Somnuke

Somnuke's avatar
Somnuke
SOMNUKE@RIGHTSHIFT.TO
npub1xzh2...e7dt
ผมชื่อสมนึก มาจากองค์การสร้างความปวดกบาลแห่งชาติ
เปิดโปงวิธี "ทำลาย" บิตคอยน์ ที่ง่ายที่สุด เรียกว่า 51% Attack image หากคุณต้องการทำลายมัน ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว ด้วยการโจมตีความเชื่อมั่นที่ว่า ไม่มีใครหน้าไหนสามารถควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือโกงบิตคอยน์ได้ แล้วต้องทำยังไง ง่ายแค่ไหน...มาดูกัน 51% attack อธิบายง่ายๆ คือ การถือกำลังขุด ระดับที่มากกว่า "ครึ่งหนึ่ง" ของทั้งระบบ สมมติวันนี้ บิตคอยน์ มีกำลังขุดเท่ากับ 100 เราต้องลงทุนสร้างกำลังขุดใหม่ (หรือรวมกำลังขุดเดิม) เพื่อให้เรามีกำลังขุด มากกว่า ทั้งระบบ ผลลัพธ์จากการโจมตี หลักๆ มี 3 กรณี 1. Double-spending คือ การดึงบิตคอยน์ที่โอนไปแล้ว กลับคืนมา เช่น ผมโอน 1000btc ไปซื้อเรือยอร์ช ขณะที่การโอนนี้กำลังยืนยันลงในบล็อก ผมก็รีบใช้กำลังขุดเกินครึ่งที่มี ไปสร้างบล็อกใหม่แทนที่ โดยยกเลิกธุรกรรม 1000btc ให้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้เงินก้อนนี้กลับมาอยู่กับผม 2. Empty Block Attack ขุดบล็อกเปล่า ไปแทนที่บล็อกล่าสุดในเชนหลัก ทำให้กลายเป็นบล็อกว่าง ไม่มีธุรกรรมใดๆ แต่ธุรกรรมที่กำลังโอนไปมาช่วงนั้น ไม่ได้หายไปไหน มันแค่ถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ หยุดโจมตีเมื่อไหร่ ระบบก็กลับมาทำงานได้ทันที กรณีนี้ผู้โจมตีไม่ได้ประโยชน์อะไร แค่ป่วนระบบเล่นๆ 3. เซ็นเซอร์ธุรกรรมของคนที่หมั่นไส้ เพื่อความสะใจ คือ ตั้งใจไม่รวมบางธุรกรรมไว้ในบล็อกที่กำลังโจมตี แต่ธุรกรรมนั้นก็ไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน แค่เลื่อนออกไปเฉยๆ โอนช้าลง สิ่งที่ทำได้จากการโจมตี หลักๆ ทำได้แค่นี้นะครับ วิธีที่ 2 ที่ 3 ไม่รู้ทำไปทำไม เพราะคนโจมตีไม่ได้อะไรเลย นอกจากทำแก้เบื่อ แต่ที่ดูน่าสนใจและส่งผลร้ายแรงที่สุด คือ วิธีที่ 1 Double spending หรือการดึงบิตคอยน์ที่โอนไปแล้ว กลับคืนมา แต่แก้ได้แค่ธุรกรรมของ "ตัวเอง" เท่านั้นนะ ไปยุ่มย่ามรุงรังกับ บิตคอยน์ในกระเป๋าของคนอื่น ไม่ได้! ย้ำอีกครั้ง! มันทำได้แค่นี้ ไม่สามารถแก้ไข สากกะเบือยันเรือรบอะไรก็ได้ ไม่สามารถ ดูดเงินบัญชีคนอื่น มาเป็นของตัวเอง ไม่สามารถ แก้ตัวเลขตามใจชอบ ไม่สามารถ เปลี่ยน นโยบายบ้าๆ บอๆ ตามต้องการ คำถามต่อมา แล้วใครฉิบหายสูงสุด เมื่อมีคนทำ 51% Attack สำเร็จ? คำตอบนี่ตลกร้ายสุดๆ เพราะมันคือ ตัวคนโกงนั่นเอง แม้เป็นวิธีโกงที่ง่ายที่สุด แต่มันไม่ง่ายเหมือนชื่อ ไม่ใช่ใครอยากจะโกง ก็โกงได้ดื้อๆ เขาจำเป็นต้อง "ลงทุน" ก่อน ผู้โจมตี ต้องลงทุนอะไรบ้าง ก่อนจะโจมตีได้? 1. ลงทุนซื้อที่ดิน พื้นที่ขนาดประเทศเล็กๆ ประเทศนึง 2. สร้างอภิมหาโรงงานผลิตเครื่องขุดและชิปส์เอง เพราะเครื่องขุดขาดตลาดแทบตลอด ส่วนชิปส์นี่อาจจะหนักกว่า ดังนั้นต้องสร้างเอง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจำนวนมาก ระดับเท่ากับที่ระบบทั้งหมดมี 3. สร้างโรงไฟฟ้า ระดับจ่ายไฟให้ประเทศ วันนี้เครือข่ายบิตคอยน์ใช้พลังงานพอๆ กับประเทศไทย แถมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลองคำนวณเล่นๆ ดู ว่าต้องใช้กี่โรง 4. สร้างโรงวางเครื่องขุดกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมระบบที่จำเป็นครบครัน เช่นระบบจ่ายไฟ ระบายความร้อน 5. จ้างคนมาดูแลโปรเจกต์ทั้งหมด อาจจะหลายพันคน ต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ มันระดับสร้างประเทศใหม่ เท่านั้นเอง คิดว่าน่าต้องใช้เวลาก่อสร้างหลายสิบปี เมื่อทำที่ว่ามา เสร็จสิ้น คุณก็พร้อมแล้ว ที่จะเริ่มรันระบบ เพื่อทำการโกง นอกจากเม็ดเงิน ที่ลงทุนทิ้งไปก่อนแล้ว ยังมีต้นทุนผันแปร คือ ค่าไฟฟ้า ที่ต้องจ่ายระหว่าง ทำการโจมตี ณ วันนี้ จ่ายเบาๆ แค่ 2-3 ล้านดอลลาร์ ต่อ "ชั่วโมง" มีเงื่อนไขสำคัญ คือ เมื่อโอนบิตคอยน์ออกไปแล้ว ต้องรีบโจมตีให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ความยากคือ แม้ถือครองกำลังขุดเกินครึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าจะโจมตีสำเร็จทันที เพราะมันคือการสุ่ม ซึ่งต้องอาศัย "โชค" อย่างมาก (นอกจากจะถือครองกำลังขุดระดับ 80-90%) - 10 นาทีแรก มีโอกาสสำเร็จสูงสุด เพราะบล็อกเชนยังสั้น ไม่มีบล็อกใหม่ที่ถูกยืนยัน - หากโจมตีไม่สำเร็จใน 10 นาที ความยากจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งนาน ยิ่งมีบล็อกที่ถูกยืนยันมากตาม และเมื่อทำ 51% attack สำเร็จ โหนด (ผู้พิทักษ์บัญชี), ทีมพัฒนา จะรับรู้ในเวลาอันสั้น ไม่นานข่าวจะแพร่กระจายไปยังทุกคน แน่นอนตามมาด้วย ความเชื่อมั่นว่าบิตคอยน์ไม่สามารถโกงได้ พังทลายแบบไม่เหลือซาก ราคาบิตคอยน์ทิ้งดิ่ง เทกระจาดอย่างรุนแรง หรืออาจเหลือ 0 เลยก็ได้ วินาทีนี้ ใครถือบิตคอยน์ ซวย แต่ไม่เท่าคนถือกำลังขุดสูงสุดอย่าง ผู้โกง เพราะ การลงทุนระดับสร้างประเทศ ใช้เวลาก่อสร้างไม่รู้ตั้งกี่สิบปี รวมถึง 1000btc ที่กลับมาอยู่ในกระเป๋าจากการโกง มันก็กลายเป็นเศษขยะไร้ค่า ตามราคาบิตคอยน์ที่พังพินาศลงทันทีเช่นกัน พูดง่ายๆ ว่า บิตคอยน์คือของล้ำค่า ที่เมื่อใดคุณโกงมัน มันจะกลายเป็นก้อนหินไร้ค่า และคนที่โกงนั่นแหละ คือ ผู้ฉิบหายสูงสุด ธรรมชาติของมนุษย์จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ ต้องเป็นคนแบบไหน ถึงจะกล้าทำสิ่งนี้? คงต้องโคตรๆๆๆ รวยและโคตรๆๆๆ บ้าเกินจินตนาการ ถึงจะกล้าทุบหม้อข้าวตัวเองวินาศสันตะโร ด้วยทำให้การลงทุนของตัวเองกลายเป็น 0 เพราะถ้าเขาเล่นตามกติกา ขุดปกติเหมือนชาวบ้าน เขาจะกลายเป็นคนที่ได้รับผลตอบแทนสูงสุด ในระบบของบิตคอยน์ คนที่ร่ำรวยจนมีปัญญาลงทุนขนาดนี้ได้ เขาคงมีสมอง แถมกำลังขุดที่เขามี จะทำให้ระบบบิตคอยน์แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ผมแฉแบบหมดเปลือกแล้วใครอยากโกง เรียนเชิญนะครับ แล้วไม่ต้องหวังว่า งั้นไปทำลายทางอื่นแทนดีกว่า เพราะวิธีอื่นๆ มันยากยิ่งกว่านี้ แบบเทียบกันไม่ติด #Siamstr
ราคาข้าวของไม่ได้แพงขึ้น แต่เงินต่างหากที่ "เสื่อมค่า" ลงตลอดเวลา ถ้าคุณอยากรู้ว่า เงิน เสื่อมค่าลงแค่ไหน? ให้เทียบกับราคาทองคำ เพราะทองคำ คือสิ่งที่มนุษย์เอามาใช้เป็น เงิน ยาวนานที่สุดหลายพันปี แม้แต่ช่วงยุค Bretton Woods System (ก่อนพ.ศ. 2514) ที่เรามี เงินกระดาษ ใช้กันแล้ว เงินที่แท้จริง ก็ยังคงเป็น ทองคำ และเงินกระดาษ มีสถานะ "ตั๋วแลกเงิน" ที่สามารถเอาไปแลกคือเป็นเงินจริงๆ อย่างทองคำได้ จากรูปเห็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นไหมครับ สภาวะรายได้คนทำงานหยุดชะงัก สวนทางกับราคาข้าวของที่พุ่งขึ้นมหาศาล ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือปีเดียวกับที่โลกเรา ใช้มาตรฐานการเงินใหม่ เรียกว่า มาตรฐานเฟียต สาระสำคัญคือ เลิกผูกค่าเงิน กับ ทองคำ (ที่เสกไม่ได้) เปลี่ยนมาใช้ พันธบัตร หรือ "หนี้" ที่เสกได้เท่าไรก็ได้จากอากาศ นับตั้งแต่นั้น เงินเฟ้อที่เคยเป็นภัยคุกคาม และเป็นเรื่องชั่วคราว กลายมาเป็น "ของดีถาวร" ที่ขาดไม่ได้ ทุกอย่างก็เริ่มกลับตาลปัตร จากยุคที่เคย เศรษฐกิจดี ผู้คนก็อยู่ดีกินดีตามไปด้วย (รูปแรก) สมัยที่เงินยังผูกค่ากับทอง กลายเป็นว่า เศรษฐกิจโตทุกปี ราคาข้าวของแพงขึ้นทุกปี แต่รายได้คนทำงาน ไม่โตตามอย่างรุนแรง หนักถึงขั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ประชาชน แซงมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่มีคนกลุ่มเล็กๆ ยิ่งร่ำรวยขึ้น เพราะสามารถสร้างหนี้ได้มากกว่าในต้นทุนต่ำกว่าคน (มีไม่ถึง 5% ของประชากร) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มันถ่างออกยิ่งกว่ายุคไหนๆ คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงอภิสิทธิ์นี้ ค่อยๆ ยากจนลงโดยไม่รู้ตัว ยิ่งนานชีวิตยิ่งยากขึ้น เพราะเงินเดือนโตไม่ทันค่าครองชีพ แค่เวลา 50 กว่าปี - เงินเดือนเริ่มต้นคนทำงานทั่วไป จากเคยซื้อข้าวได้เกิน 1000 จาน (เทียบเท่า 5-60,000 วันนี้) ซื้อทองได้ 2 บาท วันนี้เหลือ 2-300 จานที่กินไม่อิ่ม - เคยผ่อนบ้านแค่ 10 ปี มาวันนี้ 30-40 ปี เริ่มเอาไม่อยู่ - เงินออมถูกทำลายมูลค่าอย่างหนัก ยิ่งถือนาน ยิ่งเสื่อมค่า เงินที่วันนี้ซื้อข้าวได้ 100 จาน อีก 30 ปีข้างหน้า มันจะเหลือ 10 จาน ถือเงิน 10 ล้านเฉยๆ ใช้ประหยัดๆ มันก็ไม่พอเกษียณนะครับ นอกจากจะเปลี่ยนมันเป็นสินทรัพย์อื่นที่รักษามูลค่าได้ - Gen Y กลายเป็นคนรุ่นแรกที่โดยเฉลี่ย ยากจนกว่าคนรุ่นพ่อแม่ อายุ 30-40 แล้ว ส่วนใหญ่ยังสร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้ - ตัวเองยังลำบาก จะสร้างครอบครัวก็ยาก ทำงานทั้งผัวทั้งเมีย เลี้ยงลูกสักคนนึงแทบตาย จนอัตราการตายแซงอัตราการเกิดไปเป็นที่เรียบร้อย - เมื่อคนจำนวนมากมีชีวิตยากลำบาก ก็จำเป็นต้องเห็นแก่ตัวไว้ก่อนเพื่อเอาตัวรอด ไม่มีเวลาไปคิดถึงคนอื่นหรือคิดถึงส่วนรวม คุณภาพสังคมก็ค่อยๆ แย่ลง ตัวอย่างคนเกิดทันยุคนั้น คือ แม่ผมเอง เป็นครูชั้นผู้น้อย ได้เงินเดือนเริ่มต้น 1,080 บาท ข้าวจานละ 1 บาท ทองบาทละ 5-600 เริ่มทำงานก็มีชีวิตที่มั่นคงทันที สร้างครอบครัวตั้งแต่อายุน้อย ผ่อนบ้านหลังแรกจบอายุ 30 ต้น คนเริ่มทำงานวันนี้ ต้องมีเงินเดือนอย่างต่ำ 50,000 ถึงจะพอมีคุณภาพชีวิตพอๆ กับเขา image แล้วถ้า 54 ปีที่ผ่าน เงิน ยังคงหนุนหลังด้วย ทองคำ เหมือนเมื่อก่อน จะเกิดอะไรขึ้น? เส้นสีเหลือง (รูปล่าง) คือ ราคาข้าวของต่าง ๆ ในหน่วยทองคำ มันเห็นชัดๆ ว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉลี่ย มันเท่าๆ เดิม และมีแนวโน้มถูกลงด้วยซ้ำ เพราะอะไร? 1. ทองคำเสกไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าเทคโนโลยีดีแค่ไหน เราก็ไม่เคยขุดทองคำได้มากกว่า 2% ต่อปีอย่างถาวร 2. ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ถูกจำกัด" จะพิมพ์เงินต้องไปหาทองคำมาสำรองก่อน 3. ดังนั้น เงินกระดาษที่มีทองคำหนุนหลัง จึงเก็บรักษามูลค่าได้ เงินต่อหน่วยมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะเศรษฐกิจ (demand) โตมากกว่า ปริมาณเงิน (supply) บวกกับ เทคโนโลยีที่ดีขึ้นทุกวัน มันเข้ามาช่วยลดต้นทุนในการค้าและการผลิตลงเรื่อยๆ สินค้าถูกลงแต่คุณภาพดีขึ้น ค่าครองชีพค่อยๆ ลดเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในสังคมก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทีละน้อย แต่ในวันนี้ เมื่อเงินถูกสร้างจาก "หนี้" ที่เสกขึ้นจากอากาศ ไม่จำเป็นต้องหาทองคำมาสำรองอีกต่อไป มันปลดล็อก ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ไม่จำกัด" ปริมาณเงินขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ กลุ่มคนที่ควบคุมแท่นพิมพ์เงิน สุดท้ายเราก็เข้าสู่ยุคเอะอะพิมพ์เงินแบบเต็วตัว ผ่านกลไกการสร้างหนี้ แม้เทคโนโลยีดีขึ้นแค่ไหน ลดต้นทุนได้มากเท่าไหร่ มันก็ไม่มากพอที่จะหยุดยั้งราคาทุกสิ่งให้แพงขึ้น เพราะ เศรษฐกิจและความมั่งคั่งของชาติ เสก ไม่ได้ แต่เงินกลับ เสก ได้ง่ายๆ จากอากาศ ในอัตราที่มากกว่า การเติบโตของเศรษฐกิจ "หลายเท่า" ทุกปี ต่อเนื่องหลายสิบปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น ปีก่อน เมกาพิมพ์เงิน 2 ล้านดอลต่อนาที วันนี้ เมกาพิมพ์เงิน 3 ล้านดอลต่อนาที อัตราการเสกเงินเพิ่มขึ้น 50% ภายในปีเดียว คำถามคือ เศรษฐกิจของเขา โตขึ้นเท่าไหร? แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินดอลลาร์คือมาตรฐานของโลกใบนี้ ทุกประเทศต้องใช้มันเป็นทุนสำรอง และเป็นหน่วยกลางในการค้าขายระหว่างกัน ดังนั้นเมื่อพี่เบิ้ม ทำการสร้างเงินเฟ้อ มันจะถูกส่งออกไปให้ทั้งโลก ช่วยกันรับผิดชอบ ส่วนไทยเรา ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ปีละ 6.67% ทบต้น คำถามคือ มีกี่ปี ที่เศรษฐกิจเราโตระดับนั้น? คำตอบคือแทบไม่มี ทางที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด ในออกจากวงจรอุบาทว์ ระบบส้นตีนสารชั่วนี่ คือ เปลี่ยนเงินปลอมๆ ชาติหมานี่ เป็น "บิตคอยน์" ให้มากที่สุด เท่าที่สภาพคล่องในชีวิตยังถูไถไปต่อได้ จริงหรือเพ้อเจ้อ อนาคตมาดูกัน #Siamstr
วิธีแก้ปัญหาข้าวของแพง? แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ - ❌❌❌ แก้ค่าถ่วงน้ำหนัก - ✅✅✅ image นี่คือเบื้องหลังของตัวเลขเงินเฟ้อต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ต้นปีนี้ สินค้าในหมวดอาหาร พลังงาน ค่าเช่าและราคาบ้าน ในเมกาปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกันพรวดๆ รวมถึงร้านอาหารก็แห่ปรับราคาตาม พ่อพระแก้ไขปัญหาโดยการ ปรับลด "ค่าถ่วงน้ำหนัก" ลง เพื่อให้ของแพงเหล่านั้น มีผลต่อตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) น้อยๆ ค่าถ่วงน้ำหนักที่ถูกปรับในรอบล่าสุด: 1. ปรับลด เช่น - หมวดเนื้อสัตว์ต่างๆ และไข่ -7% - หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลฯ -14% - หมวดผักผลไม้ -4% 2. ปรับขึ้น - หมวดอาหารเบ็ดเตล็ด เช่น เครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว +14% - หมวดซีเรียลและเบเกอรี่ +12% หลอกผู้คนว่าสบายใจได้ ไม่มีอะไรแพงขึ้นทั้งนั้น แม้ว่าความเป็นจริง ผู้กำลังโอดโอยกับค่าครองชีพที่พุ่งทะยานขึ้นไม่หยุด ซึ่งสินค้าบางหมวดฝรั่งถึงกับใช้คำว่า Skyrocket เช่น ไข่พุ่งสูง 15.2% จากเดือนที่แล้ว โหลนึงปาไป 300 กว่าบาท (พุ่งเกิน 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน แพงขึ้นเกือบ 3 เท่าใน 3 ปี) นอกจากการปรับค่าถ่วงน้ำหนักแต่ละหมวดที่มีปัญหาแล้ว เนื้อในยังมีการปรับเปลี่ยนสินค้ารายตัวและค่าถ่วงน้ำหนักซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เช่น ลดค่าถ่วงน้ำหนัก เนื้อ ที่แพง แล้วไปเพิ่ม หมู ไก่ หรือปลา ที่ถูกกว่าแทน และหากตัวไหนเหิมเกริม พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เกินไป มันจะถูกพิจารณา "นำออก" จากตะกร้าในการคำนวณไปเลย และตัวเลขค่าถ่วงน้ำหนักหมวดอาหาร ถูกปรับลดลงเรื่อยๆ แทบทุกปี จนข้อมูลล่าสุด ปี 2025 เหลือแค่ 13% หมายความว่า สินค้าหมวดอาหาร กระทบกับค่าครองชีพผู้คน เพียง 13% ของรายได้เท่านั้น สมเหตุสมผลดีมั้ยครับ? ปรับไปปรับมาจนได้ตัวเลขที่พอใจ ส่งผลให้เงินเฟ้อเดือน ม.ค. 25 เทียบกับเดือนก่อน เท่ากับ 0.5% และเทียบปีที่แล้ว เหลือเพียง 3% CPI ดัชนีตอแหลผู้บริโภค #Siamstr
Do every fucking thing to STACK SATS ในยุคปู่ย่าตาทวด หากต้องการครอบครองที่ดิน ก็แค่ยอมเหนื่อยไปตัดไม้ถางหญ้า ใช้แรงเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์ ถ้าทุกคนรู้ว่าที่ดินจะเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างทุกวันนี้ คงแห่ไปไล่จับจองกันแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน สำหรับบิตคอยน์ มันอาจยิ่งกว่าที่ดินตอนนั้น เพราะวันนึง ทุกคนบนจักรวาลนี้ต้องวิ่งเข้าหามันเมื่อถึงเวลา และ 21 ล้าน มันไม่เพียงพอแค่จะให้เศรษฐีบนโลก ถือกันคนละ 1 เหรียญ นี่คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะมันเป็นเงินซึ่งคุณสมบัติที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน เกิดช้ากว่านี้ก็เจอ เกิดเร็วกว่านี้ก็ไม่ทัน เป็นจังหวะที่พิเศษมากจริงๆ ที่จะครอบครองบิตคอยน์ ในวันที่คน 99% ยังไม่รับรู้ความร้ายกาจของมัน โดยเฉพาะคนธรรมดา มันอาจเป็นตั๋วเที่ยวเดียวที่จะทวงคืนความมั่งคั่งที่ถูกระบบเงินเฮงซวย ปล้นไปกลับคืนมา ราคา 1แสนดอลวันนี้ ก็ดูแพงแหละ แต่จริงๆ แล้วเทียบเท่า 0.2% ของความมั่งคั่งทั้งโลกเท่านั้นเอง ต้องกราบเรียนว่า แค่ 1% ที่จะวิ่งเข้ามาใน เงินที่มั่นคงที่สุด มันก็แค่ปากซอย บิตคอยน์ จะสูบมูลค่าส่วนเกิน ที่ไปบวมอยู่ในทุกสินทรัพย์อย่างบ้าคลั่ง และทำให้ เงิน กลับมารักษามูลค่าได้อีกครั้ง เงินเฟ้อจะกลายเป็นความหลังที่เอาไว้โม้ลูกโม้หลานในวันที่เราแก่ชรา มันฟังดูเว่อร์ เพ้อเจ้อเป็นบ้า แต่คงไม่ต่างกับการบอกทวดเราว่า รบกวนดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อไปถางหญ้าแล้วจับจองที่ดินไว้ให้มากที่สุด ซึ่งท่านคงจะตอบกลับมาว่า ไอ้ฟาย ที่ดินเป็นสิ่งไร้ราคาเพราะมีตั้งมากมายเกินจินตนาการ จะใช้ประโยชน์เมื่อไร ค่อยไปถางเท่าที่จะใช้ก็พอ จะเหนื่อยเกินคงามจำเป็นไปให้โง่ การเก่งหลังเกม กับอดีตที่ผ่านไปแล้วเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย ใครๆ ก็ "รู้งี้" ได้ ในวันที่ทุกอย่างถูกเฉลยไปแล้ว แต่คนที่คว้าโอกาสได้ มีเพียงแค่หยิบมือ เพราะความจริงมันโคตรช้าเสมอ และการมองการณ์ไกลในระดับที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เป็นอะไรที่ยากจริงๆ คนที่มองเห็นโอกาสในยุคนั้น ก็ตือกลุ่มคนชนชนสูงผู้ร่ำรวยในยุคนี้ ราคาบิตคอยน์ 1แสนดอลวันนี้ ดูแพงเป็นบ้า ทำใจซื้อไม่ค่อยลง แต่มูลค่ามันเพิ่งเทียบเท่า 0.2% (2T) ของความมั่งคั่งทั้งโลกเท่านั้นเอง (1000T) ต้องกราบเรียนว่า แค่ 1% ที่จะวิ่งเข้ามามันก็แค่ปากซอย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่พันปี มนุษย์จะวิ่งเข้าหาเงินที่ดีที่สุด เหมือนกับอดีตในยุคที่ไร้เทคโนโลยีการสื่อสาร ผู้คนทั่วโลกต่างยอมรับทองคำเป็นเงิน โดยไม่ได้นัดหมาย คนที่มาก่อนต่างมั่งคั่งขึ้น และใครที่ช้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยากจนลง คำถามคือ ถ้าบรรพบุรุษรู้ว่า ที่ดินใจกลางสุขุมวิท จะมีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ เขาจะยอมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เพื่อครอบครองมัน หรือจะเจียดเศษเงินไปจอแบ่งซื้อซัก 1-2 ตารางเมตร? ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ในวันนี้คำตอบนั้น กำลังเกิดขึ้นกับท่าน และสิ่งนั้น คือ บิตคอยน์ สุดท้ายนี้ "ไม่มีอะไรแน่นอน" บิตคอยน์อาจกลายเป็นฝันร้ายให้ทุกคนที่ถือมันก็ได้...เราได้แต่เดากับข้อมูลที่มีอยู่ ใครมันจะไปรู้จริง คุณจะยอมรับ จะปฏิเสธ หรือจะครึ่งๆ กลางๆ ไม่ว่าตัดสินใจยังไงก็รับผลจากการกระทำของตัวเองครับ แต่สำหรับตัวผมนั้น พร้อมเดิมพันกับเกมนี้สุดชีวิต #Siamstr