เปิดโปงวิธี "ทำลาย" บิตคอยน์ ที่ง่ายที่สุด เรียกว่า 51% Attack
หากคุณต้องการทำลายมัน ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว
ด้วยการโจมตีความเชื่อมั่นที่ว่า ไม่มีใครหน้าไหนสามารถควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือโกงบิตคอยน์ได้
แล้วต้องทำยังไง ง่ายแค่ไหน...มาดูกัน
51% attack อธิบายง่ายๆ คือ
การถือกำลังขุด ระดับที่มากกว่า "ครึ่งหนึ่ง" ของทั้งระบบ
สมมติวันนี้ บิตคอยน์ มีกำลังขุดเท่ากับ 100
เราต้องลงทุนสร้างกำลังขุดใหม่ (หรือรวมกำลังขุดเดิม) เพื่อให้เรามีกำลังขุด มากกว่า ทั้งระบบ
ผลลัพธ์จากการโจมตี หลักๆ มี 3 กรณี
1. Double-spending
คือ การดึงบิตคอยน์ที่โอนไปแล้ว กลับคืนมา
เช่น ผมโอน 1000btc ไปซื้อเรือยอร์ช
ขณะที่การโอนนี้กำลังยืนยันลงในบล็อก
ผมก็รีบใช้กำลังขุดเกินครึ่งที่มี ไปสร้างบล็อกใหม่แทนที่
โดยยกเลิกธุรกรรม 1000btc ให้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ทำให้เงินก้อนนี้กลับมาอยู่กับผม
2. Empty Block Attack
ขุดบล็อกเปล่า ไปแทนที่บล็อกล่าสุดในเชนหลัก
ทำให้กลายเป็นบล็อกว่าง ไม่มีธุรกรรมใดๆ
แต่ธุรกรรมที่กำลังโอนไปมาช่วงนั้น ไม่ได้หายไปไหน
มันแค่ถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ
หยุดโจมตีเมื่อไหร่ ระบบก็กลับมาทำงานได้ทันที
กรณีนี้ผู้โจมตีไม่ได้ประโยชน์อะไร แค่ป่วนระบบเล่นๆ
3. เซ็นเซอร์ธุรกรรมของคนที่หมั่นไส้ เพื่อความสะใจ
คือ ตั้งใจไม่รวมบางธุรกรรมไว้ในบล็อกที่กำลังโจมตี
แต่ธุรกรรมนั้นก็ไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน
แค่เลื่อนออกไปเฉยๆ โอนช้าลง
สิ่งที่ทำได้จากการโจมตี หลักๆ ทำได้แค่นี้นะครับ
วิธีที่ 2 ที่ 3 ไม่รู้ทำไปทำไม เพราะคนโจมตีไม่ได้อะไรเลย นอกจากทำแก้เบื่อ
แต่ที่ดูน่าสนใจและส่งผลร้ายแรงที่สุด
คือ วิธีที่ 1 Double spending
หรือการดึงบิตคอยน์ที่โอนไปแล้ว กลับคืนมา
แต่แก้ได้แค่ธุรกรรมของ "ตัวเอง" เท่านั้นนะ
ไปยุ่มย่ามรุงรังกับ บิตคอยน์ในกระเป๋าของคนอื่น ไม่ได้!
ย้ำอีกครั้ง! มันทำได้แค่นี้
ไม่สามารถแก้ไข สากกะเบือยันเรือรบอะไรก็ได้
ไม่สามารถ ดูดเงินบัญชีคนอื่น มาเป็นของตัวเอง
ไม่สามารถ แก้ตัวเลขตามใจชอบ
ไม่สามารถ เปลี่ยน นโยบายบ้าๆ บอๆ ตามต้องการ
คำถามต่อมา
แล้วใครฉิบหายสูงสุด เมื่อมีคนทำ 51% Attack สำเร็จ?
คำตอบนี่ตลกร้ายสุดๆ เพราะมันคือ ตัวคนโกงนั่นเอง
แม้เป็นวิธีโกงที่ง่ายที่สุด แต่มันไม่ง่ายเหมือนชื่อ
ไม่ใช่ใครอยากจะโกง ก็โกงได้ดื้อๆ
เขาจำเป็นต้อง "ลงทุน" ก่อน
ผู้โจมตี ต้องลงทุนอะไรบ้าง ก่อนจะโจมตีได้?
1. ลงทุนซื้อที่ดิน พื้นที่ขนาดประเทศเล็กๆ ประเทศนึง
2. สร้างอภิมหาโรงงานผลิตเครื่องขุดและชิปส์เอง
เพราะเครื่องขุดขาดตลาดแทบตลอด
ส่วนชิปส์นี่อาจจะหนักกว่า ดังนั้นต้องสร้างเอง
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจำนวนมาก ระดับเท่ากับที่ระบบทั้งหมดมี
3. สร้างโรงไฟฟ้า ระดับจ่ายไฟให้ประเทศ
วันนี้เครือข่ายบิตคอยน์ใช้พลังงานพอๆ กับประเทศไทย
แถมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลองคำนวณเล่นๆ ดู ว่าต้องใช้กี่โรง
4. สร้างโรงวางเครื่องขุดกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมระบบที่จำเป็นครบครัน เช่นระบบจ่ายไฟ ระบายความร้อน
5. จ้างคนมาดูแลโปรเจกต์ทั้งหมด อาจจะหลายพันคน
ต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ มันระดับสร้างประเทศใหม่ เท่านั้นเอง
คิดว่าน่าต้องใช้เวลาก่อสร้างหลายสิบปี
เมื่อทำที่ว่ามา เสร็จสิ้น คุณก็พร้อมแล้ว
ที่จะเริ่มรันระบบ เพื่อทำการโกง
นอกจากเม็ดเงิน ที่ลงทุนทิ้งไปก่อนแล้ว
ยังมีต้นทุนผันแปร คือ ค่าไฟฟ้า
ที่ต้องจ่ายระหว่าง ทำการโจมตี
ณ วันนี้ จ่ายเบาๆ แค่ 2-3 ล้านดอลลาร์ ต่อ "ชั่วโมง"
มีเงื่อนไขสำคัญ คือ เมื่อโอนบิตคอยน์ออกไปแล้ว
ต้องรีบโจมตีให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด
ความยากคือ แม้ถือครองกำลังขุดเกินครึ่ง
ก็ไม่ใช่ว่าจะโจมตีสำเร็จทันที เพราะมันคือการสุ่ม
ซึ่งต้องอาศัย "โชค" อย่างมาก (นอกจากจะถือครองกำลังขุดระดับ 80-90%)
- 10 นาทีแรก มีโอกาสสำเร็จสูงสุด เพราะบล็อกเชนยังสั้น ไม่มีบล็อกใหม่ที่ถูกยืนยัน
- หากโจมตีไม่สำเร็จใน 10 นาที ความยากจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งนาน ยิ่งมีบล็อกที่ถูกยืนยันมากตาม
และเมื่อทำ 51% attack สำเร็จ
โหนด (ผู้พิทักษ์บัญชี), ทีมพัฒนา จะรับรู้ในเวลาอันสั้น
ไม่นานข่าวจะแพร่กระจายไปยังทุกคน
แน่นอนตามมาด้วย ความเชื่อมั่นว่าบิตคอยน์ไม่สามารถโกงได้ พังทลายแบบไม่เหลือซาก
ราคาบิตคอยน์ทิ้งดิ่ง เทกระจาดอย่างรุนแรง หรืออาจเหลือ 0 เลยก็ได้ วินาทีนี้ ใครถือบิตคอยน์ ซวย
แต่ไม่เท่าคนถือกำลังขุดสูงสุดอย่าง ผู้โกง
เพราะ การลงทุนระดับสร้างประเทศ
ใช้เวลาก่อสร้างไม่รู้ตั้งกี่สิบปี
รวมถึง 1000btc ที่กลับมาอยู่ในกระเป๋าจากการโกง
มันก็กลายเป็นเศษขยะไร้ค่า
ตามราคาบิตคอยน์ที่พังพินาศลงทันทีเช่นกัน
พูดง่ายๆ ว่า บิตคอยน์คือของล้ำค่า ที่เมื่อใดคุณโกงมัน
มันจะกลายเป็นก้อนหินไร้ค่า
และคนที่โกงนั่นแหละ คือ ผู้ฉิบหายสูงสุด
ธรรมชาติของมนุษย์จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ ต้องเป็นคนแบบไหน ถึงจะกล้าทำสิ่งนี้?
คงต้องโคตรๆๆๆ รวยและโคตรๆๆๆ บ้าเกินจินตนาการ
ถึงจะกล้าทุบหม้อข้าวตัวเองวินาศสันตะโร
ด้วยทำให้การลงทุนของตัวเองกลายเป็น 0
เพราะถ้าเขาเล่นตามกติกา ขุดปกติเหมือนชาวบ้าน
เขาจะกลายเป็นคนที่ได้รับผลตอบแทนสูงสุด ในระบบของบิตคอยน์
คนที่ร่ำรวยจนมีปัญญาลงทุนขนาดนี้ได้ เขาคงมีสมอง
แถมกำลังขุดที่เขามี จะทำให้ระบบบิตคอยน์แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ผมแฉแบบหมดเปลือกแล้วใครอยากโกง เรียนเชิญนะครับ
แล้วไม่ต้องหวังว่า งั้นไปทำลายทางอื่นแทนดีกว่า
เพราะวิธีอื่นๆ มันยากยิ่งกว่านี้ แบบเทียบกันไม่ติด
#Siamstr
หากคุณต้องการทำลายมัน ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว
ด้วยการโจมตีความเชื่อมั่นที่ว่า ไม่มีใครหน้าไหนสามารถควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือโกงบิตคอยน์ได้
แล้วต้องทำยังไง ง่ายแค่ไหน...มาดูกัน
51% attack อธิบายง่ายๆ คือ
การถือกำลังขุด ระดับที่มากกว่า "ครึ่งหนึ่ง" ของทั้งระบบ
สมมติวันนี้ บิตคอยน์ มีกำลังขุดเท่ากับ 100
เราต้องลงทุนสร้างกำลังขุดใหม่ (หรือรวมกำลังขุดเดิม) เพื่อให้เรามีกำลังขุด มากกว่า ทั้งระบบ
ผลลัพธ์จากการโจมตี หลักๆ มี 3 กรณี
1. Double-spending
คือ การดึงบิตคอยน์ที่โอนไปแล้ว กลับคืนมา
เช่น ผมโอน 1000btc ไปซื้อเรือยอร์ช
ขณะที่การโอนนี้กำลังยืนยันลงในบล็อก
ผมก็รีบใช้กำลังขุดเกินครึ่งที่มี ไปสร้างบล็อกใหม่แทนที่
โดยยกเลิกธุรกรรม 1000btc ให้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ทำให้เงินก้อนนี้กลับมาอยู่กับผม
2. Empty Block Attack
ขุดบล็อกเปล่า ไปแทนที่บล็อกล่าสุดในเชนหลัก
ทำให้กลายเป็นบล็อกว่าง ไม่มีธุรกรรมใดๆ
แต่ธุรกรรมที่กำลังโอนไปมาช่วงนั้น ไม่ได้หายไปไหน
มันแค่ถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ
หยุดโจมตีเมื่อไหร่ ระบบก็กลับมาทำงานได้ทันที
กรณีนี้ผู้โจมตีไม่ได้ประโยชน์อะไร แค่ป่วนระบบเล่นๆ
3. เซ็นเซอร์ธุรกรรมของคนที่หมั่นไส้ เพื่อความสะใจ
คือ ตั้งใจไม่รวมบางธุรกรรมไว้ในบล็อกที่กำลังโจมตี
แต่ธุรกรรมนั้นก็ไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน
แค่เลื่อนออกไปเฉยๆ โอนช้าลง
สิ่งที่ทำได้จากการโจมตี หลักๆ ทำได้แค่นี้นะครับ
วิธีที่ 2 ที่ 3 ไม่รู้ทำไปทำไม เพราะคนโจมตีไม่ได้อะไรเลย นอกจากทำแก้เบื่อ
แต่ที่ดูน่าสนใจและส่งผลร้ายแรงที่สุด
คือ วิธีที่ 1 Double spending
หรือการดึงบิตคอยน์ที่โอนไปแล้ว กลับคืนมา
แต่แก้ได้แค่ธุรกรรมของ "ตัวเอง" เท่านั้นนะ
ไปยุ่มย่ามรุงรังกับ บิตคอยน์ในกระเป๋าของคนอื่น ไม่ได้!
ย้ำอีกครั้ง! มันทำได้แค่นี้
ไม่สามารถแก้ไข สากกะเบือยันเรือรบอะไรก็ได้
ไม่สามารถ ดูดเงินบัญชีคนอื่น มาเป็นของตัวเอง
ไม่สามารถ แก้ตัวเลขตามใจชอบ
ไม่สามารถ เปลี่ยน นโยบายบ้าๆ บอๆ ตามต้องการ
คำถามต่อมา
แล้วใครฉิบหายสูงสุด เมื่อมีคนทำ 51% Attack สำเร็จ?
คำตอบนี่ตลกร้ายสุดๆ เพราะมันคือ ตัวคนโกงนั่นเอง
แม้เป็นวิธีโกงที่ง่ายที่สุด แต่มันไม่ง่ายเหมือนชื่อ
ไม่ใช่ใครอยากจะโกง ก็โกงได้ดื้อๆ
เขาจำเป็นต้อง "ลงทุน" ก่อน
ผู้โจมตี ต้องลงทุนอะไรบ้าง ก่อนจะโจมตีได้?
1. ลงทุนซื้อที่ดิน พื้นที่ขนาดประเทศเล็กๆ ประเทศนึง
2. สร้างอภิมหาโรงงานผลิตเครื่องขุดและชิปส์เอง
เพราะเครื่องขุดขาดตลาดแทบตลอด
ส่วนชิปส์นี่อาจจะหนักกว่า ดังนั้นต้องสร้างเอง
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจำนวนมาก ระดับเท่ากับที่ระบบทั้งหมดมี
3. สร้างโรงไฟฟ้า ระดับจ่ายไฟให้ประเทศ
วันนี้เครือข่ายบิตคอยน์ใช้พลังงานพอๆ กับประเทศไทย
แถมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลองคำนวณเล่นๆ ดู ว่าต้องใช้กี่โรง
4. สร้างโรงวางเครื่องขุดกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมระบบที่จำเป็นครบครัน เช่นระบบจ่ายไฟ ระบายความร้อน
5. จ้างคนมาดูแลโปรเจกต์ทั้งหมด อาจจะหลายพันคน
ต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ มันระดับสร้างประเทศใหม่ เท่านั้นเอง
คิดว่าน่าต้องใช้เวลาก่อสร้างหลายสิบปี
เมื่อทำที่ว่ามา เสร็จสิ้น คุณก็พร้อมแล้ว
ที่จะเริ่มรันระบบ เพื่อทำการโกง
นอกจากเม็ดเงิน ที่ลงทุนทิ้งไปก่อนแล้ว
ยังมีต้นทุนผันแปร คือ ค่าไฟฟ้า
ที่ต้องจ่ายระหว่าง ทำการโจมตี
ณ วันนี้ จ่ายเบาๆ แค่ 2-3 ล้านดอลลาร์ ต่อ "ชั่วโมง"
มีเงื่อนไขสำคัญ คือ เมื่อโอนบิตคอยน์ออกไปแล้ว
ต้องรีบโจมตีให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด
ความยากคือ แม้ถือครองกำลังขุดเกินครึ่ง
ก็ไม่ใช่ว่าจะโจมตีสำเร็จทันที เพราะมันคือการสุ่ม
ซึ่งต้องอาศัย "โชค" อย่างมาก (นอกจากจะถือครองกำลังขุดระดับ 80-90%)
- 10 นาทีแรก มีโอกาสสำเร็จสูงสุด เพราะบล็อกเชนยังสั้น ไม่มีบล็อกใหม่ที่ถูกยืนยัน
- หากโจมตีไม่สำเร็จใน 10 นาที ความยากจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งนาน ยิ่งมีบล็อกที่ถูกยืนยันมากตาม
และเมื่อทำ 51% attack สำเร็จ
โหนด (ผู้พิทักษ์บัญชี), ทีมพัฒนา จะรับรู้ในเวลาอันสั้น
ไม่นานข่าวจะแพร่กระจายไปยังทุกคน
แน่นอนตามมาด้วย ความเชื่อมั่นว่าบิตคอยน์ไม่สามารถโกงได้ พังทลายแบบไม่เหลือซาก
ราคาบิตคอยน์ทิ้งดิ่ง เทกระจาดอย่างรุนแรง หรืออาจเหลือ 0 เลยก็ได้ วินาทีนี้ ใครถือบิตคอยน์ ซวย
แต่ไม่เท่าคนถือกำลังขุดสูงสุดอย่าง ผู้โกง
เพราะ การลงทุนระดับสร้างประเทศ
ใช้เวลาก่อสร้างไม่รู้ตั้งกี่สิบปี
รวมถึง 1000btc ที่กลับมาอยู่ในกระเป๋าจากการโกง
มันก็กลายเป็นเศษขยะไร้ค่า
ตามราคาบิตคอยน์ที่พังพินาศลงทันทีเช่นกัน
พูดง่ายๆ ว่า บิตคอยน์คือของล้ำค่า ที่เมื่อใดคุณโกงมัน
มันจะกลายเป็นก้อนหินไร้ค่า
และคนที่โกงนั่นแหละ คือ ผู้ฉิบหายสูงสุด
ธรรมชาติของมนุษย์จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ ต้องเป็นคนแบบไหน ถึงจะกล้าทำสิ่งนี้?
คงต้องโคตรๆๆๆ รวยและโคตรๆๆๆ บ้าเกินจินตนาการ
ถึงจะกล้าทุบหม้อข้าวตัวเองวินาศสันตะโร
ด้วยทำให้การลงทุนของตัวเองกลายเป็น 0
เพราะถ้าเขาเล่นตามกติกา ขุดปกติเหมือนชาวบ้าน
เขาจะกลายเป็นคนที่ได้รับผลตอบแทนสูงสุด ในระบบของบิตคอยน์
คนที่ร่ำรวยจนมีปัญญาลงทุนขนาดนี้ได้ เขาคงมีสมอง
แถมกำลังขุดที่เขามี จะทำให้ระบบบิตคอยน์แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ผมแฉแบบหมดเปลือกแล้วใครอยากโกง เรียนเชิญนะครับ
แล้วไม่ต้องหวังว่า งั้นไปทำลายทางอื่นแทนดีกว่า
เพราะวิธีอื่นๆ มันยากยิ่งกว่านี้ แบบเทียบกันไม่ติด
#Siamstr
แล้วถ้า 54 ปีที่ผ่าน เงิน ยังคงหนุนหลังด้วย ทองคำ เหมือนเมื่อก่อน จะเกิดอะไรขึ้น?
เส้นสีเหลือง (รูปล่าง) คือ ราคาข้าวของต่าง ๆ ในหน่วยทองคำ มันเห็นชัดๆ ว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉลี่ย มันเท่าๆ เดิม และมีแนวโน้มถูกลงด้วยซ้ำ
เพราะอะไร?
1. ทองคำเสกไม่ได้ ถูกจำกัดด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าเทคโนโลยีดีแค่ไหน เราก็ไม่เคยขุดทองคำได้มากกว่า 2% ต่อปีอย่างถาวร
2. ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ถูกจำกัด" จะพิมพ์เงินต้องไปหาทองคำมาสำรองก่อน
3. ดังนั้น เงินกระดาษที่มีทองคำหนุนหลัง จึงเก็บรักษามูลค่าได้ เงินต่อหน่วยมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะเศรษฐกิจ (demand) โตมากกว่า ปริมาณเงิน (supply)
บวกกับ เทคโนโลยีที่ดีขึ้นทุกวัน มันเข้ามาช่วยลดต้นทุนในการค้าและการผลิตลงเรื่อยๆ สินค้าถูกลงแต่คุณภาพดีขึ้น ค่าครองชีพค่อยๆ ลดเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในสังคมก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทีละน้อย
แต่ในวันนี้ เมื่อเงินถูกสร้างจาก "หนี้" ที่เสกขึ้นจากอากาศ
ไม่จำเป็นต้องหาทองคำมาสำรองอีกต่อไป
มันปลดล็อก ความสามารถในการพิมพ์เงิน "ไม่จำกัด" ปริมาณเงินขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ กลุ่มคนที่ควบคุมแท่นพิมพ์เงิน สุดท้ายเราก็เข้าสู่ยุคเอะอะพิมพ์เงินแบบเต็วตัว ผ่านกลไกการสร้างหนี้
แม้เทคโนโลยีดีขึ้นแค่ไหน ลดต้นทุนได้มากเท่าไหร่ มันก็ไม่มากพอที่จะหยุดยั้งราคาทุกสิ่งให้แพงขึ้น เพราะ
เศรษฐกิจและความมั่งคั่งของชาติ เสก ไม่ได้
แต่เงินกลับ เสก ได้ง่ายๆ จากอากาศ ในอัตราที่มากกว่า การเติบโตของเศรษฐกิจ "หลายเท่า" ทุกปี ต่อเนื่องหลายสิบปีที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่น
ปีก่อน เมกาพิมพ์เงิน 2 ล้านดอลต่อนาที
วันนี้ เมกาพิมพ์เงิน 3 ล้านดอลต่อนาที
อัตราการเสกเงินเพิ่มขึ้น 50% ภายในปีเดียว
คำถามคือ เศรษฐกิจของเขา โตขึ้นเท่าไหร?
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินดอลลาร์คือมาตรฐานของโลกใบนี้ ทุกประเทศต้องใช้มันเป็นทุนสำรอง และเป็นหน่วยกลางในการค้าขายระหว่างกัน
ดังนั้นเมื่อพี่เบิ้ม ทำการสร้างเงินเฟ้อ มันจะถูกส่งออกไปให้ทั้งโลก ช่วยกันรับผิดชอบ
ส่วนไทยเรา ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ปีละ 6.67% ทบต้น
คำถามคือ มีกี่ปี ที่เศรษฐกิจเราโตระดับนั้น? คำตอบคือแทบไม่มี
ทางที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด ในออกจากวงจรอุบาทว์ ระบบส้นตีนสารชั่วนี่ คือ เปลี่ยนเงินปลอมๆ ชาติหมานี่ เป็น "บิตคอยน์" ให้มากที่สุด เท่าที่สภาพคล่องในชีวิตยังถูไถไปต่อได้
จริงหรือเพ้อเจ้อ อนาคตมาดูกัน
#Siamstr
นี่คือเบื้องหลังของตัวเลขเงินเฟ้อต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ต้นปีนี้ สินค้าในหมวดอาหาร พลังงาน ค่าเช่าและราคาบ้าน ในเมกาปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกันพรวดๆ รวมถึงร้านอาหารก็แห่ปรับราคาตาม
พ่อพระแก้ไขปัญหาโดยการ ปรับลด "ค่าถ่วงน้ำหนัก" ลง เพื่อให้ของแพงเหล่านั้น มีผลต่อตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) น้อยๆ
ค่าถ่วงน้ำหนักที่ถูกปรับในรอบล่าสุด:
1. ปรับลด เช่น
- หมวดเนื้อสัตว์ต่างๆ และไข่ -7%
- หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลฯ -14%
- หมวดผักผลไม้ -4%
2. ปรับขึ้น
- หมวดอาหารเบ็ดเตล็ด เช่น เครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว +14%
- หมวดซีเรียลและเบเกอรี่ +12%
หลอกผู้คนว่าสบายใจได้ ไม่มีอะไรแพงขึ้นทั้งนั้น แม้ว่าความเป็นจริง ผู้กำลังโอดโอยกับค่าครองชีพที่พุ่งทะยานขึ้นไม่หยุด ซึ่งสินค้าบางหมวดฝรั่งถึงกับใช้คำว่า Skyrocket
เช่น ไข่พุ่งสูง 15.2% จากเดือนที่แล้ว โหลนึงปาไป 300 กว่าบาท (พุ่งเกิน 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน แพงขึ้นเกือบ 3 เท่าใน 3 ปี)
นอกจากการปรับค่าถ่วงน้ำหนักแต่ละหมวดที่มีปัญหาแล้ว เนื้อในยังมีการปรับเปลี่ยนสินค้ารายตัวและค่าถ่วงน้ำหนักซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
เช่น ลดค่าถ่วงน้ำหนัก เนื้อ ที่แพง แล้วไปเพิ่ม หมู ไก่ หรือปลา ที่ถูกกว่าแทน และหากตัวไหนเหิมเกริม พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เกินไป มันจะถูกพิจารณา "นำออก" จากตะกร้าในการคำนวณไปเลย
และตัวเลขค่าถ่วงน้ำหนักหมวดอาหาร ถูกปรับลดลงเรื่อยๆ แทบทุกปี จนข้อมูลล่าสุด ปี 2025 เหลือแค่ 13%
หมายความว่า สินค้าหมวดอาหาร กระทบกับค่าครองชีพผู้คน เพียง 13% ของรายได้เท่านั้น สมเหตุสมผลดีมั้ยครับ?
ปรับไปปรับมาจนได้ตัวเลขที่พอใจ ส่งผลให้เงินเฟ้อเดือน ม.ค. 25 เทียบกับเดือนก่อน เท่ากับ 0.5% และเทียบปีที่แล้ว เหลือเพียง 3%
CPI ดัชนีตอแหลผู้บริโภค
#Siamstr