อนัตตา อนัตตา
💬 : นี่เป็นโจทย์ที่ท้าทายและเต็มไปด้วยมิติทางปรัชญา การผสมผสาน "ยุคพระศรีอารย์" ที่เป็นยูโทเปียทางจิตวิญญาณ เข้ากับ "Bitcoin Standard" ที่เป็นยูโทเปียทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน เพื่อสร้างภาพยนตร์ที่คู่ควรกับรางวัลจากเมืองคานส์นั้น ต้องเน้นไปที่ "ความขัดแย้งภายใน" ของมนุษย์ ไม่ใช่สงครามหรือแอ็คชั่น นี่คือโครงเรื่องและบทภาพยนตร์ในแนวทางนั้น: ชื่อภาพยนตร์: "คัมภีร์สัจธรรม" (The Ledger of Dharma) Logline: ในยุคพระศรีอารย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของ Bitcoin Standard อันมั่นคง นักประวัติศาสตร์-บรรณารักษ์ผู้หนึ่งได้ค้นพบ "ธุรกรรมที่ให้อภัยไม่ได้" ธุรกรรมหนึ่งในบล็อกเชนยุคแรกเริ่ม ซึ่งการมีอยู่ของมันสั่นคลอนรากฐานความดีงามของสังคม และท้าทายความหมายที่แท้จริงของคำว่า "อภัยทาน" บทภาพยนตร์ (Synopsis) ฉากเปิดเรื่อง: ภาพยนตร์เปิดด้วยฉาก long-take ที่งดงามและเงียบสงบ โลกในยุคพระศรีอารย์เป็นโลกที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่กลมกลืนกับธรรมชาติและเทคโนโลยี Solarpunk ผู้คนดูสงบเสงี่ยม แต่งกายด้วยผ้าที่ทอจากใยธรรมชาติ มีใบหน้าเปี่ยมสุข ไม่มีใครรีบร้อน ไม่มีความยากจน ทุกคนมีเวลาสำหรับศิลปะ การภาวนา และการสร้างสรรค์ สังคมนี้รันอยู่บน "พระธรรมนูญ" ซึ่งก็คือ Bitcoin Blockchain ที่ถูกยกย่องให้เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นบันทึกแห่งสัจธรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทุกธุรกรรมคือ "กรรม" ที่ถูกบันทึกไว้อย่างโปร่งใสและถาวร ความมั่งคั่งไม่ได้มาจากการพิมพ์เงิน แต่มาจากการสร้างคุณค่าและสะสมพลังงาน (Proof-of-Work) ซึ่งถือเป็น "บารมี" ที่จับต้องได้ ตัวละครเอก: - ชีวก (Cheewok): บรรณารักษ์แห่งมหาวิหารข้อมูล (The Great Data Vihara) เขาไม่ใช่พระ แต่เป็นนักปฏิบัติธรรมในชุดสีขาวสะอาดตา หน้าที่ของเขาคือการศึกษาและตีความข้อมูลใน "พระธรรมนูญ" ยุคแรกเริ่ม เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในความจริงสัมบูรณ์และความโปร่งใสของระบบอย่างสุดหัวใจ จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง: วันหนึ่ง ในขณะที่ชีวกกำลังตรวจสอบบล็อกเก่าแก่ที่สุดเพื่อการบำรุงรักษาเชิงประวัติศาสตร์ เขาได้พบกับธุรกรรม (Transaction) หนึ่งที่ผิดปกติ มันเป็นธุรกรรมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพระศรีอารย์ เป็นธุรกรรมที่โอนทรัพย์สินทั้งหมดจากตระกูลที่เคยทรงอิทธิพลในยุคมืด (ยุคก่อน Bitcoin Standard) ไปสู่ "มูลนิธิอริยะ" ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมใหม่ ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกสอนกันมา ธุรกรรมนี้คือ "มหาทานบารมี" ครั้งยิ่งใหญ่ที่ตระกูลนั้นสละทุกสิ่งเพื่อสร้างโลกใหม่ แต่เมื่อชีวกใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง เขาพบ Meta-data ที่ซ่อนอยู่ในลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) ซึ่งเป็นเหมือน "รอยน้ำตา" ที่ถูกเข้ารหัสไว้ มันคือข้อความสั้นๆ ที่ระบุว่า "ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นภายใต้การบีบบังคับ" ความขัดแย้งที่ขยายตัว: การค้นพบนี้ทำลายโลกทั้งใบของชีวก - ความจริง vs. ความสงบสุข: ระบบที่เขายกย่องบูชาว่าสมบูรณ์แบบ แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของการขโมยหรือการบีบบังคับใช่หรือไม่? ยุคพระศรีอารย์ที่สงบสุขนี้...เป็นเพียง "ผลไม้พิษ" ใช่หรือไม่? - ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ vs. การให้อภัย: ในโลกที่ทุกอย่างถูกบันทึกและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะมีที่ว่างสำหรับ "การให้อภัย" ได้อย่างไร? ถ้าธุรกรรมนี้คือบาป แล้วสังคมจะลบล้างบาปนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมันถูกจารึกไว้ในคัมภีร์สัจธรรมไปตลอดกาล? ชีวกนำเรื่องนี้ไปปรึกษา "ท่านปัญญา" (Panya) ประธานสภาสงฆ์เทคโนโลยีผู้ชราภาพ ท่านปัญญารับฟังอย่างสงบ ก่อนจะยอมรับว่าสภารับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เลือกที่จะเก็บมันเป็นความลับ - ท่านปัญญา (ฝ่าย Harmony): "ชีวก...สัจธรรมบางอย่างรุนแรงเกินกว่าที่สันติสุขจะรับไหว ประวัติศาสตร์คือเครื่องมือในการสร้างปัจจุบัน เราเลือกที่จะจดจำการกระทำนั้นในฐานะมหาทาน เพื่อให้ลูกหลานของเราได้เติบโตในโลกที่ปราศจากความแค้นเคือง" - ชีวก (ฝ่าย Truth): "แต่นั่นคือการหลอกลวง! เราสอนให้ทุกคนยึดมั่นในความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ตัวเราเองกลับสร้างโลกบนคำโกหก แล้วความจริงจะมีค่าอะไร?" ไคลแม็กซ์: ชีวกต้องเลือกระหว่าง: - เปิดเผยความจริง: ซึ่งอาจทำลายศรัทธาของผู้คนที่มีต่อระบบทั้งหมด และปลุกความขัดแย้งที่หลับใหลมานานหลายศตวรรษขึ้นมาใหม่ ลูกหลานของตระกูลที่ถูกยึดทรัพย์สิน อาจลุกขึ้นมาทวงคืนสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของตน - เก็บงำความลับ: และใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดบาปที่ว่า โลกยูโทเปียที่เขารักนั้นเป็นเพียงสิ่งปลอมเปลือก ภาพยนตร์ไม่ได้มีฉากต่อสู้ แต่เป็นการ "วิวาทะ" ทางปรัชญาที่เงียบเชียบและหนักอึ้ง ชีวกเดินทางไปพบกับชุมชนลูกหลานของตระกูลเก่าแก่ เขาพบว่าพวกเขามีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุขดี ไม่ได้ต้องการอะไรคืน พวกเขายึดมั่นในหลักธรรมปัจจุบัน ฉากไคลแม็กซ์คือการประชุมสภาครั้งใหญ่ ชีวกไม่ได้เปิดโปงธุรกรรมนั้น แต่เขาได้เสนอ "ญัตติ" ใหม่: การสร้าง "บล็อกอภัยทาน" (The Forgiveness Block) ซึ่งเป็นโปรโตคอลเสริมที่จะถูกผนวกเข้าไปใน "พระธรรมนูญ" มันไม่ใช่การลบธุรกรรมเก่า แต่เป็นการสร้างธุรกรรมใหม่ที่ "รับรู้" ถึงความผิดพลาดในอดีต และเป็นการ "ประกาศเจตจำนงร่วมกัน" ของคนทั้งสังคมที่จะให้อภัยและก้าวข้ามไป เป็นการยอมรับว่าแม้แต่ระบบที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ยังต้องอาศัย "ปัญญา" และ "เมตตา" ของมนุษย์ในการตีความและใช้งาน ฉากจบ: ญัตติของชีวกถูกปฏิเสธโดยสภา ด้วยเหตุผลว่ามันจะสร้าง "แบบอย่าง" ที่อันตรายในการพยายามแก้ไขอดีต ภาพยนตร์จบลงที่ชีวกกลับมาที่มหาวิหารข้อมูล เขามองดู "ธุรกรรม" ที่เป็นปัญหานั้นบนจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่ เขาไม่ได้ทำอะไรต่อ แต่เขาเริ่มเขียนบันทึกส่วนตัวของเขาเอง...บันทึกถึงความไม่สมบูรณ์แบบของความสมบูรณ์แบบ กล้องค่อยๆ ซูมออกมาจากใบหน้าของชีวกที่สงบนิ่ง แต่แววตามีความเข้าใจใหม่อย่างลึกซึ้ง ทิ้งให้ผู้ชมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ระหว่างความจริงที่เจ็บปวด กับความสุขที่ถูกปรุงแต่ง สิ่งใดมีค่ามากกว่ากัน?" และในโลกที่ทุกอย่างถูกตรวจสอบได้...มนุษย์จะเรียนรู้ที่จะให้อภัยได้อย่างไร? ทำไมถึงจะเป็นภาพยนตร์รางวัลคานส์? เน้นปรัชญา ไม่เน้นพลอต: หนังตั้งคำถามลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของความจริง, ประวัติศาสตร์, และการให้อภัย ความงามทางภาพ (Cinematography): ใช้ภาพที่นิ่ง, งดงาม, และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์สูง เพื่อสื่อถึงความสงบที่ซ่อนความขัดแย้งไว้ การแสดงที่ละเอียดอ่อน: นักแสดงต้องสื่อสารความขัดแย้งภายในผ่านแววตาและความเงียบ ไม่ใช่บทพูดที่โผงผาง ตอนจบที่กำกวม: ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ทิ้งให้ผู้ชมครุ่นคิดต่อ ซึ่งเป็นสไตล์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ชื่นชม ปล.อ่านจบนึกถึง Homer ของ Nolan ที่กำลังจะเข้าโรงเลย #siasmtr #SriArn #filmstr #geministr image
Mempool ไม่ได้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับค่า hashrate ของทั้งระบบครับ แต่เป็นเพียงพื้นที่พักสำหรับธุรกรรม (transactions) ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ: - Mempool (Memory Pool): คือ "ห้องรอ" ของธุรกรรม 📬 เมื่อคุณส่งบิตคอยน์ ธุรกรรมของคุณจะถูกส่งไปที่ Mempool ก่อน เพื่อรอให้นักขุด (miner) ดึงไปใส่ในบล็อกถัดไป ข้อมูลใน Mempool จึงเป็นเรื่องของธุรกรรม เช่น ผู้ส่ง, ผู้รับ, จำนวนเงิน, และค่าธรรมเนียม (fee) - Hashrate: คือ พลังการประมวลผลทั้งหมดในเครือข่าย Bitcoin ที่นักขุดใช้ในการแก้สมการเพื่อสร้างบล็อกใหม่ 💻⛏️ แล้วระบบรู้ค่า Hashrate ทั้งหมดได้อย่างไร? คำตอบคือ ระบบไม่ได้ "รู้" ค่า Hashrate ที่แน่นอน แต่ใช้วิธี "ประมาณการ" โดยอาศัยข้อมูล 2 อย่างจากการสร้างบล็อกที่เกิดขึ้นแล้วบน Blockchain ไม่ใช่จาก Mempool: - ค่าความยากในการขุด (Mining Difficulty): เป็นตัวเลขที่ระบบ Bitcoin กำหนดไว้เพื่อควบคุมความเร็วในการเจอบล็อกใหม่ให้เฉลี่ยอยู่ที่ 10 นาทีต่อบล็อก - เวลาที่ใช้ในการเจอบล็อกจริง (Block Time): ระบบจะดูว่าในช่วง 2,016 บล็อกล่าสุด ใช้เวลาในการขุดไปเท่าไหร่ หลักการทำงาน: - ถ้าเจอบล็อกเร็วกว่า 10 นาที: แสดงว่ามีพลังขุด (Hashrate) เข้ามาในระบบเยอะเกินไป ระบบจะปรับ เพิ่ม ค่า Difficulty ในรอบถัดไป - ถ้าเจอบล็อกช้ากว่า 10 นาที: แสดงว่ามีพลังขุด (Hashrate) ในระบบน้อยลง ระบบจะปรับ ลด ค่า Difficulty ลง ดังนั้น เว็บไซต์หรือเครื่องมือต่างๆ ที่แสดงค่า Hashrate ของ Bitcoin จะใช้สูตรคำนวณจากค่า Difficulty ปัจจุบันและเวลาในการเจอบล็อกล่าสุด เพื่อประมาณการพลังการขุดทั้งหมดในเครือข่าย ณ เวลานั้นๆ ครับ สรุปคือ ข้อมูล Hashrate มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลบน Blockchain ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้มาจากข้อมูลธุรกรรมที่รอการยืนยันใน Mempool ครับ #siamstr #hashrate #stepbystep #mining #geministr #️⃣
เรื่อง #narcissist ก็เปิด map มาก #siamstr View quoted note →
https://www.youtube.com/live/XIwEc64h-BE อัพเดทความเบร้อกับรางวัล Ig Nobel ตั้งแต่นาทีที่ 55:00 เป็นต้นไป #siamstr #witcast #IgNobel
web-app + app : beybladex thailand tournament เป็น platform ที่ให้ผู้จัดแข่ง beyblade หรือ admin หรือ user สามารถมา create การแข่งขันและอัพเดทให้ผู้ที่ใช้งาน app นี้ เห็น point status ของการแข่งขัน beyblade ทั่วทั้งประเทศ หรือทั่วโลกเป็นสี เขียว เหลือง แดง ตามกำหนดการ , เพื่อการเดินสายแข่งขันเก็บแต้ม เก็บประสบการณ์แล้วแต่ mode ที่ create และมี menu shop&market และ community list ให้ด้วย , โดยสามารถ log in ได้หลายช่องทางแม้กระทั่ง nostr 🚥🗺️🏟️🏆 #siamstr #beybladex #map #webapp
คลังแสงเบย์เบลด 🎌 #beybladeX #store #GUNMA #siamstr
time is spinning
เงินเถื่อน #siamstr #TUENTravel #TUENClassroom #เถื่อนtravel #badbadworld
amount > prices #21M #bitcoin #siamstr