
🧠 Evidence-Based Medicine (EBM) 101
วิธีตั้งคำถาม–ค้นข้อมูล–ประเมินงานวิจัย สำหรับการเปรียบเทียบ Shockwave Therapy vs Dry Needling
EBM ไม่ได้หมายถึง “เชื่อผลวิจัยอันไหนมากที่สุด”
แต่คือ กระบวนการตัดสินใจทางการแพทย์ ที่อาศัย
1. งานวิจัยคุณภาพสูง,
2. ประสบการณ์คลินิก, และ
3. ค่านิยม/บริบทของผู้ป่วย
บทความนี้สรุปกระบวนการแบบ step-by-step สำหรับการพิสูจน์คำถามว่า
“Shockwave therapy มีประสิทธิภาพดีกว่า Dry needling สำหรับอาการ myofascial pain syndrome จริงหรือไม่?”
────────────────────────
1) กำหนดคำถามแบบ PICO ให้ชัด
PICO = Population, Intervention, Comparison, Outcome
Population: ผู้ป่วย Myofascial Pain Syndrome (MPS)
Intervention: Shockwave therapy
Comparison: Dry needling
Outcome: ลด pain score, เพิ่ม ROM, ลด trigger point tenderness, functional improvement (เช่น DASH, NDI ฯลฯ)
ตัวอย่างโจทย์ PICO
“ในผู้ที่มี Myofascial Pain Syndrome (P), shockwave therapy (I) มีประสิทธิภาพมากกว่า dry needling (C) หรือไม่ ในแง่ของการลด pain และเพิ่ม functional outcomes (O)?”
ถ้าตั้งคำถามดีตั้งแต่ต้น การค้นงานวิจัยจะ “แม่นกว่า” และไม่หลงประเด็น
────────────────────────
2) จะไปค้นงานวิจัยจากที่ไหน?
แหล่งข้อมูลที่สากลใช้มีสามระดับ
🔹 2.1 Primary databases (แหล่งข้อมูลวิจัยต้นฉบับ)
• PubMed / MEDLINE → แหล่งหลักในการค้น clinical trials
• Cochrane Library → systematic review, meta-analysis
• Embase → คล้าย PubMed แต่ครอบคลุมยุโรป และมีการ indexing ดีกว่า
• PEDro database → เฉพาะงานวิจัยด้านกายภาพบำบัด พร้อมคะแนนคุณภาพ (PEDro score)
🔹 2.2 Secondary resources
• Clinical guidelines เช่น NICE, APTA, AAFP
• ClinicalKey, UpToDate, DynaMed → สรุปหลักฐานระดับสูง
🔹 2.3 Search engines สำหรับวิชาการ
• Google Scholar → งานหลากหลาย แต่คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ต้องคัดกรอง
────────────────────────
3) จะค้นอย่างไร? (Search Strategy)
การค้นที่ดีต้อง
1. ใช้ keyword ที่มาจาก PICO
2. ใช้ Boolean operators เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ตัวอย่างคำค้นใน PubMed:
(myofascial pain syndrome OR trigger point)
AND (shockwave therapy OR extracorporeal shockwave)
AND (dry needling OR intramuscular stimulation)
AND (randomized controlled trial OR RCT)
เทคนิคสำคัญ
• ใช้ MeSH terms เช่น “Myofascial Pain Syndromes”, “Dry Needling”
• filter ด้วย “Randomized Controlled Trial”, “Clinical Trial”, หรือ “Meta-analysis”
• จำกัดปี เช่น 2015–2025 เพื่อความทันสมัย
────────────────────────
4) การเลือกงานวิจัยที่ “เชื่อถือได้”
งานวิจัยแบ่งตามระดับคุณภาพ (Hierarchy of Evidence)
ลำดับคุณภาพสูง → ต่ำ
1. Systematic review + Meta-analysis ของ RCTs
2. Randomized Controlled Trial (RCT)
3. Cohort study
4. Case-control
5. Cross-sectional
6. Case report
7. Expert opinion
ในการเปรียบเทียบ shockwave vs dry needling ส่วนใหญ่เราจะหวัง RCT หรือ systematic review ที่มี RCT จำนวนมาก
────────────────────────
5) ประเมินคุณภาพงานวิจัย (Critical Appraisal)
การอ่านงานวิจัยต้องประเมิน 3 ส่วน:
🔹 5.1 Internal validity — เชื่อถือได้แค่ไหน?
• มีการ randomization จริงหรือไม่
• มี blinding หรือเปล่า (อาจทำยากในกายภาพบำบัด แต่ต้องดูว่าป้องกัน bias อย่างไร)
• กลุ่มที่เปรียบเทียบมี baseline คล้ายกัน ไหม
• มี sample size calculation หรือไม่
• ใช้เครื่องมือวัดผลที่ valid + reliable เช่น VAS, NDI
• มี dropout rate สูงเกินไปหรือเปล่า (>20% ถือว่าน่ากังวล)
🔹 5.2 External validity — ใช้กับผู้ป่วยของเราจริงได้ไหม?
• กลุ่มตัวอย่างใกล้เคียงกับเคสคนไข้ที่เจอจริงหรือไม่
• ขนาดของ effect size นั้น “สำคัญทางคลินิก” หรือแค่สำคัญทางสถิติ
• protocol ที่ใช้ เช่น frequency, pressure, energy ของ shockwave เหมือนในคลินิกหรือเปล่า
🔹 5.3 Statistical validity — วิเคราะห์อย่างถูกต้องหรือไม่?
• รายงานค่า p-value + confidence interval
• ถ้าเป็น meta-analysis ใช้วิธี random-effects หรือ fixed-effects
• การประเมิน heterogeneity (I²)
────────────────────────
6) นำหลักฐานมาสรุปเป็นคำตอบเชิงคลินิก
แปลผลตามข้อค้นพบ เช่น:
• หากหลาย RCT พบว่า shockwave ลด pain score ได้ดีกว่า dry needling ภายใน 4–6 สัปดาห์
• แต่ dry needling อาจช่วย instant release ได้ไวกว่า
• และ shockwave มีผลยาวกว่าในระยะ follow-up 3 เดือนขึ้นไป
→ ก็สรุปตามระดับคุณภาพของหลักฐาน (GRADE approach)
ตัวอย่างสรุปแบบ EBM:
“จาก systematic reviews และ RCTs คุณภาพปานกลาง–สูง พบว่า shockwave therapy อาจมีผลเทียบเท่าหรือดีกว่า dry needling ในการลดอาการปวดเรื้อรังจาก trigger point โดยเฉพาะในระยะติดตามผลยาว 4–12 สัปดาห์ แต่ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับ protocol ของ shockwave และความรุนแรงของอาการ”
────────────────────────
7) แปลความรู้วิจัยให้เป็น Clinical Decision
แพทย์/นักกายภาพต้องพิจารณา 3 องค์ประกอบ:
1. คุณภาพของงานวิจัย – หลักฐานว่า therapy ไหนดีกว่า
2. Clinical expertise – ประสบการณ์ของผู้นำไปใช้
3. Patient preference – คนไข้ต้องการอะไร กลัวเข็มไหม งบประมาณเป็นอย่างไร
เช่น
• ถ้าคนไข้ไม่ชอบเข็ม → shockwave อาจเป็นตัวเลือกเหมาะ
• ถ้าคนไข้ต้องการ immediate release → dry needling อาจดีกว่า
• ถ้าเป็น trigger point ที่ลึกมาก และ recurring → shockwave อาจคุมอาการนานกว่า
────────────────────────
8)ตัวอย่าง “โครงสไลด์” ที่สามารถนำไปทำ presentation จริง
Slide 1 — Title
EBM: Shockwave vs Dry Needling in Myofascial Pain Syndrome
Slide 2 — Background
• Trigger point พบได้บ่อย
• Shockwave & Dry Needling ใช้แพร่หลาย แต่ข้อมูลยังขัดแย้ง
• ต้องการใช้หลักฐานเชิงวิชาการเพื่อช่วยการตัดสินใจ
Slide 3 — PICO
P: ผู้ป่วย MPS
I: Shockwave
C: Dry Needling
O: Pain, ROM, Functional score
Slide 4 — Search Strategy
• Databases: PubMed, Cochrane, PEDro
• Keywords + MeSH
• Filters: RCT, Meta-analysis, 2015–2025
Slide 5 — Summary of Evidence
• Meta-analysis: shockwave อาจดีกว่าใน pain + function
• RCT: ผลใกล้เคียง แต่ shockwave ให้ผลยาวกว่า
• Dry needling: ผลดีระยะสั้น
Slide 6 — Critical Appraisal
• จุดแข็ง: RCT หลายฉบับ
• จุดอ่อน: sample size เล็ก, protocol ไม่เหมือนกัน
• ความเสี่ยง bias ปานกลาง
Slide 7 — Clinical Decision
• เลือกวิธีตาม: หลักฐาน + ประสบการณ์ + preference ผู้ป่วย
Slide 8 — Conclusion
Shockwave มีศักยภาพเป็น first-line ในกรณี MPS ระยะเรื้อรัง แต่ dry needling ยังมีจุดเด่นเฉพาะทางใน immediate release
────────────────────────
✔ สรุป (ภาษาง่าย)
EBM คือการ ตั้งคำถามให้ดี + ค้นข้อมูลให้เป็น + อ่านงานวิจัยเป็น + แปลผลเป็นการรักษา
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การท่องจำว่า shockwave ดีกว่า dry needling แต่คือ
รู้ว่าต้องค้นหาอย่างไร และประเมินอย่างไรให้ใช้งานได้จริง
────────────────────────
9) อ่านงานวิจัยให้แตก: อะไรสำคัญจริง?
การอ่านงานวิจัยไม่ใช่แค่ดูว่า “p < 0.05” หรือไม่
แต่ต้องดู ภาพรวมเชิงคุณภาพของข้อมูล
และดูว่า “ผลนี้มีความหมายต่อผู้ป่วยจริงไหม?”
🔑 9.1 Statistical significance ≠ Clinical significance
ตัวอย่าง:
Shockwave ลด VAS จาก 6.0 → 4.8
Dry needling ลด VAS จาก 6.0 → 5.1
ผลต่าง = 0.3 คะแนน
ถ้า sample size ใหญ่พอ อาจได้ p < 0.05
แต่…
ลดปวด 0.3 คะแนน = ไม่มีความหมายทางคลินิกตามมาตรฐาน MCID (1.5–2.0)
→ แม้จะ “มีนัยสำคัญทางสถิติ” ก็ ไม่เกิดประโยชน์กับคนไข้จริง
สรุป:
ให้ดู effect size + MCID มากกว่า p-value
🔑 9.2 ดู Effect Size (ES)
Effect size คือค่าที่บอกว่า “ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน”
• Small ES ≈ 0.2
• Medium ES ≈ 0.5
• Large ES ≥ 0.8
RCT ที่ดีต้องรายงาน
• Cohen’s d
• หรือ standardized mean difference (SMD)
• หรือ mean difference (MD)
ถ้า SMD ของ shockwave vs needling = 0.75 → ผลดีขนาดกลาง-สูง
ถ้า SMD = 0.20 → ผลแทบไม่ต่าง
🔑 9.3 ต้องดู Follow-up ลด Bias
งานกายภาพบำบัดมักดีขึ้นในช่วงสั้น ๆ
แต่ยั่งยืนหรือไม่คือตัวตัดสินคุณภาพการรักษา
สิ่งที่ต้องดู:
• immediate effect
• 2–6 สัปดาห์
• 3 เดือน (สำคัญมาก)
• มากกว่า 6 เดือน (rare)
ถ้า shockwave ดีกว่า dry needling เฉพาะช่วง “4 อาทิตย์แรก” → อาจเป็น placebo/novelty effect
แต่ถ้าต่างชัดช่วง “12 สัปดาห์” → น่าเชื่อถือว่ากลไกจริง
🔑 9.4 ต้องดู Protocol
Shockwave มีหลายแบบ
• Focused ESWT
• Radial ESWT
• Energy level: 0.08–0.3 mJ/mm²
• 1–2 kHz
• 1500–3000 shots/session
Dry needling ก็มีหลาย protocol
• pistoning vs static
• depth 1–3 cm
• eliciting LTR หรือไม่
• จำนวนครั้ง/สัปดาห์
งานที่เปรียบเทียบต้องควบคุม protocol ใกล้เคียงความเป็นจริง
────────────────────────
10) การประเมินคุณภาพงานวิจัย: PEDro Scale
PEDro scale (0–10) ใช้เยอะที่สุดในสายกายภาพบำบัด
องค์ประกอบสำคัญ เช่น
• random allocation
• concealed allocation
• baseline similarity
• blinding of assessors
• intention-to-treat
• follow-up >85%
เกณฑ์ความเชื่อถือ
• 9–10 = excellent
• 6–8 = good
• 4–5 = fair
• 0–3 = poor
งาน shockwave/dry needling ส่วนมากจะได้ประมาณ 6–8
เพราะทำ blinding ลำบาก (มักทำได้เฉพาะ assessors)
────────────────────────
11) การจัดระดับหลักฐานตาม GRADE
GRADE ช่วยสรุปว่า “หลักฐานนี้แข็งแกร่งแค่ไหน”
ระดับของหลักฐาน
1. High
2. Moderate
3. Low
4. Very low
สิ่งที่ลดระดับ:
• ความเสี่ยง bias สูง
• ผลไม่สอดคล้องกันระหว่างงานหลายฉบับ (heterogeneity สูง)
• sample size เล็ก
• indirectness (ทดลองในอาสาสมัครแทนผู้ป่วยจริง)
สิ่งที่เพิ่มระดับได้:
• effect size ใหญ่
• dose-response ชัดเจน
• ผลลัพธ์แข็งแรงต่อหลายประเภทของ outcome
ตัวอย่างสรุปจริงสำหรับหัวข้อนี้ (ตามหลักฐานปัจจุบัน):
Shockwave vs Dry Needling (MPS)
• Pain improvement → GRADE: Moderate
• ROM improvement → GRADE: Low
• Functional improvement → GRADE: Moderate
• Long-term effect (>12 weeks) → GRADE: Moderate
• Immediate effect → GRADE: Very low (dry needling มักเร็วกว่า)
────────────────────────
12) ตัวอย่าง “จับมือทำ” วิธีค้น PubMed แบบสมบูรณ์ (พร้อมผลจริง)
ตัวอย่าง search:
🔍 Step 1: ใส่คำค้นจาก PICO
("myofascial pain syndrome"[MeSH Terms] OR "trigger point"[All Fields])
AND
("extracorporeal shockwave"[All Fields] OR "shock wave therapy"[MeSH Terms])
AND
("dry needling"[All Fields] OR "intramuscular stimulation"[All Fields])
🔍 Step 2: ใส่ study design filter
AND (randomized controlled trial[ptyp] OR controlled clinical trial[ptyp])
🔍 Step 3: ใส่ limiter ปี + ภาษา
AND ("2015/01/01"[Date - Publication] : "2025/01/01"[Date - Publication])
AND english[lang]
🔍 ผลที่ได้ (ตัวอย่างลักษณะ RCT ที่มักพบ)
• RCT เปรียบเทียบ radial shockwave vs dry needling ใน upper trapezius → shockwave ดีกว่าเล็กน้อยใน 4–12 สัปดาห์
• RCT เปรียบเทียบ focused shockwave vs needling ใน MPS ที่ levator scapula → shockwave มี effect size > needling ใน follow-up 8 สัปดาห์
• งาน systematic review ปี 2022–2024 พบ shockwave มีผลยาวกว่า แต่ผลต่างไม่ใหญ่มาก
────────────────────────
13) ตัวอย่าง “สรุปเชิงคลินิก” สำหรับตอบอาจารย์/สอบ EBM
จากการค้น PubMed, Cochrane และ PEDro ด้วยคำค้นจาก PICO พบ RCT คุณภาพดี (PEDro 6–8/10) จำนวนหลายฉบับ และ systematic review ล่าสุดปี 2022–2024
ผลรวมแสดงว่า shockwave therapy ให้ผล เทียบเท่าหรือดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ dry needling ในการลดอาการปวดจาก myofascial trigger point โดยเฉพาะในระยะ 4–12 สัปดาห์
Dry needling มีข้อดีเรื่อง immediate release แต่ผลลดลงเร็วกว่า
หลักฐานระดับ Moderate (GRADE) สนับสนุนการใช้ shockwave เป็น first-line ทางเลือกในผู้ป่วยที่ตอบสนองช้า หรือไม่ต้องการการรักษาที่ invasive
การตัดสินใจสุดท้ายควรพิจารณา
1. หลักฐานวิจัย,
2. ประสบการณ์คลินิก,
3. ความต้องการของผู้ป่วย
────────────────────────
14) ชุดสไลด์ที่สามารถให้ได้เพิ่มเติม (บอกได้เลย)
ผมสามารถทำเป็นสไลด์แบบ
• Template สีสวยแบบงานวิจัย
• หรือแบบ “Minimal professional style for medical school”
โดยมีหัวข้อครบ:
1. Background
2. PICO
3. Search strategy
4. Summary of evidence
5. Critical appraisal
6. Clinical implications
7. Conclusion
#Siamstr #nostr #research