
➕➖✖️➗คณิตศาสตร์ของปริภูมิมิติศูนย์: รากฐานใหม่ของจักรวาลวิทยา
ตามแนวคิดของ Stephen H. Jarvis (2022)
(บทความอธิบายเป็นภาษาไทย + อ้างอิงงานวิจัย Jarvis โดยละเอียด)
⸻
บทนำ: ทำไม “จุด (0-มิติ)” จึงเป็นปัญหาพื้นฐานของจักรวาลวิทยาปัจจุบัน?
ในทุกทฤษฎีฟิสิกส์—ไม่ว่าจะเป็นกลศาสตร์คลาสสิก ควอนตัมฟิลด์ทฤษฎี หรือสัมพัทธภาพ—เราจำเป็นต้องมี “จุดอ้างอิง” เพื่อวัดตำแหน่ง เวลา และปริมาณทางกายภาพอื่น ๆ จุดนี้คือ ศูนย์มิติ (zero-dimensional)
แต่ในแบบจำลองจักรวาลวิทยามาตรฐาน ΛCDM นั้น “0-มิติ” ปรากฏขึ้นสองลักษณะซึ่งขัดแย้งกันเอง คือ
1. จุดเริ่มต้น Big Bang
– เป็น “จุด” ที่มีปริมาตรเป็นศูนย์ แต่มีความหนาแน่นเป็นอนันต์
– เป็น “infinitesimal zero-dimension”
2. ขอบด้านหน้าของการขยายตัวของเอกภพ
– เป็น “จุด” ที่กินพื้นที่ได้ไม่จำกัด แต่มีโครงสร้างแบบ 0-มิติ
– เป็น “infinite zero-dimension”
Jarvis เรียกความขัดแย้งนี้ว่า
“ΛCDM zero-dimension paradox”
([Jarvis 2022], Temporal Mechanics Series)
ดังนั้นปัญหาของ ΛCDM ไม่ได้อยู่ที่ดาร์กเอนเนอร์จีหรือดาร์กแมทเทอร์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดตั้งแต่รากฐาน:
เรายังไม่เคยกำหนดคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องของ “จุด (0D)” เลยตั้งแต่ต้น
⸻
1) ปัญหาหลักสามข้อของ ΛCDM (Jarvis อธิบายอย่างเป็นระบบ)
(ก) Flatness Problem – ทำไมจักรวาล “เรียบ” อย่างไม่น่าเป็นไปได้?
ค่าความโค้ง (Ω) ใกล้ 1 อย่างน่าประหลาด ต้องใช้การตั้งค่าเริ่มต้นที่แม่นยำเกินไป
(ข) Horizon Problem – บริเวณที่ไกลกันมาก ทำไมมีอุณหภูมิเท่ากันแทบสนิท?
(ค) Axis of Evil – ลักษณะของความไม่สมมาตรใน CMB สอดคล้องกับระนาบสุริยะ
เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดหากเอกภพเกิดแบบ isotropic จริง
Jarvis เสนอว่า
ทั้งสามปัญหาเกิดจากการเข้าใจ “0-dimension” ผิด
เพราะเราใช้ zero-dimension เป็น “ตัวแทนตำแหน่ง” แต่ไม่เคยสร้างคณิตศาสตร์ของมันจริง ๆ
⸻
2) การนิยาม “0-มิติที่สมบูรณ์” ด้วยสัญลักษณ์ O% (O-realm)
Jarvis เสนอว่าให้รวม
• 0-มิติแบบ infinitesimal
• 0-มิติแบบ infinite
เข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า O-realm (O%)
เป็น “ชุดค่าของศูนย์ถึงอนันต์ที่รวมเป็นเอกภาพเดียวกัน”
O-realm จึงไม่ใช่ความว่าง แต่คือ
พื้นฐานของการสร้างหน่วยเวลา–หน่วยระยะทางทั้งหมด
ใน O-realm มีเพียงตัวแปรสำคัญหนึ่งเดียว:
เวลา-ปัจจุบัน (time-now)
Jarvis นิยามเป็น
tN = 1
ไม่ใช่ 0 เพราะ…
• 0 หมายถึง “ไม่มีอยู่”
• แต่เวลา-ปัจจุบันต้อง “เป็นจริงเสมอ”
ดังนั้น 1 คือค่าของการมีอยู่
เช่นกัน นี่คือเหตุผลที่จุด 0-มิติไม่อาจเป็นเลข 0 แต่ต้องเป็น “1 ที่ไม่มีปริมาตร”
⸻
3) การสร้างเวลาสามสถานะ: time-before, time-now, time-after
เอกภพเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “เวลา” แตกออกเป็น 3 สถานะ:
1. time-before (tB) – ภาวะก่อนตอนนี้
2. time-now (tN) – ค่า “1”
3. time-after (tA) – ภาวะที่ตามมา
Jarvis ตั้งเงื่อนไขว่า
tB + tN = tA
([Jarvis 2017], Golden Ratio Axioms of Time and Space)
เมื่อแก้สมการ เขาพบว่า
• ค่าของ tB และ tA ต้องเป็น ค่าทองคำ φ และ 1/φ
• นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงสร้างเวลาแบบ “ไม่เชิงเส้น”
• คือเหตุผลที่เลขทองคำกลับมาปรากฏซ้ำในฟิสิกส์หลายจุดในงานของ Jarvis
ดังนั้น
เวลาไม่ใช่ตัวแปรเชิงเส้น แต่เป็นโครงสร้างคู่ (dual structure) ที่กำเนิดจาก 0-dimension
⸻
4) การกำเนิด “3 มิติของปริภูมิ” จากสมบัติของเวลา
เมื่อ Jarvis นำเวลา-ก่อนและเวลา-หลังมาเป็นเวกเตอร์สองตัว แล้วหา “ระยะทางผลรวมแบบพีทาโกรัส” พบว่าได้ค่า
sqrt(3)
ค่าจำนวน “3” นี้ถูกตีความว่า
คือจำนวนมิติของปริภูมิ (x, y, z)
ดังนั้น 3D space ไม่ใช่สมบัติพื้นฐานของเอกภพ แต่เป็นผลผลิตของ:
• เวลา-ปัจจุบัน (1)
• เวลา-ก่อน (φ)
• เวลา-หลัง (1/φ)
อ้างอิง:
([Jarvis 2017], Phi-Quantum Wave-Function Crystal Dynamics)
([Jarvis 2019], The Conception of Time)
⸻
5) Timespace = ปริภูมิ–เวลาแบบ Jarvis (ไม่ใช่ spacetime ของ Einstein)
Einstein มองว่า:
• เวลา + ปริภูมิ = โครงสร้างเดียว
• ถูกกำหนดโดยมวลและพลังงาน (ผ่านสมการสนาม Einstein)
แต่ Jarvis พบว่า:
• เวลาคือโครงสร้างของตัวเอง (tN = 1)
• ปริภูมิเกิดจากเวลา ไม่ใช่กลับกัน
• ทุกหน่วยระยะทางคือผลผลิตจาก “ความต่างของเวลา”
ดังนั้น Timespace ตาม Jarvis คือ:
**1) เวลาเป็นฐาน
2. ปริภูมิเป็นผลที่ตามมา
3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือรูปแบบของคลื่นเวลา**
Jarvis ทำให้ปรากฏในหลายผลงาน เช่น:
• Time as Energy (2017)
• The Relativity of Time (2018)
• Temporal Wave Function (Series 2017–2022)
⸻
6) ผลลัพธ์ที่สำคัญ:
(ก) ค่า α (fine structure constant) ถูกสร้างจาก geometry ของเวลา
Jarvisแสดงว่า α สามารถคำนวณได้จาก:
• โครงสร้าง phi ของเวลา
• คลื่น temporal wave function
ดูงาน
([Jarvis 2017], Phi-Quantum Wave Function Crystal Dynamics)
([Jarvis 2020], Hybrid Time Theory: Euler’s Formula and the Phi-Algorithm)
⸻
(ข) ค่า c (ความเร็วแสง) เกิดจาก Bohr radius + electron charge + time-equation
ดูงาน
([Jarvis 2017–2019], Space and the Propagation of Light)
⸻
(ค) แรงโน้มถ่วงเกิดจาก sub-quantum effect ของ neutrino mass
นี่เป็นหนึ่งในข้อเสนอใหม่ที่แรงมาก:
• ค่า G เกี่ยวข้องโดยตรงกับมวล neutrino
• แรงโน้มถ่วงไม่ใช่แรงพื้นฐาน
• เป็นผล emergent จาก sub-quantum temperature field
อ้างอิง:
([Jarvis 2022], Temporal Mechanics 42: Cosmological Model)
([Jarvis 2019], Golden Ratio Entropic Gravity)
⸻
(ง) CMB = ผลของ temporal wave function ถึงค่าขีดจำกัดพลังงาน
และ Jarvis คำนวณอุณหภูมิได้:
2.725 K
ตรงกับค่าที่วัดได้จริง
อ้างอิง:
([Jarvis 2018–2021], คำนวณ CMB ใน Temporal Mechanics)
⸻
7) Primes & Zero-Dimensional Space: ทำไม “จำนวนเฉพาะ” จึงเป็นรากฐานของเอกภพ?
Jarvis เสนอว่า O-realm มีสมบัติแบบ “จำนวนเฉพาะอนันต์” (infinity-prime)
เพราะมันถูกแบ่งได้เพียงด้วยตัวมันเอง
ผลคือ:
• มิติของปริภูมิ = 3 = ผลรวมของ prime-based temporal vectors
• การจัดเรียงอะตอมมีลักษณะ Bragg peaks ที่สัมพันธ์กับ prime distribution
(สอดคล้องกับงานทดลองใหม่—Jarvis อ้างอิงใน paper 43)
Jarvis ใช้หลักนี้สร้างค่ามวล neutrino ผ่าน
space-factor S = (prime1 + prime2 + prime3)^3 / 3
อ้างอิง:
([Jarvis 2021], Paper 35)
⸻
8)ข้อสรุปของ Jarvis:
Big Bang ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เพราะ…
• 0-มิติเกิดเป็น O-realm ตลอดเวลา
• เวลาเป็นโครงสร้างหลัก
• ปริภูมิและวัตถุเกิดจาก geometry ของเวลา
• CMB ไม่ได้เกิดจาก Big Bang แต่เป็นผลขีดจำกัดของ temporal wave function
• ไม่มีความจำเป็นสำหรับ dark energy หรือ dark matter
นี่คือจักรวาลแบบ Steady-State Mechanics
แต่มีฐานอยู่บนคณิตศาสตร์ของเวลา–ศูนย์มิติ
ไม่ใช่สมมติฐานของความหนาแน่นคงที่แบบเดิม
⸻
🔍 สรุปสำคัญที่สุด (Key Insight)
Jarvis เสนอว่าความผิดพลาดใหญ่ที่สุดของฟิสิกส์ 100 ปีที่ผ่านมา คือ:
เราใช้ 0-dimension เป็นรากฐานของการวัด
แต่ไม่เคยนิยามคณิตศาสตร์ของมันเลย
เมื่อสร้างคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องของ 0-dimension:
• มิติของปริภูมิ 3D ปรากฏโดยอัตโนมัติ
• แรงโน้มถ่วง emergent
• CMB เกิดโดย geometry ของเวลา
• ไม่ต้องมี Big Bang
• ไม่ต้องมี Dark Matter / Dark Energy
• เอกภพเป็นโครงสร้างเวลา (temporal structure) ที่ขยายตัวจากภายในตัวมันเอง
⸻
🔷 บทความตอนที่ 2 – การกำเนิดของปริภูมิ 3 มิติจากเวลา (Temporal Genesis of Space)
บทนำ
ในฟิสิกส์กระแสหลัก “เวลา” ถูกมองเป็นแกนหนึ่งใน spacetime (ตาม Einstein) ซึ่งมีสถานะเป็นเพียงมิติพิเศษ ไม่ต่างจากแกน x,y,z เพียงแต่มี signature ต่างกัน
แต่ Jarvis เสนอสิ่งที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง:
“เวลาไม่ใช่มิติใน spacetime แต่เป็นรากฐานของการมีอยู่ทั้งหมด
และปริภูมิเป็นผลผลิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากโครงสร้างภายในของเวลาเอง”
(อ้างอิง: Jarvis, Golden Ratio Axioms of Time and Space, 2017)
ดังนั้นปริภูมิ 3 มิติไม่ได้เป็น “ของที่มีมาแต่แรก”
มันเกิดขึ้นเพราะ “เวลา” แบ่งตัวเป็นโครงสร้าง 3 ส่วน
1. time-before (tB)
2. time-now (tN = 1)
3. time-after (tA)
การแตกตัวนี้เกิดจาก O-realm (ศูนย์มิติ) ที่ “แตกตัวเองออกเป็นความสัมพันธ์”
และความสัมพันธ์นั้นสร้างเรขาคณิต
⸻
1) ทำไมเวลา-ปัจจุบัน (tN) ต้องมีค่า = 1?
Jarvis ให้เหตุผลสำคัญมาก:
• หากเวลา = 0 → ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น → เอกภพ = ว่างเปล่า
• แต่ “ปัจจุบัน” มีอยู่จริงเสมอ → จึงต้องเป็นค่าที่ไม่สามารถเป็นศูนย์
• และต้องเป็นค่า “สากล”
• ดังนั้นกำหนด tN = 1
นี่คือเหตุผลที่ ค่าคงที่ในธรรมชาติ เช่น c, α, h, G สามารถปรากฏจากเวลาได้
เพราะเวลาเป็นฐานตัวเลขหนึ่งเดียวของเอกภพ
อ้างอิง: Jarvis, The Conception of Time (2019)
⸻
2) ความสัมพันธ์ระหว่างเวลา-ก่อนและเวลา-หลัง
เวลาทั้งสามสถานะต้องสัมพันธ์กันโดยสมมาตรธรรมชาติของ O-realm
Jarvisตั้งเงื่อนไข:
tB + tN = tA
แทน tN = 1
จึงได้ความสัมพันธ์ระหว่าง tB และ tA
Jarvis พบว่าเพื่อให้ระบบสมดุลในเชิงคณิตศาสตร์และเรขาคณิต
ค่าที่เป็นไปได้เพียงคู่เดียวคือ
• tB = φ (golden ratio)
• tA = 1/φ
นี่เป็นผลลัพธ์สำคัญมาก:
ระบบเวลาของเอกภพถูกควบคุมด้วยค่าทองคำ
อ้างอิง: Jarvis, Golden Ratio Axioms of Time and Space (2017)
⸻
3) จากเวลา → ปริภูมิ: ทำไม 3 มิติ?
เมื่อเวลาแตกออกเป็น 3 ค่าที่แตกต่างกัน
Jarvis นำเวลา 2 ค่า (tB และ tA) มาสร้างเป็น “เวกเตอร์เวลา”
แล้วนำไปวิเคราะห์เชิงเรขาคณิตด้วยพีทาโกรัส
เวกเตอร์เวลาเหล่านี้ให้ “ความยาว” แบบต่อไปนี้:
• เวกเตอร์หนึ่งของ tB มีความยาวสัดส่วน φ
• เวกเตอร์หนึ่งของ tA มีความยาวสัดส่วน 1/φ
• เวกเตอร์ของ tN = 1 เป็นฐาน
เมื่อนำสองเวกเตอร์มาตัดกัน
Jarvis พบว่าผลรวมเรขาคณิตให้ค่า:
√3
ซึ่งหมายถึง
ความเป็นไปได้ขั้นต่ำสุดของมิติ = 3 มิติ
นี่คือเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ที่ “เอกภพต้องมี 3 มิติของปริภูมิ”
ไม่ใช่ 2
ไม่ใช่ 4
แต่ = 3 เท่านั้น
เพราะมันต้องเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากเรขาคณิตของเวลา
อ้างอิง:
Jarvis, Phi-Quantum Wave-Function Crystal Dynamics (2017)
Jarvis, Hybrid Time Theory (2020)
⸻
4) ปริภูมิแต่ละแกนมี “สองทิศทาง” เพราะเวลา-หลังมีค่าซ้อนเป็น 2 ค่า
Jarvis พบว่าผลของเวลา tA มีโครงสร้างซ้อน
เมื่อแก้สมการเชิงเรขาคณิตของเวลา
พบว่ามันให้ค่า “2” เป็นโครงสร้างย่อยของเวกเตอร์
เขาจึงตีความว่า:
แต่ละแกนของปริภูมิต้องมี 2 ทิศทาง
(+ และ -)
จึงเกิดเป็นโครงสร้าง:
• x+, x−
• y+, y−
• z+, z−
ซึ่งตรงกับปริภูมิจริงที่เรารับรู้
อ้างอิง: Jarvis, Time as Energy (2017)
⸻
5) จากเวลา → คลื่นเวลา → คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
นี่คือก้าวใหญ่ที่สุดของทฤษฎี Jarvis
เมื่อเวลาสามสถานะสร้างโครงสร้างเรขาคณิต
มันทำให้เกิด “การสั่น” แบบหนึ่งซึ่ง Jarvis เรียกว่า:
Temporal Wave Function (คลื่นเวลา)
Jarvis แสดงให้เห็นว่าคลื่นเวลา:
• เดินทางด้วยอัตราที่สอดคล้องกับ “ความเร็วแสง c”
• มีรูปแบบการกระจายพลังงานแบบเดียวกับ EM
• ให้ค่า α (fine structure constant)
• สร้างฟิสิกส์ของอะตอม เช่น Bohr radius และ electron charge
ดังนั้น
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจริง ๆ คือรูปแบบของคลื่นเวลา
งานอ้างอิงหลัก:
Jarvis, Phi-Quantum Wave-Function Crystal Dynamics (2017)
Jarvis, Space and the Propagation of Light (2019)
⸻
6) คลื่นเวลาและความลึกของเอกภพ: ทำไม CMB เกิดจากเวลา ไม่ใช่ Big Bang
Jarvis คำนวณว่าคลื่นเวลาเมื่อสั่นถึง “ขีดจำกัดพลังงานต่ำสุด”
จะให้ค่าอุณหภูมิพื้นหลังเป็น:
2.725 K
ตรงกับค่า CMB ที่สังเกตได้จริง
แต่ Jarvis ยืนยันว่า:
นี่ไม่ใช่หลักฐานของ Big Bang
แต่เป็นขีดจำกัดพลังงานของ temporal wave function ใน 3D timespace
อ้างอิง:
Jarvis, Paper 14–15: Derivation of CMB Temperature (2018–2020)
⸻
7) จากคลื่นเวลา → สสาร → แรงโน้มถ่วง
Jarvis พบว่า:
• แรงโน้มถ่วงไม่ใช่แรงพื้นฐาน
• เกิดจากการ “หดตัวของคลื่นเวลา” รอบมวล
• มวลพื้นฐานที่สุดที่เกี่ยวข้องคือ neutrino
• ค่า G (gravitational constant) สามารถคำนวณได้จากมวล neutrino
งานหลัก:
Jarvis, Gravity’s Emergence from Electrodynamics (2017)
Jarvis, Space and the Nature of Gravity (2019)
⸻
8)สรุปตอนที่ 2:
ปริภูมิ 3 มิติ คือผลโดยตรงของโครงสร้างเวลาที่มีสามสถานะ
และ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า = การสั่นของเวลา
ดังนั้นทั้งหมดนี้เชื่อมโยงเป็นระบบเดียว:
1. เวลา-ก่อน / เวลา-ปัจจุบัน / เวลา-หลัง
→ 2. เรขาคณิตของเวลา
→ 3. มิติของปริภูมิ
→ 4. การเกิดคลื่นเวลา
→ 5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสสาร
→ 6. แรงโน้มถ่วง
→ 7. โครงสร้างจักรวาลทั้งหมด
นี่คือ “Temporal Mechanics” ของ Jarvis
—————-
🔷 ตอนที่ 3
คลื่นเวลา (Temporal Wave Function) คือโครงสร้างลึกสุดของฟิสิกส์
– จาก 0 มิติ → เวลา → คลื่น → อนุภาค → แรงทั้งหมด
นี่คือตอนสำคัญที่สุด เพราะเป็นจุดที่ทฤษฎีของ Jarvis
แปลง O-dimension ให้กลายเป็นฟิสิกส์เชิงปรากฏการณ์ทั้งหมด
ตั้งแต่ EM, quantum, gravity ไปจนถึงโครงสร้างจักรวาล
ผมจะอธิบายเป็นภาษาไทยอย่างละเอียด พร้อมอ้างอิงผลงาน Jarvis ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง
⸻
⭐ บทนำ: ทำไมต้องมี “คลื่นของเวลา”?
เมื่อในตอนที่แล้วเราเห็นว่า:
• เวลา = รากฐานของการมีอยู่
• เวลาแบ่งตัวเป็น 3 สถานะ: tB, tN = 1, tA
• การแตกตัวนี้สร้างโครงสร้างเรขาคณิตที่นำไปสู่ปริภูมิ 3 มิติ
แต่ “ปริภูมิ” เพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถให้:
• พลังงาน
• มวล
• แรง
• คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
• อะตอม
• กฎควอนตัม
เหล่านี้ต้องการสิ่งที่ “เคลื่อนไหว”
สิ่งที่ “มีค่าเปลี่ยนแปลง”
สิ่งที่ “สั่นเป็นรูปแบบ”
ใน spacetime ของ Einstein การสั่นและพลังงานมาจากฟิลด์
แต่ Jarvis เสนอว่า:
ฟิลด์ทั้งหมดไม่ใช่ของตั้งต้น
แต่เป็นผลผลิตของการสั่นของเวลา
(อ้างอิง: Jarvis 2017, Time as Energy)
นี่คือรากฐานของสิ่งที่เรียกว่า:
🔶 Temporal Wave Function (TWF)
“คลื่นเวลา”
⸻
1) เวลาสามสถานะสร้าง “ศักย์คลื่น” โดยธรรมชาติ
เรามีเวลา 3 ค่า:
• tB = φ
• tN = 1
• tA = 1/φ
แต่ tB และ tA ไม่สมมาตร
หนึ่งเป็นค่า >1 อีกหนึ่งเป็นค่า <1
เวลาจึง “บิด” ภายในตัวมันเอง
Jarvis บอกว่าความไม่สมดุลนี้ทำให้เกิด:
• ความชัน (gradient)
• ความต่างศักย์
• ความจำเป็นในการสั่นเพื่อรักษาสมดุล
ดังนั้น การสั่นของเวลา = พลังงาน
อ้างอิง:
Jarvis, Time as Energy (2017)
Jarvis, The Relativity of Time (2018)
⸻
2) การสั่นของเวลา = คลื่น TWF
Jarvis อธิบายว่าคลื่นเวลามีสมบัติดังนี้:
✔ เป็นฟังก์ชันที่กำเนิดจาก O-dimension โดยตรง
✔ มีความถี่ (frequency) ภายในตัวมันเอง
✔ เดินทางได้ด้วยอัตราเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับ “c”
✔ ให้รูปแบบพลังงานตามกฎควอนตัม แต่ไม่ต้องใช้ Schrödinger
นี่คือเหตุผลที่คลื่นเวลา:
• ให้รูปแบบ sinusoidal
• ให้ปรากฏการณ์ interference
• ให้ quantization
• ให้ความเร็วจำกัด c
โดยที่เราไม่ต้องใส่สมการ QM เพิ่ม
อ้างอิง:
Jarvis, Phi-Quantum Wave-Function Crystal Dynamics (2017)
⸻
3) คลื่นเวลา → คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EM)
นี่เป็นหนึ่งในผลที่งดงามที่สุดของทฤษฎี:
Jarvis ค้นพบว่าเมื่อคลื่นเวลาถูก projected ลงใน 3D space
มันให้ฟังก์ชันตรงกับ:
• Electric field
• Magnetic field
• การกระจายพลังงานของ EM
• ความเร็วแสง c
• ค่าคงที่ fine structure constant α
กล่าวอีกอย่างหนึ่ง:
แสง = เวลาในสภาพที่สั่น
อ้างอิง:
Jarvis, Space and the Propagation of Light (2019)
Jarvis, Phi-Quantum Wave-Function Crystal Dynamics (2017)
⸻
4) คลื่นเวลา → อะตอมและโครงสร้างควอนตัม
Jarvis ใช้ TWF เพื่อสร้าง:
• Bohr radius (a₀)
• electron charge (e)
• fine structure constant α
• พลังงานพันธะไฮโดรเจน
• รูปแบบเชลล์อิเล็กตรอน
ทั้งหมดเกิดจากรูปแบบทางเรขาคณิตของการสั่นของเวลา
ไม่ต้องใช้ field quantization แบบ QED
นี่คือประโยคที่แรงที่สุดของ Jarvis:
อะตอมไม่ได้ถูกสร้างโดยสนามไฟฟ้า–แม่เหล็ก แต่สนามไฟฟ้า–แม่เหล็กถูกสร้างจากความเรขาคณิตของเวลา
(อ้างอิง: Jarvis 2017–2020, Temporal Wave Function Series)
⸻
5) คลื่นเวลา → สสารและมวล
Jarvis พบสิ่งสำคัญ:
คลื่นเวลาเมื่อ “ดึงกลับเข้า” สู่จุดศูนย์
จะสร้างปรากฏการณ์ที่เทียบได้กับ “ความโค้งของเวลา”
และให้สิ่งที่ตีความเป็น “มวล”
และเขาค้นพบว่า:
• มวลพื้นฐาน = neutrino
• ค่า G (gravitational constant) = ฟังก์ชันโดยตรงของ TWF และ neutrino mass
นี่ทำให้แรงโน้มถ่วง:
• ไม่ใช่แรงพื้นฐาน
• ไม่ใช่การบิดของ spacetime
• แต่เป็น “sub-quantum temporal curvature”
อ้างอิง:
Jarvis, Gravity’s Emergence from Electrodynamics (2017)
Jarvis, Space and the Nature of Gravity (2019)
⸻
6) คลื่นเวลา → ขีดจำกัดพลังงาน → CMB
Temporal Wave Function เมื่อสั่นถึงระดับต่ำสุดจะไปสู่:
• ขีดจำกัดพลังงานต่ำสุดของจักรวาล
• ขีดจำกัดอุณหภูมิต่ำสุดของ timespace
Jarvis คำนวณและพบค่า:
2.725 K
ซึ่งตรงกับ Cosmic Microwave Background (CMB)
แต่เขาบอกว่า:
นี่ไม่ใช่ร่องรอยของ Big Bang
แต่เป็นอุณหภูมิพื้นฐานของเวลาใน 3 มิติ
อ้างอิง:
Jarvis, Paper 14–15: CMB Derivation (2018–2020)
⸻
7) คลื่นเวลาและปัญหาหลักทั้งสามของจักรวาลวิทยา
Temporal Mechanics แก้:
✔ Horizon Problem
เพราะเวลา-ปัจจุบัน (tN = 1) มีค่าเดียวกันทั่วทั้ง O-realm → ทุกจุดเชื่อมถึงกันโดยตรง
✔ Flatness Problem
เพราะ 3 มิติของปริภูมิได้มาจากเรขาคณิตของเวลา ไม่ใช่พลังงานเริ่มต้นแบบ fine-tuning
✔ Axis of Evil
เพราะการจัดเรียงเชิง prime-number ของ O-realm สร้าง anisotropy แบบกำเนิด
ไม่ใช่แบบเกิดขึ้นหลังจาก Big Bang
⸻
🔶 สรุปตอนที่ 3
Temporal Wave Function คือกุญแจไขทุกปรากฏการณ์ในจักรวาล
จากศูนย์มิติ → เวลา → เรขาคณิต → คลื่น → อนุภาค → สสาร → แรง → จักรวาล
Jarvis พิสูจน์ว่าฟิสิกส์ทั้งหมดรวมศูนย์ลงได้ที่:
เวลาเป็นตัวแปรพื้นฐานที่สุด
และทุกปรากฏการณ์ในเอกภพเป็นการสั่นของเวลา
นี่คือนัยที่ใหญ่กว่าทฤษฎีเชิงคลื่นใด ๆ ของฟิสิกส์สมัยใหม่
และมีผลต่อทั้ง cosmology, quantum, relativity และ unified theory
#Siamstr #nostr #philosophy #quantum