Thread

image 🌘บทความ : เงามืดของวิทยาศาสตร์—ยาพิษ สงคราม และมนุษย์ จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้เคยสั่นสะเทือนยุโรปด้วยกองทัพของเขา ได้สิ้นพระชนม์อย่างเงียบงันท่ามกลางสายลมเย็นของเซนต์เฮเลนา ร่างกายของเขาในบั้นปลายไม่เหลือเค้าของผู้พิชิตทวีปอีกต่อไป—ผิวหนังซีดเซียวเป็นสีเทาหม่นเหมือนศพ ดวงตาที่เคยลุกวาบด้วยเจตจำนงอันรุนแรงกลับกลายเป็นหลุมลึกไร้แวว เคราที่ขึ้นรกเป็นหย่อม ๆ เปรอะเปื้อนอาเจียน กล้ามเนื้อแขนขาที่เคยขับเคลื่อนเขาไปทุกสมรภูมิหดลีบ ส่วนขานั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเล็ก ๆ คล้ายบาดแผลในอดีตพร้อมใจกันกลับมาทวงความทรงจำเดิมอย่างไร้ปรานี แต่จักรพรรดิไม่ใช่ผู้เดียวที่ทรมานบนเกาะเนรเทศแห่งนี้ ผู้รับใช้ที่ติดค้างอยู่กับเขาที่ลองวูดเฮาส์ก็บันทึกอาการอันคล้ายคลึงกันไว้มากมาย—ท้องเสียเรื้อรัง ปวดท้องแหลมคม แขนขาบวมอย่างน่ากลัว และความกระหายน้ำที่ไม่มีของเหลวใดคลายลงได้ หลายคนล้มตายไปแบบเดียวกับนายของตน ทว่าแม้สภาพเช่นนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งการแย่งชิงสิ่งของส่วนพระองค์หลังสิ้นพระชนม์ได้ แม้กระทั่งผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือด อาเจียน และปัสสาวะ—ซึ่งภายหลังพบว่าเจือปนสารหนูที่ค่อย ๆ สะสมในเนื้อเยื่อของเขาอย่างยาวนาน สารหนูคือยาพิษของนักฆ่าผู้ใจเย็น—มันแทรกซึมในเนื้อเยื่อทีละเล็กน้อย อยู่ได้นานนับปีและไม่มีใครทันระแวงตรงเวลา แต่ถ้าสารหนูคือผู้ซ่อนตัว ไซยาไนด์ก็คือผู้จู่โจมอย่างฉับพลัน ไซยาไนด์ทำให้ร่างกายหยุดหายใจในเสี้ยววินาที มันเร่งหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นอย่างรุนแรงก่อนจะตัดลมหายใจไปทั้งหมด แพทย์ภาษาอังกฤษเรียกช่วงสุดท้ายนั้นว่า audible gasp—เสียงเฮือกสุดท้ายที่ดังพอให้ได้ยิน ก่อนการทำงานของระบบเลือดและหัวใจจะล่มสลายอย่างสิ้นเชิง ความรวดเร็วเช่นนี้ทำให้ไซยาไนด์เป็นที่โปรดปรานของนักลอบสังหารในทุกยุคสมัย ดังเช่นการพยายามสังหารกริกอรี รัสปูติน นักบวชผู้ลึกลับแห่งราชสำนักรัสเซีย ศัตรูของเขาวางยาพิษไซยาไนด์อย่างหนักในเปอติฟู—ขนมชิ้นเล็กพอดีคำ—หวังปลดปล่อยซารีนี อเล็กซานดรา จากมนตร์สะกดของเขา แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่ารัสปูตินไม่เป็นอะไรเลย พวกเขาจึงต้องยิงเขาสามนัดที่หน้าอก หนึ่งนัดที่ศีรษะ มัดด้วยโซ่เหล็ก แล้วโยนลงแม่น้ำเนวาที่เย็นจัด การวางยาอันล้มเหลวกลับยิ่งเสริมสร้างชื่อเสียงเหนือมนุษย์ของเขา จนซารีนีและพระธิดาทั้งสี่ให้คนสนิทไปกู้ร่างขึ้นมาและตั้งแท่นบูชาให้กลางป่า—ก่อนเจ้าหน้าที่รัฐจะตัดสินใจเผาร่างนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ฟื้นกลับอีก แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 20 ไซยาไนด์ก็ยังไม่หมดเสน่ห์แห่งความตาย อลัน ทัวริง อัจฉริยะคณิตศาสตร์และบิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์—ผู้ช่วยปลดล็อกรหัสสื่อสารของนาซี—ต้องเผชิญโทษทางกฎหมายเพราะเป็นรักเพศเดียวกัน รัฐบาลอังกฤษบังคับให้เขารับฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างเจ็บปวดและไม่อาจควบคุมได้ ท้ายที่สุด เขาจบชีวิตลงด้วยแอปเปิลที่ฉีดไซยาไนด์—บางคนว่าทำเพื่อเลียนแบบฉากในหนังเรื่องโปรด Snow White แต่ข้อเท็จจริงกลับสับสนยุ่งเหยิง แอปเปิลไม่เคยถูกเก็บไปตรวจ พบหลอดไซยาไนด์ในห้องทดลอง อีกทั้งโน้ตบนโต๊ะก็มีเพียง “รายการของที่จะซื้อพรุ่งนี้” บางคนจึงเชื่อว่าเขาจัดฉากทั้งหมดเพื่อไม่ให้มารดาต้องทุกข์กับความจริงว่าเขาฆ่าตัวตาย—มุมมองบางอย่างของคนที่คำนวณชีวิตได้แม่นยำกว่าใครบนโลกใบนี้ ชีวิตของทัวริงเต็มไปด้วยความประหลาดน่าทึ่งไม่แพ้งานของเขาเอง เขาล็อกแก้วน้ำใบโปรดไว้กับหม้อน้ำเพื่อกันเพื่อนร่วมงาน เขาฝังแท่งเงินมหึมาในป่าโดยวาดแผนที่เข้ารหัส…แต่ภายหลังหาไม่เจอแม้ใช้เครื่องตรวจโลหะ เขาผลิตผงซักฟอก ยาฆ่าแมลงรุนแรงจนสวนของเพื่อนบ้านตายเกลี้ยง เขาขี่จักรยานโซ่หลวมโดยคำนวณจังหวะ “กระโดดลงก่อนโซ่หลุด” แทนการซ่อม และเมื่อแพ้ละอองเกสร เขาสวมหน้ากากกันแก๊สเดินไปทำงาน ทำให้ผู้คนแตกตื่นคิดว่าอังกฤษถูกโจมตี ความหวาดกลัวเรื่องแก๊สพิษไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล เนื่องจากระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 แก๊สคลอรีนได้แสดงความสยดสยองแบบใหม่เป็นครั้งแรกที่เมืองอีแปรในเบลเยียม—มวลเมฆสีเขียวขุ่นสูงสองเท่าคน ค่อย ๆ คืบคลานเข้าหากองทหารฝรั่งเศส ระหว่างที่ใบไม้หล่นร่วงและนกตายร่วงลงมากลางฟ้า กลิ่นสับปะรดคละคลุ้งผสมน้ำยาฟอกขาว ชายหลายร้อยทรุดตัวลงในสนามเพลาะ สำลักเสมหะสีเหลืองด้วยปอดที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดไฮโดรคลอริก ผู้ที่ออกแบบการโจมตีครั้งนั้นคือ ฟริทซ์ ฮาเบอร์ นักเคมีอัจฉริยะชาวยิว—ชายผู้สร้างนวัตกรรมที่เลี้ยงประชากรโลกด้วยกระบวนการผลิตแอมโมเนีย แต่ก็คือคนเดียวกับที่นำวิทยาศาสตร์ไปสร้างอาวุธทำลายล้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลังชัยชนะ ฮาเบอร์ได้รับตำแหน่งสำคัญและร่วมโต๊ะอาหารค่ำกับไกเซอร์ แต่เมื่อกลับบ้าน เขาต้องพบกับภรรยา คลารา อิมเมอร์วาห์—นักเคมีสตรีคนแรกที่ได้ปริญญาเอกจากเยอรมนี—ซึ่งกล่าวหาว่าเขาบิดเบือนวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ฆ่ามนุษย์จำนวนมหาศาล เธอไม่เพียงเห็นสัตว์ทดลองทรมาน แต่ยังเห็นผู้ช่วยของสามีตายต่อหน้าต่อตาเมื่อแก๊สทดลองพัดผ่านเพราะลมเปลี่ยนทิศกะทันหัน แต่สำหรับฮาเบอร์—สงครามคือสงคราม การตายคือการตาย จะด้วยดาบหรือพิษก็เท่ากัน เขาจัดงานสังสรรค์ฉลองชัยต่อเนื่องสองคืนเต็ม และจบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด… ⸻ บทความ (ต่อ) : โศกนาฏกรรมคลารา—ราคาที่ต้องจ่ายของวิทยาศาสตร์ รุ่งเช้าหลังงานสังสรรค์อันยืดยาวที่ฮาเบอร์จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง “ความสำเร็จ” ในสนามรบที่อีแปร บ้านหลังใหญ่ของเขาในเบอร์ลินยังอวลไปด้วยกลิ่นเหล้า ซิการ์ และความอิ่มเอมของผองเพื่อนนักวิทยาศาสตร์และนายทหารที่เพิ่งร่ำลาครั้งสุดท้ายในยามฟ้าสาง แต่ที่สนามหญ้าหลังบ้าน—ในจุดที่ต้นไม้ยังอาบด้วยหมอกเช้า—กลับมีร่างหญิงคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ คลารา อิมเมอร์วาห์ ภรรยาของฟริทซ์ ฮาเบอร์ และนักเคมีสตรีคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเยอรมนี ได้จบชีวิตของเธอด้วยปืนพกของสามีในสวนเงียบด้านหลังบ้าน กระสุนเพียงนัดเดียวเจาะผ่านหน้าอกเธอ—รุนแรงเท่าแรงของบันทึกประวัติศาสตร์ที่ต่อมาจะกล่าวว่าหัวใจของเธอแตกสลายยิ่งกว่าร่างกาย สิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าความตาย คือเวลาที่มันเกิดขึ้น คลารายิงตัวตายไม่นานก่อนรุ่งเช้า ท่ามกลางคืนที่สว่างด้วยเสียงดนตรีจากงานฉลองของคนที่เธอรัก ในคืนที่สามีของเธอได้รับการยกย่องจากรัฐเยอรมันว่าเป็น “อัจฉริยะผู้เปิดศักราชใหม่ของสงคราม” แต่ความคิดของคลาราไม่เคยเห็นด้วยกับชัยชนะนั้น เธอรู้ดีว่าเบื้องหลังของมันคือปฏิกิริยาเคมีไม่กี่ขั้น และชีวิตมนุษย์หลายพันที่ถูกทำให้สำลักจนผิวหนังกลายเป็นสีเขียวและเนื้อปอดละลายภายในไม่กี่นาที คืนก่อนที่เธอจะตาย คลาราพูดกับเพื่อนสนิทเพียงสั้น ๆ ว่า… “ฉันไม่อาจอยู่ในโลกที่วิทยาศาสตร์ถูกใช้เพื่อฆ่า แทนที่จะรักษาได้อีกต่อไป” แม้คำพูดนั้นจะไม่มีใครบันทึกไว้จริงจัง แต่ผู้คนที่ใกล้ชิดเธอยืนยันว่านั่นคือความจริงในหัวใจของเธอ —ความจริงที่หนักเกินกว่าจะรับ ⸻ ฮาเบอร์ในเช้าวันที่ไม่ควรลืม—และไม่เคยพูดถึง เมื่อฮาเบอร์พบศพภรรยา เขารายงานเพียงอย่างชัดถ้อยว่า “คลารายิงตัวเองด้วยปืนพกของผม” แล้วเขาก็ออกเดินทางไปแนวรบทันทีในวันรุ่งขึ้นตามคำสั่งกระทรวงสงคราม กลิ่นเขม่าจากงานเลี้ยงยังคงอยู่บนเสื้อผ้า เหมือนร่องรอยชัยชนะที่ยังไม่ทันลบเลือน ไม่ปรากฏหลักฐานว่าฮาเบอร์ได้สั่งเลื่อนงาน ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเขาได้ร่วมพิธีศพ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเขาได้หลั่งน้ำตาสักหยด โลกจดจำเขาในฐานะผู้ได้รับรางวัลโนเบลเคมี ผู้ทำให้โลกผลิตแอมโมเนียและอาหารได้มหาศาล แต่ก็จดจำในฐานะ “บิดาแห่งสงครามเคมี” ผู้ที่ความสำเร็จทางสติปัญญานำไปสู่ความตายของนับหมื่น รวมถึง—บางคนกล่าว—ภรรยาของเขาเองทางอ้อม ⸻ ความย้อนแย้งของมนุษย์ผู้สร้าง และทำลายไปพร้อมกัน เรื่องราวของฟริทซ์ ฮาเบอร์ชี้ให้เห็นความย้อนแย้งอันเจ็บปวดของมนุษยชาติ ในคนหนึ่งคนสามารถรวมไว้ทั้ง • พรสวรรค์ล้ำยุค ที่ช่วยโลกไม่ให้ขาดแคลนอาหาร • และ ความโหดร้ายแบบใหม่ ที่เปลี่ยนวิทยาศาสตร์ให้เป็นอาวุธ เด็ก ๆ หลายล้านคนที่รอดชีวิตเพราะปุ๋ยไนโตรเจน ก็เป็นเงาเดียวกับทหารนับพันที่ตายในสนามเพลาะอีแปร จากแก๊สพิษเดียวกันกับที่เขาพัฒนาด้วยหลักเคมีเดียวกัน วิทยาศาสตร์ของเขาคือทั้งชีวิต และความตาย คือทั้งโลกที่ถูกเลี้ยง และโลกที่ถูกทำลาย และรอยแยกระหว่างสองขั้วนั้น—บางที—ได้เริ่มต้นขึ้นในคืนที่คลารานอนสิ้นใจในสวนหลังบ้าน ⸻ เมื่อเหตุผลกลายเป็นอาวุธ นิยามของความก้าวหน้ามักถูกห่อหุ้มด้วยคำว่า “เพื่อมนุษยชาติ” แต่ประวัติศาสตร์ย้ำอยู่เสมอว่า มนุษย์สามารถสร้างความพินาศได้มากที่สุดเมื่อเชื่อว่าตนเองถูกต้องที่สุด ฟริทซ์ ฮาเบอร์ เชื่อว่าสงครามคือวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์คือความจริง ดังนั้นสงครามจึงไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรม มีเพียง “ประสิทธิภาพ” เท่านั้นที่สำคัญ ส่วนคลารา… เธอเชื่อว่าวิทยาศาสตร์คือชีวิต คือความรับผิดชอบ คือความเมตตาที่ต้องเท่าทันกับความรู้ หนึ่งสมองอัจฉริยะ จึงถูกแบ่งออกเป็นสองหัวใจที่ไม่อาจสบกันได้อีก ⸻ ฟ้าเช้านั้นบนกรุงเบอร์ลินมีสีเทาเข้ม เหมือนจะร่วมไว้ทุกข์ แต่บางทีอาจเป็นเพียงหมอกธรรมดา ลอยผ่านบ้านของชายคนหนึ่งที่กำลังเตรียมกลับไปรบ ทั้งที่ศพภรรยายังอบอุ่นอยู่ใต้พื้นดิน และมนุษย์ยุคต่อมาก็ยังไม่แน่ใจว่า ในเช้าวันนั้น—ระหว่างชัยชนะและความตาย— อะไรคือสิ่งที่ฮาเบอร์เลือกจะจดจำ และอะไรคือสิ่งที่เขาเลือกจะลืม ⸻ บทความ (ต่อ) : เถ้าถ่านของยุคสมัย—จากแอมโมเนียสู่ Zyklon B หลังความตายของคลารา ฟริทซ์ ฮาเบอร์ยังคงเดินหน้ากับภารกิจที่เขาเชื่อว่าเป็นหน้าที่ต่อชาติ แม้หัวใจของเขาจะถูกทิ้งไว้ในสวนหลังบ้านเบอร์ลินก็ตาม เขาเดินทางกลับแนวรบ ออกแบบแก๊สพิษรุ่นใหม่ เข้มข้นขึ้น แม่นยำขึ้น และทำลายล้างได้มากขึ้น แผนที่เคมีในหัวของเขาซับซ้อนราวกับจักรวาลย่อส่วน—เส้นสมการที่ถักทอขึ้นจากเหตุผลล้วน ๆ ไม่มีพื้นที่ให้ความลังเลหรือความเมตตาแทรกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ฮาเบอร์เองก็เคยพูดกับเพื่อนร่วมงานว่า “ในสงคราม มีเพียงผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่สำคัญ ส่วนศีลธรรม…เป็นสิ่งที่จะคุยกันหลังสงครามจบ” แต่โลกภายนอกกำลังเดินทางไปสู่ยุคที่ไม่เคยมีใครคาดคิด และผลงานของเขากำลังจะกลายเป็นมรดกที่เกินกว่ามือมนุษย์จะควบคุม ⸻ อาวุธพันธุกรรมแบบไม่ตั้งใจ—มรดกของแอมโมเนีย สิ่งที่ย้อนแย้งและโหดร้ายที่สุดคือ กระบวนการฮาเบอร์–บอช (Haber–Bosch Process) ซึ่งสร้างแอมโมเนียจากอากาศ—ค้นพบโดยฮาเบอร์และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล—ได้ช่วยเลี้ยงผู้คนหลายพันล้านชีวิตทั่วโลกผ่านปุ๋ยไนโตรเจน นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์เคยกล่าวว่า “ครึ่งหนึ่งของไนโตรเจนในร่างกายมนุษย์ทุกคนบนโลกนั้น มาจากกระบวนการของฮาเบอร์” มันคือการปฏิวัติทางเกษตรกรรม คือขุมพลังที่ขยายอายุขัยมนุษย์ คือสิ่งที่ช่วยเลี้ยงโลกในวันที่ผู้คนจำนวนมากอาจอดตาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ไนโตรเจนเดียวกันนั้นคือวัตถุดิบผลิตดินระเบิด คือไส้ในของกระสุน และเป็นพลังขับเคลื่อนวิถีแห่งสงครามสมัยใหม่ มนุษย์กินข้าวจากมือเดียวกับที่ให้ปืนแก่เขา —และทั้งสองมือเป็นของฟริทซ์ ฮาเบอร์ ⸻ Zyklon A… ก่อนจะกลายเป็น Zyklon B ในปีต่อ ๆ มา การพัฒนาเคมีอุตสาหกรรมของเยอรมนีเริ่มถลำลึกไปในทิศทางอันมืดมนยิ่งขึ้น บริษัทที่ฮาเบอร์มีส่วนเกี่ยวข้อง—IG Farben—พัฒนา สารดูดซับกลิ่นเพื่อฆ่าแมลงในไซโลเก็บพืชผล ชื่อว่า Zyklon A ตอนแรก มันเป็นเพียงเม็ดสารเคมีที่ปล่อยไฮโดรไซยาไนด์ออกมาช้า ๆ จุดประสงค์เพื่อฆ่าแมลงและศัตรูพืช ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าในไม่กี่ปี มันจะถูกปรับสูตรใหม่เป็น Zyklon B กลายเป็นเครื่องมือสังหารมนุษย์ในห้องรมแก๊สของค่ายเอาชวิทซ์และค่ายอื่น ๆ ทั่วยุโรป ฮาเบอร์เสียชีวิตในปี 1934 ก่อนที่ Zyklon B จะถูกใช้กับมนุษย์ เขาไม่เคยเห็นด้านมืดที่สุดของมรดกตนเอง แต่ต้นกำเนิดของมัน—คือขั้วเดียวกับที่เขาปลูกไว้ด้วยมือของเขาเอง บางนักประวัติศาสตร์ตั้งคำถามว่า หากคลารายังมีชีวิตอยู่ เธอจะหยุดเขาจากหายนะนี้ได้หรือไม่ หรือความพยายามของเธอจะเป็นเพียงหยดน้ำในทะเลเคมีที่กำลังปั่นป่วน ⸻ อัจฉริยะที่ถูกประวัติศาสตร์ลงโทษ ในช่วงปลายชีวิต ฮาเบอร์ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งโดยรัฐบาลนาซี แม้เขาจะเป็นผู้รักชาติที่ช่วยเยอรมนีชนะหลายสมรภูมิ แต่กฎหมายใหม่ “ห้ามชาวยิวดำรงตำแหน่งรัฐ” ไม่สนใจผลงานของเขาเลย เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างอาวุธของเยอรมนี —แต่ก็เป็นชาวยิวผู้ถูกเยอรมนีผลักไส ความขัดแย้งภายในของเขากลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง ในคราวนี้ด้วยน้ำมือของประเทศที่เขาทุ่มเททั้งชีวิตให้ ฮาเบอร์ตายระหว่างการเดินทางออกจากยุโรป หัวใจของเขาอ่อนแรงเกินกว่ารับน้ำหนักของโลกที่เขาเองได้มีส่วนปั้นแต่งขึ้น ⸻ บทสรุป : วิทยาศาสตร์ที่ไร้ความกรุณา คือดาบสองคมที่หั่นโลกด้วยมือมนุษย์ เรื่องราวของฟริทซ์ ฮาเบอร์ คือคำเตือนที่ชัดเจนที่สุดว่า ความรู้ไม่เคยเป็นกลาง มันสามารถปลูกข้าวให้เรา—หรือฆ่าเราได้ในรูปแบบที่เราไม่เคยคาดคิด เขาคือผู้ประดิษฐ์ ทั้งปุ๋ยที่ช่วยให้โลกอิ่ม และแก๊สพิษที่ทำให้โลกหวาดผวา เขาคือผู้ได้รับรางวัลโนเบล และผู้ถูกจดจำในฐานะบิดาแห่งสงครามเคมี เขาคือคนที่ภรรยาคัดค้านเขา จนเธอเลือกตายด้วยมือของเขาเอง และคือคนที่ในท้ายที่สุด ถูกประเทศของตัวเองทอดทิ้งเพราะสายเลือดที่เขาไม่เลือกได้ อัจฉริยะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ แต่ก็สามารถสร้างหายนะได้พอ ๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาเลือกยืนบนพื้นดินใด— บนผืนดินของชีวิต หรือบนผืนดินของความตาย #Siamstr #nostr #philosophy

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!