อันที่จริงสิ่งที่เป็น "กลไกธรรมชาติ" ของทุนนิยมมันมีมากกว่าเรื่อง law of the jungle ในความเป็นจริงถ้ามันเป็นเรื่องกฎแห่งป่าเพียงอย่างเดียว พวกเราคงเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด เสียชีวิตเพราะการหาอาหาร หาความมั่นคงในชีวิต หรือเผลอ ๆ จะไม่มีตัวคุณด้วยซ้ำ มันจึงไม่ใช่แค่ด้านเดียวที่เราอยู่ภายในอารยธรรมของมนุษย์ มันเลยมีอีกด้านหนึ่งที่เรียกว่า 'ความร่วมมือของปัจเจกและสังคม' และ 'การแบ่งงาน' มันเลยทำให้มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องเอาไม้ทุบหัวเพื่อแย่งชิงเพียงอย่างเดียวไง เราแลกเปลี่ยน เราค้าขายกันได้ ทำให้เรามีชีวิตปลอดภัย มันเลยทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมมันจะคัดสรรเพียงคนที่ unproductive เท่านั้น ไม่ใช่คนที่มี productive เพราะคนที่มี productive เขาจะมีชีวิตอย่างไรก็ไม่ไส้แห้ง และคนที่มี productive มากกว่าย่อมเหนือคนที่มี productive น้อยกว่า ในขณะที่ทุนนิยมก็แสดงให้เห็นว่าคนมี productive บางคนที่ตัวเล็กก็มีศักยภาพที่จะกลายเป็นคนมี productive ให้กลายเป็นคนตัวใหญ่ได้ ตรงนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญครับว่าทำไมมหาเศรษฐีและคนยากจนเมื่อเวลาผ่านไปจึงไม่ใช่คนเดียวกัน หรือเหตุผลว่าทำไมคนที่เคยยากจนข้นแค้นสุด ๆ ในประเทศคอมมิวนิสต์ เมื่อเวลาเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจไปสู่ตลาดเสรีทุนนิยมจึงกลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งสูง หรือ ยกฐานะตัวเองไปเป็นชนชั้นกลางได้ ซึ่งน้อยคนมากที่จะเข้าใจธรรมชาติของทุนนิยมแบบนี้ มากกว่ามองบนฐานการจัดสรรตามธรรมชาติตามแบบพวกลัทธิดาร์วินทางสังคมเพียงอย่างเดียว
ปัญหาของนโยบายรัฐบาลเพื่อไทย : รถไฟฟ้า 20 บาทดีจริงไหม? . เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2566 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประกาศว่า ครม.เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย (ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยตามที่หาเสียง) โดยนำร่อง 2 โครงการคือ (1).โครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่จำนวน 16 สถานีและ (2).โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน 10 สถานี และช่วงบางซื่อ-รังสิตจำนวน 4 สถานี (Thaipbs 2023) หลายคนอาจทราบว่านโยบายดังกล่าว “สามารถทำได้จริง” แต่เหตุผลที่ว่า "ทำได้จริง" นั้นก็ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการเศรษฐศาสตร์หลายต่อหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสินอยู่แล้ว . เนื่องจากนโยบายดังกล่าวจะต้องใช้การอุดหนุนจากภาครัฐ (subsidize) เพื่อผ่อนเบาภาระค่าใช้จ่ายภาคประชาชนจากการตั้งงบประมาณมารองรับนโยบายอุดหนุน ตามข้อมูลของ รศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า ประมาณการค่าชดเชยที่รัฐจะต้องจ่ายในการดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น [ในกรณีที่รัฐทำครอบคลุมทุกสาย] โดยเฉพาะการคำนวณแบบแยกสาย เช่น นั่ง BTS ไปต่อ MRT ผู้โดยสารจะต้องซื้อตั๋ว 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า 20 บาทตลอดสาย รัฐจะต้องแยกกันจ่ายเฉพาะ ผู้โดยสารจ่าย MRT ให้ 20 บาทและ BTS อีก 20 บาท หากจะประมาณการค่าชดเชยทั้งหมดต่อปีอาจอยู่ที่ปีละ 7,500 ล้านบาท และจำนวนผู้โดยสารนั้นเกี่ยวข้องกันกับค่าชดเชยที่จะต้องจ่ายต่อปีด้วยเช่นกัน "หากสมมติว่าจากยอดผู้โดยสารรวมสูงสุด 1,609,973 เที่ยวต่อวัน มีผู้โดยสาร 75% ที่โดยสารรถไฟฟ้าแค่สายเดียว และ 25% นั่งรถไฟฟ้าข้ามสายจำนวน 2 สาย ก็จะประมาณการได้ว่าเงินชดเชยที่รัฐจะต้องเตรียมไว้เพื่อจ่ายแทนผู้โดยสารมีค่าเท่ากับ 36,224,393 บาทต่อวัน สำหรับวันธรรมดา และ 25,669,508 บาทต่อวัน สำหรับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเมื่อนำไปคำนวณเป็น 52 สัปดาห์ โดยมีวันธรรมดา 5 วัน และวันหยุด 2 วัน ก็จะได้ประมาณการเงินที่รัฐจะต้องชดเชย กรณี ‘20 บาทตลอดทุกสาย’ ราว 12,000 ล้านบาทต่อปี" (The Standard 2023) แน่นอนว่ายิ่งมีคนใช้บริการมากเท่าไหร่ค่าใช้จ่ายและภาระทางงบประมาณภาครัฐก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ตรงนี้เองอาจกระทบกับภาคส่วนอื่นหากรัฐจัดสรรงบประมาณไม่รัดกุมมากพอก็อาจเกิดปัญหาที่ใช้งบประมาณขาดดุลจนอาจนำไปสู่การกู้ได้หรือไม่ก็อาจจำเป็นต้องสร้างภาระให้คนอื่นเพิ่มเติมจากการเก็บภาษีคนบางกลุ่มเพื่อมาอุดช่องว่างงบประมาณที่ขาดเหลือไปตามลุควิก วอน มิซิส (Ludwig von Mises) กล่าวในหนังสือ “ระบบราชการ” (Bureaucracy) ของเขาเอาไว้ว่า . “ผู้มีอำนาจมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนไปจากระบบกำไร [. . .] พวกเขาถือว่าความสำเร็จของงานอื่นมีความสำคัญ พวกเขาพร้อมที่จะละทิ้งเรื่องกำไรทั้งหมดหรือกำไรเพียงเล็กน้อย แม้กระทั่งยอมขาดทุนเพื่อบรรลุผลสำเร็จในด้านอื่นๆ [. . .] ผลกระทบของนโยบายดังกล่าวเป็นการอุดหนุนคนบางคนเพื่อผลักภาระไปให้คนอื่นเสมอ” . มิซิสระบุอีกว่า "ทุก ๆ การบริการของภาครัฐจะถูกพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นได้โดยการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้มากขึ้น" คำถามที่ตามมาก็คือ 'สังคมเต็มใจจ่ายค่าบริการอยู่ที่เท่าไหร่?' และ 'ต้นทุนที่สังคมจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน?' (Mises 2023) องค์กรภาครัฐนั้นเวลาจะแก้ไขปัญหาใด ๆ ก็ตามจำเป็นต้องใช้งบประมาณที่มหาศาลอย่างสิ้นเปลืองเพื่อตอบสนองนโยบายอันไร้ประโยชน์ของตนเอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามการลงทุนอุดหนุนรถไฟฟ้าอาจมีประโยชน์สำหรับผู้บริโภคที่ยินดีจะจ่ายในราคาที่ถูก แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อมีคนจำนวนมากมาใช้บริการมากขึ้นสิ่งที่พวกเขาจำนวนมากต้องเผชิญก็คือ ความไร้ประสิทธิภาพของการบริการทั้งด้านการปรับปรุง แรงจูงใจของบุคลากร และการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ จะเป็นปัญหาในระยะยาว เพราะการแทรกแซงของรัฐเพื่อบิดเบือนกลไกราคาของตลาดเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Thornton 2022) และเมื่อเป็นเช่นนั้นทางออกของปัญหาที่ว่าจะแก้ค่าครองชีพที่สูงจนหูฉี่ (รวมถึงเงินเฟ้อ) ในระยะยาวไม่สามารถแก้ไขได้ ตราบเท่าที่รัฐยังมีบทบาทโดยตรงอันเป็นการส่งเสริมให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงขึ้น . กล่าวโดยสรุปก็คือ การอุดหนุนรถไฟฟ้าอาจดีที่ทำให้ผู้ใช้บริการยินดีจ่ายในราคาที่ถูกลง แต่การทำเช่นนั้นเท่ากับรัฐต้องการบิดเบือนกลไกราคาตลาดของค่าบริการรถไฟฟ้าจริงต่อคน โดยการทำให้มันถูกลงจากการผลาญงบประมาณเพื่อทุ่มไปกับโครงการรถไฟแต่ละสาย ซึ่งตรงนี้เองมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การบริการรถไฟฟ้า คุณภาพหรืออะไรต่าง ๆ อาจส่งผลให้มันไม่มีประสิทธิภาพทั้งด้านการบริการ แรงจูงใจของบุคลากร และการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ เป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยคือ "ลดค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น" แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าแม้จะการกระทำของรัฐเพียงเล็กน้อยในเรื่องการอุดหนุนที่พวกเขาอาจคิดว่าไม่น่ามีผลกระทบอะไรมาก แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันจะกลายเป็นการผลักดันภาระทางเศรษฐกิจไปสู่ประชาชนเสียเอง หากเรามองปัญหาในภาพรวมของเศรษฐกิจในตอนนี้ก็อาจกล่าวได้เต็มปากว่า นโยบายนี้มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดแค่เพียงเพราะผู้บริโภคจ่ายค่ารถไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง . บรรณานุกรม “ราคาจริงที่ต้องจ่าย เพื่อ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย.’” THE STANDARD, 14 Sept. 2023, thestandard.co/real-cost-of-20-baht-mrt-bts/#:~:text=%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88,%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89. “เริ่มวันนี้! รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นำร่อง 2 เส้นทาง.” Thai PBS, 16 October, 2023, www.thaipbs.or.th/news/content/332842. Grassmueck, Georg. Public Transit Projects Are the Perfect Recipe for Financial Disaster. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2023). Thornton, Mark. The REAL Solution to the Coming Economic Crisis. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2022). image
เสรีนิยมจะต้องโอบรับลัทธิชาตินิยม (Liberalism Must Embrace Nationalism) . โดย HoppeanismBoy . ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ผ่านมานั้นเราจะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นมักยึดโยงและมีความเชื่อ รวมถึงความภักดีต่อบางสิ่งอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาในศาสนา ปรัชญาบางอย่าง หรือคุณธรรม รวมไปถึงความจงรักภักดีต่อ ครอบครัว-เครือญาติ , ชุมชน หมู่บ้าน , ชนเผ่า หรือ กลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์นั้นต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง หรือ นั้นก็คือ “สังคม” เช่นเดียวกับที่ “อริสโตเติล” นักปรัชญาชาวกรีกผู้มีชื่อเสียง ได้เคยกล่าวไว้ในงานเขียนของเขาอย่าง “โพลิติกส์” ( “Politics” ) ว่า “โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม” เพราะฉะนั้นแนวคิดการรวมกลุ่มแบบอัตลักษณ์นิยม (identitism or Tribalism) ซึ่งหมายถึงการที่ผู้คนแสวงหาในการให้ความสำคัญต่อคุณค่าของกลุ่มตนเอง ซึ่งอาจผูกพันกันด้วย สายเลือด ความสัมพันธ์แบบส่วนตัว คุณธรรม ปรัชญา เชื้อชาติ ศาสนา ก่อนกลุ่มภายนอกที่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับตนเองโดยกระบวนการดังกล่าวก็เป็นกระบวนการจัดโครงสร้างตามลำดับชั้นที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ นั้นก็คือ มนุษย์มักให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตนเองหรือมีความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่งกับตนเองก่อนที่จะเผื่อแผ่หรือขยายวงไปยังกลุ่มภายนอกอื่น ๆ (In-group and out-group) ที่มีความสำคัญน้อยกว่าตามลำดับ แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวนั้นเป็นการยืนยันถึงคุณลักษณะสองประการของมนุษย์ นั้นคือ (a). ที่ว่าการแบ่งแยก การเลือกปฏิบัติและการจัดลำดับรวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อคุณค่าสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่เท่ากัน; (b). นั้นได้แก่ การให้ความสำคัญ การให้สิทธิพิเศษ ต่อกลุ่มของตนเองหรือผู้ที่มีความใกล้ชิดกับตนเองก่อนเสมอนั้น ทั้งสองส่วนเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ อย่างไรก็ตามคุณลักษณะและแนวคิดประการต่าง ๆ อันเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์เหล่านี้ก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ สูญเสียบทบาทการนำทางความคิดเหนือผู้คนในสังคมสมัยใหม่ไปทีละเล็กทีละน้อย อันเป็นผลมาจากการที่ สถาบันทางการเมือง วัฒนธรรม สื่อ รัฐ ฯลฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมและชี้นำโดยเครือข่ายชนชั้นสูงทั้งหลายของเรา เลือกที่จะค่อย ๆ เปิดรับและเผยแพร่คุณค่า อุดมคติและศีลธรรมแบบโลกสมัยใหม่ที่วางรากฐานอยู่บนเงื่อนไขของแนวคิดแบบเสมอภาคนิยม ความก้าวหน้า (ในความหมายที่หมายถึง “ความเท่าเทียมเชิงผลลัพธ์”) และ ประชาธิปไตยเข้าไปในสังคมแทน ซึ่งการพยายามขยายแนวคิดความเสมอภาคนิยมและความเป็นประชาธิปไตยดังกล่าวนั้น ก็นำไปสู่การอ่อนแอลงของสถาบันทางสังคมอันเป็นอิสระ รวมไปถึงมันยังนำไปสู่การลดทอนอำนาจอธิปไตยของปัจเจกบุคคลในสังคมลง เพื่อเปิดทางให้กับการที่รัฐจะเข้ามามีอิทธิพลหรือบทบาทเหนือปริมณฑลต่าง ๆ ในชีวิตมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการการแผ่ขยายของแนวคิดศีลธรรมสมัยใหม่อันมีรากฐานตั้งอยู่บนความเสอมภาคนิยมผ่านรัฐและสถาบันระหว่างประเทศที่สนับสนุนการนำโครงการโลกาภิวัตน์ขนาดใหญ่ไปให้แต่ละรัฐปฏิบัติเพื่อผลักดันวาระซ่อนเร้นในการจัดตั้งลัทธิเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จขึ้นทั่วโลกนั้นเอง . โดยในปัจจุบันนั้นเราต้องยอมรับก่อนว่าในรัฐซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของโลกเสรีนิยมประชาธิปไตยหลายแห่งนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแนวคิดกลุ่มอัตลักษณ์นิยมหรือความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะอีกต่อไป รวมทั้งรัฐและสถาบันต่าง ๆ ในสังคมเหล่านั้นไม่อนุญาตให้ผู้คนคิดถึงกลุ่มอัตลักษณ์นิยมของตนเองหรือภูมิใจต่อมัน ปรากฏการณ์เช่นนี้สามารถเห็นได้ในหลายรัฐของโลกตะวันตก เช่น ในเยอรมัน ความเป็นเยอรมันนั้นไม่ใช่หมายถึงชาวยุโรปผิวขาวเชื้อสายคอเคเซียน ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพ ตาฟ้า ผมทอง และมีลักษณะทางสังคม ค่านิยม ภาษา ประเพณีและมีวัฒนธรรมแบบเยอรมัน รวมไปถึงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์หรือคาทอลิกอีกต่อไป แต่มันหมายถึงใครก็ตามที่สามารถอพยพหรือถูกนำเข้ามาโดยรัฐบาลเยอรมัน (ที่ถูกควบคุมโดยนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย) ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิม หรือ ชาวแอฟริกัน ฯลฯ คนพวกนี้จะถูกถือว่ามีความเป็นชาวเยอรมัน เช่นเดียวกับชาวเยอรมันดั้งเดิมและพวกเขาไม่จำเป็นต้องถูกดูดซึมให้เป็นส่วนหนึ่งของประชากรชาวเยอรมันดั้งเดิมแต่อย่างใด เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ความเป็นอเมริกานั้นไม่ได้หมายถึง ชาวผิวขาวแองโกล-แซกซอน ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (White Anglo – Saxson Protestants) หรือค่านิยม มารยาท การศึกษาที่เหนือกว่า อีกต่อไปแต่มันหมายถึงคนทุกกลุ่มที่สามารถอพยพมาสู่ดินแดนดังกล่าวได้ แม้แต่ในไทยเองก็มีกระบวนการทำลายอัตลักษณ์ดังกล่าวจากกลุ่มขบวนการ นักวิชาการ และสื่อที่มีความคิดโน้มเอียงไปทางซ้ายที่พยายามรื้อถอนความเป็นไทยที่มีความหมายถึง กลุ่มประชากรที่พูดภาษาและมีวัฒนธรรมแบบขร้า-ไท นับถือศาสนาพุทธ-พราหมณ์-แถน โดยการพยายามแทนที่ความเป็นไทยดังกล่าวด้วยแนวคิดแบบพหุวัฒนธรรมนิยมและความเป็นพลเมืองโลก (หมายถึงแนวคิดที่เปิดกว้างในการรับผู้อพยพ เช่น ชาวโรฮิงยา หรือ ประชากรในส่วนอื่น ๆ เข้ามา) ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงประเทศไทยนั้นถูกก่อตั้งขึ้นโดยมีประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาและมีวัฒนธรรมแบบขร้า-ไท รวมไปถึงศาสนาพุทธ-พราหมณ์-แถนเป็นพื้นฐาน จากปรากฏการณ์เหล่านี้เราจะเห็นได้ว่าโลกเรากำลังเข้าสู่กระบวนการที่นำไปสู่การไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเขตแดน รวมถึงกระบวนการข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ลดทอนกำลังลดทอนชุมชนแห่งชาติในแต่ละแห่งโลกลง มันจะไม่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่อีกพวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ชาวเยอรมัน ชาวอังกฤษ ชาวอเมริกัน ชาวตุรกี หรือ ชาวอาหรับ ฯลฯ จะไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวเหล่านี้นั้นไม่อาจจะบรรลุด้วยกระบวนการอย่างสันติวิธีหรือได้รับความยินยอมจากประชากรทั้งหมดได้นอกจากการใช้อำนาจเผด็จการและกำลังบังคับให้ประชากรในแต่ละท้องถิ่นให้ยอมรับกระบวนการสลายอัตลักษณ์ดังกล่าวโดยรัฐเท่านั้น . เพราะสิ่งที่เป็นชนเผ่า ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ ที่ถูกนิยามโดยรวมจากโลกสมัยใหม่ว่า “ลัทธิชาตินิยม” นั้นมีความหมายถึงความพิเศษ ความแตกต่าง และ เอกลักษณ์ แน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับคุณค่าของโลกสมัยใหม่ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในสังคมของเราอย่าง ความก้าวหน้า แนวคิดเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้โดยไร้กฎเกณฑ์ ความเสมอภาคนิยม หรือประชาธิปไตยแต่อย่างใด อีกทั้งแนวคิดข้างต้นยังนำไปสู่สภาวะขัดแย้งกับแนวคิดอย่างหลังของสังคมสมัยใหม่ที่กำลังแพร่หลายอยู่อีกด้วย เพราะความพิเศษ ความเป็นเลิศ ความเหนือกว่า ย่อมนำไปสู่การเลือกปฏิบัติเสมอ ชนเผ่าย่อมให้ความสำคัญกับคนภายในเผ่าก่อนคนนอก ประเทศย่อมให้ความสำคัญกับคนในประเทศตัวเองก่อนคนนอก เทพเจ้าย่อมให้ความสำคัญกับผู้นับถือก่อนผู้ที่ไม่นับถือ นี้คือปรากฏการณ์อันเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์นั้นอยู่เป็นเผ่าพันธุ์ เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เราโหยหาความผูกพันและการผูกมัด นั่นคือเหตุผลที่เรารักชมรม ทีม สมาคม ครอบครัวแทบจะไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่เป็นฤาษี แม้แต่พระและนักบวชก็ยังอยู่รวมกันเป็นสำนัก แต่สัญชาติญาณความเป็นเผ่าพันธุ์ไม่ใช่แค่สัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม มันรวมถึงสัญชาตญาณในการกีดกันออกจากกลุ่มด้วย ในทางกลับกันแนวคิดแบบเสมอภาคนิยมสมัยใหม่กลับขัดแย้งต่อธรรมชาติดังกล่าวของมนุษย์ เพราะการที่มันปูรากฐานทางแนวคิดด้วยความพยายามที่จะสนับสนุนความเท่าเทียมกันในหมู่มนูษย์ให้มากที่สุด มันก็จะต้องเลือกที่จะขจัดการแบ่งแยกและกีดกันดังกล่าวออกไปและวิธีการที่จะขจัดการแบ่งแยกและกีดกันดังกล่าวออกไปได้ก็ด้วยการที่จะต้องทำลายกลุ่มอัตลักษณ์นิยมในสังคมนั้น ๆ ลง แน่นอนว่าวิธีการดังกล่าวไม่อาจจะบรรลุด้วยวิธีการอย่างสันตินอกไปเสียจากการใช้อำนาจรัฐเผด็จการเข้ามาเพื่อแทรกแซงและเปลี่ยนสังคม ในรูปแบบของการทำลายแนวคิดอัตลักษณ์นิยมด้วยการส่งเสริมเจตคติแห่งความเท่าเทียมในสังคม การส่งเสริมหรือให้อภิสิทธิ์แก่คนชายขอบ อย่างเช่น ผู้หญิง LGBTQ ชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา หรือการทดแทนกลุ่มประชากรดั้งเดิมด้วยการนำเข้าผู้อพยพ กระบวนการเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นในยุโรปหรือเมริกา ที่รัฐบาลของพวกเขาได้เปิดทางให้มีการทำลายอัตลักษณ์นิยม ส่งเสริมคนชายขอบ อย่าง LGBTQ+ หรือชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา รวมทั้งการนำเข้าผู้อพยพต่างชาติเข้ามาโดยที่คนในประเทศไม่ได้ยินยอมหรือเห็นดีเห็นงามด้วย สิ่งเหล่านี้ทืำให้เกิดการขยายตัวของปัญหาในสังคมที่มากขึ้นและเมื่อปัญหาในสังคมมากขึ้นมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อชนชั้นนำกลุ่มใหม่ที่ควบคุมระบบการเมืองและเศรษฐกิจอยู่ในโลกเสรีประชาธิปไตย อย่างพวกชนชั้นนำผู้จัดการ (Managerial elite) มากขึ้นเพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าตำแหน่งของพวกเขาเกิดขึ้นมารวมทั้งดำรงอยู่ได้ก็จากปัญหาทางเทคนิคอันซับซ่อนในสังคมทั้งในองค์กรภาครัฐและเอกชน และยิ่งปัญหามีมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะเพิ่มตำแหน่งและบทบาทให้แก่ชนชั้นนำนักจัดการนิยมมากขึ้นเท่านั้น ผ่านการขยายตัวของหน่วยงาน แผนก หรือ องค์กรของทั้งภาครัฐและเอกชน แน่นอนว่าในสังคมที่เส้นแบ่งแยกทั้งในทางภูมิศาสตร์คือ เขตแดนระหว่างประเทศ รวมไปถึงเขตแดนทางด้านวัฒนธรรมที่แบ่งแยกกันผ่านความหนาแน่นของกลุ่มอัตลักษณ์ในพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่งเลยไปจนถึงสถาบันทางสังคมแบบอิสระในอดีตที่อ่อนแอลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลของการเพิ่มความเสมอภาคนิยมในสังคม มันก็ยิ่งทำให้จะต้องมีหน่วยงานและอำนาจมากขึ้นในการเข้ามาจัดการปัญหาดังกล่าว หรือในอีกนัยก็คือจะต้องมีการขยายอำนาจให้แก่ชนชั้นนำนักจัดการนิยมมากขึ้นนั้นเอง . อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับเรื่องนี้อย่างที่สุดนั้นก็คือไม่ใช่การที่ฝ่ายซ้าย รวมทั้งสถาบันของพวกเขา หรือ พรรคการเมืองของพวกเขา กลับเข้าร่วมสนับสนุนจุดยืนดังกล่าวของชนชั้นนำนักบริหาร แต่เป็นการที่ฝ่ายเสรีนิยมบางส่วน หรือ บางคน ก็สนับสนุนโครงการสลายอัตลักษณ์ดังกล่าวด้วย เพื่อสร้างมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาพวกเขาเชื่อว่ามนุษย์จะบรรลุถึงเสรีภาพหรือเหตุผลได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อพวกเขาละทิ้ง ตำนาน คำสอนทางศาสนา วัฒนธรรม ค่านิยม ครอบครัว ประเทศ หรือ เชื้อชาติของตนเองทิ้งไปเพื่อเปิดรับความเป็นเหตุเป็นผลอย่างถึงที่สุด เมื่อนั้นพวกเขาจะกลายเป็นมนุษย์ผู้มีอิสระอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเราขอพูดกับชาวเสรีนิยมด้วยข้อเท็จจริงสองสามข้อดั่งต่อไปนี้ . (I) “ยอมรับว่าเสรีภาพเป็นไปตามสภาพธรรมชาติของมนุษย์” ข้อแรกชาวเสรีนิยมจะต้องเลิกเชื่อมั่นว่าเสรีภาพจะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ทุกคนสลัดทิ้งไปซึ่งความคิดแบบโบราณคร่ำครึอันเกี่ยวกับ ศรัทธา เชื้อชาติ หรือ ประเทศ และเป็นบุคคลซึ่งใช้ชีวิตอยู่โดยอาศัยเหตุและตรรกะเป็นเครื่องนำทางสูงสุด เราต้องยกเลิกมุมมองอุดมคติและยูโทเปียดังกล่าวเพราะสิ่งเหล่านี้ในท้ายที่สุดจะไม่มีวันเกิดขึ้น จริง มนุษย์นั้นล้วนเปราะบาง ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก ทั้งยังมีลำดับชั้นและเลือกปฏิบัติ สิ่งที่ชาวเสรีนิยมพึงควรจะทำจึงเป็นการเข้าใจมนุษย์ตามธรรมชาติอย่างที่พวกเขาจะเป็นตลอดมาและจะเป็นตลอดไป มนุษย์ไม่สามารถถูกทำให้สมบรูณ์แบบได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือเสนอทางเลือกอย่างสมัครใจให้แก่พวกเขาในการสร้าง เข้าร่วม หรือ แยกตัวออกจากสังคมตามที่พวกเขาพึงปรารถนาเท่านั้น การพยายามสร้างแนวทางการบูรณาการใด ๆ ก็ตามเพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนสมบูรณ์ รังแต่จะเป็นการทำลายหลักการเสรีนิยมโดยตัวมันเองและเปิดทางให้แก่ลัทธิเผด็จการโดยรัฐมากขึ้นเท่านั้น . (II) “โอบกอดแทนที่จะปฏิเสธภาคประชาสังคม” ข้อที่สอง ชาวเสรีนิยมแม้กระตือรือร้นต่อการยอมรับแนวคิดตลาดเสรีทุนนิยม พวกเขากลับมีมุมมองที่ผิดพลาดนั้นคือการวางตัวเป็นศัตรูต่อสถาบันทางสังคมแบบอิสระอย่างเช่น ครอบครัว ประเพณี วัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางเชื้อชาติมาอย่างยาวนาน เหมือนดั่งกับว่าการเป็นเสรีนิยมนั้นมีความหมายเท่ากับการปฏิเสธประเพณีดั่งเดิม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการเป็นเสรีนิยมนั้นหมายถึงการเป็นศัตรูกับภาคประชาสังคม ทั้งที่ในความเป็นจริงการดำรงอยู่ของภาคประชาสังคมที่อิสระนั้นต่างหาก ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่เราจะประสบความสำเร็จสำหรับโครงการทางการเมืองของชาวเสรีนิยมและอิสรนิยมในการลดอำนาจหรือต่อต้านอำนาจรัฐ เนื่องจากภาคประชาสังคมเป็นรูปแบบการจัดระเบียบสังคมรูปแบบเดียวที่เกิดความสมัครใจและเป็นไปตามระเบียบโดยธรรมชาติ ทั้งมันยังเป็นพลังเดียวที่สามารถกักกันการขยายตัวของอำนาจรัฐเผด็จการมาโดยตลอด . (III) “ลัทธิสากลนิยมทางการเมืองไม่ใช่เป้าหมาย” ข้อสุดท้ายชาวเสรีนิยมต้องยกเลิกมุมมองในการขยายแนวคิดเสรีนิยมไปสู่สังคมอื่น ๆ หรือการทำให้โลกทั้งหมดกลายเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย ชาวเสรีนิยมควรพึงสังวรไว้ว่าสิ่งที่เราควรทำมีเพียงแค่การพยายามลดขนาดและขอบเขตของอำนาจรัฐลงให้มากที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่การบูรณาการให้ทั้งโลกกลายเป็นดินแดนอุดมคติสำหรับลัทธิเสรีนิยม ลัทธิเสรีนิยมจะหยุดที่จะส่งเสริมมุมมองที่สนับสนุนให้รัฐเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ เพื่อสร้างรูปแบบสังคมแบบเสรีนิยมขึ้นมาอีกทั้งต้องสอดประสานหลัการของตนเองเข้ากับอัตลักษณ์ของในแต่ละท้องถิ่นและท้องที่ . ท้ายสุดแล้ว สิ่งที่เราต้องยึดถือคือเราไม่มีวันจะทำให้เมกกะเป็นปารีส ทำให้ชาวไอริชเป็นอะบอริจิน ทำให้ชาวพุทธเป็นชาวมุสลิม หรือ ชาวคริสต์ทำให้ชาวกัมพูชาเป็นชาวไทย สิ่งที่ดีกว่าสำหรับเราก็คือการทำให้พวกเขาทั้งหมดเป็นสิ่งที่พวกเขาเป็น เราต้องยอมรับในทุกแห่งหนบนโลกและทุกสถานที่ ผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวควรมีสิทธิที่จะกำหนดตนเอง ผ่านการแยกตัวและกระจายอำนาจอย่างสุดโต่ง เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าอะไรจะดีต่อทุกมนุษย์ทุกคนซึ่งอย่างที่รู้กันเผ่าพันธ์มนุษย์นั้นเป็นกลุ่มจำนวนประชากรที่มีจำนวนมากกว่าหลายพันล้านคนบนโลก ด้วยเหตุนี้เองการคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่พวกเขาจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างที่สุด เช่นนั้นเองเราจึงเป็นนักเสรีนิยมเพราะเราเชื่อเราไม่ได้รู้ดีและอีกทั้งเรายังเชื่อว่าไม่มีใครจะสามารถรู้ดีแทนคนอื่นได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นการต่อสู้ของเราทั้งหมดจึงไม่ได้กินความหมายแค่การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่เรากำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่มีความหมายสูงที่สุดอย่างเลือดและดิน ครอบครัว ประเทศ ศาสนา เช่นเดียวกับทหารซึ่งถ้าหากเราลองถามพวกเขาว่ากำลังสู้เพื่ออะไรแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาจะตอบนั้นคือในความคิดของพวกเขาภายใต้ช่วงสงครามที่ดุเดือด พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อเพื่อนของพวกเขาจริง ๆ เพื่อปกป้องคนในหน่วยของพวกเขา และเพื่อเติมเต็มสำนึกในหน้าที่ส่วนตัว ดังนั้นแนวคิดเลือดและดิน ครอบครัว ประเทศ ศรัทธา และ เชื้อชาติ จึงเป็นพลังที่ลัทธิเสรีนิยมนั้นควรจะโอบรับมันเอาไว้ . บรรณานุกรม Deist, Jeff. For a New Libertarian. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2017). “Group Narcissism.” Group Narcissism, Erik Torenberg, 28 Oct. 2023, eriktorenberg.substack.com/p/group-narcissism?fbclid=IwAR1Nzg9NqQLjFYiTiFhRVvJBJo-O6AQXou80MXi4V5coapY7__esTvQWHjg. “Modern Morality Prioritizes Avoiding Evil.” Modern Morality Prioritizes Avoiding Evil, Erik Torenberg, 30 Sept. 2023, eriktorenberg.substack.com/p/modern-morality-prioritizes-avoiding?fbclid=IwAR0Y1OWuOVduQ9NbZqL2XAY7Wb4ItHCD7zh9fYRuEmlHNSs-PdMqMpqy8Z0. image
มูลค่าจิตวิสัยไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดได้ตามอำเภอใจ . เศรษฐศาสตร์กระแสหลักอธิบาย "กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม" (law of diminishing marginal utility) ว่าความพึงพอใจใด ๆ ก็ตามมาจากการบริโภคสินค้าและบริการอันเฉพาะเจาะจง และความพึงพอใจของการบริโภคจะลดลงต่อหน่วยจากปริมาณที่เราบริโภคมากขึ้น กฎดังกล่าวถูกนำไปอธิบายผ่านสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า "ฟังก์ชั่นอรรถประโยชน์" (utility function) แต่หากตั้งคำถามว่าในความเป็นจริง ความพึงพอใจมันเป็นสิ่งที่คงที่พอที่จะสามารถคำนวณได้อย่างชัดเจนตามสูตรคำนวณหรือไม่? คำตอบก็คือ "ไม่" ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจในลำดับถัดมาว่า "การประเมินคุณค่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" และ "การประเมินคุณค่าดังกล่าวเกิดขึ้นตามอำเภอใจหรือไม่?" . ตามความคิดของคาร์ล เมนเจอร์ (Carl Menger) ผู้ก่อตั้งสำนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนมองว่า "ปัจเจกบุคคลกำหนดมูลค่าของสินค้าตามความสำคัญที่สินค้าและบริการนั้น ๆ มีผลต่อการดำรงชีวิตของเขา" และความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดทำให้ปัจเจกบุคคลต้องหาว่าสิ่งใดสำคัญต่อการดำรงชีวิต มันเป็นผลให้ "มูลค่า หรือ คุณค่า" เป็นสิ่งที่มีลำดับความสำคัญ มีการแบ่งชั้นจากน้อยไปมาก ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น นาย A เป็นคนทำขนมปัง เขาผลิตขนมปัง 4 ก้อน ผ่านการใช้ทรัพยากรเพื่อบรรลุความต้องการอันไม่สิ้นสุดของเขา ตรงนี้นาย A มีสิ่งที่ต้องคิดในหัวว่า "สิ่งสำคัญมากที่สุด" ในตอนนี้คือ เขาจะต้องบริโภคขนมปังที่เขาผลิตเพื่อที่จะกระทั่งชีวิตของเขาเองไม่ให้อดตาย และขนมปังที่เหลือทั้งก้อนที่สอง สามและสี่ก็อาจนำไปแลกเปลี่ยนเพื่อ "สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี" เราจะสังเกตได้ว่าการแลกเปลี่ยนขนมปังก้อนที่สองและสามเป็นสิ่งที่นาย A แลกเปลี่ยนทรัพยากรของเขากับสินค้าอื่น ๆ เพื่อเติมเต็มความต้องการหลากหลายอย่างอันไม่มีสิ้นสุด ตรงนี้มันก่อให้เกิดความเหมาะสมของทรัพยากรที่นำไปแลกเปลี่ยนโดยคำนึงถึงมูลค่าของความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจง ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการเสื้อเพื่อสวมใส่ นาย A จะต้องตัดสินใจว่าจะใส่เสื้อลำลอง หรือ เสื้อทำงาน โดยนาย A จะต้องหาเสื้อหลายตัวและหลายแบบเพื่อหาตัวที่เหมาะสมกับความต้องการอันเฉพาะเจาะจงของเขา ในกรณีนี้ถ้านาย A ทำงานอยู่กับเตาอบขนมปังที่ร้อนมาก เขาก็จำเป็นต้องหาเสื้อที่บางเพื่อให้ถ่ายเทความร้อนได้ดีในระหว่างทำงาน . หมายความว่ามูลค่าจึงเป็นผลมาจากความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของปัจเจกบุคคลตามแต่ละสถานการณ์ พื้นที่และเวลา ยิ่งไปกว่านั้นความต้องการของมนุษย์เองก็ไม่ได้ถูกกำหนดตามอำเภอใจ แต่ถูกจำลำดับตามความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ถ้านาย A จำลำดับความสำคัญของชีวิตตามอำเภอใจแล้ว เขาก็จะต้องอยู่บนความเสี่ยงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ ยกตัวอย่างก็คือ ในอากาศหนาวเย็นเยือกที่ใครต่อใครก็ต้องการความอบอุ่น สำหรับสถานการณ์ของนาย A ถ้านาย A จัดสรรทรัพยากรส่วนใหญ่สัตว์เลี้ยงของเขาเช่น อาหารและที่พักอาศัยอันอบอุ่น และจัดสรรทรัพยากรส่วนน้อยให้กับตัวเองแทนเช่น อาจจะไม่มีที่พักที่อบอุ่นและอาหารที่ไม่เพียงพอ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสัตว์เลี้ยงก็จะมีชีวิตรอดต่อในอากาศหนาวเย็น ในขณะที่นาย A ก็เสี่ยงที่จะป่วย . ด้วยเหตุนี้เอง แนวคิดอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (marginal utility) ไม่ใช่สิ่งที่ตามเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเข้าใจว่า การเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วยสะท้อนอรรถประโยชน์มวลรวมในเชิงปริมาณ แต่สิ่งที่เรียกว่า 'อรรถประโยชน์' เป็นผลมาจากการจัดลำดับความสำคัญและลำดับชั้นของแต่ละบุคคลในการดำรงชีวิตของเขา ความต้องการเฉพาะเจาะจงกำหนดมูลค่าที่สะท้อนทรัพยากรเพื่อแลกเปลี่ยนมัน มูลค่าจิตวิสัยนั้นไม่ได้ถูกสร้างมาตามอำเภอใจ แต่ตามความเหมาะสมของดำรงชีพและความเป็นอยู่ที่ดีแต่ละคน ดังนั้น การประเมินมูลค่าที่แตกต่างของคนจึงจะต้องสะท้อนกับความเป็นจริงเสมอ ถ้าหากการประเมินมูลค่าเกิดขึ้นตามอำเภอใจแล้วละก็ มันก็จะนำความเสี่ยงมาสู่ตนเอง . บรรณานุกรม Karl E. Case and Ray C. Fair, Principles of Microeconomics, 7th ed. (Amsterdam, NL: Prentice Hall, 2003). Carl Menger, Principles of Economics, trans. James Dingwall and Bert F. Hoselitz (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2007), chap. 3. Shostak, Frank. Subjective Value Is Not the Same as Arbitrary Value. (Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2021). image
จบไปแล้วกับงานเสวนาของทางอิสรนิยมศึกษา เนื้อหาแบบละเอียดมากกว่าที่นำเสนอในงานจะตามมาทีหลังครับ ยุทธศาสตร์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาไล่เรียงตั้งแต่ Antonio Gramsci, Louis Althusser, Carl Schmitt, Karl Popper, Right-wing populism by Murray N. Rothbard 😃 image
" สังคมที่กำลังเลือกว่าจะนำเอาระบบทุนนิยมมาใช้หรือระบบสังคมนิยมมาใช้นั้น โดยแท้จริงแล้วพวกเขากำลังไม่ได้กำลังเลือกระบบทางสังคมสองรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่พวกเขากำลังระหว่างสังคมแห่งความรู้มือภายใต้ระบบทุนนิยม หรือ การล่มสลายทางสังคมภายใต้ลัทธิสังคมนิยม " - Ludwig von Mises . วันอาทิตย์ที่ 29 เรามาเสวนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงกัน . หลังจากห่างหายไปนานมาพบกิจกรรมออนไซต์อีกครั้งของกลุ่มอิสรนิยมศึกษา เพื่อหาสมาชิกและเผยแผ่ความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตลาดเสรีทุนนิยม แนวคิดเสรีนิยม และ ประชาธิปไตยแบบตัวแทน แก่ประชาชนและผู้ที่สนใจในแนวคิดอิสรนิยม โดยไม่เกี่ยงอาชีพ ชนชั้นวรรณะ หรือ การศึกษา ซึ่งหัวข้อกิจกรรมที่เราจะพูดคุยแลกเปลี่ยนนั้นคือหัวข้อเรื่อง เราจะทำอย่างไร ( What Is to Be Done ) เพื่อค้นหาแนวทางและยุทธศาสตร์ในการต่อสู้รวมทั้งติดอาวุธทางความคิดให้แก่ชาวเสรีนิยมและชาวอิสรนิยมในสังคมไทย รวมทั้งพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับแขกรับเชิญสุดพิเศษของเรา ได้แก่ คุณคริส โปตระนันทน์ และ แอดมิน HoppeanismBoy . โดยสำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมของเราได้ใน วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 16.00 - 19.00 สถานที่จัดกิจกรรม คริส โปตระนันทน์, 74, 6 Rama VI Rd, แขวงพญาไท Phaya Thai, Bangkok 10400 . Link ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Google Form . หรือ แสกน QR Code ตามรูปภาพได้เลยครับ #Siamstr image
เศรษฐกิจญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 . เศรษฐกิจญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ทางผู้เขียนมองว่าน่าสนใจแต่แวดวงผู้ที่สนใจญี่ปุ่นกลับมักจะมองข้าม อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงที่ได้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นตั้งแต่การปฏิรูปเมจิจนถึงปีโชวะที่ 20 (昭和20年) ถูกทำให้ “ทันสมัย” ในด้านของการเปิดตลาดให้เสรีในแบบคู่ขนานและเปลี่ยนผ่านจากยุคการเกษตรแบบยังชีพกับสังคมเกษตรกรรมมาเป็นระบบทุนนิยมอย่างสมบูรณ์ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาจัดรวมนโยบายด้านสังคมและเศรษฐกิจของสมัยจักรวรรดิญี่ปุ่นให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับแนวคิดเรื่อง “เผด็จการ” และมองว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำอธิบายเชิงวิชาการใด ๆ พวกเขาจึงมองข้ามการพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในยุคดังกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นทางผู้เขียนยืนหยัดที่จะเสนอว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นก่อนสงครามและช่วงสงคราม (ค.ศ. 1868 - 1945) มีความหลากหลายและแตกต่างในตัวของมันเองและเป็นพื้นฐานให้กับการเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นโดยเฉพาะในยุคหลังสงคราม บทความนี้จึงเป็นการสร้างภาพมโนทัศน์ที่แตกต่างจากแนวคิดสายกระแสหลักที่มองว่าญี่ปุ่นเอาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์จากโลกตะวันตกไปใช้ประโยชน์อย่างเดียว ในญี่ปุ่นช่วงนั้นเองก็ได้มีนักปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่ยุคเอโดะ (江戸時代) ที่พัฒนาแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นและผสมผสานเข้ากับแนวคิดของทางโลกตะวันตก แนวคิดของพวกเขาก็มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมในยุคก่อนสงครามและยุคหลังสงคราม = การพัฒนาทางเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลเมจิ = นับตั้งแต่การปฏิรูปเมจิได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1868 การพัฒนาการทางด้านแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์, การเมือง, วัฒนธรรม และความเป็นชาติในประเทศญี่ปุ่นก็ได้เกิดขึ้นอย่างล้นหลาม หนึ่งปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์เหล่านี้และการขึ้นมาของอิทธิพลแวดวงนักวิชาการญี่ปุ่นเป็นผลพวงมาจากการที่ประเทศได้รับแรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา ที่แผ่ขยายอำนาจเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แนวคิดเพื่อ “ปฎิรูปเศรษฐกิจ” ให้ทันสมัยเพื่อให้ทัดเทียมและเป็นแรงต้านอิทธิพลจากชาติตะวันตกจึงเป็นผลทำให้มีการนำเข้าแนวคิดปรัชญาทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจากโลกตะวันตกและผสมผสานเข้ากับแนวคิดเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีรูปแบบเพียงพอด้วยการยืนด้วยขาตัวเองและการสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นที่ส่งทอดมาจากยุคสมัยเอโดะ (江戸時代) แว่นแคว้น (藩) ต่าง ๆ ในช่วงปลายการปกครองของโชกุนต่างก็เข้าหาเทคโนโลยีและแนวคิดจากตะวันตกเพื่อนำมาผสมเข้ากับพฤติกรรมด้านเศรษฐกิจดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็จำกัดพื้นที่ของชาวต่างชาติที่นำเข้าแนวคิดและที่เข้ามาประกอบธุรกิจเพื่อไม่ให้รุกล้ำอธิปไตยของแต่ละแคว้นมากเกินไป ผลที่ตามมาคือการผูกขาดสินค้าและบริการบางอย่างแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่อิงตามแว่นแคว้น (Flath 2022) ... หนึ่งในตัวอย่างของผู้ที่สนับสนุนให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจและสถาบันสังคมอื่นโดยรวมก็คือ ฟูกูซาวะ ยูกิจิ (福澤 諭吉) จากแคว้นนาคัตสึ (中津藩) เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบรัฐสภา, ระบบพรรคการเมือง และ การขยายดินแดนของจักรวรรดิ เพื่อ “รักษาอธิปไตยญี่ปุ่นจากชาติตะวันตกในระยะยาว” ราวกับเป็นการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างมาตรการป้องกันโรค แต่ถึงอย่างไรก็ตาม “การปฏิรูป” ดังกล่าวนั้นไม่ใช่การเปลี่ยนประเทศให้แตกต่างอย่างสมบูรณ์แต่อย่างใด แต่เป็นการสานต่อ (continuity) ตลาดเสรีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่มีจุดเริ่มมาจากการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยของเอโดะช่วงแรกหรือที่เรียกว่านโยบาย “ราคุอิจิ/ราคุซ่า” (楽市・楽座) ที่เป็นการทดลองตลาดเสรีในขนาดย่อมในแคว้นต่าง ๆ โดยรัฐบาลโชกุน (Takeda 2004) . การอุตสาหกรรม (industrialization) ก่อตัวขึ้นมาจากการพยายามปรับตัวของผู้เล่นในประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นเอกชนในขณะที่รัฐบาลเป็นผู้เล่นในเกมการเมืองและกฎหมายเพื่อกระตุ้นการกระโดดของอุตสาหกรรมเสียส่วนใหญ่ ลักษณะของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจในช่วงนี้มีดังนี้ (a) นำเข้ารูปแบบสถาบันทางสังคมจากชาติตะวันตกเข้ามาผสมผสานแล้วสร้างของ “ญี่ปุ่น” ขึ้นมาเอง เช่น ระบบการศึกษาและระบบการจัดการธุรกิจ; (b) สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟ, ถนนหนทาง และ วางระบบไฟฟ้า; (c) งานด้านเทคนิคที่เป็นปฏิกิริยาก่อตัวขึ้นมาของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจกลายเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจประเทศ ส่งผลทำให้การผลิตสินค้าและบริการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสนองความต้องการของตลาด; (d) การขึ้นมาของกลุ่มบริษัท “ไซบัตสึ” (財閥) ที่มีรากฐานมาจากตระกูลซามูไรที่มีอิทธิพลในสมัยเอโดะเป็นผลทำให้ระบบการจัดการและการบริหารเศรษฐกิจในภาคเอกชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการผลิต จะเห็นได้ว่าถึงแม้จะมีนำเข้าแนวคิดจากชาติตะวันตกเข้ามาเพื่อ “ปฏิรูป” และ “ทำให้ทันสมัย” แต่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากระบบโชกุนมาเป็นระบบรัฐ-สมัยใหม่การพยายามรักษาคงความเป็นชาติญี่ปุ่นก็ยังคงชัดเจน (Ohno 2017) เพราะญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นและความเป็นชาตินิยมที่สูงการเปิดตลาดให้เสรีในช่วงของจักรวรรดินั้นจึงเป็นไปในรูปแบบของนโยบายคู่ขนาน กล่าวคือในขณะที่การส่งเสริมให้มีการค้าขายเสรีภายในประเทศการค้าขายระหว่างประเทศถือว่ามีการจำกัดอย่างมากเพื่อสนับสนุนความเป็นชาติคล้ายกับรูปแบบเศรษฐกิจ “พาณิชย์นิยม” (“mercantilism”) ของสหราชอาณาจักรที่สนับสนุนการส่งออกให้มากที่สุดในขณะที่การนำเข้าจากต่างประเทศมีการกีดกั้นถึงขีดสุด นโยบายเช่นนี้จะเป็นแบบอย่างให้กับนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของญี่ปุ่นจนกระทั่งวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงยุค 90s มรกดกตกทอดจากรูปแบบเศรษฐกิจของศักดินาญี่ปุ่นมาสู่ยุคจักรวรรดิถือว่ามีความสำคัญมากต่อการเข้าใจเศรษฐกิจญี่ปุ่น แม้แต่ในปัจจุบันเราก็เห็นได้ว่าพนักงานรายเดือน (サラリーマン) มักจะถูกจ้างโดยบริษัทญี่ปุ่นใหญ่ ๆ พร้อมกันเมื่อเรียนจบ (新卒一括採用) หรือแม้แต่ระบบการจ้างตลอดชีพ (終身雇用) ที่เป็นมรดกของระบบศักดินาบริวาร-ซามูไร (Fukao 2017) (ในแวดวงวิชาการญี่ปุ่น “ศักดินาในญี่ปุ่น” ค่อนข้างต่างจาก “ศักดินายุโรป” ที่เราเข้าใจกัน, นักวิชาการบางท่านปฏิเสธว่าศักดินาเกิดขึ้นในญี่ปุ่น ทางผู้เขียนใช้คำว่า “ศักดินา” เพื่อสื่อถึงระบบการปกครองและเศรษฐกิจโดยรวมของยุคเอโดะเพื่อความสะดวก) = ด้านการเงินและธนาคาร = นอกเหนือจากการนำแนวคิดตลาดเสรีทุนนิยมมาปรับใช้ในรูปแบบนโยบายคู่ขนานแล้วแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์จากประเทศยุโรปที่กำลังโตและพัฒนาเพื่อเทียบเท่ากับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสอย่างจักรวรรดิเยอรมันที่รวมชาติได้เพียงไม่กี่ปีก็เป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรทางด้านแนวคิดด้านการเงินและธนาคารที่สำคัญต่อประเทศญี่ปุ่น (Pauer 2014) ในช่วงแรกหลังจากรัฐบาลโชกุนได้ถูกล้มลงแล้วนั้นรัฐบาลเมจิก็ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินและธนาคารเหมือนกับประเทศมหาอำนาจในตะวันตก ยกตัวอย่างเช่น มีการนำแนวคิดการเงินของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นมาปรับใช้ กล่าวก็คือไม่มีการสร้างธนาคารแห่งชาติแต่เป็นการสร้างธนาคาร “เอกชน” ที่สนับสนุนโดยรัฐให้ออกธนบัตรในแต่ละท้องถิ่นอิงตามอดีตพื้นที่ของแว่นแคว้นผ่าน “พระราชบัญญัติธนาคารแห่งชาติ ค.ศ. 1872” (国立銀行条例) ในขณะที่ใช้ทองคำเป็นมาตราฐานในการรองรับการพิมพ์ธนบัตรเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบ แต่หลังจากนั้นได้ไม่นาน “กบฏซัตสึมะ” หรือ “สงครามเซนัน” (西南戦争) ก็ได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1877 สภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อรัฐบาลเมจิที่มีทองคำสำรองไม่พอในการรองรับนโยบายพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อทำสงครามกับแคว้นซัตสึมะ ในขณะเดียวกันนั้นรัฐวิสาหกิจที่ถูกสร้างขึ้นมาจากนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐบาลก็ไม่ได้สร้างกำไร มิหนำซ้ำยังสร้างภาระให้กับรัฐบาลและผู้จ่ายภาษีที่ตอนนี้จ่ายให้กับรัฐบาลแห่งชาติไม่ใช่รัฐบาลท้องถิ่นของแว่นแคว้นอีกต่อไป ด้วยภาระทางการเงินที่สูง, สภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ ประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการที่ลดลงจากการแทรกแซงโดยรัฐและสงครามเป็นผลทำให้ มัตสึกาตะ มาซาโยชิ (松方 正義) ผู้สนับสนุนแนวคิดการควบคุมปริมาณเงินและการจำกัดงบประมาณรัฐ ขึ้นมามีตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง (大蔵大臣) เขามีแนวคิดคล้ายกับ อาราอิ ชิราอิชิ (新井 白石) นักปรัชญาขงจื๊อผู้ที่ทำนโยบายการเงินมั่นคงให้กับรัฐบาลโชกุนในศตวรรษที่ 17 ในช่วงที่วิกฤตเงินเฟ้อได้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลเมจิ มาซาโยชิ กล่าวเอาไว้ว่า: . “จะเห็นได้ชัดเจนว่าความซบเซาในการผลิตเกิดจากขาดการลงทุนซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนในนโยบายสกุลเงินของเรา [...] การลดค่าเงิน [เยน] เกิดจากความไม่เพียงพอของ [มาตรฐานทองคำสำรอง] ซึ่งก็เป็นผลกระทบจากการผลิตที่ตกต่ำ” . นอกเหนือจากนั้น มาซาโยชิ ยังมองว่านโยบายการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมและการค้าขายกับต่างประเทศจำเป็นที่จะต้องดำเนินต่อไปเพื่อรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจและลดการขาดดุลทางการค้าที่เป็นปัญหามานานตั้งแต่สมัยเอโดะตอนปลาย มากไปกว่านั้นเขายังปฏิเสธแนวคิดของรัฐบุรุษ โอกูมะ ชิเงโนบุ (大隈 重信) ว่าด้วยเรื่องการกู้ยืมเงิน “50 ล้านเยน” จากสหราชอาณาจักร มาซาโยชิ มองว่าการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศและการกู้ยืมเงินโดยรวมกับการขยายปริมาณเงินในระบบโดยรวมจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ภายใต้นโยบายทางการเงินของ มาซาโยชิ เป็นผลทำให้เกิดสภาวะเงินฝืดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่วิกฤตการณ์เงินเฟ้อที่เกิดก่อนหน้านั้นในช่วงทศวรรษที่ 1870s ก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว นโยบายการจำกัดงบประมาณรัฐก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเมจิยุคแรกค่อย ๆ ที่จะหายไป ในขณะที่ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (日本銀行) ถูกก่อตั้งขึ้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1882 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินโดยรวมของประเทศผ่านการใช้ระบบ “เงินกระดาษ” (“fiat money”) ที่อิงกับระบบแลกเปลี่ยนของแว่นแคว้นในอดีต แต่ถึงอย่างไรก็ตามความเป็นอิสระของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นนั้นเป็นรากฐานทางการเงินที่สร้างทั้งวิกฤตและความเจริญในยุคให้หลัง ในปี ค.ศ. 1897 ธนาคารแห่งชาติประกาศกลับมาใช้มาตรฐานทองคำอีกครั้งเพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงิน (Ohno 2017) ในยุคนี้เองบริษัทเอกชนต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาเป็นมากมายเป็นปฏิกิริยาต่อการเป็นระบบระเบียบของเศรษฐกิจและแรงจูงใจที่เกิดจากการโอกาสมากมายในตลาด (Ramseyer 1996) ... หลังจากที่ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของญี่ปุ่นได้แตกและทำให้เกิดหนี้มากขึ้นในสถาบันการเงินและบริษัทต่าง ๆ ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นนอกเหนือจากที่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดกลับเข้าไปอุ้มด้วยการให้สถาบันการเงินและบริษัทเหล่านั้นกู้อย่างรวดเร็วแทนที่จะแก้ปัญหาที่โครงสร้างทางการเงิน นอกเหนือจากนั้นในปี ค.ศ. 1923 เมื่อแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโตเกิดขึ้นธนาคารแห่งชาติก็ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์มากขึ้นไปอีกมากกว่าเดิม นอกเหนือจากนั้นธนาคารแห่งชาติยังไม่สามารถที่จะจ่ายอัตราผลตอบแทนต่อธนบัตรที่จ่ายออกช่วงแผ่นดินไหวไปถึง 431 ล้านเยน เพิ่มกับหนี้ของเอกชนที่ล้นเกินประเทศหลายล้านเยน ในท้ายที่สุดทุกก็ล้มเหลวเมื่อวิกฤตการณ์การเงินโชวะในปี ค.ศ. 1927 และ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของทั้งโลกเกิดขึ้น จนทุกอย่างถูกกลบด้วยเศรษฐกิจแบบสงคราม... (Miwa 2015) = ตลาดเสรีทุนนิยม = หลายคนอาจจะวาดภาพมโนทัศน์ที่ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงก่อนสงครามและช่วงสงคราม (หรือแม้แต่หลังสงครามเอง) เป็นเหมือนรูปปั้นที่แข็งทื่อไม่สามารถขยับได้หรือไม่มีความเสรีและความยืดหยุ่นเลย แต่ในความเป็นจริงนั้นสภาวะความเป็นเอกชนและสิทธิในทรัพย์สินถือว่ามั่นคงพอสมควรยกเว้นเพียงแค่ช่วงที่ญี่ปุ่นทำสงครามเต็มรูปแบบ (total war) ช่วงสู้ต่อต้านฝ่ายสัมพันธมิตรเท่านั้นที่เศรษฐกิจจะถูกคุมโดยรัฐอย่างกึ่ง ๆ การส่งออกถือว่าเป็นความสำคัญของฐานเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงยุคนี้ สินค้าที่ส่งออกที่สำคัญจากมากที่สุดตามลำดับมีดังนี้: เส้นไหมดิบ, ใบชา, ธัญพืช, อาหารทะเล, แร่ธาตุ และ ถ่านหิน ผ้าไหมค่อนข้างที่จะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางมากในหมู่สังคมชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้ที่สนับสนุนตลาดเสรีทุนนิยมและเป็นผู้ที่สนับสนุนสิทธิในทรัพย์สินอย่างมั่นคงก็คือ อุกิจิ ทากุจิ (田口 卯吉) ผู้มากประสบการในกระทรวงการคลังและตั้งกิจการสื่อเอกชนที่ทำตามโมเดลหนังสือพิมพ์ “The Economist” ของสหราชอาณาจักร เขามีตำแหน่งผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎร (衆議院) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894 จนถึง 1905 ตามแนวคิดที่ต้องการให้ชาติญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นแนวหน้าของโลกเท่าเทียมกับชาติมหาอำนาจตะวันตก เขาได้กล่าวว่า: . “ในประเด็นเรื่องการค้าเสรี ... นโยบายการค้าเสรีควรนำมาใช้เพราะว่าเช่นนั้นจะเป็นผลทำให้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ” . ทากุจิ มีความเป็นชาตินิยมสูงแต่ในขณะเดียวกันเขาก็มองว่าการค้าเสรี/ตลาดเสรีทุนนิยมคือทางออกสำหรับประเทศญี่ปุ่นและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระยะยาว ในมุมมองของเขาความเป็นชาตินิยมและยึดถือต่อประเพณีกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นไม่จำเป็นที่จะต้องมีการแทรกแซงเศรษฐกิจโดยรัฐบาล นอกเหนือจากนั้นเขายังมีแนวคิดที่เอียนเอียงไปทางสำนักแนวคิดสายเสรี เช่น สำนักสเปนซาลามังกา (Escuela de Salamanca, School of Salamanca) และ สำนักออสเตรียน (Austrian School of Economics) ที่มีฐานคิดในด้าน “ส่วนเพิ่มนิยม” (“marginalism”) (Flath 2022) มากไปกว่านั้น ทากุจิ ก็ได้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากมายเพื่อบูรณาการความนึกคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นของชาวญี่ปุ่นเอง โดยเฉพาะในหนังสือ “ประวัติแบบสั้นของอารยธรรมญี่ปุ่น” (日本開化小史) ที่มองว่าขุนนางยุคสมัยนาระ (奈良時代) และ สมัยเฮอัง (平安時代) ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องตกยากลำบากผ่านการจ่ายภาษีที่มากเพื่อไปทำรัฐสวัสดิการตามโมเดลของจักรวรรดิจีนในสมัยนั้น ในขณะที่หนังสือยังกล่าวต่อไปอีกว่าในสมัยของโชกุนคามาคุระ (鎌倉時代) การทำรัฐสวัสดิการมีน้อย, รัฐบาลเป็นชนชั้นนักรบ และ มีการบริหารจัดการงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ แนวคิดของ ทากุจิ ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการค้าเสรีกับต่างประเทศแต่ก็ผสมผสานกับแนวคิดปกป้องเศรษฐกิจของชาติโดยรัฐบุรุษ อินุไค ซึโยชิ (犬養 毅) ซึ่งนโยบายผสมผสานแบบนี้บวกกับนโยบายคู่ขนานที่กล่าวไปข้างต้นจะกลายเป็นลักษณะโดยรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจนกระทั่งสงครามกับจีนในปี ค.ศ. 1937 และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายปี ค.ศ. 1941 (Flath 2022) = เข้าสู่เศรษฐกิจแบบสงคราม = รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยของจักรวรรดินั้นค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับระบบข้าราชการสูงเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในพื้นฐานที่ส่งต่อมาถึงปัจจุบัน หนึ่งในนโยบายที่สำคัญต่อการสร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เป็นรองให้กับมหาอำนาจชาติตะวันตกได้นั้นก็คือการลงทุนกับพื้นที่อาณานิคม ถึงแม้จะเป็นงานหนักที่ใช้งบประมาณมากจนกระทั่งทองคำสำรองหมดไปเท่าตัวและหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product, GDP) ตั้งแต่ ค.ศ. 1937 เมื่อญี่ปุ่นทำสงครามกับจีนอย่างเต็มรูปแบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็เริ่มที่จะถูกควบคุม (Boldorf 2015) รัฐบาลสนับสนุนที่จะรวมกลุ่มบริษัทไซบัตสึให้เป็นกลุ่มผู้ผูกขาดเพื่อครอบงำตลาด (cartelization) ให้มีเป้าหมายอย่างเดียวคือการทำเพื่อชาติและระดมทรัพยากรทุกอย่างเพื่อสงคราม ธนาคารและสถาบันเงินในรูปแบบอื่นล่มละลายไปกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่กล่าวไปข้างต้นก็หน้านั้นในช่วงสงครามการเงินและการธนาคารจึงถูกคุมโดยสถาบันทางการเงินใหญ่ ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มไซบัตสึ ในขณะเดียวกันนั้นกลุ่มไซบัตสึก็เข้าใจดีกว่าตลาดเสรีทุนนิยมจะต้องคงอยู่เพื่อความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจแห่งชาติ กลุ่มไซบัตสึส่วนใหญ่จึงต่อต้านและปฏิเสธการรวมอำนาจทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คุมโดยทหาร แต่ในท้ายที่สุดเศรษฐกิจก็ถูกคุมอย่างสมบูรณ์และกลุ่มไซบัตสึก็ถูกนำโดยคำชี้นำจากรัฐบาล ในบทความครั้งหน้าเกี่ยวกับญี่ปุ่นทางผู้เขียนจะเจาะลึกเกี่ยวกับ “กลุ่มบริษัทไซบัตสึ” . บรรณานุกรม Boldorf, Marcel and Tetsuji Okazaki. Economies Under Occupation: The Hegemony of Nazi Germany and Imperial Japan in World War II. United Kingdom: Routledge. March 27, 2015. Flath, David. The Japanese Economy. United Kingdom: Oxford University Press. October 3, 2022. Fukao, Kyoji, et al. [岩波講座 日本経済の歴史] (“Iwanami Handbook of the Japanese Economic History”). Tokyo, Japan: Iwanami Shoten. July 12, 2017. Miwa, Yoshiro. Japan’s Economic Planning and Mobilization in Wartime, 1930s—1940s. United Kingdom: Cambridge University Press. January 22, 2015. Ohno, Kenichi. The History of Japanese Economic Development. United Kingdom: Routledge. September 6, 2017. Pauer, Erich, et al. Japan’s War Economy. United Kingdom: Routledge. December 2, 2014. Ramseyer, J. Mark. Odd Markets in Japanese History: Law and Economic Growth. United Kingdom: Cambridge University Press. September 28, 1996. Takeda, Haruhito. [日本経済思想史] (“History of Japanese Economic Thought”). Tokyo, Japan: University of Tokyo. 2004. . image
เหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทล่มในปี ค.ศ.1929 เกิดขึ้นได้อย่างไร? . วิกฤตตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทล่มนับเป็นวิกฤตที่หนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเงิน ผลกระทบของมันได้สร้างสภาวะซบเซาไปหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนอย่างลุควิค วอน มิซิส (Ludwig von Mises) กับฟรีดริช ฮาเยก (Friedrich Hayek) คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดวิกฤตนี้ก่อนอยู่แล้ว โดยเฉพาะฮาเยกที่เตือนเอาไว้ว่าการมาของวิกฤตทางการเงินเป็นผลพวงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการขยายตัวทางการเงินอย่างบ้าบิ่น (monetary expansion) ในขณะที่มิซิสตีพิมพ์หนังสือ The Theory of Money and Credit (1912) เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาทฤษฏีวัฎจักรเศรษฐกิจแบบออสเตรียน ซึ่งในเวลาต่อมาฮาเยกก็นำแนวคิดนี้ไปอธิบายต่ออย่างเป็นรูปธรรม . หนึ่งในทฤษฏีที่อธิบายปรากฏการณ์การล่มของตลาดหลักทรัพย์ในปี ค.ศ.1929 ได้นั้นคือ "ทฤษฏีวัฏจักรเศรษฐกิจ" ที่แบ่งเป็น 2 ช่วงก็คือ ช่วงเจริญเติบโต (boom) และช่วงซบเซา (bust) สำหรับเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาก็มีวัฎจักรทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลายครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1819-1820 จนถึงปัจจุบันที่มีแนวโน้มที่ถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากรัฐบาลมีความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตแบเทียมผ่านนโยบายเงินง่าย (easy money) และการขยายสินเชื่อ (credit) ได้อย่างราบลื่น กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือทั่วโลกในแง่วิกฤตทางการเงินล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของสถาบันทางการเงินภาครัฐเอง ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐที่ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ.1913 เป็นการทำให้มาตรฐานทองคำที่จำกัดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจอ่อนแอลง ทั้งนี้การดำรงอยู่ของธนาคารกลางสหรัฐมันเป็นผลสืบเนื่องไปถึงวิกฤตทางการเงิน ค.ศ.1929 จนถึงปัจจุบัน . ทั้งนี้สาเหตุของการเกิดวิกฤตในปี ค.ศ.1929 เป็นผลตามติดมากับการขยายสินเชื่อของธนาคารกลางในปี ค.ศ.1924 เนื่องจากในหลายธุรกิจช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำเป็นอย่างมาก ธนาคารกลางเลยแก้ไขปัญหาโดยการสร้างสินเชื่อขึ้นมาใหม่เป็นจำนวน 500 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อจะให้กู้จริงธนาคารกลับขยายสินเชื่อมากกว่านั้นถึง 4 พันล้านดอลลาร์ภายในแค่ปีเดียว ช่วงแรกเราจะเห็นผลกระทบจากการขยายสินเชื่อที่เห็นได้ชัดก็คือเศรษฐกิจเริ่มเติบโต-เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก แต่ก็แค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะมันคือต้นตอของวิกฤตตลาดหลักทรัพย์ล่มในปี ค.ศ.1929 และตามติดมาด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (great depression) จนเบนจามิน แอนเดอร์สัน (Benjamin Anderson) นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนในเวลานั้นเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "จุดเริ่มต้นของนิวดีล" (the beginning of the New Deal) . การขยายเครดิตของธนาคารกลางสหรัฐมีแบบมาจากธนาคารกลางของอังกฤษ เพื่อต้องการที่จะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนก่อนสงครามเป็นผลให้เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและเงินปอนด์อังกฤษที่อ่อนค่าจะต้องหาทางปรับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดภาวะสงครามผ่านนโยบายเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาและภาวะเงินฝืดในบริเตนใหญ่ ธนาคารกลางสหรัฐหลังจากนั้นเลยพยายามก่อเงินเฟ้อขึ้นในปี ค.ศ.1927 ผลก็คือ เงินฝากประจำในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 44.51 พันล้านดอลลาร์ในมิถุนายน ค.ศ.1924 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 55.17 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1929 วอลุ่มของการจำนองฟาร์มและในเมืองขยายตัวจาก 16.8 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1921 ไปเป็น 27.1 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1929 สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ในภาคอุตสาหกรรม ภาคการเงิน และภาครัฐบาลท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้การขยายของเงินและสินเชื่อจึงมาพร้อมกับการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงขึ้นเช่นกัน ราคาของหลักทรัพย์อุตสาหกรรมตามรายงานของ Standard & Poor's common stock index เพิ่มขึ้นจาก 59.4% ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1922 ไปเป็น 195.2% ในเดือนกันยายนปี ค.ศ.1929 กระทั่งราคาของหุ้นรางรถไฟก็พุ่งขึ้นจาก 189.2% ไปเป็น 446.0% ในขณะที่สาธารณูโภคก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นจาก 82.0% ไปเป็น 375.1% เลยทีเดียว . การขยายปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจจะนำไปสู่การเกิดเงินเฟ้อและการลงทุนที่ผิดพลาด กระบวนการการเกิดเงินเฟ้อและการลงทุนที่ผิดพลาดเริ่มต้นจากความเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงแบบเทียม (artificial) ทำให้กลุ่มธุรกิจเกิดการตัดสินใจที่จะลงทุนในกิจการของตนเอง (ทางใดทางหนึ่ง) ตามความเชื่อที่ว่าถ้าหากอัตราดอกเบี้ยลดลงบ่งบอกถึงอุปทานที่เพิ่มขึ้นของการออมทุน (capital saving) กลุ่มธุรกิจเลยต้องเริ่มดำเนินการโครงการการผลิตใหม่ (การลงทุนในสิ่งต่าง ๆ) มันเลยเป็นเหตุผลว่าการสร้างเงินทำให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ แต่มันจะเกิดพร้อมกับอัตราเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาของสินค้าทุนที่ธุรกิจต้องการลงทุนขยายโครงการการผลิตของตนเองมีราคาที่สูงขึ้น ปัญหาเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นจนธุรกิจไม่สามารถทำกำไรได้ จนทำให้ธุรกิจก็จะต้องลดกิจการตัวเองลง (ทั้งการขยายการผลิต โครงการต่าง ๆ อาจจะต้องยกเลิกหรือเลิกทำ) หลังจากความพยายามในการคงสเถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนแรกในปี ค.ศ.1928 ธนาคารกลางสหรัฐก็ละทิ้งนโยบายเงินง่ายเมื่อต้นปี ค.ศ.1929 โดยขายหลักทรัพย์ของรัฐบาล เหตุผลนี้เองจึงเกิดการหยุดการขยายสินเชื่อของธนาคาร โดยได้เพิ่มอัตราคิดลดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1929 อัตราเงินตามเวลา (Time-money rates) เพิ่มขึ้นเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ อัตราตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (commercial paper rates) เป็น 6 เปอร์เซ็นต์ และราคาเมื่อเรียกคืน (call price) ต่อการตื่นตัวของนักลงทุนอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์และ 20 เปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มปรับตัวใหม่ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1929 กิจกรรมทางธุรกิจเริ่มถดถอย แต่แล้วราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม . มากไปกว่านั้นภายในตลาดการเงินพบว่าราคาของหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ.1929 ภายใต้แรงกดดันจากการขายหลักทรัพย์ แม้ว่าในช่วงเวลา 5 สัปดาห์แรกที่มีนักลงทุนซื้อหุ้นในช่วงขาลงมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) ในเดือนกันยายน แต่แล้วผู้ถือหุ้นจำนวนมากก็พบถึงความผิดปกติ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่งในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1929 ผู้คนหลายพันคนแห่ขายทรัพย์สินของตนเองไม่ว่าจะอยู่ในราคาใดก็ตาม จนยอดขายล้นหลามจากทั้งสาธารณชนทั่วไป . ในเวลาต่อมาตลาดหุ้นก็ส่งสัญญาณที่จะเริ่มฟื้นตัวเองเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มธุรกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ต้นทุนคงที่อยู่ในระดับต่ำเนื่องจากธุรกิจคืนเงินให้กับการออกหุ้นกู้จำนวนมาก และลดหนี้ให้กับธนาคารด้วยรายได้จากการขายหุ้น ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นธุรกิจก็พอเริ่มตั้งตัวได้เล็กน้อย จะเห็นได้ว่าในปี ค.ศ.1930 อัตราการว่างงานเฉลี่ยมีอยู่จำนวน 4 ล้านคนหรือ 7.8% ของประชากรที่ทำงาน ซึ่งการล่มของตลาดหลักทรัพย์เป็นผลสืบเนื่องให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สภาวะซบเซา (recession) . การขึ้นมาของประธานาธิปดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ (Herbert Hoover) ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาของเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนตัวเขาเองไม่เห็นด้วยกับการให้เศรษฐกิจฟื้นฟูตัวเองเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา แต่เขาเลือกใช้การแทรกแซงของรัฐบาลผ่านการใช้จ่ายที่ขาดดุลเพื่อคงกำลังการซื้อของคนในประเทศเอาไว้เป็นทางแก้ไขปัญหาที่ดีกว่า ฮูเวอร์ยังได้รับรอง Smoot-Hawley Tariff Act ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1930 เป็นการยกระดับอัตราภาษีกุศลากรให้สูงขึ้นเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ เป็นผลให้หุ้นของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ร่วงลง 20 จุดในวันเดียว (ซึ่งตลาดหุ้นคาดการณ์วิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้อง) ขณะเดียวกันการส่งออกของชาวอเมริกันก็ตกลงจาก 5.5 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1929 ไปเป็น 1.7 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1932 เกษตรกรส่วนใหญ่ซึ่งมักจะส่งออกสินค้าของตัวเองไปยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นข้าวที่ส่งออกเกิน 20% ฝ้ายเกิน 55% ยาสูบเกิน 40% และสินค้าอื่น ๆ เมื่อการค้าระหว่างประเทศถูกขัดขวางจากอำนาจรัฐ ก็ทำให้ภาคการเกษตรกรรมของสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นตกต่ำ อีกทั้งการมีอยู่ของกฎระเบียบทางการค้า เช่น การเก็บภาษีนำเข้า ระบบโควต้า การควบคุมสกุลเงินตราระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทั่วโลกเกิดวิกฤตเศรษฐกิจด้วย . เมื่อภาคเกษตรกรรมทางเศรษฐกิจล้มละลาย ธนาคารหลายแห่งก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ แม้แต่การถอนเงินฝากจากธนาคารที่เกษตรกรฝากเงินกับธนาคารกว่า 2000 แห่งและมีเงินฝากไหลเวียนอยู่เกิน 1.5 พันล้านดอลลาร์นั้นไม่สามารถให้ถอนออกมาได้ระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ.1931 และเรื่อยมาจนถึงกุมภาพันธ์ ค.ศ.1932 ธนาคารเหล่านั้นที่ยังคงเปิดอยู่ แต่ถูกบังคับให้ลดการดำเนินงานหลายอย่างลง เช่น ธนาคารเลิกให้สินเชื่อหลักทรัพย์กับลูกค้า แต่ไปทำสัญญาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์แทน กดดันให้ผู้กู้ชำระเงินกู้เก่าและปฏิเสธที่จะให้กู้ยืมเงินใหม่ ซึ่งได้สร้างความตื่นตระหนกไม่ใช่แค่ต่อภาคเกษตรกรรมของอเมริกา แต่ยังสร้างความตื่นตระหนกต่อลูกค้าหลายล้านคนที่ไม่ใช่เกษตรกร . อย่างไรก็ตามรัฐบาลฮูเวอร์ปฏิเสธว่านโยบายการแทรกแซงเศรษฐกิจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เขากล่าวโทษว่าปัญหาที่แท้จริงเกิดจาก "นักธุรกิจ" และ "คนที่ต้องการเก็งกำไร" ต่างหาก ฮูเวอร์จำเป็นต้องแก้ทางโดยการเรียกผู้นำทางอุตสาหกรรมระดับชาติเข้ามาฟังนโยบายที่เขาเสนอก็คือ การคงอัตราค่าแรงและการขยายการสร้างงานในเศรษฐกิจ แต่นโยบายเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร เพราะในปี ค.ศ.1932 อัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 12.4 ล้านคน ในเวลาเดียวกันก็มีการออก Revenue Act of 1932 เป็นการขึ้นอัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดามากขึ้นจากปกติอยู่ที่ 1 (1/2) ถึง 5% ไปเป็น 4% ถึง 8% อัตราภาษีส่วนเพิ่ม (surtax rate) จาก 20% ไปสู่ 55% ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 12% ไปเป็น 13% (3/4) และ 14% (1/2) เช่นเดียวกับอัตราภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ โทรศัพท์ต่าง ๆ ก็ล้วนเพิ่มขึ้นตาม . ผลกระทบของยุคฮูเวอร์ยิ่งซ้ำร้ายไปมากขึ้นในยุคของแฟรงคลิน เดลาโน โรสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt) ที่ได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น National Industrial Recovery Act (NIRA) เป็นกฎหมายเพื่อให้ธุรกิจควบคุมตัวเองผ่านการให้ราคาสินค้าและบริการ อัตราค่าแรงต่อชั่วโมงการทำงานให้ยุติธรรมต่อชนชั้นแรงงานและมีการเพิ่มอัตราค่าแรงขึ้นในช่วงเวลานั้นและเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ซ้ำร้ายจากการแทรกแซงโดยรัฐด้วยการ "แก้ไขปัญหาด้วยการวนอยู่ที่เดิม" ผ่านการออกบทบัญญัติ First Agricultural Adjustment Act มีเป้าหมายเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรผ่านการตัดพื้นที่ปลูกหรือทำลายพืชผลในแปลง แล้วรัฐจะจ่ายเงินให้เกษตรกรไม่ต้องปลูกอะไรแทนและมีการจัดทำข้อตกลงทางการตลาดเพื่อปรับปรุงการกระจายสินค้าให้ดีขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแม้แต่น้อย (นโยบายของโรสเวลต์เป็นการนำเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใดยิ่งซ้ำร้ายให้ปัญหามากขึ้นเท่านั้น) . ยังไม่รวมถึงนโยบาย New Deal อย่างอื่นที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ "แรงงาน" "สร้างกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ" "การขยายตัวของมาตรการทางการเงิน" และอื่น ๆ ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นฟื้นตัวได้ยาก สาเหตุของการเกิดวิกฤตตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการดำรงอยู่ของ "ลัทธิการแทรกแซง" (interventionism) ทั้งการมีอยู่ของธนาคารกลางสหรัฐที่เป็นต้นตอของวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ การแก้ไขปัญหาในยุคของ Hoover-Roosevelt ทำให้ปัญหาการว่างงาน การขาดดุลงบประมาณ อัตราเงินเฟ้อ และการเพิ่มต้นทุนของแรงงานช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเลวร้ายยิ่งขึ้น . บรรณานุกรม Vol.19, nos. 1-12. Foundation for Economic Education, Irvington-on-Hudson, New York. This complete archive of The Freeman (1950-1999) is made possible by a generous grant from Guillermo M. Yeatts, in cooperation with Walter Block, and additional assistance from Gary North Lewis, Hunter. How the Artificial Boom of 1914-1929 Caused the Great Depression. Auburn, AL: Mises institute, 2014. Sennholz, Hans F. The Great Depression. Auburn, AL: Mises institute, 2020. image
เพจโดนเฟซ shadow เรียบร้อย ☠