Thread

Article header

บันทึกการเดินทางสามเวที

#บันทึกการเดินทางสามเวที ที่พูดเรื่องเดียวกัน เงิน อำนาจ กฎเกณฑ์ แต่คนละโทน คนละฉาก และคนละอารมณ์ ผมจะพยายามพาคนอ่านเดินผ่านประตูสามบานได้แก่ นเรศวรที่เราคุยกันถึงการ “เปลี่ยนโลกโดยไม่ต้องยึดอำนาจ” เชียงใหม่ที่ตั้งคำถามง่าย ๆ ว่าทำไม “การเป็นเด็กดีมันยากนัก” และนครปฐมที่เราชวนเด็ก ๆ ดูของจริงในชีวิตประจำวันว่า “ราคาคือเสียงของเรา” กับ “ของฟรีวันนี้ จะมีบิลส่งให้พรุ่งนี้เสมอ”

สุดท้ายทั้งหมดนี้ผูกไว้กับบิตคอยน์ มันไม่ใช่คำสาป ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่มันเป็นเครื่องมือเรียบง่าย สำหรับการคืนความเป็นเจ้าของชีวิตให้แก่เรา

image

1 มหาวิทยาลัยนเรศวร - เปลี่ยนโลกโดยไม่ต้องยึดอำนาจ และบิตคอยน์ในฐานะ “รอยแตกร้าว” ที่เราเลือกเดิน เวทีนี้เป็นวงเสวนา 3 คน อ.ท็อป Watcharabon Buddharaksa อ.ขิง ขิงว่านะ และซุป เราเปิดด้วยนักคิดชื่อ John Holloway กับกรอบแนวคิดจากหนังสือ Change the World Without Taking Power ที่ชี้ให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปควบคุมป้อมหรือฐานทัพของอำนาจเพื่อจะเปลี่ยนสิ่งใด แต่เราทำให้มัน “หยุดครอบงำเรา” ได้ ด้วยการถอนตัวจากกติกาที่เราไม่ยินยอม ตั้งแต่ในระดับชีวิตประจำวันจนถึงระดับสถาบัน หนังสือเล่มนี้เปิดด้วยภาพจำง่าย ๆ “ด้วยเสียงกรีดร้อง” ของความรู้สึกไม่ยินยอมที่หลุดจากลำคอ เมื่อเรารู้ว่า “มันต้องมีอะไรผิดปกติอยู่ในระบบนี้” เสียงนั้นคือจุดเริ่มต้นของการเมืองแบบไม่ยอมถูกกดขี่ ไม่ยอมให้กำแพงเดิม ๆ ครอบงำเราไว้อีกต่อไป . พอวางเลนส์ฮอลโลเวย์ลงบนโลกการเงิน เราเห็นบิตคอยน์ไม่ใช่ธงที่เอาไว้ยึดรัฐ แต่คือ “รหัสการเมืองเชิงปฏิบัติ” การลงมือเปลี่ยนได้ทันที ทำอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่ต้องรอมติจากใคร การถือเอง โอนเอง โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร คือการเมืองที่จับต้องได้ในระดับบุคคล นี่คือการเปลี่ยนโลกโดยไม่ต้องปีนยอดพีระมิดอำนาจ เราชวนจินตนาการอีกภาพว่าหากระบบเดิมคือกำแพงทึบ “รอยแตกร้าว” นี้คือช่องว่างที่อากาศและน้ำไหลผ่านได้ บิตคอยน์ทำหน้าที่เสมือนอากาศกับน้ำที่ลอดรอยแตกให้คุณค่ามันหลุดออกไปจากกำแพงเดิม เราจึงส่งต่อคุณค่ากันได้ โดยไม่ต้องรื้อทั้งตึกในคราวเดียว . หัวใจของเวทีนี้คือการย้ำว่า บิตคอยน์ไม่ได้อ้างว่าจะตอบทุกโจทย์ของอำนาจ แต่เราย้ำชัดว่า “อำนาจในการควบคุมเงิน” ไม่ควรถูกผูกขาด เพราะเงินที่บังคับโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ทำให้เราทั้งสังคมไม่ใช่ “subject” ของชีวิตตนเองอีกต่อไป การคืนกุญแจให้เจ้าของชีวิต คืน “power to do” ให้คนธรรมดาได้เก็บออมได้ อำนาจอยู่ในมือเรา มันเริ่มต้นตรงกระเป๋าสตางค์ในมือเราเองนี่แหละ

2 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ - เมื่อ “เป็นเด็กดี” กลายเป็นภารกิจยาก ราคาเป็นเสียง, ตลาดคือฉันทามติ, และการถอนตัวอย่างสุภาพ ซุปคุยกับแพน Pas Lertapanon แบบถามตอบชวนคิด ที่เริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า “ทำไมการเป็นเด็กดีมันเหนื่อยจัง” เพื่อพาเห็นว่าในชีวิตจริง เราถูกกฎ ภาษี ระเบียบ ครอบไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำผิดอะไร การค้าขายที่ควร Win‑Win กลับต้อง “ขออนุญาตก่อน” เหมือนรัฐมองประชาชนเป็นผู้ต้องสงสัย ทั้งที่การแลกเปลี่ยนโดยสมัครใจคือความยินยอมของสองฝ่ายอยู่แล้ว เราเริ่มด้วยชีิวิตหนึ่งวันที่ทำงานแปดถึงสิบชั่วโมง เหนื่อยจริง เสี่ยงจริง แต่เงินเดือนขยับปีละห้าเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ค่าครองชีพวิ่งแซง ความรู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ คืบคลานมาก่อนคำอธิบายเสมอ คนเลยหันไปทำโอที หวังแก้ด้วยแรงตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ มองเห็นว่า “ระบบเงิน” ต่างหากที่กัดกินเราอย่างเงียบ ๆ . เราคุยกันเรื่องภาษีสินค้าเช่นสุรา ที่ครึ่งหนึ่งของราคาคือภาษี ความจริงที่เรียบง่ายแต่ชี้ให้เห็น “มือ” ที่ล้วงกระเป๋าเราได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเรา และพอเราชินชา เราก็เริ่มเรียกมันว่า “กฎหมาย” ทั้งที่ความรู้สึกลึก ๆ ของเราบอกว่ามันคือการปล้นที่ทำให้ถูกกฎหมาย นี่แหละภาษาที่ทรงอำนาจที่สุด ภาษาที่เปลี่ยนความรุนแรงให้กลายเป็นพิธีกรรม . จากชีวิตจริง เราย้อนกลับสู่หลักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนแบบบ้าน ๆ ให้เห็นว่าราคาคือผลของการยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่ตัวเลขที่ “ใครสักคน” กำหนดแล้วสังคมต้องตาม หากรัฐบังคับหรือควบคุมราคา แรงจูงใจผู้ผลิตพัง สินค้าหาย และตลาดมืดงอก นี่ไม่ใช่คุณธรรมต่ำต้อยของพ่อค้า แต่เป็นวิธีที่มนุษย์จริง ๆ ตอบสนองต่อแรงจูงใจจริง ๆ แต่เมื่อเราเห็นราคาคือ “เสียง” ที่ผู้ซื้อผู้ขายใช้ลงคะแนนกันทุกวินาที เราจะฟังกันด้วยเหตุผลมากขึ้น แทนที่จะกรีดร้องใส่กันด้วยศีลธรรมแบบครึ่งใบ . แล้วบิตคอยน์ล่ะ มันก็คือตลาดแบบไม่ต้องขออนุญาต ตลาดที่สินค้าชื่อ “เงินที่มั่นคง” มีอุปทานที่คาดเดาได้และต้านทานการแทรกแซง การถือเงินที่เสื่อมช้าย่อมทำให้เราปรับ “ระดับความเห็นแก่เวลา” ลงได้ วันนี้เราจะเลิกรีบใช้เงินเพื่อหนีเงินเฟ้อ พรุ่งนี้เราจะเก็บออมเพื่อลงทุนในระยะยาวมากขึ้น สังคมที่มีกระดูกสันหลังของเงินที่ดีแบบนี้ จึงเป็นสังคมที่พูดด้วยภาษาของความอดทนและมีความรับผิดชอบ มากกว่าภาษาของการลดแลกแจกแถมในวันนี้ และผัดหนี้ไว้พรุ่งนี้

3 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม - ราคาคือภาษา, คุณค่าคือเรื่องส่วนตัว, “ของฟรีวันนี้ บิลพรุ่งนี้” และกุญแจของเราอยู่ในมือเราเอง กับน้อง ๆ ม.ปลาย ซุปกับแพนเราเริ่มจากพื้นฐานที่สุดว่ามูลค่าเป็นเรื่องส่วนตัว ของชิ้นเดียวกัน คนสองคนให้ค่าต่างกันได้เสมอ ส่วน “ราคา” คือจุดที่คนสองฝ่ายยอมกันได้ในวินาทีหนึ่ง ๆ มันไม่ใช่ดัชนีศีลธรรมอะไร แต่เป็นประโยคสั้น ๆ ว่า “ฉันโอเค เธอโอเค เราแลกกันได้” นี่คือเหตุผลที่ราคาควรถูกปล่อยให้เป็นผลของการยินยอม มากกว่าคำสั่งบนกระดาษ . จากนั้นเราคุยคำสั้น ๆ ที่จำง่ายแต่แอบสะกิดใจนิด ๆ ว่า “ของฟรีวันนี้ จะมีบิลส่งมาพรุ่งนี้เสมอ” โลกที่เงินเฟ้อสูง หนี้ถูกอุดหนุน และรัฐบาลอัดฉีดสัญญาว่าจะให้อะไรฟรีกับเรานั้น แท้จริงเขาแค่เลื่อนบิลไปไว้ในอนาคต แล้วใครจ่ายละ ก็คือตัวเราในอนาคตนี่แหละ หรือลูกหลานเราที่ต้องรับกรรมไปแบบไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ความเข้าใจนี้ทำให้เราต้องพูดถึง “รัฐสวัสดิการ” ด้วยราคาที่ต้องจ่ายจริง ๆ เพราะทุกสิทธิและของที่แจกย่อมมีคนจ่ายเสมอ ไม่ว่าจะผ่านภาษี หนี้สาธารณะ หรือเงินเฟ้อ รวมทั้งต้นทุนที่มองไม่เห็นอย่างคุณภาพที่ลดลง คิวยาว และแรงจูงใจที่บิดเบี้ยว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คำปลอบใจสวย ๆ ได้อีกต่อไป แต่ต้องบอกให้ตรงว่าใครเป็นคนจ่าย จ่ายเมื่อไร และจ่ายเท่าไร . เมื่อเชื่อมกับบิตคอยน์ เด็ก ๆ จะเห็นภาพง่ายมากขึ้น ถ้าเงินที่เราถือเสื่อมช้า เราจะมีเหตุผลที่จะออม มีแรงใจที่จะเรียนรู้ทักษะยาว ๆ ไม่ไล่ล่าผลตอบแทนสั้น ๆ ตลอดเวลา และถ้าเราถือ key เอง จด จำ และเก็บ seed phrase อย่างปลอดภัย ทรัพย์สินนั้นจะเป็นของเรา ไม่ใช่กระดาษสัญญาที่ใครแก้เงื่อนไขหลังบ้านได้ การศึกษาเรื่องเงินจึงเริ่มที่การรู้คุณค่าของเวลา และจบลงที่ความรับผิดชอบต่อกุญแจของตัวเอง

#เสียงสะท้อนเดียวกันจากสามเวที สามเวที สามภาษากาย แต่ใจความเดียวกัน เสียงกรีดร้องที่บอกเราว่า “มันมีอะไรผิดปกติ” และเราไม่ได้เรียกหา “ผู้นำที่ดีกว่า” หากเรียกหา “เงื่อนไขที่ยุติธรรมกว่า” เงื่อนไขที่เรากำหนดชีวิตของตัวเราเองได้ ฮอลโลเวย์สอนให้เราสร้าง “รอยแตกร้าว” แทนการยึดป้อม ตลาดสอนให้เราเคารพเสียงของกันและกันผ่านราคา และบิตคอยน์ก็ให้เครื่องมือที่ทำให้สองบทเรียนนี้ทำงานพร้อมกันโดยไม่ต้องรอใครอนุมัติ

เราไม่ต้องใช้ความรุนแรง ไม่ต้องลงถนน ไม่ต้องไปประท้วงเพื่อเรียกร้องหรือทวงคืนอำนาจจากใคร เราต้องเลิกยินยอมให้อำนาจยึดเรา เริ่มจากอำนาจการควบคุมเงินในกระเป๋าเราเอง โลกไม่อาจเปลี่ยนแปลงในวันพรุ่งนี้ แต่กำแพงจะร้าวทุกครั้งที่เราปฏิเสธจะใช้ภาษาของการบังคับกดขี่ และเลือกภาษาของความยินยอม เมื่อรอยร้าวมันมากพอ อากาศจะไหลผ่าน น้ำจะไหลผ่าน และคนจะเดินผ่าน . ...ที่เหลือคือคำถามง่าย ๆ ว่าคุณอยากให้เสียงของคุณในตลาดดังขึ้นด้วยเงินที่คุณเลือกเองไหม ถ้าใช่...บทเรียนทั้งสามเวที มีคำตอบเดียวกัน คุณเริ่มได้ตั้งแต่ตอนนี้

#Siamstr

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!