ตัวการใหญ่ที่ทำให้เงินในกระเป๋าประชาชนเสื่อมค่า (เงินเฟ้อ) คือ ระบบการธนาคารสมัยใหม่ image ในวันนี้การกู้ เขาไม่ได้หอบเงินฝากของใครซักคน หรือรวบรวมจากหลายๆ คนมาให้เรา แต่เขาแค่เคาะตัวเลขในบัญชี 2-3 ที โดยแทบไม่มีต้นทุน ภายใต้ระบบการธนาคารที่เรียกว่า fractional reserve banking หรือการอนุญาตให้ธนาคารสำรองสินทรัพย์แค่บางส่วน (กฎหมายให้สำรองเงินฝากแค่ 1% แต่ธนาคารไทยสำรองที่เฉลี่ย 12% ถือว่าเซฟกว่าประเทศอื่น) มันมอบความสามารถในการ leverage หรือเสกเงินปล่อยกู้มากกว่าเงินจริงๆ ที่ตัวเองมี (เพดาน max. ที่ 99 เท่า) ยกตัวอย่างเช่น นายตั๊มขายบ้าน 3 ล้าน นายโสพรสนใจจึงไปยื่นกู้ ธนาคารก็เคาะเงิน 3 ล้านมาให้ดื้อๆ (ประเมินนิดนึงมีปัญญาจ่ายมั้ย ถ้าไม่มีเชิญไปหาสมบัติมาค้ำ) นายโสพรหอบเงินไปให้นายตั๊มและเอาบ้านไป นายตั๊มก็นำเงินหอบกลับไปให้ธนาคารสมนึกพาณิชย์ที่ตัวเองถือบัญชี เงิน 3 ล้านที่เคาะมาจากอากาศมันไม่มีตัวตนจริงๆ ได้ถือเป็นสินทรัพย์ของแบงก์สมนึกพาณิชย์แล้ว และมันสามารถถูกใช้เป็นฐานในการปล่อยกู้ต่อไป เงินกู้ที่เสกขึ้นทับถมกันไปกันมา รู้ตัวอีกทีปริมาณเงินในระบบก็มีมากมายมหาศาลกว่า "สินทรัพย์ที่มีจริงๆ" ไปหลายเท่าตัว ปัญหาใหญ่ของระบบนี้ มันทำให้มีคนบางกลุ่มซึ่งร่ำรวยสุดๆ สามารถเข้าถึงเงินผลิตใหม่ได้ก่อนคนอื่น ในต้นทุนที่ถูกกว่ามาก เข้าถึงเงินได้ก่อนก็ไปกว้านซื้อสากกะเบือยันเรือรบได้ก่อน บางคนสามารถกู้ระดับแสนล้านได้ง่ายๆ ในต้นทุนดอกเบี้ยแค่ 1-3% บริษัทยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วยหนี้ และการเป็นหนี้มันได้รับการยกเว้นภาษี แล้วยังใช้สินทรัพย์ที่ได้มาจากหนี้ เช่น หุ้น อสังหา ตราสารหนี้ เอาไปค้ำเพื่อกู้เงินออกมาเพิ่มได้อีก หรือแตกบริษัทลูกแล้วเอาเงินที่บริษัทแม่กู้มาไปเป็นทุน บริษัทลูกก็สามารถเอาทุนจากหนี้ไปวางค้ำประกันเพื่อกู้เงินเพิ่มได้เช่นกัน ส่วนคนธรรมดานอกจากจะกู้ยากเหมือนเดิม ต้นทุนดอกเบี้ยที่ได้ก็แพงกว่ามากมายหลายเท่า ณ วันนี้ แค่ประชาชนไปแห่ถอนเงินออกซัก 10-20% สมนึกพาณิชย์รวมถึงทุกๆ เจ้า ก็พร้อมที่จะ bank run ทันที ถ้าเราเข้าใจกระบวนการนี้ เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า ทำไมดอกเบี้ยเงินฝากมันถึงน้อยน่าเกลียด ก็เพราะเงินฝากเรามันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เขาจะแข่งกันให้ดอกเบี้ยสูงๆ เพื่อแย่งเงินฝากเหมือนในอดีตไปทำไม ในเมื่อเขา "เสกเงิน" ได้ แถมยังมีท่าไม้ตายที่สามารถขอวงเงินจากธนาคารกลางได้หากธุรกิจมีปัญหา หรือเข้าตาจนจริงๆ ก็ให้คนดีย์เอาภาษีมาอุ้มได้...ไม่ช่วยเราก็ได้แต่เงินฝากประชาชนหายหมดนะ นี่แค่ภาพเล็กในประเทศ สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าจะรัฐกู้ เอกชนกู้ ประชาชนกู้ ทุกการเพิ่มหนี้ล้วนเป็นการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ และหากมันมากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินในกระเป๋าทุกคนจะด้อยค่าลง เงินจะมีมูลค่าเท่าเดิม ถ้าอย่างน้อยการเติบโตของปริมาณเงินและเศรษฐกิจมันเท่ากัน แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินเพิ่ม 6+% แล้วเศรษฐกิจมีกี่ปีที่โตเกิน 6%..? เงินคือตัวสะท้อน productivity ของประเทศ และ productivity มันเสกไม่ได้ อยากได้เพิ่มเราจะต้องทำงาน ต้องค้าขายดึงความมั่งคั่งจากต่างชาติเข้ามา กิจการที่ชื่อว่าประเทศ สมมติมีมูลค่า 1ล้าน จะแบ่งเงินเป็นกี่ล้านหน่วยก็ช่าง สุดท้ายมูลค่ารวมก็เท่าเดิมที่ 1ล้านอยู่ดี ยิ่งผลิตเงินเพิ่มมากเท่าไร เงินต่อหน่วยก็จะยิ่งเสื่อมค่า เงินเสื่อมค่ามากเท่าไร ชีวิตเราก็ยากขึ้นตามนั้น ดังนั้น อย่าแปลกใจที่ขยันก็แล้ว ประหยัดก็แล้ว แค่สร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้ซักที เพราะในยุคนี้มันคือเรื่องปกติ #Siamstr
มือที่มองไม่เห็นคอยบงการเจ้าอยู่ image #Siamstr
เงินเฟ้อ คือ ภัยคุกคามสูงสุดของอารยธรรมมนุษย์ image มันมีมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้เพิ่งเคยเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ โรมันกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เพราะเหรียญทองคำตราจักรพรรดิ และล่มสลายเพราะมันเช่นกัน ยุคแรกๆ ของการใช้ทองคำเป็นเงิน การค้าขายยังไม่ได้ขยายขอบเขตมาก เนื่องจากความยุ่งยากเสียเวลาในการแลกเปลี่ยน เพราะทองคำแต่ละก้อนมีขนาดไม่เท่ากันก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทำให้ในยุคสมันนั้นจะซื้อขายกันแต่ละที จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักทองตามมูลค่าสินค้า ซึ่งค่อนข้างยากโดยเฉพาะการใช้จ่ายยอดเล็กๆ ร้านค้าใหญ่ๆ จะมีหม้อสำหรับหลอมทองไว้คอยบริการ เวลาลูกค้าจ่ายเงินมาก็เอาทองไปหลอม แล้วรินเฉพาะค่าสินค้าออกไป กว่าจะจบการซื้อขายมันหลายขั้นตอน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเชื่องช้า แต่ข้อดีของระบบทองคำก้อนนี้ คือ ทองคำมันยากสำหรับทุกคน ประชาชาชนทั่วไปสามารถเป็นผู้ผลิตเงินได้ ผ่านการค้นหาตามแหล่งธรรมชาติ เพียงแต่ว่าด้วยความหายากของมัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำงานมาแลก เพราะมันเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการขุดทองในถ้ำ หรือร่อนทองตามแม่น้ำด้วยตัวเอง แม้การผลิตทองเข้าสู่ตลาดหลักๆ จะมาจากคนร่ำรวยที่มีบริวารมาก แต่มันไม่มีการผูกขาดการผลิต ใครที่มีศักยภาพและคุ้มค่าพอที่จะทำ ก็สามารถเป็นผู้ผลิตทองคำได้ แต่หลังจากที่จักรพรรดินำทองคำและแร่เงินไปหลอมเป็นเหรียญ ออเรียส และ ดีเนเรียส เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มาตรฐานของระบบการเงินจึงเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โรมันกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจสุดๆ เหรียญเหล่านี้มีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการเป็นเงิน มันมีมูลค่าและขนาดเท่าๆ กันโดยไม่ต้องมานั่งชั่งตวงวัด พกพาสะดวก เก็บรักษามูลค่าได้ ทุกคนให้การยอมรับและเชื่อมั่นว่ามันเป็นของแท้ เพราะจักรวรรดิเป็นคนทำ แต่สิ่งที่ต้องแลกมา คือ อำนาจผูกขาดในการควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ การผลิตเงินถูกย้ายจากประชาชนไปอยู่ในมือของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ผลิต ใครหาทองคำมาได้ก็ต้องเอาไปขายให้โรงกษาปณ์ของจักรวรรดิ เพราะเอาไปใช้จ่ายตรงๆ แล้วไม่มีใครรับ ไม่มีใครอยากมานั่งเสียเวลาชั่งตวงวัด ทุกคนเชื่อใจในเหรียญตราจักรพรรดิเท่านั้น ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยมนุษย์นั้นโลภมากเสมอ และเมื่อเงินถูกผูกขาดมันก็นำมาซึ่งการ "โกง" ทุกครั้ง จักรพรรดิเริ่มสั่งให้มีการหลอมเหรียญทองใหม่โดยผสมโลหะราคาถูกลงไป เพื่อให้ผลิตได้จำนวนมากขึ้น กาลเวลาผ่านไปจากเหรียญทองความบริสุทธิ์ 95% ค่อยๆ ถูกยัดไส้จนเหลือเพียง 5% ตอนที่อาณาจักรพบกับการล่มสลาย ซึ่งปรากฏการณ์นี้แหละที่เรียกว่า "เงินเฟ้อ" สร้างความพังพินาศในระบบเศรษฐกิจของอาณาจักร รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ที่ใช้เหรียญนี้เป็นเงิน เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ข้าวยากหมากแพงไปทั่วทุกหัวระแหง ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนรายได้ประชาชนวิ่งตามไม่ทัน ผ่านไปหลายปี ผู้คนก็เอาตัวไม่รอด รายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ชีวิตยากขึ้นและยากขึ้นตามการเสื่อมค่าของเงิน (คุ้นๆ มั้ย) สุดท้ายก็ยากจนข้นแค้นกันทั้งบาง ...ความวิบัติก็เกิดขึ้น ผู้คนต้องดิ้นรนมากขึ้นและยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเิาตัวรอด แม้ว่ามันจะไปทำร้ายใครก็ตาม สังคมค่อยๆ เสื่อมทรามลง กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เกิดอาชญากรรม ใช้ความรุนแรงเพื่อแย่งชิง เกิดความไม่พอใจและความเคียดแค้นในจักรวรรดิ รวมตัวกันต่อต้าน เกิดสงครามกลางเมือง เกิดความแตกแยก ผู้คนเสื่อมศรัทธา จักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่ก็อ่อนแอลงสุดขีด ประชาชนต่างพากันย้ายหนีเพื่อเอาตัวรอด จนสุดท้ายถูกคนนอกเข้ามารุกรานจนนำไปสู่การล่มสลาย หลายบันทึกประวัติศาสตร์บอกว่า ประชาชนต่างพากันยินดีด้วยซ้ำ ที่จักรวรรดิถูกยึดครองและเปลี่ยนผู้นำ แม้จะเป็นกลุ่มคนเถื่อนก็ตาม มันสะท้อนให้เห็นว่าความหวังและอนาคตของผู้คนมันหมดสิ้นแล้วจริงๆ หลังจากนั้นก็เกิดอาณาจักรใหม่ที่รุ่งเรืองและล่มสลายซ้ำๆ มากมาย ทั้งหมดล้วนมีการทำลายมูลค่าเงินตัวเองของผู้ปกครอง และสกุลเงินเฟียตที่เราต้องใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่าเป็นเงินที่ "ชาติหมา" ที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา แม้ว่าในอดีตผู้ที่ผูกขาดอำนาจการผลิตเงินจะแอบโกงได้ แต่มันยังต้องมีทองคำที่เสกไม่ได้ในการผลิต แต่ ณ วันนี้ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย ใครจะอยู่ก็อยู่ กูไป #Siamstr