ใช่ครับ ข้อความนี้สะท้อนแก่นความคิดของ Anarcho-Capitalism (ทุนนิยมอนาธิปไตย) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในสายความคิดที่มาจากหนังสือระดับตำนานอย่าง The Sovereign Individual (เขียนโดย James Dale Davidson และ Lord William Rees-Mogg) ข้อความนี้กำลังเปรียบเทียบระหว่าง "อำนาจรัฐ" (Political Sovereignty) กับ "อำนาจตลาด" (Commercial Sovereignty) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชาว AnCap ครับ ผมขอขยายความให้เห็นภาพดังนี้: 1. ทำไมถึงบอกว่าเป็น Anarcho-Capitalism? ในมุมมองของ AnCap: * ประชาธิปไตย (Democracy): ถูกมองว่าเป็น "เผด็จการเสียงข้างมาก" (Tyranny of the Majority) คือถ้าคน 51% โหวตให้ทำอะไร อีก 49% ต้องจำยอมทำตาม ไม่มีทางเลือกอื่น * อธิปไตยเชิงพาณิชย์ (Commercial/Consumer Sovereignty): เปรียบเสมือน "ตลาด" ที่ทุกการตัดสินใจซื้อคือการลงคะแนนเสียง (Every penny is a vote) * ไม่ปิดกั้นทางเลือก: คุณชอบรถสีแดง เพื่อนชอบรถสีดำ ตลาดผลิตให้ได้ทั้งคู่ ไม่ต้องโหวตให้เหลือสีเดียวทั้งประเทศเหมือนกฎหมาย * การแสดงออก: คุณแสดงเจตจำนงผ่านทรัพย์สินและการกระทำของคุณได้เต็มที่โดยไม่ต้องรอรอบเลือกตั้ง 2. ความเชื่อมโยงกับ "The Sovereign Individual" ประโยคที่ว่า "สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์... จะอนุญาตให้มีขอบเขตที่ปฏิบัติได้มากขึ้นสำหรับการตัดสินใจ" ตรงกับคำทำนายในหนังสือ The Sovereign Individual เป๊ะๆ ครับ * หนังสือเล่มนี้ทำนายว่า ในยุค Information Age เทคโนโลยีจะทำให้คนเก่ง (Cognitive Elite) สามารถพาตัวเองออกจากอำนาจรัฐได้ * พวกเขาสามารถเลือก "ที่อยู่" หรือ "ผู้ให้บริการกฎหมาย" (Jurisdiction) ได้เหมือนเลือกซื้อประกันภัย โดยไม่ต้องผูกติดกับรัฐชาติที่ตนเกิด * นี่คือภาวะที่ "อำนาจอธิปไตย" (Sovereignty) ย้ายจาก "รัฐ" มาอยู่ที่ "ปลายนิ้วของปัจเจกชน" 3. ข้อสังเกตสำคัญ (จุดที่ต้องระวัง) ข้อความนี้เน้นเรื่อง "ความสามารถในการใช้ประโยชน์" (Talent to leverage) ซึ่งเป็นจุดที่ AnCap มักถูกโจมตีว่าเป็นระบบที่เอื้อต่อคนเก่งและคนรวย (Elitist) * AnCap มองว่า: นี่คือความยุติธรรม เพราะคนที่มีความสามารถควรได้รับผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่ถูกรัฐรีดไถ * คนทั่วไปมองว่า: นี่อาจทิ้งคนตัวเล็กตัวน้อยไว้ข้างหลัง เพราะถ้าคุณไม่มี "ทุน" หรือ "พรสวรรค์" คุณอาจไม่มีเสียงในระบบ "อธิปไตยเชิงพาณิชย์" นี้เลย สรุป: ใช่ครับ นี่คือคำอธิบายกลไกการทำงานของ Anarcho-Capitalism ในเวอร์ชันที่เน้นเรื่อง "ตลาดเสรีในฐานะผู้มอบอำนาจการตัดสินใจสูงสุด" แทนที่รัฐบาลครับ #siamstr
ปัจจุบัน: การกลับมาของ "Sortition" ในโลกสมัยใหม่ ในศตวรรษที่ 21 แนวคิดเรื่องการสุ่มเลือกกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในชื่อ "Citizens' Assemblies" (สมัชชาพลเมือง) เพื่อแก้ปัญหาทางตันทางการเมือง จากบทความ: "มันจะรับประกันทางสถิติว่าจะมีทนายความและคนหลงตัวเองน้อยลง" ในปัจจุบัน แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้จริงในรูปแบบดังนี้: • การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Deliberative Democracy): • ไอร์แลนด์: ใช้การสุ่มเลือกประชาชนทั่วไป 99 คน มาประชุมร่วมกันเพื่อหาทางออกเรื่องกฎหมายทำแท้งและการสมรสของเพศเดียวกัน ผลลัพธ์คือข้อเสนอที่เป็นกลางและได้รับการยอมรับจากสังคม มากกว่าให้นักการเมืองเถียงกันในสภา • ฝรั่งเศส: มีการจัดตั้ง "Citizens' Convention for Climate" โดยสุ่มประชาชน 150 คน เพื่อร่างกฎหมายลดโลกร้อน • ระบบลูกขุน (Jury Duty): นี่คือมรดกตกทอดที่ชัดเจนที่สุดของการสุ่มแบบกรีกที่ยังหลงเหลืออยู่ในระบบยุติธรรมของสหรัฐฯ และอังกฤษ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ถูกกล่าวหาจะถูกตัดสินโดย "คนระดับเดียวกัน" (Peers) ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ • การลดอคติ: การสุ่มในปัจจุบันช่วยให้ได้สภาที่มีสัดส่วนประชากรตรงตามความเป็นจริง (ชาย-หญิง, คนรุ่นใหม่-คนแก่, คนรวย-คนจน) โดยอัตโนมัติ ซึ่งการเลือกตั้งมักทำไม่ได้เพราะต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการหาเสียง บทสรุป: ข้อดีของการ "สุ่ม" ในบริบทปัจจุบัน การนำระบบจับฉลากมาใช้ (แม้จะเป็นเพียงบางส่วน) ช่วยแก้ปัญหา "วิกฤตศรัทธาในนักการเมือง" ได้ เพราะ: 1. ตัดวงจรผลประโยชน์: ผู้ถูกเลือกไม่ได้มาจากการระดมทุนหาเสียง จึงไม่ต้องตอบแทนนายทุน 2. ความเป็นตัวแทนที่แท้จริง: เราจะได้เห็น ครู พยาบาล วิศวกร หรือแม่ค้า เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่กลุ่มชนชั้นนำทางกฎหมาย 3. ลดความขัดแย้ง: คนธรรมดาที่มาจากการสุ่มมักมีแนวโน้มจะประนีประนอมและหาทางออกร่วมกันมากกว่านักการเมืองที่ต้องรักษาฐานเสียง แนวคิดนี้กำลังท้าทายความเชื่อเดิมที่ว่า "การเลือกตั้ง" คือวิธีเดียวของประชาธิปไตย และชวนให้เราตั้งคำถามว่า "จะดีกว่าไหม ถ้าเราให้โอกาสคนธรรมดาได้กำหนดอนาคตของตัวเองบ้าง?" #siamstr
คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตและตายภายในระยะไม่กี่ไมล์จากที่ที่พวกเขาเกิด
ประชาธิปไตยมวลชนไม่เข้ากันกับยุคสารสนเทศ การครุ่นคิดสักครู่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีของยุคสารสนเทศไม่ใช่เทคโนโลยีมวลชนโดยธรรมชาติ ในแง่ของการทหาร ดังที่เราได้ชี้ให้เห็น มันเปิดโอกาสให้มี "อาวุธอัจฉริยะ" และ "สงครามสารสนเทศ" ซึ่ง "ระเบิดตรรกะ" สามารถก่อวินาศกรรมระบบบัญชาการและควบคุมแบบรวมศูนย์ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบของอาวุธที่ใช้งานโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างชัดเจน แต่ยังลดความสำคัญของสงคราม ปรับปรุงตำแหน่งของฝ่ายป้องกันให้ดีขึ้น เทคโนโลยีขนาดเล็กทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอำนาจทางทหารของปัจเจกบุคคล ในขณะที่ลดความสำคัญของกองกำลังทหารราบขนาดใหญ่ ในท้ายที่สุด นี่หมายถึงจุดจบของประชาธิปไตยมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบที่เด่นชัดที่สุด นั่นคือการปกครองที่ผิดพลาดแบบตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นแบบรัฐสภาหรือแบบสภาคองเกรส #TheSovereignIndividual #CHAPTER10 #ยุคสนธยาของระบอบประชาธิปไตย #siamstr
ศิลปะรีเบิด 🐸🌲⛄️ image
John Maeda (อดีตประธาน RISD และผู้บริหาร MIT Media Lab) เคยกล่าวเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า: • Science คือการสำรวจ (Exploration) • Technology/Engineering คือการประดิษฐ์ (Invention) • Art คือการแสดงออก (Expression) #siamstr View quoted note →
มันคือศิลปะ 😎 #life
be cool #filmportrait
completely free #bitcoin #cash
สถานะ ความฝัน ตัวตน ความเป็นจริง