## โครงการ MKUltra, ทฤษฎีสมคบคิด และผลกระทบต่อสังคมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โครงการ MKUltra ของหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ถือเป็นบทมืดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์อย่างผิดกฎหมายและการแสวงหาเทคนิคการควบคุมจิตใจ ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ [1, 2] ### โครงการ MKUltra: ต้นกำเนิด วิธีการ และการมีส่วนร่วมของสถาบันต่างๆ โครงการ MKUltra ดำเนินการโดย CIA ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1973 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนากลวิธีและระบุยาสำหรับการควบคุมจิตใจ การรวบรวมข้อมูล และการทรมานทางจิตวิทยา [1, 2] โครงการนี้เกิดขึ้นจากความกังวลในช่วงสงครามเย็นว่าโซเวียต จีน และเกาหลีเหนือ อาจใช้เทคนิคการควบคุมจิตใจกับเชลยศึกชาวอเมริกัน [2] เป้าหมายคือการหา "เซรุ่มแห่งความจริง" และสร้างบุคคลแบบ "แมนจูเรียน แคนดิเดต" ที่สามารถถูกควบคุมให้กระทำการโดยไม่สมัครใจ [2] วิธีการที่ใช้มีความหลากหลายและมักจะรุนแรง โดยรวมถึง: * การให้ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปริมาณสูงโดยไม่ได้รับความยินยอม เช่น **LSD, MDMA, เมสคาลีน, เฮโรอีน, บาร์บิทูเรต, เมทแอมเฟตามีน, ไซโลไซบิน, มอร์ฟีน และคูเรเร** [2-4] * การใช้ไฟฟ้าช็อต, การสะกดจิต, การจำกัดการรับรู้, การแยกตัว และการล่วงละเมิดทางวาจาและทางเพศ [2] การดำเนินงานของ MKUltra มีการละเมิดจริยธรรมและกฎหมายอย่างร้ายแรง รวมถึงการใช้พลเมืองสหรัฐฯ และแคนาดาเป็นเหยื่อโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งเป็นการละเมิดหลักจริยธรรมสากล **ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก** [2, 5, 6] ความลับสุดยอดของโครงการนี้ถูกปกปิดโดยผู้อำนวยการ CIA ริชาร์ด เฮล์มส์ ซึ่งสั่งทำลายบันทึกส่วนใหญ่ในปี 1973 ทำให้การสอบสวนของรัฐสภาในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก [5-8] **สถาบันที่เกี่ยวข้อง**มีอย่างกว้างขวางถึงกว่า 80 แห่ง นอกเหนือจากหน่วยงานทางทหาร ได้แก่: * **บริษัทยา:** **Eli Lilly & Company** ถูกระบุว่าเป็นผู้จัดหายา LSD หลักให้แก่ CIA [9] นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาอื่นๆ อีกหลากหลาย แต่ชื่อบริษัทอื่นๆ ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน เนื่องจากการทำลายบันทึกและความลับของโครงการ [10, 11] * **สถาบันการศึกษา:** มหาวิทยาลัยหลายแห่งถูกใช้เป็นฉากบังหน้าสำหรับการทดลอง รวมถึง **McGill University (Allan Memorial Institute)** ที่ ดร. โดนัลด์ อีเวน คาเมรอน ดำเนินการทดลอง "psychic driving" และ "depatterning" ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง [12, 13] **Stanford University** และ **Columbia University** ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก CIA เพื่อศึกษาผลกระทบของ LSD [14, 15] **มหาวิทยาลัยแมริแลนด์** ได้ทำการทดลองฝังขั้วไฟฟ้าในสมองสุนัข โดยมีเป้าหมายจะขยายผลไปสู่มนุษย์ [15] * **สถานพยาบาล:** โรงพยาบาลและ "เซฟเฮาส์" ลับถูกใช้เป็นสถานที่ทดลอง [16] **Georgetown University Hospital** ถูกใช้เป็น "cut-out" เพื่อปกปิดการมีส่วนร่วมโดยตรงของ CIA [17] **"เซฟเฮาส์" ของ CIA ในปฏิบัติการ Midnight Climax** ในซานฟรานซิสโกและนิวยอร์กซิตี้ ใช้โสเภณีล่อลวงลูกค้ามาให้ยา LSD และสารอื่นๆ โดยไม่ได้รับความยินยอม และเฝ้าติดตามพฤติกรรม [18] นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ อีกกว่า 130 แห่งทั่วสหรัฐฯ ที่มีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น เด็กชายที่มีความบกพร่องทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช [19] * **เรือนจำ:** เรือนจำถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้ผู้ต้องขังที่เปราะบาง เช่น **Atlanta Penitentiary** ซึ่งนักโทษได้รับยา LSD-25 ในปริมาณมาก [20, 21] การใช้ผู้ต้องขังในการวิจัยคล้ายคลึงกับการทดลองของนาซีในค่ายกักกัน และหน่วย 731 ของญี่ปุ่น [22] * **หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ:** โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ **U.S. Army Chemical Corps, U.S. Army Biological Warfare Laboratories** และ **Federal Bureau of Narcotics** [23-25] MKUltra ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรุ่นก่อนหน้า เช่น **Project CHATTER, Project Bluebird และ Project Artichoke** ซึ่งมุ่งเน้นเทคนิคการซักถามและการควบคุมจิตใจ [25] ### "ทฤษฎีสมคบคิด" และผลกระทบต่อสังคมในอดีต คำว่า **"ทฤษฎีสมคบคิด" (Conspiracy Theory)** ถูกสร้างขึ้นโดย CIA เพื่อ **ปิดกั้นขบวนการแสวงหาความจริง** (Truth Movement) และ **ปิดปากการถกเถียงสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา** [26, 27] การประทับตรานี้ถูกใช้มานานหลายทศวรรษเพื่อขัดขวางผู้แสวงหาความจริง และทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์ถูกมองข้ามและเย้ยหยัน [27] ในอดีต การที่สื่อกระแสหลัก (MSM) เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดปลอมจำนวนมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้นำชาวอเมริกันให้เข้าใจผิด [28] เช่น รายงานทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 และการลอบสังหาร JFK ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา [28, 29] ตัวอย่างการลอบสังหาร JFK ซึ่งหน่วยงานต่างๆ เช่น CIA, FBI, Secret Service, ตำรวจ และสำนักงานชันสูตรศพ อาจเกี่ยวข้องกับการปกปิดความไร้ประสิทธิภาพหรือการสมรู้ร่วมคิดขนาดใหญ่ [30] แคธี่ โอไบรอัน ผู้เปิดโปงโครงการ MKUltra กล่าวว่าเธอถูกทรมานและควบคุมจิตใจตั้งแต่เด็กภายใต้โครงการนี้ [31] การเป็นพยานของเธอในปี 1995 ถูก **เซ็นเซอร์ภายใต้ "ความมั่นคงของชาติ"** (National Security) เนื่องจากข้อมูลของเธอถูกตรวจสอบและยืนยันแล้ว [32] เธอเน้นย้ำว่า **ความรู้คือการป้องกันการควบคุมจิตใจ** และเหตุผลที่พวกเขาเรียกใช้ความมั่นคงของชาติก็คือไม่ต้องการให้ประชาชนมีข้อมูล [33] เธอเชื่อมโยงสูตรการควบคุมจิตใจที่เข้ามาในสหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่าน **"โครงการ Paperclip"** ซึ่งนำนักวิทยาศาสตร์นาซีมาพร้อมกับงานวิจัยของฮิตเลอร์-ฮิมม์เลอร์เกี่ยวกับการควบคุมจิตใจโดยอาศัยบาดแผล (trauma-based mind control) [34, 35] ผลกระทบในอดีตคือ **การกัดกร่อนความไว้วางใจของสาธารณะ** ในสถาบันภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานข่าวกรอง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ [6, 15] การละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน MKUltra และการปกปิดข้อมูลในโครงการ Paperclip (ซึ่งมีการ "ล้างประวัติ" นักวิทยาศาสตร์นาซี) ได้สร้าง **รากฐานทางจริยธรรมที่เป็นปัญหา** สำหรับการปฏิบัติการข่าวกรองในอนาคต [36-38] โอไบรอันยังได้เปิดเผยว่านักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น **เจอรัลด์ ฟอร์ด, ปิแอร์ ทรูโด, โรเบิร์ต ซี. เบิร์ด, ดิ๊ก เชนีย์, โรนัลด์ เรแกน และมาเดลีน อัลไบรท์** มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เธอในเรื่องเพศ และกิจกรรมการค้ามนุษย์ เพื่อควบคุมและปั่นป่วนระบบการเมือง [39-47] เธอยังกล่าวถึงความพยายามของบุคคลอย่าง **บิล เบนเน็ตต์** เลขาธิการการศึกษาของเรแกน ในการนำเสนอ **"โครงการการศึกษาระดับโลก" (global education program)** ที่อิงจากแนวคิดการปลูกฝังอุดมการณ์เยาวชนของฮิตเลอร์ โดยถอดการเขียนด้วยมือออกจากการเรียนการสอน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปิดกั้นการคิดเชิงวิพากษ์ [48, 49] ### ผลกระทบต่อสังคมในปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน ความสงสัยในข้อมูลอย่างเป็นทางการยังคงมีอยู่ [6, 15] อย่างไรก็ตาม **การแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต** ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า "นักทฤษฎีสมคบคิด" หรือ "ผู้ยึดมั่นในความเป็นจริงของการสมคบคิด" (conspiracy realists) สามารถทำงานร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การท้าทายเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการ [29] แคธี่ โอไบรอัน เชื่อว่า **การควบคุมจิตใจยังคงถูกใช้เพื่อนำไปสู่วาระ "สังคมทาสนิยมโลกาภิวัตน์" (globalist slave society agenda)** ที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ [33, 34] เธอเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เช่น **การระบาดของ COVID-19 เป็น "การควบคุมจิตใจที่ถูกอำพรางเป็นไวรัส"** ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมประชากรโลก และเชื่อมโยงกับการลดจำนวนประชากรและการเคลื่อนไหวของกลุ่มข้ามเพศเพื่อหยุดการสืบพันธุ์ของมนุษย์ [50-52] การควบคุมโดยการแบล็กเมล์ยังคงเป็นกลไกสำคัญ ดังที่เห็นได้จากกรณีของ **เจฟฟรีย์ เอปสไตน์** ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้การควบคุมของรัฐบาลพังทลาย [40, 53] นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงการที่ **อาหารของเราถูกดัดแปลงพันธุกรรมและปนเปื้อนด้วยฟลูออไรด์ในน้ำดื่ม** ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สูตรทางวิทยาศาสตร์สำหรับการควบคุมจิตใจแบบ MKUltra" เพื่อ "ทำให้สมองอดอยาก" และหยุดความสามารถในการคิดอย่างถูกต้อง [54] ในที่สุด โอไบรอันมองว่าการควบคุมจิตใจเป็น **"สงครามทางจิตวิญญาณ"** (spiritual warfare) ที่พยายามจะทำลายความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี และการแสดงออกของจิตวิญญาณ เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง [54, 55] ### ผลกระทบต่อสังคมในอนาคต สำหรับอนาคต แคธี่ โอไบรอันเน้นย้ำว่า **การรับรู้ของสาธารณะและการกระทำของแต่ละบุคคลเป็นกุญแจสำคัญ** ในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและทวงคืนอำนาจจากผู้กระทำผิด [32, 55-58] การทำความเข้าใจและ **การเยียวยาจากบาดแผล** ซึ่งเป็นพื้นฐานของการควบคุมจิตใจ จะช่วยให้บุคคลสามารถเอาชนะผลกระทบและหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นได้ [34, 59-64] มรดกของโครงการ MKUltra และ Paperclip จะยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและวิเคราะห์ต่อไป ซึ่งเน้นย้ำถึง **ความตึงเครียดที่ยั่งยืนระหว่างความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กับความรับผิดชอบทางจริยธรรม** [6, 65] โอไบรอันมองว่า หากผู้คนตระหนักถึงการควบคุมจิตใจอย่างกว้างขวางและทวงคืน "ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณมนุษย์" นั่นหมายถึง **"เกมจบ" สำหรับผู้กระทำผิด** [55] อนาคตขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจะตื่นตัว เปิดใจ และเริ่มรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ไม่ให้อำนาจแก่รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือศาสนาที่คลั่งไคล้ [56, 58, 66]
👉 เชิญพบกับ อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ... หมออรรถพล อาจารย์แพทย์ จุฬาฯ เป็นหมอคนแรกในไทย ที่ออกมาเตือนเรื่องวัคซีนโควิด 🌈 ในรายการ #สีสันชีวิต💜 2-3 ทุ่ม คืนวันเสาร์ที่ 13 ก.ย.68💜 💜 ที่MCOT News FM100.5 อสมท💜 #ลักขณาจำปาพาชม #นายแพทย์_อรรถพล_สุคนธาภิรมย์_ณ_พัทลุง ช่วง #เร้นไม่ลับกับเซเลบฯ รายการ #สีสันชีวิต โดย #ลักขณาจำปา #เสน่ห์ศรีสุวรรณ #FM1005 #MCOTNews #สีสันชีวิต #ไกรกิติทิพกนก https://www.facebook.com/share/p/166ByWxQNb/
สรุปให้ชัดๆ ว่า ทำไม mRNA injections คือ อาวุธชีวภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่จากความ “ไม่รู้” แต่เป็นความ “ตั้งใจ” ตั้งใจทำให้ คนป่วย ทำให้คนตาย ความตั้งใจที่ไม่ต่างจากการ “ลั่นไกปืน” เพื่อปลิดชีวิตคน ด้วยเหตุนี้ mRNA จึงเป็น “อาวุธชีวภาพ” 1.mRNA ถูกหุ้มด้วย ไขมันนาโน (nanolipid) ไขมันที่เป็นอาหารหลักห้าหมู่ อาหารที่ทุกเซลล์ของร่างกายต้องการ ด้วยเหตุนี้ไขมันจะถูกส่งไปตามกระแสเลือด กระแสน้ำเหลืองไปทั่วร่างกาย ไปทุกอวัยวะในร่างกาย มิใช่อยู่แค่หัวไหล่ตามอ้าง เรื่องนี้ บริษัทยา รู้ดี แต่ ตั้งใจ “โกหก” ในเอกสารกำกับยาเขาบอกว่า ไปที่ไหนบ้างนั้น “ไม่เกี่ยวข้อง” เพราะว่า เขา ไม่สามารถโกหกในเอกสารนี้ได้ เขาแค่เลี่ยงที่จะ “ไม่บอกความจริง” 2.เมื่อไปตามอวัยวะต่างๆในร่างกายแล้ว เนื่องจาก ไขมันเป็น “อาหารของเซลล์” โดยเฉพาะเซลล์สมอง เซลล์ไขกระดูก เซลล์หัวใจ เซลล์ผนังเส้นเลือด เซลล์ตับ เซลล์ต่อมไร้ท่อ รังไข่ อัณฑะฯลฯ เซลล์เหล่านั้น ก็คิดว่า อาหารมาส่ง ก็เอาไขมันนาโนเข้าเซลล์ หารู้ไม่ว่าข้างในมี “สารพันธุกรรมดัดแปลง” modified RNA ซ่อนอยู่ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บริษัทยา “ตั้งใจโกหก” ว่ามันอยู่แค่ในเซลล์กล้ามเนื้อหัวไหล่ ทั้งที่ในความจริงมันไป “ทั่วร่างกาย” 3.พอ สารพันธุกรรมดัดแปลง modified RNA เข้าไปในเซลล์ ก็จะไปสั่งให้ เซลล์สร้าง โปรตีนหนาม (spike protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ “อันตรายที่สุด” ในจำนวนโปรตีนทั้งหมดในไวรัส การ “โกหก” ว่า เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนหนาม เพื่อกันการ “ติดเชื้อ” ก็เป็นอีกเรื่องที่ “ตั้งใจโกหก” เพราะว่ามีโปรตีนของไวรัสอื่นอีกสิบกว่าชนิด และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนเหล่านั้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้โปรตีนหนามแต่อย่างใด 4.โปรตีนหนาม ที่สร้างนั้น เนื่องจากเป็นโปรตีนพิษ จึงเข้าไปรบกวนการทำงานของเซลล์ ทำให้เซลล์ทำงานแย่ลง จนตายในที่สุด เหมือนเดิม บริษัทยา “โกหก” ปกปิดความจริง โดยบอกแค่ว่า เซลล์จะสร้างโปรตีนหนาม เมื่อโปรตีนหนามออกจากเซลล์จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่สิ่งที่บริษัทยา ไม่บอกคือ โปรตีนหนามจำนวนมากจะคงอยู่ในเซลล์และไปรบกวนการทำงานของเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไมโตคอนเดรีย เครื่องสร้างพลังงานของเซลล์ ทำให้พลังงานของเซลล์ลดลง ทำงานแย่ลง 5.โปรตีนหนามที่ ออกมานอกเซลล์นั้นก็ไม่ได้หลุดออกมาทั้งหมด บางส่วนจะติดอยู่ที่ผนังเซลล์ เมื่อร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนหนาม ภูมิคุ้มกันนี้ ก็จะทำลายผนังเซลล์ ทำให้เซลล์เหล่านั้นแตกและตายในที่สุด กลไกนี้ คือ กลไกที่อธิบายว่า ทำไมหลังจากฉีด modified RNA จึงเป็นโรคภูมิแพ้ หรือ แพ้ภูมิตนเอง แบบโรคพุ่มพวงได้ บริษัท รู้อยู่แล้วว่า จะเกิดผลเช่นนี้ แต่ก็ตั้งใจ “โกหก” 6.สารพันธุกรรมดัดแปลง modified RNA ที่ฉีดนั้นก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีเพียงครึ่งเดียวที่ สร้างโปรตีนหนาม ตามที่อ้าง อีกครึ่งหนึ่งเป็นสารพันธุรกรรมที่สร้างโปรตีนแตกหัก โปรตีนแปลกปลอมอีกมากมาย โปรตีนเหล่านี้นอกจากรบกวนการทำงานของเซลล์แล้ว ยังก่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ซ้ำร้ายภูมิคุ้มกันดังกล่าว ยังสามารถก่อให้เกิดผลเสียได้ด้วย เช่นเดิม บริษัทยา รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่ ปกปิด ความจริง 7.โปรตีนแปลกปลอม บางส่วนในข้อ 6 จะเป็นโปรตีนสั้นๆ ที่เรียกว่า ไพรออน prion ไพรออน นี้คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค “วัวบ้า” Bovine spongiform encephalitis; BSE ซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อมรุนแรง ใกล้เคียงกับโรค Creutzfeldt-Jacob disease ผู้ป่วยหลายราย จึงมีอาการสมองเสื่อม หรืออาการทางจิต หลังจากได้รับ mRNA 8.กระบวนการผลิตของ mRNA ต้องใช้ แบคทีเรียชนิด E.Coli จึงทำให้มีการปนเปื้อนของ สารพันธุกรรม plasmid DNA ซึ่งใช้เป็นต้นแบบในการผลิต mRNA ปนเปื้อนอยู่ใน หยดไขมันนาโนที่เอามาฉีดให้คนด้วย DNA ดังกล่าวจึงสามารถเข้าไปแทรกตัวอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์ ที่ฉีดได้ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมนี้ จะทำให้ คนที่ฉีดเป็น สิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม Genetics Modified Organism, GMO มิใช่มนุษย์ปกติอีกต่อไป 9.นอกจาก สารพันธุกรรม DNA ต้นแบบของ RNA โปรตีนหนามแล้ว ยังมีการปนเปื้อนของ สารพันธุกรรม DNA อื่นๆ จากเชื้อ แบคทีเรีย E.Coli ด้วย ที่สำคัญคือ plasmid DNA ของยีนก่อมะเร็ง SV-40 , plasmid DNA ของยีนดื้อยาปฏิชีวนะ เช่นเดิม บริษัทยา รู้ล่วงหน้า โดยมีการเตรียมขายยา คีโมรักษามะเร็ง และยาปฏิชีวนะอย่างแรงสำหรับฆ่าเชื้อที่ดื้อยา ไว้ชายก่อนล่วงหน้าแล้ว 10.นอกจาก พิษ จากสารพันธุกรรม ตามที่ระบุมาข้างต้นทั้งหมดแล้ว ยังมีสารพิษอื่นๆ อีกที่ใส่ไว้ในวัคซีน อาทิ สารกันบูด สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โลหะหนัก เนื้อเยื่อของมนุษย์ หรือ แม้กระทั่งไขมันนาโนเอง ก็เป็นสารพิษที่ไม่เคยใช้ในมนุษย์มาก่อน ทั้งหมดนี้ บริษัทยา รู้ดีว่า กำลังทำอะไร ถึงตรงนี้ คงไม่ต้องถามแล้วว่า เป็นการตั้งใจ “ลั่นกระสุน” เพื่อฆ่าคนไหม ยาฉีด มรณา mRNA ควรจัดเป็นอาวุธชีวภาพไหม คงต้องให้ คนอ่านตัดสินใจเอาเอง สุดท้าย บทความนี้ เป็นเพียงแค่ “ทฤษฎีสมคบคิด” มิได้ต้องการให้ร้ายใดๆ กับบริษัทยา เป็นแค่ นิทานอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากแต่ว่า ถ้าคนอ่านจะหาสาระ ค้นหาความจริงมากมายที่พบได้ใน X ( ทวิตเตอร์เดิม) ก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่สามารถควบคุมได้
นี่ คือ รมต สธ แบบที่เราต้องการ ในขณะที่ รมต สธ ไทย ใช้สิทธิวีโต้ จนหน้าแตก ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพของคนไทย รมต สธ ของอเมริกาทำอะไร ลองอ่านใน X (twitter) ของท่านรมต RFK Jr กันเอง หรือ อ่านคำแปลได้คข้างล่าง เมื่อวานนี้ ผมได้ปลดสมาชิก 17 คนออกจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านแนวปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือ **เอซีไอพี (ACIP)** ซึ่งเป็นคณะกรรมการภายนอกของ **@CDCgov (ซีดีซี)** ที่มีหน้าที่รับผิดชอบอันหนักหน่วงในการเพิ่มวัคซีนใหม่เข้าไปในตารางวัคซีนเด็กที่แนะนำ ในไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อประกาศแต่งตั้งสมาชิกใหม่เข้าสู่ **เอซีไอพี** สมาชิกใหม่เหล่านี้จะไม่ใช่บุคคลในกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน (**anti-vaxxers**) ที่มีอุดมการณ์ พวกเขาจะเป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณวุฒิสูง ซึ่งจะตัดสินใจด้านสาธารณสุขที่มีผลกระทบสำคัญโดยใช้การตัดสินใจตามหลักฐาน (**evidence-based decision-making**) อย่างมีวัตถุวิสัยและสามัญสำนึก ผมจะโพสต์ตัวอย่างประวัติความคอร์รัปชันใน **เอซีไอพี** เพื่อช่วยให้สาธารณชนเข้าใจว่าทำไมการกวาดล้างครั้งใหญ่ (**clean sweep**) นี้จึงจำเป็น ตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดของการปฏิบัติหน้าที่อันชั่วร้าย (**malevolent malpractice**) ของ **เอซีไอพี** คือความดื้อรั้นไม่ยอมเรียกร้องให้มีการทดสอบความปลอดภัย (**safety trials**) ที่เพียงพอก่อนจะแนะนำวัคซีนใหม่สำหรับเด็กของเรา ปัจจุบัน เด็กอเมริกันที่ยอมตามแผนจะได้รับวัคซีนตามตาราง (**routine vaccines**) จำนวน 69 ถึง 92 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับแบรนด์/ขนาดโดสที่กำหนด) ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ 18 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการฉีดเพียง 11 เข็มในปี 1986 **เอซีไอพี** ได้แนะนำการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมเหล่านี้ทุกครั้งโดยไม่เรียกร้องให้มีการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุมด้วย **พลาซีโบ (placebo-controlled trials)** สำหรับวัคซีนใดๆ เลย ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครสามารถทราบได้ทางวิทยาศาสตร์ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ป้องกันปัญหาได้มากกว่าที่ก่อให้เกิดหรือไม่ ผู้ส่งเสริมวัคซีน (**vaccine promoters**) จำนวนมากเคยท้าทายข้อกล่าวอ้างนี้ พวกเขาผิดเสมอ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว **@CNN** ซึ่งได้ตกต่ำลงเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ (**propagandist**) ไร้ยางอายให้ **บิ๊กฟาร์มา (Big Pharma)** ได้ประกาศอย่างภูมิใจว่ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าข้อความของผมที่ว่า "ไม่มีการทดสอบความปลอดภัยแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** สำหรับวัคซีนตามตารางใดๆ" นั้นเป็นเท็จ **ซีเอ็นเอ็น** ประกาศอย่างดีใจว่าพบการศึกษาแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** จำนวน 257 รายการสำหรับวัคซีนตามตาราง ดังนั้น โปรดให้เวลาผมสักครู่เพื่อวิเคราะห์ (**deconstruct**) ข้อกล่าวอ้างของ **ซีเอ็นเอ็น** คำเตือน: โพสต์นี้อาจทนอ่านได้เฉพาะพวกคลั่งวิทยาศาสตร์ (**science geeks**) แบบผมเท่านั้น **ซีเอ็นเอ็น** ผิด ไม่มีวัคซีนตามตารางที่ฉีดชนิดใดบนตารางของ **ซีดีซี** ที่ได้รับการรับรอง (**licensed**) สำหรับเด็กโดยอ้างอิงการทดลองแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** ในกรณีที่ใช้วัคซีนเป็นตัวควบคุม (**control**) วัคซีนนั้นก็ไม่เคยได้รับการรับรองโดยอ้างอิงการทดลองแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** นี่ไม่ใช่การคาดเดา แต่เป็นข้อเท็จจริงจากข้อมูลการทดลองทางคลินิก (**clinical trial data**) ของ **เอฟดีเอ (FDA)** (ดู sirillp.com/noplacebo) ในฐานะรัฐมนตรี **@HHSGov (HHS)** การยอมรับความจริงที่น่าเศร้านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาเรื่องความโปร่งใสสุดขีด (**radical transparency**) ของผม การศึกษา 257 รายการที่ **ซีเอ็นเอ็น** อ้างอิง สะท้อนถึงการขาดการทดสอบความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐานของตาราง **ซีดีซี** โดยไม่รู้ตัว แม้ **ซีเอ็นเอ็น** จะพยายามทั่วโลกเพื่อระดม (**crowdsource**) การทดลองที่มีกลุ่ม **พลาซีโบ-คอนโทรล** (ตามนิยาม **@US_FDA/@CDCgov** ว่า "สารเฉื่อย"* - **inert substance**) รายชื่อนี้ก็สะท้อนชัดเจนว่า 236 การศึกษาจัดว่าไม่ได้ใช้ตัวเปรียบเทียบความปลอดภัยที่เป็น "สารเฉื่อย" (**inert safety comparator**) ในการทดลองเพื่อรับรองวัคซีนตามตารางที่ฉีดสำหรับเด็กบนตาราง **ซีดีซี**** สำหรับการศึกษาที่เหลืออีก 21 รายการในรายชื่อ **ซีเอ็นเอ็น** ที่อ้างว่าใช้สารฉีดเฉื่อย (**inert injection**) นั้น 9 รายการไม่ได้ใช้อย่างชัดเจน: * **อาร์ซีที (RCT)** 251, 252 (วัคซีนอีสุกอีใส - **Varivax**) ฉีดยาปฏิชีวนะนีโอมัยซิน (**neomycin**) – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 84, 97 (วัคซีนเอชพีวี HPV-16 และ 16/18) ฉีดสารเสริมภูมิต้านทาน (**adjuvant**) อะลูมิเนียม – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 215 (Almevax) ฉีดวัคซีนอีกชนิดหนึ่ง – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 55 (Lyophilized PedvaxHIB) ฉีดแลคโตส, สารเสริมภูมิต้านทาน (**adjuvant**) อะลูมิเนียม, และไทเมอโรซัล (**thimerosal**) – ไม่เฉื่อย * **อาร์ซีที** 197 (วัคซีนโปลิโอแบบเชื้อตาย - **Salk vaccine**) ฉีดสารละลาย 199, สารสังเคราะห์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (**synthetic tissue culture**), เอทานอล, ฟีนอลเรด (**phenol red**), ยาปฏิชีวนะ, และฟอร์มาลิน (**formalin**) – ไม่เฉื่อย*** * **อาร์ซีที** 168 (วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (**MMR**) ของ Dow) ฉีดวัคซีนเต็มสูตรแต่ไม่มีไวรัส (**full vaccine minus virus**) รวมถึงสารกันเสีย (**stabilizers**), ยาปฏิชีวนะ, สารละลายเจือจาง (**diluent**), สารกันบูด (**preservative**), และบัฟเฟอร์ (**buffers**) – ไม่เฉื่อย**** * **อาร์ซีที** 189 (Menveo) ฉีด Tdap+น้ำเกลือ (**saline**) หรือ Menveo+น้ำเกลือ – ไม่เฉื่อย สำหรับการศึกษาที่เหลืออีก 12 รายการซึ่งอาจมีการฉีดสารเฉื่อย ไม่มีรายการใดเป็นการทดลองที่ใช้เป็นหลักในการรับรองวัคซีนตามตารางสำหรับเด็กของ **ซีดีซี**: * **อาร์ซีที** 170, 171, 172 (MMR VaxPro), 228 (PCV11), 136 (Vaxigrip), 242 (Antitetanus), และ 122 (วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบจีน - **Chinese flu shots**) ทดสอบวัคซีนที่ไม่เคยได้รับการรับรองในสหรัฐฯ หรือใช้เป็นหลักในการรับรองวัคซีนสหรัฐฯ * **อาร์ซีที** 124 (Fluzone IIV3), 102 (WVV/SPV), และ 188 (Menveo) ดำเนินการ *หลัง* วัคซีนแต่ละชนิดได้รับการรับรองแล้ว จึงไม่ได้ใช้เป็นหลักในการรับรอง (**licensure**) * **อาร์ซีที** 176 (วัคซีนคางทูม - **Mumps vaccine**) ไม่ได้ถูกใช้โดย **เอฟดีเอ** เป็นหลักในการรับรองวัคซีน **เอ็มเอ็มอาร์ (MMR)** ตัวปัจจุบัน (ดูรายงานการทดลองทางคลินิกของ MMR-II ในลิงก์ด้านบน) * **อาร์ซีที** 53 (PRP-D) เป็นวัคซีนที่ถูกถอนออก (**withdrawn**) เร็วๆ หลังเปิดตัว และไม่ถูกใช้โดย **เอฟดีเอ** เป็นหลักในการรับรองวัคซีนใดๆ ของสหรัฐฯ แม้การศึกษา 12 รายการนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักในการรับรองวัคซีนตามตารางของ **ซีดีซี** แต่ก็สะท้อนว่าการทดลองวัคซีนแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** เป็นไปได้ และสะท้อนสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อทำการทดลองแบบ **พลาซีโบ** ตัวอย่างเช่น: **อาร์ซีที** 136 พบว่าวัคซีนไม่ได้ผล (**ineffective**); **อาร์ซีที** 122 พบว่า "ผลข้างเคียงรุนแรง (**severe adverse effects**) เกิดขึ้นในผู้รับวัคซีน 69 ราย (0.6%, 95% **ซีไอ (CI)** 0.5–0.8) เทียบกับผู้รับ **พลาซีโบ** 1 ราย (0.1%, 0–0.2)"; และ **อาร์ซีที** 124 พบว่า "อัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลสูงกว่าในกลุ่ม [Fluzone IIV3] ที่ได้รับวัคซีน มากกว่ากลุ่ม **พลาซีโบ**" ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ การทดลองแบบ **พลาซีโบ-คอนโทรล** ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่เคยถูกใช้เป็นหลักเมื่อ **เอฟดีเอ** รับรองวัคซีนสำหรับฉีดในเด็ก หรือเมื่อ **เอซีไอพี** แนะนำให้เพิ่มวัคซีนนั้นเข้าไปในตารางตามตารางของ **ซีดีซี** **ซีเอ็นเอ็น** คงได้ข้อสรุปเดียวกันหากตรวจสอบเอกสารของ **เอฟดีเอ** สำหรับวัคซีนแต่ละชนิด แทนที่จะพึ่งพารายชื่อสุ่มๆ จากอินเทอร์เน็ตที่ระดมความคิด (**crowd-sourced**) รายชื่อของ **ซีเอ็นเอ็น** น่าขันที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการขาดการทดสอบความปลอดภัย (**safety trials**) ที่เพียงพอสำหรับวัคซีนตามตารางเด็ก ถึงเวลาต้องหยุดเล่นเกมแล้ว เช่น การจับผิด (**gotcha**) เท็จของ **ซีเอ็นเอ็น** เราเปลี่ยนจากการฉีดวัคซีนตามตาราง 3 เข็มเมื่ออายุหนึ่งขวบในปี 1986 (ปีที่พระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนเด็กแห่งชาติ - **National Childhood Vaccine Injury Act** ผ่าน) เป็น 25 เข็มเมื่ออายุหนึ่งขวบในปี 2025 (ซึ่งยังไม่รวมวัคซีนโควิด-19) เนื่องจากพระราชบัญญัติปี 1986 ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกือบทั้งหมด (เว้นหนึ่งชนิด) ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทต่างๆ ที่รู้ว่าพวกเขาจะแทบไม่ต้องรับผิดชอบ (**liable**) ต่ออันตรายร้ายแรงเลย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ โรคเรื้อรัง (**chronic diseases**) ในเด็กของเราพุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน (**immune system dysregulation**) หากเราต้องการระบุปัจจัยสัมผัส (**exposures**) ที่ก่อให้เกิดการระบาด (**epidemic**) ของโรคภูมิต้านตนเอง (**autoimmune diseases**) นี้ เราจำเป็นต้องแยกผลิตภัณฑ์ที่ให้หลายสิบครั้งกับเด็กเล็ก ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับเปลี่ยนระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ ออกไปในฐานะตัวการที่อาจเป็นไปได้ (**potential culprits**) ทารกและเด็กของเราสมควรได้รับการทดสอบความปลอดภัยที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา เราควรใส่ใจเด็กทุกคนที่อาจได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้เท่ากับเด็กทุกคนที่อาจได้รับอันตรายจากโรคติดเชื้อ เราต้องปกป้องเด็กทุกคน หมายเหตุ: * [ลิงก์ fda.gov 1](fda.gov/media/130326/d...) (“**พลาซีโบ (Placebos)** หมายถึงสารเฉื่อย (**inert substances**) ที่ไม่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (**pharmacologic activity**) มักใช้ในการศึกษาทางคลินิกแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมอำพรางทั้งสองฝ่าย (**double-blind, randomized controlled clinical trials**)”; [ลิงก์ fda.gov 2](fda.gov/media/71349/do...) (“การออกแบบกลุ่มควบคุมด้วย **พลาซีโบ (placebo control design)** โดย...รวมกลุ่มที่ได้รับการรักษาเฉื่อย (**inert treatment**)...”); [ลิงก์ cdc.gov](cdc.gov/vaccines/gloss...) (“**พลาซีโบ (Placebo)**: สารหรือการรักษาที่ไม่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต มักใช้เป็นตัวเปรียบเทียบกับวัคซีนหรือยาในการศึกษาทางคลินิก”) ** แม้ข้างต้นจะกล่าวถึงวัคซีนชนิดฉีด รายชื่อที่ **ซีเอ็นเอ็น** อ้างอิงยังรวมการทดลองวัคซีนโรตาไวรัส (**rotavirus vaccine**) ซึ่งให้ทางน้ำยาหยอด (ไม่มีการทดลองใดใช้น้ำเกลือ (**saline**) เพียงอย่างเดียว): **อาร์ซีที** 205, 207, 208, 209, 210, 213 (Rotarix) มี dextran, sorbitol, กรดอะมิโน, dulbecco’s modified eagle medium, แคลเซียมคาร์บอเนต, และ xanthan; **อาร์ซีที** 211, 212 (RotaTeq) มี polysorbate 80, sucrose, citrate และ phosphate; **อาร์ซีที** 206, 214 (Rotavac) มี neomycin sulphate, kanamycin acid sulphate, trehalose, lactalbumin hydrolysate, human albumin, potassium dihydrogen orthophosphate, dipotassium hydrogen orthophosphate, และ trisodium citrate dihydrate รายชื่อยังรวมการทดลองวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบสูดดม (**inhaled flu vaccine**) 3 รายการ: ตัวควบคุมใน **อาร์ซีที** 104 เป็น OPV+น้ำเกลือ หรือ LAIV (วัคซีน) จึงไม่เฉื่อย; ใน **อาร์ซีที** 106 ตัวควบคุม "ประกอบด้วยของเหลวอัลแลนทอยด์ปกติ (**normal allantoic fluid**) ที่เก็บได้จากไข่ที่ไม่ติดเชื้อและทำให้คงตัว (**stabilized**) ด้วย sucrose–phosphate–glutamate"; และใน **อาร์ซีที** 109 ตัวควบคุมคือ "สเปรย์พ่นจมูก (**intranasal spray**) ของอัลแลนทอยด์ฟลูอิดผสม sucrose-phosphate-glutamate" https://www.facebook.com/share/p/1ECJZF4wVH/
สื่อในอเมริกา ออกข่าวชัดเจน พร้อมโชว์หลักฐาน ไทม์ไลน์ ขบวนการโกหก ที่มีหัวโจกชื่อ Anthony Fauci หรือชื่อไทยๆ ว่า นาย "เฝ้าขรี้" ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด เกือบทุกวัน จะเห็นนาย เฝ้าขรี้ Fauci ให้ข่าวตามสื่อกระแสหลัก ต้อนให้คนไปฉีดวัคซีน บอกให้ใส่หน้ากาก บอกให้แยกตัว เก็บตัว ให้ห้างร้านปิดขาย จนเจ๊ง เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไปทั่ว ตอนนี้ มีคนขุดว่า Fauci มั่ว และตั้งใจ 💥โกหก💥 โดยเรื่องสำคัญที่สุด คือ เรื่องที่เชื้อโควิด เป็นฝีมือมนุษย์ ในช่วงเริ่มต้นการระบาดใหม่ มีนักวิทยาศาสตร์หลายราย รวมทั้งนักไวรัสวิทยาที่ได้รางวัลโนเบล อย่าง Prof Luc Montagneir, ออกมาบอกโลกว่า เชื้อไวรัสโควิด เป็นฝีมือมนุษย์สร้าง Anthony Fauci ซึ่งขณะนั้นเป็น ผอ NIAID รีบจัดประชุมลับกับเจ้านาย Francis Collins ผอ NIH ให้หาวิธี *กลบข่าว* นี้ แถมยังบอกให้ Anderson นักวิจัยในกำกับ เขียนงานวิจัยเพื่อ "หลอกสังคม" ว่า เชื้อโควิด มาจากธรรมชาติ เสร็จแล้ว Fauci เฝ้าขรี้ ก็เอางานวิจัยดังกล่าวมาแถลงข่าว อ้างว่า เชื้อมาจากธรรมชาติ ทั้งที่จริงๆ Fauci เป็นคนสั่ง/ให้เงินสนับสนุนการเขียนรายงานนั้นเอง คำถาม คือ ทำไม Fauci ต้อง ปกปิด ความจริง? คำตอบ คือ เพราะว่า Fauci เป็นคนให้ทุน วิจัยเพื่อ สร้างเชื้อโควิด เอง งานวิจัยที่เรียกว่า gain of function research, GOF โดยเป็นการให้ทุนผ่าน Ecohealth Alliance ที่มี Peter Daszak เป็นหัวหน้า Peter Daszak คนเดียวกันที่ นำทีมจาก WHO ไปตรวจสอบห้องปฏิบัติการใน อู่ฮั่น แล้วทำรายงานหลอกชาวโลกว่า เชื้อโควิด ระบาดมาจากตลาด ไม่ได้มาจากห้องปฏิบัติการอู่ฮั่น ที่เขาเองเป็นคนให้ทุนวิจัย Peter Daszak แห่ง Ecohealth Alliance มาให้ทุน ห้องปฏิบัติการในไทยด้วย ให้ทุนทำอะไร เกี่ยวกับการทำวิจัยเพื่อสร้าง เชื้อโรค สร้างอาวุธชีวภาพหรือไม่ ต้องไปตามอ่านบทความของอาจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา โดยเฉพาะคำอธิบายของท่านว่า ทำไมท่านจึงต้องลาออกจากการเป็นหัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ ฝากนักข่าวไทย ที่ยังพอมี จรรยาบรรณวิชาชีพ ยังสนใจรายงาน "ความจริง" อยู่ช่วยกรุณาทำข่าวนี้ด้วยครับ
ข้างล่างเป็นอีเมล์ ที่หมอยง ตอบมาในกรณีที่ มีผู้ป่วยเด็กที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิด เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ลองอ่านดูครับว่า หมอยง แสดงความเห็นใจ เป็นห่วงเป็นใย ผู้ป่วยบ้างไหม?? กรณี ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการขอให้หมอยง ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ในโรงพยาบาล ไปเยี่ยมเยียน ให้ความเมตตาสงสารกับ ผู้ป่วย และครอบครัวบ้าง คำตอบที่ได้รับ คือ เรื่อง “มารยาท”?? ไม่สนใจเรื่องของคนไข้ สนใจแต่เรื่อง ส่วนตัว!!! ลองไปอ่านดูครับ Date: Mon, 28 Mar 2565 BE at 08:00 🚩Subject: Re: case ผป เด็กที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจากการได้รับวัคซีน To: Yong Poovorawan CC: MDCU คุณวู้ดดี้มาเยี่ยมน้องไผ่หวาน ที่มีอาการสมองบวมหลังจากรับวัคซีนPfizer จากเด็กเรียนเก่งกลายเป็นจำอะไรไม่ค่อยได้... นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 🙍‍♂️On Sun, Mar 20, 2022 at 9:56 AM Atapol wrote: มารยาทหรือคุณธรรม จริยธรรม สิ่งไหนสำคัญกว่าครับ? ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายครับ งานวิจัยเรื่องความปลอดภัยในเด็ก เสร็จปีไหนครับ อาจารย์ทราบดีใช่ไหมครับ การเกิดผลข้างเคียง จากวัคซีน จะพบระดับ IL-6 สูงคล้ายกับรายที่มีโควิดรุนแรง เพราะภูมิคุ้มกันที่มากปกติ ด้วยเหตุนี้คนที่เคยติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงจากวัคซีนมากกว่าคนที่ไม่เคยติด เรารู้ดีว่าเด็กๆมักจะติดแล้วไม่มีอาการ มีงานวิจัยที่สุ่มตรวจหาภูมิคุ้มกันในชุมชน และพบว่า มีอัตราสูงกว่าที่คาดไว้ แปลว่า คนส่วนมากอาจจะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอยู่แล้ว การฉีดวัคซีนจึงอาจจะไม่มีประโยชน์แถมทำให้เกิดโทษด้วยครับ ด้วยความเคารพอาจารย์เป็น "นักวิจัย" น่าจะเอาข้อมูลงานวิจัยมาคุยกันครับ เพื่อประโยชน์ของ สังคม จะดีกว่ามากังวลเรื่องเล็กๆน้อยๆ ครับ “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์" นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 👨‍🦳 On Sat, Mar 19, 2022 at 5:08 AM Yong Poovorawan wrote: คนเราจะต้องมีมารยาท จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ได้เห็น เพียงแต่รับฟังมาว่า เชื่อว่า โดยเฉพาะแพทย์ จะไม่ก้าวก่าย ไปดูผู้ป่วย ที่ไม่ได้รับคำปรึกษามาจากแพทย์ แพทย์เราถูกสั่งสอน อบรมมารยาทที่เกี่ยวกับผู้ป่วย ทุกคนจะต้องมีมารยาท Professor Yong Poovorawan Center of Excellence in Clinical Virology, Department of Pediatrics, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University Bangkok, 10330 Thailand E-mail: 🙍‍♂️ From: Atapol Sent: Friday, March 18, 2022 6:54 PM To: Yong Poovorawan Cc: MDCU Subject: Re: case ผป เด็กที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจากการได้รับวัคซีน เรียน อาจารย์ยงที่เคารพครับ ขอบพระคุณครับที่กรุณาตอบอีเมล์ ผมได้ทราบจากคุณแม่ผู้ป่วยว่าหมอที่ดูแลผู้ป่วยได้แจ้งว่า อาจารย์ได้รับแจ้งว่าผป รายนี้ มานอนที่จุฬา แต่ไม่ได้มาดูแลผู้ป่วยเอง อย่างไรฏ้ดีข้อมูลนี้ก็อาจจะมิได้เป็นข้อเท็จจริงเพราะเป็นคำพูดที่ เขาเล่ามาอีกที ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ตรงนั้นครับ อยู่ที่ว่า ตอนนี้อาจารย์ได้ทราบแล้วว่า มีเด็กที่ได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยาฉีดไฟเซอร์ ที่สำคัญ ผมเชื่อว่าอาจารย์ทราบว่างานวิจัยเพื่อทดสอบความปลอดภัยของยาฉีดนี้ในเด็กกลุ่มนี้ จะทำเสร็จในปี 2568 และจากรายงานการวิจัยที่ใช้ในการขออนุมัติฉุกเฉิน https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2107456 ก็ไม่มีหลักฐานที่บอกว่า ยาฉีดนี้สามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง หรือ ป้องกันการเสียชีวิตในวัยรุ่นได้ ผมถึงเรียนอาจารย์ให้พิจารณาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้สังคมรับทราบ มิได้ขอให้อาจารย์ไปดูแลผู้ป่วยรายนี้ครับ ทั้งนี้เนื่องจากอาจารย์ เป็นบุคคลสาธารณะที่ออกมาพูดเรื่องวัคซีนเยอะ เลยคิดว่า อาจารย์จะเป็นตัวอย่างในการทำตาม Hippocretic Oath "First Do No Harm" ให้แพทย์รุ่นหลังได้เข้าใจ และทำตามครับ อย่างที่เรียนครับ เป็นการร้องขอ ส่วนอาจารย์จะพิจารณาทำตามนั้นหรือไม่ ขึ้นกับวิจารณญาน ตามที่อาจารย์เห็นสมควรครับ แต่สำหรับผม ผมยึดมั่น ในพระปณิธาน ของสมเด็จพระราชชนก ที่ว่า “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์" และขอที่จะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยต่อไปครับ สืบเนื่องจากอีเมล์ฉบับก่อนหน้านี้ ท่านคณบดี ได้โทรหาผม แจ้งให้ทราบว่า กำลังจะมีการจัดเวทีเสวนา ที่เปิดโอกาสให้มีการนำข้อมูลทางวิชาการมาพูดคุยกันเพื่อช่วยกันหาทางออกของเรื่องนี้ เวทีที่ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกัน แต่เป็นการถกกันด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ สมกับการเป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นเสาหลักของประเทศ เวทีที่ อาจจะจัดช้าไปสักนิด แต่ยังดีกว่ามิได้ทำเลยครับ เข้าใจว่าท่านคณบดีคงจะได้ออกมาชี้แจงเรื่องการจัดเวทีนี้ให้อาจารย์ทุกท่านทราบในเร็วๆนี้ครับ ขอบพระคุณครับ อรรถพล นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 👨‍🦳 On Thu, Mar 17, 2022 at 6:46 PM Yong Poovorawan wrote: Please contact the one who taking care of the patient. not me, I now do not on the situation for taking care of the patient. I have been working on the research work. Professor Yong Poovorawan Center of Excellence in Clinical Virology, Department of Pediatrics, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University Bangkok, 10330 Thailand E-mail: 🙍‍♂️ From: Atapol Sent: Thursday, March 17, 2022 9:36 AM To: Yong Poovorawan < > Cc: MDCU < >; MDCUResearch < >; Advisor-Committee MDCU Subject: case ผป เด็กที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจากการได้รับวัคซีน เรียน อาจารย์ยงที่เคารพครับ ตามที่มีผู้ป่วยรายหนึ่ง อายุ 15 ปี ถูกส่งตัวมาจาก ลพบุรี เนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง หลังจากได้รับยาฉีดไฟเซอร์ ที่อาจารย์เรียกว่า วัคซีน ทราบว่าอาจารย์ได้แวะไปดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วย ไม่ทราบว่า อาการของน้องในขณะนี้เป็นเช่นไรบ้างครับ เมื่อไรอาจารย์จะแถลงข่าวให้สังคมรับทราบถึงอาการข้างเคียงที่รุนแรงอันอาจจะเกิดขึ้นในเด็กได้ครับ น้องรายนี้เป็นเด็กที่แข็งแรงดีมาก่อน ไม่มีโรคประจำตัว ซึ่งหากติดโควิด ก็มิใช่กลุ่มเสี่ยงที่จะทำให้มีอาการป่วยหนักครับ ที่สำคัญมีรายงานชัดเจนว่า วัคซีนในเด็กประสิทธิภาพลดลงเหลือเพียง 12 % ในเวลาแค่สองเดือน ประโยชน์ที่ได้จากยาฉีดจึงมีน้อยมากครับ เราถูกสอนให้ท่องเรื่อง ของ ฮิปโปเครติกโอธ FIRST DO NO HARM ผมหวังว่าอาจารย์จะทำตนเป็นแบบอย่างให้กับแพทย์รุ่นหลัง ด้วยการออกมาเตือนเรื่องนี้ครับ “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์ “ สำหรับใครที่ ได้รับการบอกเล่า จากหมอ ว่า ยาฉีดไฟเซอร์ เป็น mRNA ที่ปลอดภัย ไม่มีอันตราย กรุณาเอาบทความนี้ให้คุณหมออ่านด้วยครับ ท่านจะได้ไม่เข้าใจผิดอีก นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand
ข้างล่างเป็นอีเมล์ ที่หมอยง ตอบมาในกรณีที่ มีผู้ป่วยเด็กที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิด เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ลองอ่านดูครับว่า หมอยง แสดงความเห็นใจ เป็นห่วงเป็นใย ผู้ป่วยบ้างไหม?? กรณี ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการขอให้หมอยง ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ในโรงพยาบาล ไปเยี่ยมเยียน ให้ความเมตตาสงสารกับ ผู้ป่วย และครอบครัวบ้าง คำตอบที่ได้รับ คือ เรื่อง “มารยาท”?? ไม่สนใจเรื่องของคนไข้ สนใจแต่เรื่อง ส่วนตัว!!! ลองไปอ่านดูครับ Date: Mon, 28 Mar 2565 BE at 08:00 🚩Subject: Re: case ผป เด็กที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจากการได้รับวัคซีน To: Yong Poovorawan CC: MDCU คุณวู้ดดี้มาเยี่ยมน้องไผ่หวาน ที่มีอาการสมองบวมหลังจากรับวัคซีนPfizer จากเด็กเรียนเก่งกลายเป็นจำอะไรไม่ค่อยได้... นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 🙍‍♂️On Sun, Mar 20, 2022 at 9:56 AM Atapol wrote: มารยาทหรือคุณธรรม จริยธรรม สิ่งไหนสำคัญกว่าครับ? ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายครับ งานวิจัยเรื่องความปลอดภัยในเด็ก เสร็จปีไหนครับ อาจารย์ทราบดีใช่ไหมครับ การเกิดผลข้างเคียง จากวัคซีน จะพบระดับ IL-6 สูงคล้ายกับรายที่มีโควิดรุนแรง เพราะภูมิคุ้มกันที่มากปกติ ด้วยเหตุนี้คนที่เคยติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงจากวัคซีนมากกว่าคนที่ไม่เคยติด เรารู้ดีว่าเด็กๆมักจะติดแล้วไม่มีอาการ มีงานวิจัยที่สุ่มตรวจหาภูมิคุ้มกันในชุมชน และพบว่า มีอัตราสูงกว่าที่คาดไว้ แปลว่า คนส่วนมากอาจจะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอยู่แล้ว การฉีดวัคซีนจึงอาจจะไม่มีประโยชน์แถมทำให้เกิดโทษด้วยครับ ด้วยความเคารพอาจารย์เป็น "นักวิจัย" น่าจะเอาข้อมูลงานวิจัยมาคุยกันครับ เพื่อประโยชน์ของ สังคม จะดีกว่ามากังวลเรื่องเล็กๆน้อยๆ ครับ “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์" นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 👨‍🦳 On Sat, Mar 19, 2022 at 5:08 AM Yong Poovorawan wrote: คนเราจะต้องมีมารยาท จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ได้เห็น เพียงแต่รับฟังมาว่า เชื่อว่า โดยเฉพาะแพทย์ จะไม่ก้าวก่าย ไปดูผู้ป่วย ที่ไม่ได้รับคำปรึกษามาจากแพทย์ แพทย์เราถูกสั่งสอน อบรมมารยาทที่เกี่ยวกับผู้ป่วย ทุกคนจะต้องมีมารยาท Professor Yong Poovorawan Center of Excellence in Clinical Virology, Department of Pediatrics, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University Bangkok, 10330 Thailand E-mail: 🙍‍♂️ From: Atapol Sent: Friday, March 18, 2022 6:54 PM To: Yong Poovorawan Cc: MDCU Subject: Re: case ผป เด็กที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจากการได้รับวัคซีน เรียน อาจารย์ยงที่เคารพครับ ขอบพระคุณครับที่กรุณาตอบอีเมล์ ผมได้ทราบจากคุณแม่ผู้ป่วยว่าหมอที่ดูแลผู้ป่วยได้แจ้งว่า อาจารย์ได้รับแจ้งว่าผป รายนี้ มานอนที่จุฬา แต่ไม่ได้มาดูแลผู้ป่วยเอง อย่างไรฏ้ดีข้อมูลนี้ก็อาจจะมิได้เป็นข้อเท็จจริงเพราะเป็นคำพูดที่ เขาเล่ามาอีกที ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ตรงนั้นครับ อยู่ที่ว่า ตอนนี้อาจารย์ได้ทราบแล้วว่า มีเด็กที่ได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยาฉีดไฟเซอร์ ที่สำคัญ ผมเชื่อว่าอาจารย์ทราบว่างานวิจัยเพื่อทดสอบความปลอดภัยของยาฉีดนี้ในเด็กกลุ่มนี้ จะทำเสร็จในปี 2568 และจากรายงานการวิจัยที่ใช้ในการขออนุมัติฉุกเฉิน https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2107456 ก็ไม่มีหลักฐานที่บอกว่า ยาฉีดนี้สามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง หรือ ป้องกันการเสียชีวิตในวัยรุ่นได้ ผมถึงเรียนอาจารย์ให้พิจารณาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้สังคมรับทราบ มิได้ขอให้อาจารย์ไปดูแลผู้ป่วยรายนี้ครับ ทั้งนี้เนื่องจากอาจารย์ เป็นบุคคลสาธารณะที่ออกมาพูดเรื่องวัคซีนเยอะ เลยคิดว่า อาจารย์จะเป็นตัวอย่างในการทำตาม Hippocretic Oath "First Do No Harm" ให้แพทย์รุ่นหลังได้เข้าใจ และทำตามครับ อย่างที่เรียนครับ เป็นการร้องขอ ส่วนอาจารย์จะพิจารณาทำตามนั้นหรือไม่ ขึ้นกับวิจารณญาน ตามที่อาจารย์เห็นสมควรครับ แต่สำหรับผม ผมยึดมั่น ในพระปณิธาน ของสมเด็จพระราชชนก ที่ว่า “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์" และขอที่จะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยต่อไปครับ สืบเนื่องจากอีเมล์ฉบับก่อนหน้านี้ ท่านคณบดี ได้โทรหาผม แจ้งให้ทราบว่า กำลังจะมีการจัดเวทีเสวนา ที่เปิดโอกาสให้มีการนำข้อมูลทางวิชาการมาพูดคุยกันเพื่อช่วยกันหาทางออกของเรื่องนี้ เวทีที่ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกัน แต่เป็นการถกกันด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ สมกับการเป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นเสาหลักของประเทศ เวทีที่ อาจจะจัดช้าไปสักนิด แต่ยังดีกว่ามิได้ทำเลยครับ เข้าใจว่าท่านคณบดีคงจะได้ออกมาชี้แจงเรื่องการจัดเวทีนี้ให้อาจารย์ทุกท่านทราบในเร็วๆนี้ครับ ขอบพระคุณครับ อรรถพล นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 👨‍🦳 On Thu, Mar 17, 2022 at 6:46 PM Yong Poovorawan wrote: Please contact the one who taking care of the patient. not me, I now do not on the situation for taking care of the patient. I have been working on the research work. Professor Yong Poovorawan Center of Excellence in Clinical Virology, Department of Pediatrics, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University Bangkok, 10330 Thailand E-mail: 🙍‍♂️ From: Atapol Sent: Thursday, March 17, 2022 9:36 AM To: Yong Poovorawan < > Cc: MDCU < >; MDCUResearch < >; Advisor-Committee MDCU Subject: case ผป เด็กที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจากการได้รับวัคซีน เรียน อาจารย์ยงที่เคารพครับ ตามที่มีผู้ป่วยรายหนึ่ง อายุ 15 ปี ถูกส่งตัวมาจาก ลพบุรี เนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง หลังจากได้รับยาฉีดไฟเซอร์ ที่อาจารย์เรียกว่า วัคซีน ทราบว่าอาจารย์ได้แวะไปดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วย ไม่ทราบว่า อาการของน้องในขณะนี้เป็นเช่นไรบ้างครับ เมื่อไรอาจารย์จะแถลงข่าวให้สังคมรับทราบถึงอาการข้างเคียงที่รุนแรงอันอาจจะเกิดขึ้นในเด็กได้ครับ น้องรายนี้เป็นเด็กที่แข็งแรงดีมาก่อน ไม่มีโรคประจำตัว ซึ่งหากติดโควิด ก็มิใช่กลุ่มเสี่ยงที่จะทำให้มีอาการป่วยหนักครับ ที่สำคัญมีรายงานชัดเจนว่า วัคซีนในเด็กประสิทธิภาพลดลงเหลือเพียง 12 % ในเวลาแค่สองเดือน ประโยชน์ที่ได้จากยาฉีดจึงมีน้อยมากครับ เราถูกสอนให้ท่องเรื่อง ของ ฮิปโปเครติกโอธ FIRST DO NO HARM ผมหวังว่าอาจารย์จะทำตนเป็นแบบอย่างให้กับแพทย์รุ่นหลัง ด้วยการออกมาเตือนเรื่องนี้ครับ “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์ “ สำหรับใครที่ ได้รับการบอกเล่า จากหมอ ว่า ยาฉีดไฟเซอร์ เป็น mRNA ที่ปลอดภัย ไม่มีอันตราย กรุณาเอาบทความนี้ให้คุณหมออ่านด้วยครับ ท่านจะได้ไม่เข้าใจผิดอีก นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง Atapol Sughondhabirom, M.D. Dept. of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand
(ตอน 3) หมดเปลือก! USAID ให้ทุนสื่อปกปิดดัดแปลงพันธุกรรมเชื้อโควิด และด้อยค่าคู่แข่ง ปี 2564 สหรัฐเปลี่ยนอำนาจเป็นรัฐบาลไบเดน โดยมีหมอฟาวซีเป็นที่ปรึกษา เขาและสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ปกปิดว่าโรคโควิดเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม พรรคเดโมแครต สื่อกระแสหลักเซ็นเซอร์ และปิดกั้นใครก็ตามว่าโควิดเกิดจากฝีมือมนุษย์ USAID ให้ทุนสื่อมวลชน 1,600 ล้านดอลลาร์/ปี เพื่อต่อต้านจีนว่าเป็นต้นกำเนิดโรคนี้ และจ้าง NGOs ก่อม็อบ เซเล็ปคนดัง นักการเมือง ขบวนการด้อยค่าวัคซีนจีน กดดันเอาวัคซีนโควิด mRNA โดยสหรัฐ จะขายวัคซีนนี้ให้ไทย ก็ต้องซื้อขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานประทับบ่า ATGM รุ่น Javalin ด้วย รัฐบาลฟิลิปปินส์ ส่งหนังสือไปถึงรัฐบาลสหรัฐ ถึง 7 ครั้ง เพราะจับได้ว่ามีกระบวนการจ้างด้อยค่าให้หวาดกลัววัคซีนโควิดชนิดเชื้อตายของจีน ทางโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้ชาวฟิลิปปินส์เสียประโยชน์ ป่วยและเสียชีวิตจำนวนมากหลังฉีดวัคซีน mRNA สหรัฐ กลางปี 2567 สหรัฐ ส่งหนังสือถึงทางการฟิลิปปินส์ ยอมรับว่าได้จ้างด้อยค่าวัคซีนจีน ทางโซเชียลมีเดียจริง เพื่อต่อต้านจีน และผลประโยชน์บริษัทยาของตน เรื่องนี้เป็นข่าวดังมากในสื่อทั่วโลกและสื่อในไทย ต้นปี 2568 ก่อนพ้นตำแหน่งไม่กี่วันอดีตประธานาธิบดีไบเดน ลงนามให้อภัยโทษย้อนหลังไปถึงปี 2557 กับฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชาย พร้อมพี่น้องเขาทุกคน , หมอฟาวซี และนายพลเสนาธิการทหารสูงสุด ที่ร่วมกันสร้างเชื้อไวรัสโควิด-19 และฝีดาษวานร ปัจจุบันพรรคเดโมแครต กำลังตื่นตระหนก ที่รัฐบาลทรัมป์ จากพรรครีพลับริกัน กำลังเช็คบิลเอาคืน ตรวจสอบ และปิดองค์กร USAID โดยผู้นำรัสเซีย ขอตัวหมอฟาวซี ไปขึ้นศาลทหาร UN ดำเนินคดีพัวพันในอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ วันก่อน นักบินหญิงเฮลิคอปเตอร์ UH-60 แบล็คฮอร์ค ที่ขับพุ่งชนเครื่องบินโดยสารบอมบาร์ดิเอร์ CRJ-701ER สายการบินอเมริกันแอร์ ที่เพิ่งบินขึ้นมาจากสนามบินแห่งชาติโรนัลด์ รีแกน กรุงวอชิงตัน ดีซี เกิดการชนกันกลางอากาศระเบิดดังสนั่นตกลงในแม่น้ำ โพโตแมค ใกล้กับสนามบิน มีผู้เสียชีวิตรวม 67 ราย เธอคือ "บุตรสาว" ของนักวิทยาศาสตร์ ทีมงานคนสำคัญของ "หมอฟาวซี" ที่ร่วมกันวิจัยและตัดแต่งพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนาจากค้างคาว และเธอยังมีประวัติ "ทำงานอยู่ในทำเนียบขาว กับอดีตประธานาธิบดีไบเดน" นานถึง 2 ปี บัดนี้รัฐบาลชุดโดนัล ทรัมป์ ได้เปิดเผยหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการให้ทุนจาก USAID ในการพัฒนาการดัดแปลงพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรน่าจากค้างคาว โดยหน่วยข่าวกรองรัสเซีย เผยว่ามีการขนย้ายอาวุธชีวภาพดังกล่าว หนีจากสงครามยูเครน ส่วนหนึ่งส่งมาอยู่ในห้อง Lab องค์กรรับทุน USAID ในกรุงเทพ ของไทย ยังไม่มีสื่อมวลชน , NGOs หรือเซเลปคนดัง ออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ ในการด้อยค่าวัคซีนโควิดเชื้อตายของจีน ที่เคย Call Out เรียกร้อง ก่อม็อบจะเอาวัคซีน mRNA สหรัฐ ที่ผลิตขึ้นก่อนการระบาดนาน 6 ปี..พวกเขาทำไมถึงเงียบ? Credit: World Update
(ตอน 2) เจาะลึก! USAID ให้ทุนยูเครน ลูกท่านผู้นำตัดต่อทางพันธุกรรมเชื้อโควิด มีนักไวรัสวิทยา Nathan Wolfe ฉายา “Virus Hunter” ได้รับเงินสนับสนุนหลายสิบล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อค้นหาและปรับปรุงพันธุกรรมโคโรนาไวรัสในค้างคาวกระทำในห้องแลป ผู้รับเหมากลาโหมสหรัฐ ชื่อ Labyrinth ยูเครน ที่เป็นสาขาหนึ่งของ Labyrinth Global Health เชื่อมโยงกับ Metabiota (ฮันเตอร์ ไบเดน) นอกจากการวิจัยอาวุธชีวภาพไวรัสโคโรนาแล้ว ยังมีการวิจัยพัฒนาเชื้อโรคฝีดาษลิงด้วย (ก่อนจะเกิดการระบาดทั่วโลกในปี 2565) โดยมีองค์กร และบริษัทยายักษ์ใหญ่ในเยอรมนี และสหรัฐ เข้ามาร่วมพัฒนาเชื้อ และนำไปผลิตวัคซีน SARS-CoV-2 ชนิด mRNA เสร็จล่วงหน้าในปี 2556 ก่อนระบาดนานถึง 6 ปี หน่วยงาน CIA ยืนยันว่า กลาโหมให้ทุนจาก USAID จำนวน 93 ล้านดอลลาร์ สร้างเชื้อไวรัสชนิดนี้ ด้วยการ "ตัดต่อทางพันธุกรรม" สำเร็จปี 2560 ก่อนการระบาดใหญ่ 3 ปี (สื่อสหรัฐ เพิ่งเปิดเผยรายงาน) ปลายปี 2562 โคโรนาไวรัสในค้างคาว SARS-CoV-2 ที่สร้างขึ้น หลุดห้องแลปทหาร ฐานทัพ Fort Detrick รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐ ในปี 2562 นั้นโปรแกรม "PREDICT" ที่ได้รับทุนจาก USAID สร้างเชื้อ โคโรนาไวรัสสำเร็จได้ปิดโครงการทันที และมีการส่งทหารอเมริกันจำนวนมาก มาฝึกรบรหัส "Cobra Gold ที่ไทย" ช่วงไตรมาสที่ 4 ปลายปีนั้น โรงพยาบาลในสหรัฐ พบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่หน่วยโรคติดต่อ CDC สหรัฐ ยังไม่ได้รายงานให้องค์การอนามัยโลก WHO ทราบและตั้งชื่อเชื้อนี้ อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ในชาวอเมริกันกว่า 10,000 ราย หน่วย CDC และบริษัทยา ที่ผลิตวัคซีน mRNA รอไว้แล้ว จึงจัดฝึกซ้อมขนาดใหญ่โด่งดังมาก เพื่อรับมือกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยในแผนกำหนดให้มีผู้ติดเชื้อไวรัสนี้และป่วยทั่วโลก 50 ล้านราย ปลาย ต.ค.2562 ทหารอเมริกัน ที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 เดินทางไปแข่งกีฬาทหารโลก และพักโรงแรมด้านข้างตลาดนครอู่ฮั่น มลทลหูเป่ยของจีน พวกเขาเดินเที่ยวในตลาดดังกล่าว และมีอาการป่วยไข้สูงมากราว 10 ราย ทางการสหรัฐ รีบขนทหารเหล่านั้น กลับอเมริกาทางเครื่องบินทันที ปี 2563 เกิดการระบาดโคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 จากตลาดนครอู่ฮั่น ของจีน เป็นชาติที่ 2 ต่อจากสหรัฐ แล้วระบาดไปทั่วโลก ต่อมา WHO ที่ได้รับทุนจาก USAID ด้วย ออกมายอมรับว่า แจ้งให้สาธารณสุขยูเครน ทำลายเชื้อชีวภาพห้องแลปนั้นแล้ว แต่ตรวจสอบไม่ได้ว่าทำหรือไม่ ตั้งชื่อว่า "โรคไวรัส COVID-19" ขณะนั้น CIA ให้ข้อมูลปลอมกับทรัมป์ ว่าระบาดมาจากจีน ทำให้เขาหลงเชื่อเรียกไข้หวัดจีน ต่อมาระบาดใหญ่ไปทั่วโลกป่วย 700 ล้านคน (เป็นชาวอเมริกัน 111 ล้านคน) คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไป 7 ล้านคน (เป็นชาวอเมริกัน 1.2 ล้านคน) Credit: World Update
(ตอน 1) เปิดโปง! วิธีการ USAID ให้ทุนสร้างเชื้อโควิดจากค้างคาวโปรแกรม PREDICT .....ภายหลังประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กลับเข้าสู่อำนาจ และมอบหมายฝ่ายบริหารขุดคุ้ยองค์กร USAID ที่ได้รับงบประมาณเท่าที่เปิดเผยได้ปีละราว 30,000 ล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจโครงการ USAID ก็ได้เวลาเปิดเผยความลับที่พยายามปกปิดชาวโลกมานาน อีลอน มัสก์ หัวหน้ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) และรูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ สั่งปลด ผู้อำนวย USAID ออก แล้วทรัมป์ตั้งเขารับหน้าแทน จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับต่างๆ ที่คนสนใจมากที่สุด คือ "อาวุธชีวภาพไวรัสโควิด-19" โปรแกรม "PREDICT" ที่ได้รับทุนจาก USAID ซึ่งนำไปสู่การสร้างไวรัส SARS-CoV-2 และการระบาดของโควิด-19 จนมีผู้ป่วยทั่วโลก 700 ล้านราย เสียชีวิต 7 ล้านราย บริษัทยาบังคับฉีดวัคซีน mRNA รวยเละ และด้อยค่าวัคซีนจีน โปรแกรมนี้เริ่มต้นในปี 2552 ดำเนินการใน 30 ประเทศทั่วโลก อ้างบังหน้าว่าจะเป็นวิธีการหยุดยั้งการระบาดของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ล่วงหน้า โดยกระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการเทียม เพิ่มประสิทธิภาพของเชื้อก่อโรคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ไข้หวัดนก และไวรัสโคโรนาในค้างคาว วิจัยเชื้อเหล่านี้ อ้างบังหน้าว่า ผลิตวัคซีนไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ไวรัสเหล่านี้กลายพันธุ์ในป่าและแพร่ระบาดสู่มนุษย์ แต่แล้วกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ก็ต้องการต่อยอดงานวิจัยสร้างอาวุธชีวภาพในห้องแล็บ โดยทำให้เชื้อโรคเหล่านี้แพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้ ซึ่งเรียกว่า “การได้รับหน้าที่ (gain of function) ” หรือ “วิวัฒนาการแบบกำหนดทิศทาง (directed evolution)” ผู้ร่วมดำเนินโครงการ คือ USAID , EcoHealth Alliance, Metabiota (ฮันเตอร์ ไบเดน) , UC Davis, Wildlife Conservation Society , Smithsonian Institution Metabiota บริษัทห้องแล็บชีวภาพ ได้รับเงินทุนจากโครงการนี้ และได้รับเงินทุนจาก Rosemont Seneca ของ ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายอดีตผู้นำสหรัฐ มีนักไวรัสวิทยา คือ Nathan Wolfe เขาเรียกตัวเองว่า “Virus Hunter” มีความสัมพันธ์ทางการเงินกับครอบครัวไบเดน , คลินตัน อดีตผู้นำสหรัฐอีกราย ปี 2553 เขาเขียนหนังสือชื่อ “The Viral Storm: The Dawn of a New Pandemic Age” (2011) ระบุว่าอนาคตจะเต็มไปด้วยโรคระบาด และวิธีเดียวคือต้องให้เงินหลายล้านดอลลาร์แก่เขา เพื่อพัฒนาเชื้อโรค และผลิตวัคซีน ปี 2557 หน่วย CIA และกระทรวงต่างประเทศ ในยุครัฐบาลโอบามา ใช้ทุน USAID ก่อการรัฐประหารเข้ายึดครองยูเครน ทำให้บริษัท Metabiota (ฮันเตอร์ ไบเดน) ได้รับสัญญาจาก USAID/DoD ในขณะนั้นโจ ไบเดน ยังเป็นรองประธานาธิบดี เขาผลักดันอนุมัติเงินให้ลูกชาย เริ่มค้นหาโคโรนาไวรัสในค้างคาวในโครงการ PREDICT และดำเนินการห้องปฏิบัติการราว 35 แห่งในยูเครน ทั้งหมดนี้ดูได้ในหน้าเว็ปที่รัฐบาลทรัมป์ เปิดเผยการใช้จ่ายของโครงการเหล่านี้ เครดิต World update