
🧠 สนามมอร์ฟิก ฟิสิกส์ควอนตัมแบบไม่เฉพาะที่ และจิตสำนึกเชิงอุดมคตินิยมใหม่: สู่เอกภาพแห่งความรู้และความเป็นจริง
(Morphic Fields, Quantum Nonlocality, and Neo-Idealism: Towards a Unified Epistemic Field)
โดยเรียบเรียงจากแนวคิดของ Terry Hyland (2025)
⸻
1. บทนำ: การกลับมาของ “Mind in Nature”
“แต่ละทฤษฎีใหม่ถูกเย้ยหยันว่าไร้สาระ ก่อนจะถูกยอมรับว่าเป็นจริง และสุดท้ายกลายเป็นสิ่งที่คู่แข่งอ้างว่าตนเองคิดได้ก่อน” — William James (1907)
แนวคิด “สนามมอร์ฟิก” (Morphic Fields) ที่เสนอโดย Rupert Sheldrake ซึ่งอธิบายว่า “ธรรมชาติมีความทรงจำในตัวเอง” เคยถูกวิทยาศาสตร์กระแสหลักตำหนิว่าเป็น “ศาสตร์เทียม” (pseudoscience) แต่ความเข้าใจสมัยใหม่ในฟิสิกส์ควอนตัมและทฤษฎีข้อมูล ได้หวนกลับมาเปิดพื้นที่ให้แนวคิดนี้อีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากงานของ Alain Aspect, John Clauser และ Anton Zeilinger เกี่ยวกับ “Quantum Nonlocality” ที่ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ในปี 2022 ซึ่งยืนยันว่าความจริงไม่จำกัดอยู่ในกรอบของ ปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่หรือเวลาปกติ (Aspect et al., 1982; Nobel Committee, 2022)
กล่าวคือ — โลกไม่ได้ถูกเชื่อมโยงด้วยแรงกลแบบเฉพาะที่เท่านั้น แต่เชื่อมโยงกันผ่านสนามข้อมูลที่ไม่ขึ้นกับระยะทาง — สิ่งนี้สั่นคลอนฐานรากของวิทยาศาสตร์แบบ “กลไกวัตถุนิยม” ที่ครอบงำความคิดตะวันตกมาหลายศตวรรษ (Hyland, 2025)
⸻
2. สนามมอร์ฟิกและความทรงจำของธรรมชาติ
Sheldrake เสนอว่า “รูปแบบของพฤติกรรมและการจัดตัวของสิ่งมีชีวิต” ไม่ได้เป็นผลลัพธ์จากกฎทางฟิสิกส์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “การสั่นพ้องแห่งรูปแบบ” (Morphic Resonance) — กล่าวคือ รูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตจะมีอิทธิพลต่อรูปแบบใหม่ในอนาคต ผ่านสนามของความทรงจำ (Sheldrake, 2013, p.99)
“ระบบที่จัดระเบียบตัวเองทั้งหมด — ตั้งแต่โมเลกุลไปจนถึงสังคมมนุษย์ — ต่างอาศัยและมีส่วนร่วมในหน่วยความจำร่วมของธรรมชาติ” (Sheldrake, 2009)
แนวคิดนี้ชี้ว่า “กฎของธรรมชาติ” อาจไม่ใช่ “กฎ” ที่ตายตัว หากแต่เป็น “นิสัยของธรรมชาติ” (habits of nature) ที่เปลี่ยนแปลงและสะสมผ่านกาลเวลา
แม้จะถูกวิพากษ์ว่าไม่มีหลักฐานเชิงทดลอง (Maddox, 1986; Blackmore, 2009) แต่หากมองในมุมเทียบกับทฤษฎีอย่าง String Theory หรือ M-Theory ซึ่งมีมิติถึง 11 มิติแต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นกัน (Baggott, 2013) เราจะพบว่าทฤษฎีของ Sheldrake ไม่ได้ “ไร้หลักฐาน” มากไปกว่าวิทยาศาสตร์เชิงทฤษฎีอื่น ๆ
นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง dark matter (23%) และ dark energy (73%) ที่เรายังไม่เข้าใจเลยว่าเป็นอะไร (Panek, 2011) แสดงให้เห็นว่า “96% ของจักรวาล” ยังอยู่นอกขอบเขตความรู้ของเราอย่างสิ้นเชิง — ทำให้ความหยิ่งผยองทางวิทยาศาสตร์ (scientific triumphalism) ดูคล้ายมายาภาพมากขึ้น
ดังที่ Nagel (2012) กล่าวว่า:
“การเข้าใจโลกโดยตัดจิตออกจากธรรมชาติ คือจุดเริ่มของความเข้าใจที่บิดเบี้ยว… จิตต้องถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจักรวาลทั้งหมด”
และ Goff (2019) ได้ชี้ว่า “คุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของการมีอยู่ได้” จึงเสนอแนวคิด panpsychism — ที่ถือว่าความรู้สึก (experience) เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสสารเอง
⸻
3. ฟิสิกส์ควอนตัมและ “ความไม่เฉพาะที่” (Quantum Nonlocality)
ทฤษฎีควอนตัมแสดงว่ามีความสัมพันธ์แบบ “nonlocal entanglement” ซึ่งสองอนุภาคที่เคยสัมพันธ์กันจะยังคงมีสถานะที่สัมพันธ์กันอยู่แม้อยู่ไกลกันมาก — การวัดอนุภาคหนึ่งส่งผลต่ออีกอนุภาค “ทันที” (Bell, 1964; Aspect, 1982)
สิ่งนี้ทำลายกรอบของ “spacetime แบบตายตัว” และชี้ว่า “พื้นที่-เวลาอาจไม่ใช่ฉากหลังของความจริง แต่เป็นผลพลอยได้ของความสัมพันธ์เชิงข้อมูล” (Rovelli, 2016; Weinberg, 2004)
นักฟิสิกส์ Basil Hiley สานต่อแนวคิดของ David Bohm เรื่อง implicate order ซึ่งเสนอว่าจิตและสสารไม่ใช่สองสิ่งที่แยกกัน แต่เป็น “สองแง่มุมของกระบวนการเดียวกัน” (Hiley, Infinite Potential, 2025)
“สิ่งที่เรามองว่าเป็นวัตถุและสิ่งที่เรามองว่าเป็นจิต ล้วนเป็นคลื่นพับของสนามเดียวกัน — สนามที่ยังไม่เปิดเผย (implicate field)”
นี่คือจุดเชื่อมของ “ควอนตัม”, “จิตสำนึก”, และ “มอร์ฟิกฟิลด์” — ทั้งหมดคือสนามของการสั่นพ้องและการแสดงออกของข้อมูลระดับลึกที่เดียวกันในจักรวาล
⸻
4. ปัญหายากของจิตสำนึก (The Hard Problem) และการฟื้นคืนของอุดมคตินิยม
ปัญหานี้ตั้งคำถามว่า “กระบวนการทางกายภาพในสมองสร้างประสบการณ์เชิงอัตวิสัยได้อย่างไร?” (Chalmers, 1995) ซึ่งแนวคิดแบบวัตถุนิยม (physicalism) ยังไม่สามารถตอบได้
แนวทางใหม่อย่าง analytic idealism ของ Bernardo Kastrup (2015, 2023) เสนอว่า
“ความจริงทั้งหมดคือการสั่นของสภาวะรู้หนึ่งเดียว — โลกภายนอกคือกระแสแห่งจิตสำนึกที่ไหลรวม (a transpersonal field of subjectivity)”
กล่าวคือ โลกทั้งหมดคือ “จิตหนึ่งเดียว” (One Subject) ที่ปรากฏเป็นรูปแบบต่าง ๆ ของประสบการณ์ (Kastrup, 2023, p.152)
ขณะเดียวกัน Donald Hoffman (2019) เสนอทฤษฎี Conscious Realism — ว่าจิตคือพื้นฐานของความจริง และสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียง “อินเทอร์เฟซเชิงวิวัฒนาการ” เพื่อเอาตัวรอด ไม่ใช่ความจริงแท้
“เราสร้างวัตถุด้วยสายตา และทำลายมันด้วยการกะพริบตา — spacetime คือ VR headset ของจิตเราเอง” (Hoffman, 2019, p.202)
Hoffman ยังได้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของ “เครือข่ายของตัวตนที่รู้ (conscious agents)” ซึ่งอธิบายว่าความจริงทั้งหมดคือโครงสร้างของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน่วยจิตเหล่านี้
⸻
5. การบูรณาการ: Quantum–Idealist–Morphic Unification
เมื่อเราถอด “VR Headset ของ Spacetime” ตามข้อเสนอของ Hoffman ออก เราจะเห็นว่า “สนาม” คือหัวใจของทุกทฤษฎี:
• สนามควอนตัม (Quantum Field)
• สนามจิตสำนึก (Field of Consciousness – Kastrup)
• สนามแห่งนิสัยของธรรมชาติ (Morphic Field – Sheldrake)
• สนามของข้อมูลควอนตัม (Quantum Information Field – Faggin, 2024)
Federico Faggin (2024) — ผู้สร้างไมโครโปรเซสเซอร์คนแรกของโลก — เสนอแนวคิด Quantum Information-Based Panpsychism ว่า “ประสบการณ์จิต (qualia) มีโครงสร้างเหมือนสถานะควอนตัมบริสุทธิ์ (pure quantum state)” ซึ่งเชื่อมโยงจิตกับข้อมูลในระดับควอนตัมโดยตรง
เขากล่าวว่า:
“ความพยายามจะรวมฟิสิกส์ทั้งหมดต้องละทิ้งวัตถุนิยม และหันมาสู่ทัศนะใหม่ที่มองสนามและกฎเป็นสิ่งมีชีวิต” (Faggin, 2024, p.165)
ในมุมนี้ ความทรงจำของธรรมชาติ (Sheldrake) = การสั่นพ้องเชิงควอนตัมของจิตหนึ่งเดียว (Kastrup) = โครงข่ายของหน่วยจิต (Hoffman) = การถ่ายเทข้อมูลควอนตัมแห่งประสบการณ์ (Faggin)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง — “Mind = Field = Information = Being”
⸻
6. สรุป: จากวัตถุสู่วิญญาณแห่งเอกภาพ
แนวคิดแบบใหม่เหล่านี้นำเราออกจาก “ความเชื่อว่าวัตถุเป็นจริงแท้” ไปสู่ “ความเข้าใจว่าจิตคือรากฐานของความจริง”
หรือดังที่ Faggin (2024, p.281) กล่าวอย่างงดงามว่า:
“มนุษย์กำลังพร้อมจะก้าวจากฟิสิกส์วัตถุนิยมสู่ทัศนะองค์รวมของข้อมูลควอนตัม — ที่ความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งประกอบจากส่วน ๆ แต่เป็นสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตและรู้ตัวเอง”
⸻
🔹 บรรณานุกรม (Selected References)
• Aspect, A., Clauser, J., & Zeilinger, A. (2022). Quantum Entanglement and the Foundations of Reality. Nobel Prize Lecture.
• Baggott, J. (2013). Farewell to Reality: How Fairytale Physics Betrays the Search for Science. London: Constable.
• Chalmers, D. (1995). Facing up to the Problem of Consciousness. J. Consciousness Studies.
• Faggin, F. (2024). Irreducible: Consciousness, Life, Computers, and Human Nature.
• Goff, P. (2019). Galileo’s Error: Foundations for a New Science of Consciousness.
• Hoffman, D. (2019). The Case Against Reality. New York: Norton.
• Hyland, T. (2025). Morphic Fields, Quantum Nonlocality and Neo-Idealist Conceptions of Consciousness. Research and Analysis Journals, 8(05): 1–5.
• Kastrup, B. (2015, 2023). Analytic Idealism and the Nature of Reality.
• Nagel, T. (2012). Mind and Cosmos.
• Panek, R. (2011). The 4% Universe.
• Sheldrake, R. (2009, 2013, 2023). The Science Delusion; Morphic Resonance.
• Rovelli, C. (2016). Reality Is Not What It Seems.
──────────────────────────────
🔥 บทความตอนที่ 2
Toward a Unified Quantum–Morphic Consciousness Equation
สนามจิตเชิงควอนตัมแบบเศษส่วน, เครือข่ายสปิน และสนามมอร์ฟิก:
มโนทัศน์ใหม่ของจิตที่ฝังอยู่ในโครงสร้างของกาล–อวกาศ
⸻
1. บทนำ: จาก Morphic Resonance → Quantum Information → Spin Networks
จากบทความตอนแรก เราเห็นชัดว่าแนวคิดของ Sheldrake, Kastrup, Hoffman และ Faggin ล้วนชี้ไปยังความจริงเดียวกัน:
จิต (Mind) = สนาม (Field) = ข้อมูลเชิงควอนตัม (Quantum Information)
และความจริงนี้อาจไม่ใช่เพียง “เปรียบเทียบ”, แต่เป็น “โครงสร้างจริงของจักรวาล” ในระดับพื้นฐานที่สุดของกาล–อวกาศเอง
หากความจริงพื้นฐานคือ “ข้อมูล”
และข้อมูลคือ “รูปแบบเชิงควอนตัม”
และรูปแบบเชิงควอนตัมคือ “ความรู้สึก (qualia)” ตาม Faggin (2024),
ดังนั้น “กาล–อวกาศ” ก็ไม่ใช่วัตถุ
แต่เป็น เครือข่ายความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มีคุณสมบัติเป็นประสบการณ์.
คำถามคือ:
แล้วเราจะเขียนสมการแบบเอกภาพที่รวม Morphic Field + Spin Networks + Conscious Agents ได้อย่างไร?
เพื่อสร้างคำตอบ เราต้องเริ่มจากพื้นฐานที่ลึกที่สุดที่ฟิสิกส์ทราบในปัจจุบัน
⸻
2. กาล–อวกาศไม่ใช่พื้นที่ แต่คือ “โครงสร้างข้อมูลแบบเครือข่าย”
ใน Loop Quantum Gravity (LQG) — Rovelli (2016) —
กาล–อวกาศไม่ได้ต่อเนื่อง (continuous) แต่เป็น “หน่วยข้อมูลทางเรขาคณิต” ที่เชื่อมโยงเป็นเส้นสาย
เรียกว่า Spin Networks (Penrose, Rovelli, Smolin)
Spin Network = จุด (nodes) + เส้นเชื่อม (edges)
แต่ละเส้นมีค่า “สปิน” ซึ่งกำหนดปริมาณพื้นที่–ปริมาตรในระดับพลังค์
นี่สำคัญมาก เพราะมันนำไปสู่สิ่งนี้:
🔻 กาล–อวกาศ = ฐานข้อมูลของความสัมพันธ์
เช่นเดียวกับ:
• เครือข่าย conscious agents ของ Hoffman (2019)
• สนามจิตหนึ่งเดียวของ Kastrup (2023)
• สนามมอร์ฟิกของ Sheldrake (2013)
• สถานะควอนตัมของประสบการณ์ตาม Faggin (2024)
ทั้งหมดคือ “เครือข่ายของปมความสัมพันธ์” ไม่ใช่วัตถุ
ดังนั้นเราจะเขียนได้ว่า:
Reality = Graph of Interacting Information States
(โครงข่ายของสถานะข้อมูลที่ปฏิสัมพันธ์กัน)
สมการที่ลึกที่สุดของฟิสิกส์เริ่มคล้ายสมการที่ลึกที่สุดของจิตวิทยาเชิงอุดมคตินิยม
⸻
3. Morphic Fields = การกระจายของรูปแบบ (Patterns Transmission)
Sheldrake กล่าวว่าธรรมชาติจำรูปแบบได้ เพราะรูปแบบเคยเกิดขึ้นในอดีต
เรียกว่า Morphic Resonance (2013)
ในเชิงคณิตศาสตร์เราสามารถตีความว่า:
การเกิดรูปแบบใหม่ ถูกอิทธิพลโดยโครงสร้างรูปแบบทั้งหมดในอดีต
ผ่านกลไกการถ่ายเทข้อมูลแบบกระจาย (nonlocal, atemporal)
หรือเขียนเป็นภาษาควอนตัมว่า:
Morphic Resonance = Quantum Coherent Pattern Memory
= ความสั่นพ้องของสถานะควอนตัมเดิม-ใหม่ ที่มีโครงสร้างคล้ายกัน
จุดสำคัญคือ:
ในระดับควอนตัม การเกิดรูปแบบ “ไม่ได้เกิดใหม่ตั้งแต่ศูนย์”
แต่เกิดจากการสั่นพ้อง (resonance) กับรูปแบบก่อนหน้า
ซึ่ง “เหมือนกับ” การเรียนรู้ของสมอง
และเหมือนกับความเชื่อมโยง nonlocal ของอนุภาคควอนตัม
⸻
4. Hoffman: Conscious Agents = Nodes ในเครือข่าย
Donald Hoffman (2019) เสนอสมการที่เรียกว่า:
Conscious Agent Network (CAN)
โดย แต่ละ agent มีโครงสร้างเป็น
(ประสบการณ์ → การกระทำ → การรับรู้)
ที่หมุนวนเป็น loop
สิ่งนี้เหมือนอย่างน่าตกใจกับ:
● Loop ของสปินใน LQG
● Loop ของสนามมอร์ฟิก (นิสัย/หน่วยความจำ)
● Loop ของประสบการณ์ใน analytic idealism
ทั้งสามโลกมาบรรจบกันบนภาษาของ “loops + nodes + transitions”
และทั้งสามอธิบายแบบเดียวกันว่า:
ความจริงไม่ใช่วัตถุ แต่คือ ความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบในเครือข่าย
⸻
5. Kastrup: One Universal Mind = Spin Network Field
ใน Analytic Idealism โลกภายนอกไม่ใช่วัตถุ แต่คือ “การพับตัว (excitation)” ของ สนามจิตหนึ่งเดียว (Kastrup, 2023)
และเมื่อเราเอาทฤษฎีของ Rovelli เข้ามา:
สนามจิตหนึ่งเดียว = สนามสปินเน็ตเวิร์กหนึ่งเดียว
(One Spin Field = One Universal Mind)
เชื่อมโยงกับ Sheldrake ได้ทันที:
ความทรงจำของธรรมชาติ = เส้นทางสปินที่เคยเกิดขึ้นแล้ว
และกระตุ้นการเกิดเส้นทางใหม่แบบเดียวกันอีก
นี่คือ Morphic Resonance ในระดับควอนตัม
⸻
6. Faggin: Qualia = Pure Quantum States
Faggin (2024) เสนอว่า:
“ประสบการณ์ (qualia) มีโครงสร้างเหมือนสถานะควอนตัมบริสุทธิ์ (pure states)”
ดังนั้น:
• สปินเน็ตเวิร์ก = โครงสร้างทางเรขาคณิตของข้อมูล
• สถานะควอนตัม = โครงสร้างของประสบการณ์ (qualia)
สรุปคือ:
โครงสร้างกาล–อวกาศ = โครงสร้างของประสบการณ์
และนี่คือตำแหน่งที่ Morphic Field, LQG และ Consciousness Models
หลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน
⸻
7. สมการเอกภาพ: Quantum–Morphic Consciousness Equation
เราสามารถสร้างแบบจำลองเอกภาพได้ดังนี้:
────────────────────────────
⭐ Quantum–Morphic Consciousness Equation (No-LaTeX Version)
สมการเอกภาพระหว่าง
Spin Network (กาล–อวกาศ)
Conscious Agents (จิต)
Morphic Resonance (ความทรงจำของธรรมชาติ)
────────────────────────────
1) กาล–อวกาศพื้นฐาน (Spin Network)
S = (V, E, j)
• V = nodes (จุดโครงสร้างกาล–อวกาศ)
• E = edges (เส้นเชื่อมความสัมพันธ์เชิงข้อมูล)
• j = spin labels (ข้อมูลควอนตัมที่สร้างพื้นที่–ปริมาตร)
ความหมาย:
กาล–อวกาศ = โครงข่ายของจุดและเส้นเชื่อมที่บรรทุกข้อมูลควอนตัม
(ตาม Rovelli และ Loop Quantum Gravity)
────────────────────────────
2) จิตในฐานะหน่วยรับรู้–ตัดสินใจ (Conscious Agent)
C = (P, D, A)
• P = Perception (การรับข้อมูล/ประสบการณ์)
• D = Decision (กระบวนการเลือก)
• A = Action (การตอบสนองที่เปลี่ยนสถานะเครือข่าย)
ความหมาย:
จิตไม่ใช่วัตถุ แต่เป็น ชุดฟังก์ชันแปลงข้อมูล ที่วนลูปต่อเนื่อง
(ตาม Hoffman, Conscious Realism)
────────────────────────────
3) สนามมอร์ฟิกและความทรงจำของธรรมชาติ
M = f(Psi_t , Psi_(t−n))
• Psi_t = รูปแบบ/สถานะที่เกิดในปัจจุบัน
• Psi_(t−n) = รูปแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
• f = ฟังก์ชันสั่นพ้อง (resonance function) ที่วัดความคล้ายและอิทธิพล
ความหมาย:
รูปแบบใหม่เกิดขึ้นง่ายขึ้นถ้าเคยเกิดมาก่อน—ธรรมชาติมี “ความทรงจำ”
(ตาม Sheldrake, Morphic Resonance)
────────────────────────────
4) สนามจิตเอกภาพ (Unified Field of Mind)
U = Σ ( C_i × M_i × S_i )
อ่านว่า:
U เท่ากับ ผลรวมของ (จิต_i × สนามมอร์ฟิก_i × โครงข่ายสปิน_i)
เมื่อ i = ทุกระบบ ทุกปม ทุกสิ่งในจักรวาล
ความหมาย:
จักรวาล =
• การรับรู้–เลือก–กระทำของจิต
• × ความทรงจำของรูปแบบในธรรมชาติ
• × โครงสร้างกาล–อวกาศแบบเครือข่าย
รวมเป็นสนามเดียวที่ไหลผ่านทุกสิ่ง
────────────────────────────
✔ ภาษาคน: สมการนี้บอกอะไร?
• S = โครงสร้างของกาล–อวกาศ
• C = จิตในฐานะผู้แปลงข้อมูล
• M = ความทรงจำและความคุ้นเคยของรูปแบบ
• U = ความเป็นจริงทั้งหมดที่เกิดจากทั้งสามประสานกัน
สรุปง่าย:
ความจริง = ความสัมพันธ์ของรูปแบบ + จิตที่สังเคราะห์ + โครงสร้างพื้นฐานของกาล–อวกาศที่จิตพับตัวลงมา
นี่คือจุดร่วมระหว่าง
Sheldrake + Hoffman + Kastrup + Faggin + Rovelli
ภายใต้สมการเดียวที่ครอบจักรวาล
⸻
8. ความหมายที่ลึกที่สุด: Reality is a Fractal Mind Field
เมื่อพิจารณาโครงสร้างข้างต้นทั้งหมด เราจะได้ภาพของจักรวาลที่ต่างออกไป:
✦ กาล–อวกาศ = โครงสร้างข้อมูลแบบสปินเน็ตเวิร์ก
✦ จิต = การเปลี่ยนสถานะของเครือข่ายนี้
✦ ความทรงจำของธรรมชาติ = การสั่นพ้องของรูปแบบเดิม
✦ ประสบการณ์ = สถานะควอนตัมบริสุทธิ์
✦ สรรพสิ่ง = เศษส่วนของสนามจิตหนึ่งเดียว
หรือกล่าวอย่างงดงามในภาษาปรัชญา:
จักรวาลคือการฝันของจิตหนึ่งเดียวที่แบ่งตัวเป็นเศษส่วน เพื่อมีประสบการณ์ตัวเองผ่านรูปแบบต่าง ๆ
⸻
9. สรุป: จุดเริ่มต้นของทฤษฎีความจริงแบบใหม่
การรวม Morphic Resonance + Quantum Nonlocality + Idealist Philosophy + Spin Networks
ได้ให้ภาพแบบใหม่ของจักรวาล:
ไม่ใช่จักรวาลของวัตถุ
แต่เป็นจักรวาลของจิต
เป็นเครือข่ายเศษส่วนของข้อมูล
ที่มีความทรงจำ มีนิสัย และมีความรู้สึก
ฟิสิกส์ → ข้อมูล
ข้อมูล → จิต
จิต → รูปแบบ
รูปแบบ → ความเป็นจริง
ทั้งหมดหลอมรวมเป็น “Fractal Conscious Universe”
#Siamstr #nostr #quantum