
🇻🇳ประวัติศาสตร์สงครามเวียดนาม: บทบันทึกแห่งยุคอุดมการณ์และการกำหนดทิศทางโลกใหม่
1. บทนำ: เวียดนามในฉากประวัติศาสตร์โลก
สงครามเวียดนาม (Vietnam War, 1955–1975) เป็นหนึ่งในสงครามที่มีความซับซ้อนที่สุดในศตวรรษที่ 20
เพราะมิได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้เท่านั้น
แต่ยังเป็นสนามรบเชิงอุดมการณ์ระหว่าง คอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตย,
ระหว่าง โลกตะวันออกกับโลกตะวันตก,
และระหว่าง อุดมการณ์ปลดแอกกับอำนาจจักรวรรดินิยม
ซึ่งแผ่ขยายผลทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไปทั่วโลก
⸻
2. รากเหง้าแห่งสงคราม: เวียดนามภายใต้การล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส
ต้นศตวรรษที่ 19 เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในฐานะส่วนหนึ่งของ “อินโดจีนฝรั่งเศส” (French Indochina)
ฝรั่งเศสได้สร้างระบบเศรษฐกิจแบบอาณานิคม โดยเน้นการผลิตข้าว ยางพารา และแร่ธาตุเพื่อส่งออก
ขณะที่ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ตกอยู่ในความยากจนและถูกจำกัดการศึกษา
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองเวียดนาม (1940–1945)
ทำให้โครงสร้างอำนาจของฝรั่งเศสสั่นคลอน และเปิดช่องให้ขบวนการชาตินิยมเวียดนามที่นำโดย โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh)
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิมาร์กซิสต์–เลนินนิสต์
ประกาศจัดตั้ง เวียดมินห์ (Việt Minh) เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่นและต่อสู้เพื่อเอกราช
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ฝรั่งเศสพยายามกลับมามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้ง
แต่ถูกต่อต้านอย่างหนักจากเวียดมินห์ จนนำไปสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (1946–1954)
ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของเวียดมินห์ในยุทธการเดียนเบียนฟู (Battle of Điện Biên Phủ)
และการลงนาม ข้อตกลงเจนีวา (Geneva Accords, 1954)
แบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วนตามเส้นขนานที่ 17
⸻
3. การแบ่งแยกประเทศและจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังปี 1954 เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนชั่วคราว
• เวียดนามเหนือ (North Vietnam) ภายใต้การนำของโฮจิมินห์และพรรคแรงงานเวียดนาม (คอมมิวนิสต์)
ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและจีน
• เวียดนามใต้ (South Vietnam) ภายใต้การนำของโง ดินห์ เดียม (Ngô Đình Diệm)
ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
แม้ข้อตกลงเจนีวาจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งรวมประเทศในปี 1956
แต่รัฐบาลเวียดนามใต้ปฏิเสธ เนื่องจากเกรงว่าคอมมิวนิสต์จะชนะการเลือกตั้ง
สถานการณ์นี้กลายเป็นชนวนความขัดแย้งยืดเยื้อที่ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบในเวลาต่อมา
⸻
4. การแทรกแซงของสหรัฐฯ และสงครามตัวแทน (Proxy War)
ในบริบทของสงครามเย็น สหรัฐอเมริกามองว่า “การล่มสลายของเวียดนามใต้”
จะเป็นจุดเริ่มต้นของ ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory)
ที่ทำให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันไปสู่คอมมิวนิสต์
ปี 1964 หลังเหตุการณ์ “อ่าวตังเกี๋ย” (Gulf of Tonkin Incident)
ซึ่งเรือรบสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าถูกโจมตีโดยเวียดนามเหนือ
สภาคองเกรสจึงอนุมัติ “Gulf of Tonkin Resolution”
เปิดทางให้ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ส่งทหารเข้าสู่เวียดนามเต็มรูปแบบ
ภายในปี 1968 กองทัพสหรัฐมีทหารกว่า 540,000 นาย ในเวียดนามใต้
พร้อมปฏิบัติการทางอากาศอย่างหนัก เช่น Operation Rolling Thunder
ซึ่งทิ้งระเบิดมากกว่าสงครามโลกครั้งที่สองรวมกัน
การใช้ สารเคมีทำลายป่า “Agent Orange” ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามนี้
ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจำนวนมหาศาล
⸻
5. กลยุทธ์ทางทหารและสงครามกองโจร
เวียดกง (Viet Cong) หรือ “แนวร่วมปลดแอกแห่งชาติเวียดนามใต้”
ใช้กลยุทธ์สงครามกองโจร (Guerrilla Warfare) อย่างแยบยล
โดยอาศัยความรู้ทางภูมิประเทศ การสร้างอุโมงค์ใต้ดิน และการแทรกซึมในชุมชน
ทำให้กองทัพสหรัฐที่มีกำลังเหนือกว่าทางเทคโนโลยีประสบความยากลำบากในการรบ
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือ การรุกเต๊ต (Tet Offensive) ปี 1968
ซึ่งเวียดกงและเวียดนามเหนือเปิดฉากโจมตีพร้อมกันทั่วประเทศในช่วงตรุษเวียดนาม
แม้จะถูกตีโต้กลับ แต่เหตุการณ์นี้ได้สั่นคลอนขวัญและศรัทธาของชาวอเมริกัน
ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามต่อสงครามที่ดูเหมือนไม่มีทางชนะ
⸻
6. เศรษฐกิจและผลกระทบภายในประเทศ
สงครามเวียดนามมีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงมหาศาล
รัฐบาลสหรัฐใช้งบประมาณราว 168 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (คำนวณตามค่าเงินยุคนั้น)
ทำให้เกิดเงินเฟ้อและลดความเชื่อมั่นในระบบการคลังของอเมริกา
กระทั่งในปี 1971 สหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
ประกาศเลิกผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ (Nixon Shock)
ซึ่งถือเป็นผลพวงทางอ้อมของภาระสงครามเวียดนาม
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจเวียดนามเองก็พังพินาศ
โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย การผลิตอาหารตกต่ำ
และมีผู้เสียชีวิตรวมกันกว่า 3 ล้านคน (รวมทั้งทหารและพลเรือน)
⸻
7. การถอนทัพและจุดจบของสงคราม
หลังปี 1969 นโยบาย “Vietnamization” ของประธานาธิบดีนิกสัน
มุ่งถ่ายโอนภาระการรบให้กองทัพเวียดนามใต้
พร้อมเปิดการเจรจาสันติภาพกับเวียดนามเหนือในกรุงปารีส
ปี 1973 มีการลงนาม “ข้อตกลงสันติภาพปารีส” (Paris Peace Accords)
สหรัฐถอนทหารออกจากเวียดนาม แต่ยังคงสนับสนุนเวียดนามใต้ทางเศรษฐกิจและอาวุธ
อย่างไรก็ตาม เวียดนามเหนือเปิดฉากบุกครั้งสุดท้ายในปี 1975
จนสามารถเข้ายึด ไซ่ง่อน (Saigon) ได้ในวันที่ 30 เมษายน
เป็นการสิ้นสุดสงครามเวียดนามอย่างสมบูรณ์ และการรวมประเทศภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์
⸻
8. หลังสงคราม: การฟื้นฟูและการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ
หลังปี 1975 เวียดนามรวมประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
แต่ต้องเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรงจากสงครามยาวนาน
ระบบวางแผนเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ล้มเหลวในช่วงแรก
กระทั่งในปี 1986 เวียดนามประกาศนโยบาย “โด่ยเหมย (Đổi Mới)”
หรือ “การปฏิรูปใหม่” เพื่อเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ
ทำให้ประเทศฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในเอเชียในเวลาต่อมา
⸻
9. มรดกทางประวัติศาสตร์และผลสะท้อนต่อโลก
สงครามเวียดนามมิใช่เพียงเหตุการณ์ในภูมิภาค
แต่ยังเป็น “จุดเปลี่ยนทางจิตสำนึกของโลกตะวันตก”
ทำให้เกิดขบวนการต่อต้านสงคราม วงการสื่อมวลชนเชิงสืบสวน
และการตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐในสหรัฐฯ
ในระดับภูมิภาค สงครามนี้ได้กำหนดทิศทางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นำไปสู่การจัดตั้ง อาเซียน (ASEAN, 1967)
เพื่อลดอิทธิพลของมหาอำนาจและรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค
⸻
10. บทสรุป: สงครามที่เปลี่ยนโลก
สงครามเวียดนามคือการปะทะกันของอุดมการณ์
ระหว่างความเชื่อใน “เสรีภาพ” กับ “ความเสมอภาค”
ระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับจิตวิญญาณแห่งการปลดแอก
ในเชิงเศรษฐกิจ มันเป็นสงครามที่เปลี่ยนโครงสร้างระบบการเงินโลก
ในเชิงจิตวิทยา มันคือสงครามที่เปลี่ยนทัศนะของมนุษย์ต่อ “ความชอบธรรม”
และในเชิงอารยธรรม มันเป็นเครื่องเตือนว่า
แม้อำนาจอาวุธจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ “เจตจำนงของประชาชน”
คือพลังที่ไม่อาจถูกทำลายได้
⸻
บรรณานุกรมเบื้องต้น
• Karnow, Stanley. Vietnam: A History. New York: Penguin, 1983.
• Herring, George C. America’s Longest War: The United States and Vietnam, 1950–1975.
• Kolko, Gabriel. Anatomy of a War: Vietnam, the United States, and the Modern Historical Experience.
• CIA & Pentagon Papers (Declassified), 1971.
• IMF Historical Data: Vietnam Economic Recovery Report (1986–1995).
⸻
ภาคต่อ: เศรษฐกิจเวียดนามหลังสงครามและการปฏิรูป Đổi Mới (1986–ปัจจุบัน)
1. เวียดนามหลังปี 1975: ประเทศในเงามืดของชัยชนะ
เมื่อกองทัพเวียดนามเหนือเข้ายึดกรุงไซ่ง่อนในวันที่ 30 เมษายน 1975
ประเทศเวียดนามรวมกันภายใต้ชื่อใหม่ว่า “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” (Socialist Republic of Vietnam)
อย่างไรก็ตาม “ชัยชนะทางการทหาร” กลับกลายเป็น “ความพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจ”
เพราะประเทศต้องเผชิญกับความเสียหายทางโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
• โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ เขื่อน และโรงงาน ถูกทำลายเกือบทั้งหมด
• มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 ล้านคน และทหารพิการหลายแสนคน
• ประชาชนกว่า 10 ล้านคนอพยพหนีภัย หรือกลายเป็น “ผู้ลี้ภัยทางเรือ” (Boat People)
• ระบบเกษตรกรรมล่มสลาย ผลผลิตข้าวตกต่ำ
• การค้าระหว่างประเทศถูกจำกัดเนื่องจากการคว่ำบาตรจากตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ
ในทศวรรษ 1970–1980 เวียดนามจึงเป็นประเทศที่อยู่ในภาวะ “กึ่งล่มสลายทางเศรษฐกิจ”
รายได้ต่อหัวประชากรต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ต่อปี อัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 700% ต่อปีในบางช่วง
⸻
2. นโยบายเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ที่ล้มเหลว (1975–1985)
ภายหลังการรวมประเทศ รัฐบาลเวียดนามนำระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ตามแนวทางโซเวียตมาใช้
โดยรัฐถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โรงงาน และกิจการขนาดใหญ่ทั้งหมด
• เกษตรกรต้องเข้าร่วม “สหกรณ์การเกษตร” (Collectivization)
• รัฐควบคุมราคาสินค้าและการจัดสรรทรัพยากร
• การค้าภายนอกอยู่ภายใต้การผูกขาดโดยรัฐ
แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม:
ผลผลิตตกต่ำ ประชาชนขาดแคลนอาหาร สินค้าขาดตลาด และเกิดตลาดมืด (Black Market)
ประเทศประสบปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต
ปี 1978 เวียดนามยังตัดสินใจบุกกัมพูชาเพื่อล้มล้างเขมรแดง
ทำให้ถูกจีนบุกตอบโต้ในปี 1979 (สงครามจีน–เวียดนาม)
และถูกตะวันตกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจยาวนานถึงทศวรรษ
⸻
3. จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์: นโยบาย Đổi Mới (1986)
ปี 1986 ภายหลังการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 6
เวียดนามประกาศนโยบาย “Đổi Mới” (อ่านว่า โด่ยเหมย)
แปลว่า “การปฏิรูปใหม่” หรือ “การเปลี่ยนแปลงเพื่อความทันสมัย”
หลักการสำคัญของ Đổi Mới คือ
การผสมผสานระหว่างเศรษฐกิจตลาดเสรีกับหลักสังคมนิยม
หรือที่เรียกว่า “เศรษฐกิจตลาดแบบมีการกำกับของรัฐ” (Socialist-Oriented Market Economy)
แนวนโยบายหลักประกอบด้วย:
1. ยกเลิกการควบคุมราคาสินค้าและระบบจัดสรรโดยรัฐ
2. เปิดเสรีการค้าภายในและต่างประเทศ
3. อนุญาตให้เอกชนและเกษตรกรเป็นเจ้าของกิจการ
4. ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
5. ปฏิรูประบบการศึกษา การคลัง และกฎหมายแรงงาน
⸻
4. ผลของการปฏิรูป: จากความอดอยากสู่ “เสือเศรษฐกิจเอเชีย”
ผลของ Đổi Mới ปรากฏชัดภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี
• ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 18 ล้านตัน (1986) เป็นกว่า 30 ล้านตัน (1995)
• เวียดนามกลายเป็นประเทศ ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก รองจากไทย
• อัตราเงินเฟ้อที่เคยสูงกว่า 700% ลดลงเหลือ 17% ภายในปี 1990
• รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 10 ปี
• บริษัทต่างชาติ เช่น Samsung, Intel, Toyota เริ่มเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใกล้โฮจิมินห์และฮานอย
ในเชิงโครงสร้าง เวียดนามกลายเป็น ศูนย์กลางการผลิตสินค้าส่งออกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ รองเท้า และอิเล็กทรอนิกส์
⸻
5. การเปิดสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และการบูรณาการสู่เศรษฐกิจโลก
ปี 1994 สหรัฐอเมริกายกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
และในปี 1995 เวียดนามได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิก อาเซียน (ASEAN)
นับเป็นก้าวสำคัญของการกลับเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ
ปี 2007 เวียดนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ องค์การการค้าโลก (WTO)
และเปิดเสรีทางการค้าในหลายภาคส่วน รวมถึงพลังงาน การเงิน และโทรคมนาคม
ส่งผลให้ GDP ของประเทศเติบโตเฉลี่ย 7–8% ต่อปี ติดต่อกันยาวนานกว่าสองทศวรรษ
⸻
6. เศรษฐกิจยุคใหม่: จากการผลิตสู่เทคโนโลยีและพลังงานสีเขียว
ในทศวรรษ 2010–2020 เวียดนามก้าวสู่ยุค “อุตสาหกรรม 4.0”
รัฐบาลผลักดันนโยบาย “Made in Vietnam” และ “Digital Economy”
ส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานหมุนเวียน และการผลิตขั้นสูง
• บริษัทเทคโนโลยีท้องถิ่นอย่าง Viettel, VNG, VinGroup
กลายเป็นตัวแทนของความสำเร็จในยุคหลังสงคราม
• โครงสร้างพื้นฐานขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด่วน รถไฟฟ้า และท่าเรือ
• ประชากรกว่า 70% อยู่ในวัยแรงงาน ทำให้เวียดนามกลายเป็น “โรงงานของเอเชีย” คู่แข่งจีน
ปี 2023 GDP ของเวียดนามมีมูลค่ากว่า 430 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 6% ต่อปี แม้ในภาวะวิกฤตโควิด-19
⸻
7. บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง: เศรษฐกิจสังคมนิยมแบบตลาดเสรี
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเรียกระบบเวียดนามว่า
“Capitalism under Communist Party” — ทุนนิยมภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์
ซึ่งดูขัดแย้งในเชิงแนวคิด แต่กลับได้ผลในเชิงปฏิบัติ
ระบบนี้มี 3 องค์ประกอบหลัก:
1. รัฐเป็นผู้กำหนดทิศทาง (Planner)
2. ตลาดเป็นกลไกขับเคลื่อน (Market Mechanism)
3. เอกชนและต่างชาติเป็นแรงผลักดัน (Private & Foreign Capital)
เวียดนามจึงกลายเป็นต้นแบบของประเทศกำลังพัฒนาที่สามารถผสมผสาน
“อุดมการณ์สังคมนิยม” เข้ากับ “กลไกตลาดเสรี” ได้อย่างสมดุล
⸻
8. บทสรุป: จากสมรภูมิเลือดสู่พลังเศรษฐกิจแห่งศตวรรษ
ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 50 ปี
เวียดนามเดินทางจาก “ซากสงคราม” สู่ “เศรษฐกิจเกิดใหม่ระดับโลก”
เรื่องราวของเวียดนามจึงมิใช่เพียงตำนานของชัยชนะทางทหาร
แต่คือ การพิสูจน์พลังของความยืดหยุ่น ความอดทน และการเรียนรู้จากอดีต
เวียดนามในศตวรรษที่ 21 คือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านทางอารยธรรม
จากสงครามเย็นสู่โลกแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เป็นประเทศที่ใช้ “เศรษฐกิจ” สานต่อ “การปลดแอก”
และเปลี่ยนความพังพินาศให้กลายเป็นพลังแห่งการสร้างใหม่
⸻
บรรณานุกรมเพิ่มเติม
• Fforde, Adam. Vietnam: Economic Renovation and Development. Routledge, 1993.
• London, Jonathan D. Vietnam and the Making of Market-Leninism. Oxford University Press, 2014.
• IMF & World Bank Reports, Vietnam: Economic Transformation 1986–2020.
• Ngu, Dinh Hoang. Đổi Mới: Vietnam’s Path of Market Reforms.
⸻
ภาคที่ 3: ยุทธศาสตร์ทางทหารและจิตวิทยาสงครามกองโจรเวียดนาม
1. บทนำ: สงครามที่อ่อนแอกว่ากลับชนะ
สงครามเวียดนามเป็นกรณีศึกษาคลาสสิกในประวัติศาสตร์ยุทธศาสตร์สมัยใหม่
เพราะเป็นสงครามที่ “ประเทศเล็ก” เอาชนะ “มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก”
ทั้งในเชิงยุทธวิธีและจิตวิทยาทางการเมือง
คำถามที่กองทัพทั่วโลกถามหลังปี 1975 คือ
“เหตุใดสหรัฐฯ ที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่า เครื่องบิน ทหาร และงบประมาณมหาศาล
กลับพ่ายแพ้ต่อกองทัพที่ส่วนใหญ่ต่อสู้ด้วยจักรยาน ปืนเก่า และอุโมงค์ดิน?”
คำตอบอยู่ที่ “ความเข้าใจในสงครามในฐานะกระบวนการทางสังคมและจิตวิญญาณ”
มากกว่าจะเป็นเพียงการประจันหน้าในสนามรบ
⸻
2. รากฐานแนวคิดสงครามกองโจร: จากซุนวูถึงโฮจิมินห์
แนวคิดสงครามกองโจรของเวียดนามมีรากทางปรัชญาและยุทธศาสตร์ยาวนาน
ทั้งจากภูมิปัญญาเอเชียตะวันออกและจากแนวคิดการปฏิวัติมาร์กซิสต์–เลนินนิสต์
โฮจิมินห์ และผู้นำทางทหารอย่าง เจนเนอรัล ว็อ งเงียน เกียป (Võ Nguyên Giáp)
ได้พัฒนาแนวคิดสงครามแบบ “สามระยะ” (Three Stages of People’s War):
1. ระยะเตรียมการ (Organization Phase)
• สร้างเครือข่ายการเมืองและสนับสนุนจากประชาชน
• เก็บข่าวกรอง ฝึกการรบขนาดเล็ก
2. ระยะกองโจร (Guerrilla Phase)
• โจมตีแบบฉับพลัน หลบหนีเร็ว
• เน้นทำลายขวัญกำลังใจและทรัพยากรของศัตรู
3. ระยะสงครามทั่วไป (Conventional Phase)
• เมื่อมีกำลังเพียงพอ จึงเปลี่ยนสู่การรบแบบกองทัพเต็มรูปแบบ
นี่คือรูปแบบสงครามที่ผสมผสานระหว่าง
“ศิลปะการรบของซุนวู” (ใช้เล่ห์มากกว่าพละกำลัง)
และ “สงครามประชาชน” ของเหมาเจ๋อตง ที่มองว่าประชาชนคือสมรภูมิที่แท้จริง
⸻
3. โครงสร้างเชิงยุทธศาสตร์: เครือข่ายแทนเส้นตรง
กองทัพเวียดกงและเวียดนามเหนือไม่ได้จัดตั้งเป็นกองทัพแนวหน้าขนาดใหญ่
แต่เป็น “เครือข่ายแบบกระจายศูนย์” (Decentralized Network)
ที่เชื่อมโยงกันผ่านหน่วยข่าวกรองและเส้นทางลับ เช่น เส้นทางโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Trail)
เส้นทางนี้ทอดยาวกว่า 15,000 กิโลเมตร ผ่านลาวและกัมพูชา
ใช้ขนส่งอาวุธ เสบียง และกำลังพลได้โดยศัตรูไม่สามารถทำลายได้อย่างถาวร
ระบบดังกล่าวเป็นต้นแบบของ “โลจิสติกส์แบบกองโจร”
ที่ต่อมาได้รับการศึกษาโดยกองทัพสมัยใหม่ในแนวคิด Asymmetric Warfare Logistics
⸻
4. จิตวิทยาสงคราม: พลังของ “การอยู่รอด” และ “เจตจำนง”
จุดแข็งที่สุดของเวียดกงไม่ใช่อาวุธหรือเทคโนโลยี
แต่คือ “เจตจำนง” (Willpower) และ “ความเข้าใจในจิตมนุษย์”
กองทัพเวียดกงใช้ “จิตวิทยาเชิงสังคม” เพื่อทำให้ทหารและชาวบ้านรู้สึกว่า
พวกเขากำลังสู้เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต — คือ เอกราชและศักดิ์ศรีของชาติ
• ในหมู่บ้านทุกแห่ง มี “หน่วยเผยแพร่การปฏิวัติ” (Political Cadres)
ทำหน้าที่ให้การศึกษา อธิบายความหมายของสงคราม และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทางอุดมการณ์
• การฝึกทหารกองโจรเน้นจิตใจมากกว่าร่างกาย
มีคำสอนว่า “ศัตรูอาจมีปืนใหญ่ แต่เราเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้”
ผลลัพธ์คือ กองทัพที่ต่อสู้ได้อย่างทนทานโดยไม่ต้องพึ่งทรัพยากรมหาศาล
และสามารถรักษาขวัญกำลังใจได้แม้ในสถานการณ์สิ้นหวัง
⸻
5. การสู้รบแบบอสมมาตร (Asymmetric Warfare)
สงครามเวียดนามกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด Asymmetric Warfare
ซึ่งหมายถึง “สงครามระหว่างคู่ต่อสู้ที่มีกำลังไม่เท่ากัน”
แต่ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าชนะได้ด้วยกลยุทธ์ที่ไม่เป็นแบบแผน
องค์ประกอบหลักของสงครามแบบนี้คือ:
• Mobility: เคลื่อนที่เร็ว ไม่ยึดติดกับพื้นที่
• Stealth: ซ่อนตัวในหมู่ประชาชน
• Psychological Impact: ใช้ภาพข่าว การสื่อสาร และข่าวลือเป็นอาวุธ
• Exhaustion Strategy: ทำให้ศัตรูหมดแรงและหมดศรัทธา
ตัวอย่างเช่น “ยุทธการเต๊ต (Tet Offensive)” ปี 1968
แม้จะล้มเหลวในทางทหาร แต่เป็นชัยชนะทางจิตวิทยา
เพราะมันทำให้ประชาชนอเมริกันตระหนักว่าสงครามนี้ไม่อาจชนะได้
จนรัฐบาลต้องถอนทัพในที่สุด
⸻
6. สงครามข่าวสารและภาพลักษณ์ (Information & Media Warfare)
สงครามเวียดนามเป็นสงครามแรกในโลกที่ “โทรทัศน์”
กลายเป็นสนามรบสำคัญเทียบเท่าปืนและระเบิด
ภาพข่าวจากสมรภูมิ — เด็กหญิงเวียดนามวิ่งหนีระเบิดนาปาล์ม,
หมู่บ้านถูกเผา, ทหารสหรัฐบาดเจ็บ —
ได้เปลี่ยนทัศนคติของประชาชนในสหรัฐฯ ต่อสงครามอย่างสิ้นเชิง
นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิด Media Warfare และ Perception Management
ที่ต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางทหารยุคใหม่ เช่นในสงครามอิรักและยูเครน
⸻
7. การเรียนรู้จากเวียดนาม: รากฐานของยุทธศาสตร์สมัยใหม่
หลังสงครามเวียดนาม สถาบันการทหารทั่วโลกได้ศึกษาโครงสร้างสงครามนี้อย่างละเอียด
เพราะมันทำลายกรอบคิดแบบ “สงครามเชิงเส้น” (Linear War)
และสร้างแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Complex Adaptive Warfare —
สงครามในฐานะระบบซับซ้อนที่ปรับตัวได้เอง
กองทัพหลายประเทศ เช่น จีน อิหร่าน และรัสเซีย
นำหลักการของเวียดกงไปพัฒนาในรูปแบบสงครามยุคใหม่
เช่น “Hybrid Warfare” (ผสมระหว่างการรบทางทหาร จิตวิทยา และไซเบอร์)
และ “Fourth Generation Warfare” (สงครามรุ่นที่ 4)
ซึ่งเน้นการทำลายขวัญศัตรูมากกว่าทำลายกองทัพ
⸻
8. จากสงครามสู่สันติ: จิตวิทยาแห่งการสร้างชาติ
สิ่งที่น่าทึ่งคือ หลังสงครามสิ้นสุด เวียดนามไม่ตกอยู่ในวังวนแห่งความพยาบาท
แต่เปลี่ยนพลังแห่ง “ความอดทนต่อสงคราม” ให้กลายเป็น “ความอดทนต่อการพัฒนา”
อดีตทหารกองโจรจำนวนมากกลายเป็นผู้นำชุมชน
นำจิตวิญญาณของความสามัคคีและความยืดหยุ่นมาใช้ในการสร้างเศรษฐกิจและสังคมใหม่
นี่คือการแปลง “ยุทธศาสตร์การเอาชนะ” ให้กลายเป็น “ยุทธศาสตร์การอยู่รอด”
⸻
9. บทสรุป: เวียดนามในฐานะต้นแบบของสงครามและสันติภาพ
สงครามเวียดนามได้กลายเป็นบทเรียนระดับโลกในหลายมิติ:
• ในทาง ทหาร มันแสดงให้เห็นว่าความเข้าใจในจิตใจคนสำคัญกว่ากำลังอาวุธ
• ในทาง สังคม มันชี้ให้เห็นพลังของการรวมตัวทางอุดมการณ์
• ในทาง การเมือง มันเตือนว่าการครอบครองทางกายภาพไม่อาจครอบงำจิตใจของประชาชน
• และในทาง ปรัชญา มันทำให้มนุษย์กลับมาทบทวนคำถามว่า
“ชัยชนะที่แท้จริงของสงครามคืออะไร?”
⸻
บรรณานุกรมเพิ่มเติม
• Giap, Võ Nguyên. People’s War, People’s Army. Foreign Languages Publishing House, Hanoi, 1961.
• Summers, Harry G. On Strategy: A Critical Analysis of the Vietnam War. Presidio Press, 1982.
• Nagl, John A. Learning to Eat Soup with a Knife: Counterinsurgency Lessons from Malaya and Vietnam.
• Krepinevich, Andrew F. The Army and Vietnam. Johns Hopkins University Press, 1986.
• RAND Corporation. Counterinsurgency Studies: The Vietnam Legacy.
#Siamstr #nostr #vietnamwar