
🪨Rare Earths: พลังแฝงแห่งยุค AI และสงครามพลังงานสะอาด
1. Rare Earth — แร่ที่ “หาไม่ยาก” แต่ “ผลิตยาก”
แม้ชื่อจะเรียกว่า “แร่หายาก” (Rare Earth Elements: REE)
แต่แท้จริงแล้ว แร่ธาตุกลุ่มนี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลกในปริมาณใกล้เคียงกับโลหะทั่วไป เช่น ทองแดง หรือนิกเกิล
ปัญหาอยู่ที่ว่า — แร่ Rare Earth ไม่ได้รวมตัวกันเป็นก้อนแร่ขนาดใหญ่ แต่กระจายอยู่ในหินหลายชนิด
ทำให้การแยกและสกัดออกมาใช้งานต้องใช้กระบวนการทางเคมีซับซ้อน ใช้สารเคมีเข้มข้นและก่อให้เกิดมลพิษสูง
Rare Earth ประกอบด้วยโลหะ 17 ชนิด เช่น Neodymium (Nd), Dysprosium (Dy), Praseodymium (Pr), และ Terbium (Tb)
ที่เป็นหัวใจของ แม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) ซึ่งจำเป็นต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่เกือบทุกแขนง
ตั้งแต่ มอเตอร์ EV, กังหันลม, ระบบนำทางทางทหาร, ไปจนถึงชิปประมวลผลของ AI
⸻
2. จีน: ผู้ครอบครอง “สายเลือด” ของเทคโนโลยีโลก
ในปี 2023 จีนมี กำลังการผลิต Rare Earth ราว 240,000 ตัน หรือประมาณ 68% ของการผลิตทั่วโลก
ตามข้อมูลจาก US Geological Survey (USGS)
ส่วนสหรัฐอเมริกามีเพียง 43,000 ตัน, พม่า (Myanmar) ประมาณ 38,000 ตัน,
และ ไทยอยู่ในอันดับ 4 ด้วยกำลังการผลิต 7,100 ตัน โดยส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัท Xinyuan Rare Earth (Thailand) Co., Ltd.
ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Jiangxi Chenguang Investment จากประเทศจีน ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง — แม้ประเทศไทยจะติดอันดับผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก
แต่ “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำยังคงถูกควบคุมโดยทุนจีน
จีนจึงไม่ได้แค่ “มีเหมือง”
แต่ยัง ควบคุมตั้งแต่การแยกแร่ (separation), การกลั่นบริสุทธิ์ (refining), ไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนขั้นสุดท้าย (component manufacturing)
นั่นหมายความว่า “อำนาจ” ของจีนไม่ได้อยู่ที่ปริมาณแร่ที่ขุดได้เท่านั้น
แต่คือ “ความเชี่ยวชาญในกระบวนการแปรรูปและโครงสร้างอุตสาหกรรมครบวงจร” ซึ่งประเทศอื่นยังขาดอยู่
⸻
3. เหตุผลที่โลกปล่อยให้จีนเป็นผู้นำ
ในช่วง ทศวรรษ 1980–2000 โลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป
หันมาให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
การผลิต Rare Earth ซึ่งต้องใช้สารเคมีเข้มข้น เช่น กรดซัลฟิวริก, โซเดียมไฮดรอกไซด์ และแอมโมเนียมซัลเฟต
จึงถูกมองว่าเป็น “อุตสาหกรรมสกปรก”
หลายประเทศจึงเลือกปิดเหมืองของตนเอง และนำเข้า Rare Earth ราคาถูกจากจีนแทน
ในทางกลับกัน จีนซึ่งยังอยู่ในช่วงพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว
กลับ มองเห็นโอกาสทางยุทธศาสตร์ระยะยาว
โดยเลือกยอมรับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในประเทศ เพื่อแลกกับการครอบครองตลาดโลกในอนาคต
ผลที่ตามมาคือ — เมื่อโลกเข้าสู่ยุค AI, EV และพลังงานสะอาด
จีนได้กลายเป็น “เจ้าของเส้นเลือดใหญ่” ของอุตสาหกรรมทั้งหมดโดยแทบไม่มีคู่แข่ง
⸻
4. อำนาจต่อรองใหม่ในสงครามเทคโนโลยี
Rare Earth จึงกลายเป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ”
ที่จีนใช้ตอบโต้สหรัฐฯ ในสงครามเทคโนโลยี โดยเฉพาะหลังปี 2018
เมื่อสหรัฐฯ ออกมาตรการจำกัดบริษัทจีนอย่าง Huawei และ SMIC
จีนได้ตอบกลับด้วยการ “ขู่ว่าจะจำกัดการส่งออก Rare Earth” ซึ่งใช้ในชิปและระบบป้องกันทางทหาร
ลองจินตนาการว่า — หาก Rare Earth หยุดไหลเวียน
การผลิต มอเตอร์ EV, เทอร์ไบน์กังหันลม, และชิปประมวลผลของระบบ AI
จะหยุดชะงักในเวลาไม่กี่เดือน
นั่นทำให้ Rare Earth กลายเป็น “พลังแฝงทางภูมิรัฐศาสตร์”
ไม่ต่างจากน้ำมันในศตวรรษที่ 20
⸻
5. การฟื้นคืนของโลกตะวันตก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
ได้เริ่มหันมาลงทุนในเหมือง Rare Earth อีกครั้ง
เช่น เหมือง Mountain Pass ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
และโครงการ Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
แต่การสร้างระบบผลิตที่ “ครบวงจร” เหมือนจีนต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10–15 ปี
เนื่องจากต้องผ่านทั้งขั้นตอนสำรวจ เหมือง การกลั่น และการลงทุนในโรงงานแม่เหล็กขั้นปลาย
รวมถึงต้องรับมือกับกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดในประเทศตะวันตกเอง
⸻
6. ไทย: ผู้เล่นหน้าใหม่ในสมรภูมิโลหะยุทธศาสตร์
กรณีของประเทศไทยถือว่าน่าสนใจมาก
เพราะ มีกำลังการผลิต Rare Earth สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก (7.1 kt)
แต่ยังอยู่ในฐานะ “ผู้ร่วมผลิต” มากกว่า “ผู้ควบคุมตลาด”
แหล่งผลิตหลักอยู่ในจังหวัดระยอง ภายใต้บริษัทจีน
และยังมีแหล่งศักยภาพอื่น เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีแร่ Monazite และ Bastnäsite
หากไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูปเองได้
จะกลายเป็น “ฐานโลหะยุทธศาสตร์” สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ
หากไทยพึ่งพาทุนจีนโดยไม่สร้าง “เทคโนโลยีภายในประเทศ”
เราจะกลายเป็นเพียง “แหล่งวัตถุดิบราคาถูก” ในระบบเศรษฐกิจโลกเท่านั้น
⸻
7. บทสรุป: โลหะแห่งยุค AI และพลังงานสะอาด
Rare Earth คือ หัวใจของอารยธรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่
เป็นทั้งเครื่องมือทางเศรษฐกิจ และเป็น “อำนาจเชิงยุทธศาสตร์” ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของโลกได้
ในศตวรรษที่ 21
สงครามอาจไม่ใช่เรื่องของน้ำมันหรือเหล็กอีกต่อไป
แต่คือสงครามของ “ข้อมูล–พลังงานสะอาด–และแร่ธาตุหายาก”
โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ ผู้ควบคุม Rare Earth คือผู้ควบคุมเส้นเลือดของเทคโนโลยีทั้งหมด
และจีนได้แสดงให้เห็นแล้วว่า อำนาจของโลกยุคใหม่ อาจไม่จำเป็นต้องถือครองอาวุธ
แต่อยู่ที่ “ใครควบคุมวัตถุดิบที่ทำให้อาวุธและเทคโนโลยีเหล่านั้นทำงานได้”
⸻
Rare Earth และภูมิรัฐศาสตร์ของสงครามเทคโนโลยี: ใครควบคุมวัตถุดิบ ใครควบคุมโลก
1. เมื่อ Rare Earth กลายเป็น “น้ำมันใหม่”
ในศตวรรษที่ 20 โลกเคยขับเคลื่อนด้วย น้ำมันดิบ
แต่มาในศตวรรษที่ 21 พลังขับเคลื่อนใหม่ของอารยธรรมคือ “Rare Earth + Data + Energy Transition”
Rare Earth คือสิ่งที่ทำให้ระบบพลังงานสะอาดทำงานได้จริง —
ไม่มีมัน ก็ไม่มีแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ไม่มีมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีชิป AI ที่ต้องใช้สนามแม่เหล็กในระดับนาโน
หรือแม้แต่ระบบนำทางจรวดและดาวเทียมที่ต้องพึ่งพาเซนเซอร์ที่อาศัยธาตุเหล่านี้
นั่นทำให้ Rare Earth เปรียบเสมือน “น้ำมันของยุคข้อมูล” (The Oil of the Information Age)
และผู้ควบคุม Rare Earth ย่อมมีอิทธิพลเหนือระบบเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคงของโลก
⸻
2. สงครามเย็นรูปแบบใหม่: จากนิวเคลียร์สู่แม่เหล็ก
หลังสงครามการค้าปี 2018–2024 ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
โลกได้เห็นรูปแบบใหม่ของ “สงครามเย็นเชิงเทคโนโลยี”
ที่ไม่ได้แข่งกันสร้างระเบิด แต่แข่งกัน “สร้างสมองของเครื่องจักร”
สหรัฐฯ ใช้มาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูง (เช่น NVIDIA, ASML, Intel)
ส่วนจีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออก แร่ Gallium, Germanium, และ Rare Earth Oxides
ซึ่งเป็นวัตถุดิบจำเป็นในการผลิต semiconductors และ radar systems
ผลลัพธ์คือ โลกเริ่มแบ่งออกเป็นสองขั้วทางเทคโนโลยี:
• ขั้วตะวันตก (U.S.–E.U.–Japan–Australia) พยายามสร้าง supply chain ที่ “ไม่พึ่งพาจีน”
• ขั้วตะวันออก (China–ASEAN–Africa) เน้นการขยายเครือข่ายการผลิตและลงทุนเหมืองในประเทศกำลังพัฒนา
สงครามนี้ไม่ได้อยู่ที่แนวรบ แต่เกิดขึ้นใน “เหมือง” และ “โรงกลั่น” —
เพราะผู้ที่สามารถทำให้ Rare Earth บริสุทธิ์จนถึงระดับนาโนเท่านั้น
จึงจะสามารถสร้าง AI หรือเทคโนโลยีพลังงานใหม่ได้จริง
⸻
3. Chain of Control: จีนยึด Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
จีนไม่ได้ชนะเพียงเพราะ “มีแร่”
แต่เพราะสร้างระบบอุตสาหกรรมครบวงจรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
Chain of Control ของจีนมีดังนี้:
ขั้นตอน /ตัวอย่างบริษัทจีน /อิทธิพล
การขุดแร่ /China Northern Rare Earth, Minmetals /ควบคุมเหมืองในมองโกเลียในและพม่า
การแยกแร่ (Separation) /Jiangxi Ganzhou, Baotou /มีเทคโนโลยีแยกสารขั้นสูง
การกลั่นบริสุทธิ์ (Refining) /Chinalco Rare Earth /ผลิตออกไซด์และคาร์บอเนตคุณภาพสูง
การผลิตแม่เหล็ก /Zhong Ke San Huan, JL MAG /ผลิตแม่เหล็กสำหรับ EV และกังหันลม
การประกอบขั้นปลาย /Huawei, BYD, CATL /ใช้ Rare Earth ในอุปกรณ์จริง
ผลที่ตามมาคือ จีนสามารถควบคุม “มูลค่าเพิ่ม” ของ Rare Earth ได้เกือบทั้งหมด
แม้สหรัฐฯ หรือออสเตรเลียจะขุดแร่ได้ แต่ก็ยังต้องส่งไปให้จีนแปรรูป
⸻
4. Rare Earth ในยุค AI และพลังงานสะอาด
ระบบ AI และ Machine Learning ที่กำลังขับเคลื่อนโลก
ต้องใช้ชิปประสิทธิภาพสูง (GPU, TPU) ซึ่งผลิตจากวัสดุที่มีส่วนผสมของ Rare Earth
เช่น Yttrium, Lanthanum, Neodymium — ที่ช่วยเพิ่มคุณสมบัติแม่เหล็กและทนความร้อนสูง
ขณะเดียวกัน โลกกำลังเร่งเข้าสู่ พลังงานสะอาด (Clean Energy Transition)
ที่ต้องใช้ Rare Earth ปริมาณมหาศาลในกังหันลม มอเตอร์รถไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงาน
ตัวอย่างเช่น:
• กังหันลมขนาดใหญ่หนึ่งเครื่อง ใช้แม่เหล็กนีโอดิเมียมกว่า 600 กิโลกรัม
• รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หนึ่งคัน ใช้แร่ Rare Earth เฉลี่ย 1–2 กิโลกรัม
• ดาวเทียมและระบบนำร่องทางทหาร ใช้ Dysprosium และ Terbium เพื่อควบคุมทิศทางสนามแม่เหล็ก
ยิ่งโลกต้องการลดการปล่อยคาร์บอนมากเท่าใด
“ความต้องการ Rare Earth ก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น”
⸻
5. บทบาทของไทยในห่วงโซ่ Rare Earth โลก
ประเทศไทยกำลังกลายเป็น ฐานการผลิต Rare Earth ที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะโรงงาน Xinyuan Rare Earth (Thailand) ที่ระยอง
ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับทุนจีนและอยู่ในเครือของ Jiangxi Chenguang Investment
ไทยยังมีศักยภาพในการสำรวจเพิ่มเติมในพื้นที่ ภาคอีสานตอนล่างและภาคตะวันออก
ที่พบแหล่งแร่ Monazite และ Bastnäsite — แร่ตั้งต้นของ Rare Earth หลายชนิด
หากไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีแยกและกลั่นบริสุทธิ์ได้เอง
พร้อมทั้งสร้าง “อุตสาหกรรมปลายน้ำ” เช่น แม่เหล็กหรือวัสดุสำหรับ EV/AI
ไทยจะก้าวจาก “ผู้ผลิตวัตถุดิบ” ไปสู่ “ผู้ถือครองห่วงโซ่คุณค่า”
ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้
⸻
6. บทเรียนจากอดีต และทางเลือกของอนาคต
อดีตโลกเลือก “สิ่งแวดล้อม” แทน “การผลิต”
จนยอมให้จีนผงาดขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโลหะหายาก
แต่ในวันนี้ โลกกำลังตระหนักว่า ความมั่นคงทางทรัพยากร = ความมั่นคงทางเทคโนโลยี
การกระจายความเสี่ยงจึงเป็นยุทธศาสตร์ใหม่
ทั้งในรูปของ พันธมิตรเศรษฐกิจ (เช่น U.S.–Japan–Australia Critical Minerals Partnership)
และการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ เช่น ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และแทนซาเนีย
โลกกำลังสร้าง “ระบบ Rare Earth หลายขั้ว” เพื่อถ่วงดุลกับจีน
และนั่นคือจุดที่ ภูมิภาคอาเซียนอาจกลายเป็นเวทีใหม่ของสงครามทรัพยากรสะอาด
⸻
7. สรุป: ใครควบคุม Rare Earth คนนั้นควบคุมอนาคต
สงครามระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในยุค AI ไม่ได้สู้กันด้วยปืนหรือเรือบรรทุกเครื่องบิน
แต่สู้กันด้วย “แม่เหล็กที่มองไม่เห็น” และ “ชิปที่มีขนาดเล็กกว่าเม็ดทราย”
Rare Earth จึงเป็นทั้ง “หัวใจของอุตสาหกรรมสมัยใหม่” และ “อาวุธเชิงยุทธศาสตร์ของโลกอนาคต”
ในยุคที่เทคโนโลยีคือพลัง และพลังคือการควบคุมวัตถุดิบ —
ผู้ที่ครอง Rare Earth ได้ ย่อมครองระบบนิเวศแห่งอารยธรรมเทคโนโลยีทั้งระบบ
#Siamstr #nostr