ายที่สุด บทสนทนาพาไปสู่ข้อสรุปสำคัญที่สุด—
มนุษยชาติไม่ได้ต้องการระบบใหม่ ความเชื่อใหม่ หรือผู้นำใหม่
แต่ต้องการ ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของจิต
ถ้าไม่มีการปฏิวัติภายในนี้
มนุษย์จะเดินซ้ำรอย
—สงคราม
—การแบ่งแยก
—ความเห็นแก่ตัว
—ความกลัว
เพราะความคิดเดิมจะสร้างโลกแบบเดิมเสมอ
แต่ถ้ามีการมองเห็นอย่างแท้จริง—
จิตจะก้าวออกจากกรอบของอดีต
และเริ่มความเป็นมนุษย์แบบใหม่
ซึ่งไม่ถูกกำกับด้วยการแบ่งแยก
แต่ดำรงอยู่ใน wholeness — ความเป็นหนึ่งเดียวของชีวิต
⸻
บทสรุป : บทสนทนาที่ไม่ได้ชี้ให้เชื่อ แต่ชี้ให้ “เห็น”
สิ่งที่ทำให้การสนทนานี้ทรงพลังไม่ใช่คำตอบ
แต่เป็นการชี้ให้มนุษย์เห็น
ว่าปัญหาที่เรากำลังตามแก้มาตลอดหลายพันปี
คือ ผลผลิตของความคิดที่ไม่เคยถูกเข้าใจจริง ๆ
เมื่อความคิดถูกเห็นตามความเป็นจริง
โดยไม่มีผู้สังเกตที่แยกออกมา
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
และอนาคตของมนุษยชาติจึงเริ่มต้นใหม่ได้จริง
⸻
บทความตอนที่ 2 : การแตกตัวของความคิด การกำเนิดของปัญญาไร้ศูนย์กลาง และความเป็นมนุษย์ยุคใหม่
ในภาคที่สองของบทสนทนา Krishnamurti และ Bohm เคลื่อนจากการวิเคราะห์โครงสร้างของความคิด (thought-structure) ไปสู่สิ่งที่ลึกกว่า—
ความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเกิดการปฏิวัติภายในพร้อมกันทั้งโลก (global inner transformation)
บทสนทนานี้ไม่ใช่เพียงสุนทรียภาพทางปัญญา
แต่เป็นการวิเคราะห์ “กลไกของความทุกข์” ถึงราก
และชี้ให้เห็น “จุดเหนือกลไก” ที่ความคิดไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้
⸻
1. ความสับสนภายใน (inner confusion) คือรากของความวุ่นวายภายนอก
สนทนาเริ่มต้นจากข้อสรุปในตอนก่อนหน้า—
มนุษย์กำลัง “คิดจากความสับสน” (thinking from confusion)
แต่กลับเชื่อว่าตนกำลังใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง
Krishnamurti ตั้งคำถามที่กระทบใจลึกที่สุดว่า:
“หากตัวเราเองสับสน เราจะคาดหวังให้โลกมีความสงบได้อย่างไร?”
Bohm มองประเด็นเดียวกันในเชิงทฤษฎีระบบ
ว่าความสับสนในจิตเป็นเหมือน “noise” ที่แทรกซึมทุกการรับรู้
ทำให้การแก้ปัญหาใด ๆ เริ่มต้นบนพื้นฐานที่บิดเบี้ยว
มนุษย์พยายามแก้ระบบการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา
แต่ไม่เคยมองกลไกของความสับสนภายในที่ก่อให้เกิดปัญหาภายนอกทั้งหมด
⸻
2. จิตที่แตกตัวเป็นเศษส่วน (fragmented mind)
Bohm—ซึ่งมีแนวคิดเรื่อง fragmentation ในงานฟิสิกส์และปรัชญา—
ชี้ว่าจิตมนุษย์คิดแยกตัวเองออกเป็นส่วน ๆ เช่น
• ผู้สังเกต vs. สิ่งที่ถูกสังเกต
• ตัวฉัน vs. สังคม
• ความคิด vs. อารมณ์
• ประเทศของฉัน vs. ประเทศของเขา
• ความเชื่อของฉัน vs. ความเชื่อของคนอื่น
Krishnamurti ตอกย้ำว่า
การแตกตัวนี้คือรากของการก่อความรุนแรงทั้งหมด
เพราะส่วนหนึ่งของจิตต่อสู้กับอีกส่วนหนึ่ง
และเราคิดว่าความขัดแย้งนี้คือ “ธรรมชาติของมนุษย์”
ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ “ผลผลิตของความคิดที่ไม่เข้าใจตัวเอง”
มนุษย์จึงอยู่ในสภาพขัดแย้งตลอดเวลา—
ทั้งภายในตนเองและระหว่างกัน
⸻
3. ความขัดแย้งภายในเป็นภาพลวง เพราะผู้ขัดแย้งและสิ่งที่ถูกขัดแย้งเป็นอันหนึ่งเดียวกัน
ในช่วงสำคัญของบทสนทนา Krishnamurti พูดประโยคที่โดดเด่นที่สุดตอนหนึ่งว่า:
“ผู้คิด คือ ความคิด ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจากกัน”
นี่คือหัวใจที่ยากที่สุดแต่เปลี่ยนชีวิตได้ที่สุด
เพราะทำลายภาพลวงว่ามี “ตัวฉัน” ที่ควบคุมความคิดอยู่เบื้องหลัง
Bohm ยอมรับว่า
ในเชิงจิตวิทยาและฟิสิกส์เชิงระบบ
ผู้กระทำและการกระทำมีความต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน (non-dual action)
ถ้าเห็นความจริงนี้
ความขัดแย้งภายในจะยุติทันที
เพราะไม่มีผู้ควบคุมที่ต้อง “ต่อสู้กับความคิดของตัวเอง” อีกต่อไป
⸻
4. แล้วการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ในการสนทนา Bohm ถามอย่างสำคัญว่า:
“หากผู้คิดคือความคิด แล้วใครกันที่จะเปลี่ยนแปลงมัน?”
Krishnamurti ให้คำตอบที่สั่นสะเทือน—
การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจาก “ผู้ใด”
แต่เกิดจากการ “เห็น” (insight) ที่ทำให้ความคิดตกไปเอง
เหมือนเมื่อเราเห็นความอันตรายของงู
เราไม่จำเป็นต้องสร้างวินัยเพื่อไม่ถูกมันกัด
การรู้เห็นอย่างสมบูรณ์คือการกระทำทันที
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า
การกระทำที่ไร้เวลา (action without time)
หรือ การปฏิวัติแบบฉับพลันทางจิต
ซึ่งไม่ค่อยถูกเข้าใจ เพราะมนุษย์คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
⸻
5. ทำไมมนุษย์ไม่สามารถเห็นอย่างแจ่มชัด?
Bohm ชี้ว่า
ความคิดไม่เพียงแต่สับสน แต่ยังสร้าง “วงจรป้องกันตัวเอง”
คือพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อผิดพลาดของตน
เหมือนระบบปิดที่ซ่อนรอยรั่วของตัวเองไว้เสมอ
Krishnamurti อธิบายเพิ่มว่า
มนุษย์ไม่สามารถเห็นความจริงได้เพราะมี “ศูนย์กลาง” ที่ต้องการความมั่นคง
คือ “ตัวตน” ที่ถูกสร้างด้วยความจำ
เมื่อศูนย์กลางนี้สั่นคลอน
ความคิดจะปกป้องตัวเองทันทีด้วยกลไก เช่น
• การหาเหตุผล
• การหนี
• การโยนความผิด
• การสร้างความเชื่อปลอม
ดังนั้น ศูนย์กลางคืออุปสรรค ไม่ใช่ผู้เปลี่ยนแปลง
⸻
6. เมื่อศูนย์กลางดับลง — ปัญญาที่ไม่ใช่ของใครจึงเกิดขึ้น
ช่วงท้ายของบทสนทนาเป็นช่วงที่ลึกซึ้งที่สุด
เมื่อ Bohm ถามถึงธรรมชาติของการรู้แจ้ง (insight) ว่าเป็นอะไร
Krishnamurti ตอบว่า:
• Insight ไม่ได้มาจากความคิด
• ไม่ได้เป็นประสบการณ์
• ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะวิธีการ
• และไม่ใช่ผลของความพยายาม
Insight คือ การระเบิดของความกระจ่าง (flash of clarity)
ที่ทำให้โครงสร้างของความคิดหยุดลงชั่วขณะ
ในขณะนั้น “ตัวฉัน” หายไป
และสิ่งที่เหลืออยู่คือความเงียบที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์
เขาใช้ถ้อยคำทำนองว่า:
“เมื่อจิตเงียบสนิท ปัญญาที่ไม่ใช่ของใครเกิดขึ้นเอง”
Bohm เห็นว่านี่สอดคล้องกับแนวคิด implicate order
คือระดับความจริงที่ลึกกว่า ซึ่งไม่แตกเป็นส่วน ๆ
และทุกสิ่งเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว
⸻
7. อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเกิดของจิตไร้ศูนย์กลาง
บทสนทนาปิดด้วยคำถามใหญ่ที่สุด:
“มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงร่วมกันได้หรือไม่?”
ไม่ใช่การปฏิวัติภายนอก
แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของจิตทั่วทั้งมนุษยชาติ
เพราะความแตกแยก ความรุนแรง และความกลัว
เป็นผลผลิตจากจิตเดียวกัน—ไม่ว่าจะในคนหนึ่งหรือคนทั้งโลก
Krishnamurti เชื่อว่า
ถ้าคนคนหนึ่งเห็นความจริงอย่างสิ้นเชิง
เขาจะเป็น “แสงสว่าง” ที่ส่งต่อได้โดยไม่มีคำสอน
เพราะการกระจายของปัญญาไม่ต้องอาศัยเวลา
แต่เกิดขึ้นเหมือนการสื่อสารในสนามเดียวกันของมนุษยชาติทั้งหมด
Bohm เห็นด้วยว่า
จิตมนุษย์มีโครงสร้างร่วมกันทางวัฒนธรรม–ภายใน
และการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในคนหนึ่งสามารถสะเทือนทั้งระบบได้
⸻
บทสรุปตอนที่ 2 : ความเงียบคือการปฏิวัติ
“The Future of Humanity” จึงไม่ใช่คำพยากรณ์
แต่เป็นแผนที่ภายในที่ชี้ให้เห็นว่า
ถ้าความคิดยังคงปกครองจิตมนุษย์
ประวัติศาสตร์จะทำซ้ำ
แต่ถ้าจิตเห็นธรรมชาติของความคิดอย่างทะลุปรุโปร่ง
อนาคตจะไม่เหมือนอดีตอีกต่อไป
เพราะในความเงียบที่ไร้ศูนย์กลาง
มีพลังแห่งความรัก ความกรุณา และปัญญาที่ไม่ใช่ของใคร
ซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษย์รูปแบบใหม่
#Siamstr #nostr #philosophy
Login to reply
Replies ()
No replies yet. Be the first to leave a comment!