Thread

image 🕶️เหตุใดอาจารย์มหาวิทยาลัยอินเดียจำนวนมาก ยอมรับว่า Osho “รู้มากกว่า” พวกเขา แม้ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ศึกษาด้วยตนเอง ปรากฏการณ์ของ Bhagwan Shree Rajneesh หรือ Osho ทำให้อาจารย์ด้านปรัชญา ศาสนา และจิตวิทยาในอินเดียจำนวนมาก “ช็อก” ตั้งแต่ยุค 1960s–1970s เพราะเขามีความรู้กว้างและลึกอย่างผิดปกติสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนปริญญาเอกแบบดั้งเดิม แต่กลับสามารถอภิปรายเรื่องพุทธปรัชญา เวทานตะ เต๋า เซน ไปจนถึง Freud, Nietzsche, Gurdjieff และ Heidegger ได้อย่างทะลุทะลวงเหมือนอ่านหนังสือมาทั้งห้องสมุด อาจารย์มหาวิทยาลัยอินเดียหลายคนพูดคล้ายกันว่า — “เขาไม่ใช่นักเรียนของเรา แต่กลับเป็นเหมือนครูของครูในยุคนี้” ประวัติหลายตอนระบุว่า เมื่อ Osho ไปบรรยายในงานสัมมนาที่มหาวิทยาลัย Jabalpur และ Sagar University อาจารย์ด้านปรัชญาเองถึงกับกล่าวว่า: “เราใช้เวลา 20–30 ปีเพื่อเข้าใจอุปนิษัท แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับอธิบายมันได้ลึกกว่าเราในเวลาไม่กี่นาที” อะไรทำให้ Osho เหนือกว่าผู้สอนในระบบมหาวิทยาลัย? ด้านล่างนี้คือคำอธิบายอย่างเป็นระบบและลึกที่สุด ────────────────────────── ๑. เขาอ่านมากกว่านักวิชาการทั้งคณะรวมกัน — และอ่านแบบทะลุโครงสร้างความคิด แม้ Osho จะไม่ได้เรียนปริญญาเอกด้านศาสนาหรือปรัชญา แต่เขาเป็นหนึ่งในนักอ่านที่หนักที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดียยุคใหม่ มีการบันทึกว่า เขาอ่านหนังสือมากกว่า 150,000 เล่ม ในตลอดชีวิตก่อนเริ่มสั่งสมสาวก Osho เคยกล่าวว่า — “หนังสือเป็นเหมือนเพื่อนร่วมเดินทางของฉันมาตั้งแต่เด็ก ฉันไม่ได้อ่านเพื่อจำ แต่เพื่อมองทะลุว่าคนเขียนกำลัง ‘เป็นอยู่’ แบบใด” อาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนมาก “อ่านเพื่อสอน” แต่ Osho “อ่านเพื่อเข้าไปในจิตของผู้เขียน” เขาไม่ได้อ่านเพื่อเชื่อหรือท่องจำ เขาอ่านเพื่อรื้อระบบความคิด—เพื่อทำความเข้าใจ “แก่น” ไม่ใช่ “ทฤษฎี” นักปรัชญาฮินดูคนหนึ่งของ BHU ถึงกับกล่าวว่า: “เขาอ่านเหมือนกำลังกลืนทั้งจักรวาลเข้าไป” ────────────────────────── ๒. เขามีสไตล์การคิดแบบ “นอกสถาบัน” ไม่ถูกตีกรอบด้วยหลักสูตร อาจารย์ส่วนใหญ่เรียนภายใต้ระบบสอบและตำรา แต่ Osho เป็นผลผลิตของความคิดแบบอิสระเต็มรูปแบบ เขาเคยวิจารณ์ระบบมหาวิทยาลัยว่า: “มหาวิทยาลัยผลิตผู้เชี่ยวชาญ แต่ไม่เคยผลิตมนุษย์ที่ตื่นรู้” ดังนั้น เวลาที่เขาบรรยายเรื่อง กามสูตระ เขาไม่ได้พูดเหมือนอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ศาสนา แต่พูดแบบ “นักปฏิบัติที่รู้ด้วยตนเองว่าพลังชีวิตทำงานอย่างไร” เวลาพูดเรื่อง อานาปานสติ เขาไม่ได้ตีความแบบนักพุทธศาสตร์ แต่ตีความแบบผู้ที่สัมผัสประสบการณ์สมาธิจริง นี่คือเหตุผลที่อาจารย์จำนวนมากรู้สึกว่าเขา “สูงกว่าโครงสร้างระบบการศึกษา” ────────────────────────── ๓. เขาไม่ใช่นักปรัชญาเชิงทฤษฎี แต่เป็น “ผู้มีประสบการณ์ภายใน” สิ่งที่อาจารย์อินเดียหลายคนยอมรับคือ Osho ไม่ได้แค่รู้ “ข้อมูล” แต่รู้ “สภาวะ” มีอาจารย์ด้านพุทธศาสนาที่ Pune กล่าวไว้ว่า: “สิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับสมาธิ ไม่ได้มาจากคัมภีร์ แต่มาจากความเงียบที่เขาสัมผัสจริง” ตัวอย่างชัดที่สุดคือเวลาที่เขาอธิบายพระสูตรเซนหรือพระสูตรมหายาน เช่น Diamond Sutra, Heart Sutra เขาอธิบายราวกับกำลังพูดจากประสบการณ์ตรงของความว่าง Osho เคยกล่าวว่า: “ฉันไม่ได้สอนคำสอนของพระพุทธเจ้า ฉันสอนสิ่งเดียวกับพระพุทธเจ้าสัมผัส — ความตื่นรู้” ดังนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียนพุทธศาสนาแบบวิชาการ จึงรู้ตัวทันทีว่า ระดับประสบการณ์ของ Osho ไม่ใช่สิ่งที่ตนเข้าถึงได้จากการอ่านตำรา ────────────────────────── ๔. ความสามารถ “เชื่อมโยงทุกศาสตร์เข้าด้วยกัน” ทำให้การบรรยายลึกกว่าบัณฑิตทั่วไป เวลาที่เขาพูดเรื่อง “จิต” เขาเชื่อมโยงได้ทั้ง: • พุทธศาสนา • เวทานตะ • กรีกโบราณ • คริสต์ศาสนา • Freud, Jung, Adler • Phenomenology • ฟิสิกส์ควอนตัมเบื้องต้น • Hermeneutics • กวีนิพนธ์เปอร์เซีย • เต๋าและเซน อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนมากทำได้เพียงเชี่ยวชาญหนึ่งสาขา แต่ Osho สามารถนำทุกสาขามาผูกเป็นภาพเดียวได้ อาจารย์คนหนึ่งใน Sagar University เคยกล่าวตอนประชุมวิชาการว่า: “เขาทำในสิ่งที่นักวิชาการทุกคนใฝ่ฝัน — คือทำให้ความรู้ทุกแขนงกลายเป็นบทสนทนาเดียวกัน” นั่นคือเหตุผลที่เขาดู “รู้ลึกกว่า” แม้ไม่ผ่านมหาวิทยาลัยระดับสูงเลย ────────────────────────── ๕. เขาพูดด้วยภาษาที่ไม่ใช่นักวิชาการ แต่เป็นภาษาที่ปลุกจิตให้ตื่น คำพูดของ Osho ไม่ได้เป็นถ้อยคำทางเทคนิค แต่เป็นการชี้ตรงไปที่ “ความจริงภายใน” ตัวอย่างเช่น เขาพูดถึง Nietzsche ว่า: “Nietzsche ตายเพราะไม่มีใครเข้าใจเขา ความเดียวดายกินเขาจนขาดอากาศหายใจทางจิตใจ” หรือพูดถึงพระพุทธเจ้าว่า: “เมื่อพระพุทธเจ้าเงียบ — ความจริงกำลังพูดอยู่เอง” ภาษาของเขามีพลังในเชิง existential มากกว่าภาษาวิชาการ จึงทำให้อาจารย์ที่เข้าใจเฉพาะเชิงทฤษฎีรู้สึกว่า เขาเข้าใจมนุษย์ในระดับที่ตำราเรียนไม่อาจให้ได้ ────────────────────────── ๖. เขาเป็น “นักโต้แย้งเชิงเหตุผล” ที่เหนือกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่วัยเด็ก เขามีชื่อเสียงเรื่องการโต้แย้งอย่างเฉียบคม ตอนอายุ 17–18 เขาถูกส่งออกจากโรงเรียนหลายครั้งเพราะถามคำถามที่ครูลำบากใจตอบ เช่น: “ถ้าพระเจ้าสร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้า?” หรือใน debate ระดับมหาวิทยาลัย เขาเคยพูดกับอาจารย์ศาสนาคนหนึ่งว่า: “คุณเชื่อคัมภีร์ เพราะคุณกลัวจะหลงทาง แต่คนที่ตื่นรู้ ไม่กลัวแม้กระทั่งจะไม่มีทางเดิน” อาจารย์หลายคนจึงยอมรับว่าเขาเป็น นักเหตุผลนิยมเชิงวิญญาณที่ลึกเกินกว่าขอบเขตการศึกษาแบบดั้งเดิม ────────────────────────── ๗. เขาเป็นกรณีตัวอย่างของ “มหาวิทยาลัยธรรมชาติ” (University of Life) Osho กล่าวไว้ว่า: “ฉันไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยมากนัก แต่ฉันเรียนในชีวิตมากกว่าคนทำปริญญาเอกสิบคนรวมกัน” ประวัติเล่าว่า ในวัยเด็กเขาใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ เพียงเพื่อสังเกตลมหายใจ ปรากฏการณ์ในร่างกาย ความคิดเกิดดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาการไม่ทำ เขาฝึกวิปัสสนาโดยไร้ครู เรียนรู้ตัวตนจากประสบการณ์ตรง เข้าใจความกลัว ความโกรธ ความตาย ผ่านการทดลองทางจิตใจด้วยตนเอง จึงไม่แปลกที่อาจารย์มหาวิทยาลัยจะยอมรับว่าเขา “รู้จักมนุษย์มากกว่าผู้เรียนทฤษฎีมนุษย์” ────────────────────────── สรุป: ทำไมอาจารย์อินเดียจึงยอมรับว่า Osho “รู้มากกว่า” พวกเขา เพราะเขามี ๔ สิ่งที่นักวิชาการทั่วไปไม่มีร่วมกัน: 1. ความรู้ปริมาณมหาศาล จากการอ่านตลอดชีวิต 2. การคิดอย่างอิสระ ไม่ติดกรอบสถาบัน 3. ประสบการณ์ภายในจริง ที่ลึกกว่าความรู้ทฤษฎี 4. พลังสื่อสารที่แตะหัวใจมนุษย์โดยตรง นี่จึงทำให้ Osho ไม่ใช่เพียงนักปรัชญา แต่เป็นผู้ที่ “อยู่สูงกว่า” รูปแบบการศึกษาแบบเดิม อาจารย์จำนวนมากจึงพูดคล้ายกันว่า — “เขาคือคนที่ไม่ได้เรียน แต่กลับเป็นครูของคนที่เรียนสูงสุด” #Siamstr #nostr #philosophy

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!