
🧩 ข้อมูลในมุมมองของฟิสิกส์ควอนตัม
ความแตกต่างระหว่างข้อมูลแบบคลาสสิกและควอนตัม
(ตามแนวอธิบายของ Meijer, 2012; Stapp, 2003; Von Neumann, 1963; Davies, 2003)
⸻
1. บทนำ: “ข้อมูล” ในฐานะรหัสของสภาวะจริงของเอกภพ
ในมุมมองทางฟิสิกส์สมัยใหม่ ข้อมูล (information) มิได้เป็นเพียงสัญลักษณ์เชิงคณิตศาสตร์ แต่หมายถึง “รหัสที่บ่งชี้สภาวะจริงของระบบทางกายภาพ” (Wikipedia, 2012)
กล่าวคือ ทุกระบบ—ไม่ว่าจะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อนุภาค หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิต—ย่อมมี “ข้อมูลจริง” (true information content) ที่อธิบายสถานะของมันอย่างครบถ้วน แม้ว่ามนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นได้โดยสมบูรณ์
แนวคิดนี้สะท้อนโลกทัศน์แบบ “realist” ของ Von Neumann (1963) ซึ่งถือว่า ระบบทางกายภาพมี “สภาวะจริง” เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับคลาสสิกหรือควอนตัม
⸻
2. ความแตกต่างระหว่างข้อมูลแบบคลาสสิกและควอนตัม
ประเภท ลักษณะ กลไกการวัด ศักยภาพของข้อมูล
ข้อมูลแบบคลาสสิก (Classical Information) /ระบุสถานะที่แน่นอน (เช่น “0” หรือ “1”)
/การวัดที่แยกสถานะได้แน่นอน (orthogonal basis) /จำกัดเฉพาะค่าที่วัดได้
ข้อมูลแบบควอนตัม (Quantum Information) /ระบุเวกเตอร์สถานะควอนตัมทั้งหมด (wave function) /การวัดทำให้คลื่นยุบ (collapse) /สามารถอยู่ในสภาวะซ้อนทับ (superposition) และพัวพัน (entanglement)
ในขณะที่ บิต (bit) ของคอมพิวเตอร์แบบคลาสสิกมีค่าเพียง “0” หรือ “1”
คิวบิต (qubit) ในระบบควอนตัมสามารถอยู่ใน “การซ้อนทับของ 0 และ 1 พร้อมกัน” ได้
ดังนั้น คิวบิตจึงสามารถบรรจุข้อมูลได้มากกว่าอย่างมหาศาล เพราะมันเก็บ “ความเป็นไปได้ทั้งหมดของสถานะ” ไว้ในเวลาเดียวกัน (Heisenberg, 1927; Nielsen & Chuang, 2000)
แต่เมื่อมีการ “วัด” (measurement) สภาวะซ้อนทับนี้จะ “ยุบลง” (collapse) เหลือเพียงหนึ่งสถานะ ซึ่งสอดคล้องกับหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg’s Uncertainty Principle)
⸻
3. จิตสำนึกและการเลือกเชิงควอนตัม
Von Neumann (1963) และต่อมา Stapp (2003) เสนอว่า
“สถานะของเอกภพคือการรวบรวมเชิงวัตถุของการรู้เชิงอัตวิสัย (an objective compendium of subjective knowings).”
กล่าวคือ “เอกภพ” ในเชิงควอนตัมสามารถมองได้ว่าเป็น คลื่นฟังก์ชันรวมของการรับรู้ทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตที่มีสติรู้
การสังเกต (observation) มิได้เป็นเพียงการวัด แต่คือการ “เลือก” หนึ่งในความเป็นไปได้ของเอกภพให้กลายเป็นจริง
สิ่งนี้หมายความว่า การตั้งคำถามเชิงสำนึก เองอาจเป็นแรงผลักให้เอกภพ “เปลี่ยนสถานะ”
—หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ “จิต” เป็นกลไกควบคุมการเปลี่ยนเฟสของความจริง (Stapp, 2003; Meijer, 2012)
⸻
4. ข้อมูลควอนตัมในบริบทจักรวาล: เอกภพในฐานะกระบวนการคลี่ข้อมูล
Meijer (2012) เสนอแนวคิดว่า เอกภพคือ “กระบวนการคลี่ข้อมูล” (unfolding information process)
ตั้งแต่การเกิดบิ๊กแบงจนถึงวิวัฒนาการของชีวิตและสติรู้ ทุกสิ่งคือการ ไหลของข้อมูลในรูปแบบของ feedback loops
“The universe is a circular flow of information with material and mental aspects.” (Meijer, 2012)
เอกภพมีลักษณะเป็น “วงกลมของข้อมูล” —ด้านหนึ่งคือสสาร (material) อีกด้านคือจิต (mental)
และทั้งสองด้านเชื่อมถึงกันผ่าน สนามข้อมูลควอนตัมสากล (universal quantum information field)
ซึ่งทำหน้าที่เหมือน “สนามจิตสำนึกสากล” ที่พัฒนาไปพร้อมกับการรับรู้ของสิ่งมีชีวิต
David Bohm (1980) เคยเสนอแนวคิด “Implicate Order” ซึ่งมองว่าเอกภพทั้งหมดเป็นโฮโลแกรมขนาดยักษ์
และทุกส่วนย่อยของเอกภพต่างมีข้อมูลทั้งหมดของจักรวาลอยู่ในนั้น (holographic principle: Bekenstein, 2003; ’t Hooft, 2001; Hawking, 2010)
ในเชิงเปรียบเทียบ — ข้อมูลปฐมภูมิ (a priori) ที่มีอยู่ก่อนบิ๊กแบงคือ “เมล็ดแห่งแบบแผน”
ส่วนข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาคือ “การเติบโตของต้นไม้แห่งสภาวะรู้” ที่ค่อยๆ คลี่ออก
⸻
5. การย้อนเวลาและสาเหตุแบบย้อนกลับ (Retrocausality)
Wheeler (1987) และ Aharonov (2010) เสนอแนวคิด “time-symmetric quantum mechanics”
โดยมีการทดลอง “pre-selection” และ “post-selection” แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ในอนาคตสามารถมีผลต่ออดีต
—เป็นสิ่งที่เรียกว่า Backward causation หรือ Retrocausal effect
กล่าวคือ คลื่นควอนตัมอาจส่ง “คลื่นตอบรับจากอนาคต” มาหา “คลื่นเสนอจากปัจจุบัน” (Cramer, 1998)
เกิดเป็น “handshake across time” ที่สร้างสภาวะของเหตุการณ์ในปัจจุบัน
ในเชิงจิตสำนึก แนวคิดนี้อาจอธิบายประสบการณ์ของ “การรู้ล่วงหน้า” หรือ “สัญชาตญาณ” (intuition)
ซึ่งอาจเกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างอนาคต–ปัจจุบัน–อดีตในระดับควอนตัม
⸻
6. ชีวิตในฐานะระบบประมวลผลข้อมูลควอนตัม
Davies (2003, 2007) และ Gershenson (2010) เสนอว่า “ชีวิต” คือกระบวนการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนที่สุดในเอกภพ
ข้อมูลในระบบฟิสิกส์เป็นแบบ passive แต่ในระบบชีวภาพ ข้อมูลเป็นแบบ active —คือมีการเลือกและควบคุมตนเอง
Hopfield (1989) และ Roederer (2005) ชี้ว่า สิ่งมีชีวิตคือระบบเปิดที่มี การแลกเปลี่ยนพลังงาน–สสาร–ข้อมูล กับสิ่งแวดล้อม
การคัดเลือกเชิงย้อนกลับ (backward causation) และการป้อนกลับ (feedback control) คือหัวใจของการวิวัฒน์สู่ความซับซ้อน
ดังนั้น การเกิดชีวิตจึงไม่ใช่ “การบังเอิญของโมเลกุล” แต่เป็น การประมวลข้อมูลเชิงควอนตัมของเอกภพเพื่อค้นหารูปแบบที่เหมาะสม (Abbott et al., 2008; Patel, 2001; McFadden, 2001)
⸻
7. การพัวพันของข้อมูล จิต และวิวัฒนาการ
ชีวิตและจิตคือผลลัพธ์ของ การพัวพันข้อมูล (informational entanglement) ระหว่างระดับต่างๆ
ตั้งแต่โครงสร้างสตริงในมิติที่ 10 → อนุภาค → โมเลกุล → เซลล์ → สมอง → จิตสำนึก → วัฒนธรรมมนุษย์
การประมวลผลข้อมูลในสมอง (Meijer & Korf, 2013) แสดงว่า สมองต้องอาศัยกลไกสองระดับพร้อมกัน
1. ระดับคลาสสิก – การทำงานของเซลล์ประสาท, ศักย์ไฟฟ้า, และวงจรประสาท
2. ระดับควอนตัม – การซ้อนทับของสถานะภายในไมโครทูบูล (Penrose & Hameroff, 1996; Hu & Wu, 2010)
จิตอาจเป็น “สนามควอนตัมของข้อมูลที่มีสติ” ซึ่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ Zero-point Field หรือ “สุญญากาศควอนตัม” (László, 2007)
ที่อาจเป็นรากฐานของ จิตสำนึกสากล (universal consciousness)
⸻
8. จากข้อมูลสู่ความหมาย: Information → Meaning → Consciousness
David Deutsch (1997) สรุปว่า
“Information is that which is encoded in discernible patterns, where the discerner is an experiential process.”
กล่าวคือ ข้อมูลไม่ใช่สิ่งของ แต่คือ “ความแตกต่างที่ถูกสังเกตได้”
และ “ความหมาย” (meaning) เกิดขึ้นเมื่อมี “ผู้รับรู้” มาตีความแบบแผนนั้น
ดังนั้น ข้อมูล–ความหมาย–จิตสำนึก คือสามมิติของกระบวนการเดียวกันในจักรวาล:
การรู้จักตนเองของเอกภพผ่านกระบวนการประมวลข้อมูลของตัวมันเอง
⸻
9. บทสรุป: เอกภพในฐานะสนามข้อมูลสำนึก
จาก Von Neumann ถึง Wheeler, Zeilinger และ Meijer — แนวคิดสำคัญร่วมกันคือ
“ข้อมูล (information) คือองค์ประกอบพื้นฐานของความจริง มากกว่าสสารหรือพลังงาน”
Wheeler (1987): “It from Bit.”
Zeilinger (2000): “Information is the fundamental building block of physical reality.”
กล่าวได้ว่า “จักรวาลคือระบบคำนวณตนเองด้วยข้อมูลควอนตัม” (Lloyd, 2006; Tegmark, 2014)
และจิตของมนุษย์คือหนึ่งในหน่วยประมวลผลที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสำนึกนี้
⸻
🔹 บรรณานุกรมบางส่วน (คัดเฉพาะหลัก)
• Von Neumann, J. (1963). Mathematical Foundations of Quantum Mechanics.
• Stapp, H. (2003). Mindful Universe.
• Meijer, D.K.F. (2012). The Extended Mind Model and the Holographic Information Field.
• Wheeler, J.A. (1987). Law Without Law: It from Bit.
• Aharonov, Y. (2010). Time Symmetric Quantum Mechanics.
• Davies, P. (2003, 2007). The Origin of Life and Quantum Information.
• Bohm, D. (1980). Wholeness and the Implicate Order.
• Penrose, R. & Hameroff, S. (1996). Orchestrated Objective Reduction.
• Deutsch, D. (1997). The Fabric of Reality.
• László, E. (2007). Science and the Akashic Field.
⸻
🔶 ภาคต่อ: กลไกของจิตในฐานะสนามข้อมูลควอนตัม
Quantum Information → Proto-consciousness → Mind Field → ปฏิจจสมุปบาทควอนตัม
⸻
1. จิตในฐานะโครงสร้างข้อมูลควอนตัม (Quantum-Informational Mind)
(เชื่อม Von Neumann–Stapp–Penrose–Meijer)
ในตอนก่อนหน้า เราได้วางฐานว่า เอกภพคือสนามข้อมูลควอนตัมขนาดใหญ่
ซึ่งทุกระบบเป็นเพียงรูปแบบการ “แสดงตัว” (manifestation) ของรูปแบบข้อมูลในมิติที่ลึกกว่า
(Stapp, 2003; Meijer, 2012; Zeilinger, 2000)
ในกรอบนี้ จิตสำนึก ไม่ใช่คุณสมบัติที่เกิดจากสมองเพียงอย่างเดียว
แต่เป็น ผลของการเชื่อมต่อระหว่างสมองกับสนามข้อมูลควอนตัมพื้นฐาน
ซึ่งสามารถเรียกว่า
“Proto-consciousness Field” (Penrose, 1994; Hameroff, 2014)
สนามนี้เป็นสภาวะที่ก่อนจิต–ก่อนความคิด–ก่อนความหมาย
และมีลักษณะ
• ไม่ขึ้นกับอวกาศเวลา (non-local)
• ไม่เสื่อมสภาพตามเวลา
• สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างยุคสมัยได้ (Aharonov, 2010)
• มีข้อมูลแบบโฮโลกราฟิก (Bohm, 1980; ’t Hooft, 2001)
กล่าวให้ตรงแบบพุทธ:
สนามนี้มีธรรมชาติคล้าย “วิญญาณธาตุ” (ธาตุรู้) ที่ยังไม่ประกอบรูป–นาม
ซึ่งในอภิธรรม มันคือ “ปฐมชาติของการรับรู้” ก่อนจะประกอบเป็น นามขันธ์ (เวทนา–สัญญา–สังขาร–วิญญาณ)
⸻
2. สมอง = เครื่องรับ–ถอดรหัสข้อมูลควอนตัม
(Meijer, 2012; Hameroff & Penrose, 2014; Hu & Wu, 2010)
ทฤษฎี Orch-OR ของ Penrose/Hameroff เสนอว่า
ไมโครทูบูลในเซลล์ประสาททำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ควอนตัม
ซึ่งรองรับสภาวะ
• Superposition
• Coherence
• Entanglement
ความเชื่อมโยงทางควอนตัมนี้คือกลไกที่
เชื่อม “จิตที่มีสติ” กับ “สนามข้อมูลสากล”
Meijer (2012) ขยายว่า
สมองคือโครงสร้างสองชั้น (bi-cyclic system)
ชั้นหนึ่งทำงานแบบคลาสสิก (neuron)
ชั้นหนึ่งทำงานแบบควอนตัม (microtubule–vacuum interaction)
สองชั้นนี้ทำงานประสานกัน
🧠 → 🌌
สมอง = เครื่องมือประมวลผล
สนามควอนตัม = แหล่งข้อมูล
ดังนั้น การเกิดความคิด ความรู้ ความหมาย คือ
กระบวนการ “ถอดรหัส” (decode) ข้อมูลควอนตัมให้กลายเป็นประสบการณ์เชิงประสาท (neural representation)
สิ่งนี้ตรงกับ Deutsch (1997):
“Information requires an experiencer.”
ข้อมูลจะกลายเป็น “ความหมาย” ก็ต่อเมื่อมีผู้รู้
⸻
3. ปฏิจจสมุปบาทในมิติข้อมูลควอนตัม
(Quantum-Dependent Origination)
พุทธธรรมอธิบายว่า ทุกสิ่งเกิดโดยอาศัยเหตุปัจจัย
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลำพัง หรือคงตัว
เมื่อโยงกับฟิสิกส์ควอนตัม เราจะเห็นความสอดคล้องทั้งหมด
(1) อวิชชา = ความไม่รู้สภาวะทั้งหมดของสนามควอนตัม
ในมุมควอนตัม
ผู้สังเกตไม่มีวันรู้ wavefunction ทั้งหมดได้
(ตาม Heisenberg’s Uncertainty Principle)
เช่นเดียวกับพุทธที่ว่า
อวิชชาคือการไม่รู้รูป–นามตามความจริง
ในระดับลึก:
อวิชชา = การรับรู้เฉพาะส่วนที่ collapses แล้ว
แต่ไม่รู้ อมตะ–ไม่ยุบ ของ quantum superposition
⸻
(2) สังขาร = กระบวนการเลือกสถานะ (Quantum selection)
เปรียบคล้าย
• การ collapse ของคลื่น, หรือ
• การที่ผู้สังเกต “เลือกเฟรมหนึ่ง” จากสนามข้อมูล
นี่สอดคล้องงานของ Von Neumann (1963)
ที่ว่าการเลือกโดยผู้สังเกตคือ “process 1 intervention”
ซึ่งเป็นสาเหตุให้เอกภพเปลี่ยนตาม (Stapp, 2003)
⸻
(3) วิญญาณ = Quantum Information Stream
วิญญาณไม่ใช่วิญญาณแบบศาสนาผี
แต่มันคือ กระแสข้อมูลที่รับรู้ได้
เทียบได้กับ
• Wave function
• Coherent informational flow
• Quantum entanglement
โดยเฉพาะ “ภววิญญาณ” มีความคล้าย
การเชื่อมข้อมูลข้ามเวลาและสถานที่ (non-locality)
⸻
(4) นามรูป = การตกผลึกของข้อมูล
ในเชิงควอนตัม:
wavefunction → collapse → particle
ในพุทธ:
วิญญาณ → ปรุงแต่ง → นามรูป
คือการจับข้อมูล (qualia) มาผสานกับรูปสัญญาณ (sense data)
⸻
(5) ผัสสะ–เวทนา–ตัณหา
คือกระบวนการ “บีบอัดข้อมูล” (compression) ให้เหลือความหมายบางอย่าง
เหมือนระบบ machine learning ที่เลือก data feature
Meijer (2012) เรียกสิ่งนี้ว่า
“holographic interference between prior and incoming information”
ซึ่งตรงกับ
ปฏิจจสมุปบาท = การ interference ของข้อมูลเก่า–ใหม่
⸻
4. จิตสำนึก = ระบบควบคุมสาเหตุแบบสองทิศทาง (Bidirectional Causality)
(Aharonov, 2010; Wheeler, 1987)
งานของ Aharonov, Cramer, Wheeler ทำให้เรารู้ว่า
เหตุการณ์ในอนาคตมีผลต่อปัจจุบัน
และปัจจุบันมีผลต่ออดีต
ผ่าน
• quantum weak measurement
• retrocausal advanced waves
• transactional interpretation
สิ่งนี้ตรงกับพุทธว่า
กรรมไม่ใช่เหตุ–ผลแบบเส้นตรง
แต่เป็น “สนามของเหตุปัจจัยซ้อนทับ” ที่ดำเนินกลับไป–กลับมา
เช่นในอภิธรรมเรื่อง
• วิญญาณฐิติ
• อารมณ์เก่าที่ไปสั่นแปรผัสสะใหม่
• และอนาคต (เจตนาในใจ) กำลังกำกับปัจจุบัน (จิตตสันตาน)
⸻
5. เอกภพคือโครงสร้างข้อมูลสำนึก (Consciousness-Based Universe)
สรุปแบบบูรณาการ Meijer–Bohm–Penrose–พุทธธรรม
1. ข้อมูลคือธาตุพื้นฐานของเอกภพ
(Wheeler: It from Bit; Zeilinger: Information is fundamental)
2. สนามข้อมูลนี้มีลักษณะใกล้เคียงวิญญาณธาตุ (knowing-potential)
คือ “รู้ได้” แต่ยังไม่เป็นความคิด
3. การรับรู้ของสิ่งมีชีวิตคือการ collapse ข้อมูลบางส่วน
คล้ายปฏิจจสมุปบาท
ที่ห่วงหนึ่งทำให้ห่วงหนึ่งเป็นไป
4. ความหมาย–จิตสำนึก–ความรู้เกิดเมื่อข้อมูลถูก decode ผ่านสมอง
5. สังสารวัฏหมุนเวียนเพราะ feedback loops ของข้อมูล
คล้ายวงจรควอนตัมใน Meijer (2012)
6. นิพพาน = การหยุด collapse เป็นแบบรูป–นาม
คือการกลับสู่ “wave function ที่ไม่แบ่งแยก”
ซึ่งสอดคล้อง Bohm’s Implicate Order และ Aharonov’s time symmetry
⸻
6. สรุปสุดท้าย: จิตคือโครงสร้างควอนตัมที่รู้จักตนเองผ่านมนุษย์
เอกภพเป็น field ของข้อมูลที่ไร้กาลเวลา
และจิตมนุษย์คือตัวถอดรหัสข้อมูลนั้น
ให้กลายเป็นประสบการณ์ ความคิด ความหมาย และอารมณ์
เมื่อเรารู้ตัวเองมากขึ้น
เอกภพก็ “รู้ตัวเองผ่านเรา” มากขึ้น
ดังที่ Wheeler (1987) เขียนไว้
“The universe is a self-excited circuit,
in which observers bring the universe into being.”
และดังที่พุทธว่า
“โลกอันใดเกิดแต่ใจ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ”
ทั้งสองโลกทัศน์กำลังพูดถึงสิ่งเดียวกัน
เพียงใช้ภาษาแตกต่างกัน
#Siamstr #nostr #quantum #ธรรมะ