ตลาดเสรีแบบ neoliberalism มันมีปัญหาที่ทำให้ฝ่ายซ้ายเข้ามามีบทบาทในสังคมและเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ก็รวมถึง managerial capitalism ทุกแขนงทุกภาคส่วนที่ทำงานในภาครัฐและเอกชน แน่นอนสำหรับพรรคเพื่อไทยเขาก็เป็นอย่างนั้นที่ค่อนข้างมี rhetoric neolib อยู่ เน้น economic growth มากกว่าไม่สนใจอะไรตามมาตามแบบแผนของเศรษฐศาสตร์สำนักชิคาโก้ *สังเกตว่าที่พรรคเขาพูดมีแต่เน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นการเติบโตและเน้นด้านการเงินกับกองทุน ตามที่เพื่อไทยบอกว่า "ให้จีดีพีโตเป็น 5% ต่อปีแล้วค่อยเพิ่มค่าแรง" แนวทางของเพื่อไทยมันน้อยกว่านโยบายแบบกลางซ้าย หรือ ซ้ายที่เน้นรัฐสวัสดิการมาก ๆ ที่สำคัญสวัสดิการที่เพื่อไทยทำก็ออกไปทางความคิดของ neoliberalism หนึ่งในนั้นคือเรื่อง 'Negative income tax' ถ้าให้มองเรื่องต้นทุนที่รัฐต้องแบกรับมันน้อยกว่าการทำรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่แบบสแกนดิเนเวีย กล่าวโดยสรุปเรื่องของจุดยืนทางเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยก็คือ neoliberalism + economic populist
แนวคิด "Animal spirits" ของจอห์น เมนาร์ด เคนส์คือการมองมนุษย์แบบแคบ ๆ เหมือนกับคาร์ล มาร์กซ์ที่มองมนุษย์อยู่บนฐานคิดเรื่องการปฏิวัติชนชั้น การกดขี่ .. 'วัตถุวิธีทางประวัติศาสตร์' ในความเป็นจริงมนุษย์นั้นไม่ใช่ mechanomorphism มองมนุษย์อยู่บนกฎของฟิสิกส์ คาดการณ์ได้ด้วยคณิตศาสตร์ ประมวลผลคุณสมบัติของคนได้ทุก ๆ อย่างอย่างแม่นยำตั้งแต่อนูของร่างกายจนถึงความพึงพอใจในระดับส่วนลึกของจิตใจ แต่สำหรับเคนส์มองว่ามนุษย์เองก็มี "จิตใจ" แต่พฤติกรรมของมนุษย์จะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณ ลักษณะนิสัยและอารมณ์เท่านั้น ทั้งที่จริงธรรมชาติของมนุษย์นั้นล้วนเต็มไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่เติมเต็มให้เราเป็นมนุษย์ เช่น วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม เหตุผล อารมณ์ สัญชาตญาณ และอื่น ๆ มันประกอบรวมกันเป็น "เรา" ที่เป็นเอกลักษณ์กว่าคนอื่น ความเป็นเราไม่ได้มาจากแค่มีอารมณ์ เหตุผล สัญชาตญาณ วัฒนธรรมอย่างโดด ๆ เท่านั้น แต่มันหลอมรวมให้ "เรา" เป็นสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น อันนี้จึงเรียกว่า anthropomorphism ที่ในพื้นที่ทางสังคมศาสตร์ (เศรษฐศาสตร์, สังคมวิทยา, etc.) มุ่งเน้นศึกษาปรากฏการณ์ของสังคมมนุษย์, พฤติกรรมมนุษย์ โดยแยกกฎเกณฑ์และทฤษฏีต่าง ๆ ออกจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างเด็ดขาด
Louis Althusser บอกไว้ว่ากลไกปราบปรามของรัฐมันสร้างเอกภาพในพื้นที่สาธารณะได้ก็จริง แต่ไม่สามารถปราบปรามกลไกอุดมการณ์ได้ที่อยู่ในขอบเขตของเอกชน (ส่วนบุคคล) ในขณะที่กลไกปราบปรามและกลไกอุดมการณ์ก็ไม่มีสิ่งใดที่ใช้หน้าที่ของตัวเองแบบเพียว ๆ มันต้องมีทั้งสองควบคู่กันไป กรัมซี่ เลนิน อัลทูแซร์เห็นตรงกันว่า 'ถ้ายึดกลไกทางอุดมการณ์ได้ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา' ก็จะมีแหล่งปักหลักเพื่อผลิตประชากรฝ่ายซ้ายขึ้นมาได้เรื่อย ๆ โดยไม่สูญพันธุ์ ทั้งนี้ตามมุมมองของมาร์กซ์ก็สนับสนุนการประโคมเรื่องของ "การกดขี่" ก็ทำให้พวกฝ่ายซ้ายใช้จังหวะนี้ในการฉวยโอกาสโต้กลับเพื่อสร้างความชอบธรรมในสังคม สร้างพื้นที่ในสังคม กล่าวคือ "ใช้ความขัดแย้งที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางการผลิตไปสู่การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตน" มาร์กซ์ได้กล่าวสั้น ๆ อยู่ 2 ข้อ (ระบุในงานของตนอย่าง A Contribution to the Critique of Political Economy) ก็คือ (1) การต่อสู้ทางชนชั้นต่อการกดขี่ขูดรีดก็อยู่ภายใต้กลไกทางอุดมการณ์ตรงนี้ก็จะใช้ประโยชน์เพื่อมาทำลายกลไกอุดมการณ์ของรัฐแทนได้ และ (2) การต่อสู้ทางชนชั้นนอกเหนือจากภายในกลไกทางอุดมการณ์ มันสามารถเกิดขึ้นในโครงสร้างส่วนล่าง กล่าวคือ "การผลิต" นำไปสู่ "การกดขี่" และทำให้เกิดการต่อสู้ทางชนชั้นขึ้น **เน้นย้ำ** ความสัมพันธ์ทางการผลิต, การผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางการผลิต = แรงงานอยู่ในระบบแล้วจะต้องโดนนายทุนกดขี่เสมอ ดังนั้นการมีความสัมพันธ์ทางการผลิตจึงต้องมีการกดขี่เกิดขึ้น
ความแตกต่างและความเหมือนกันของเพื่อไทยกับก้าวไกลตอนนี้ผมจะเขียนให้กระชับน่าอ่าน . (*ใครจะก็อปปี้ทำได้เลยครับ*) . 'เพื่อไทย' มุ่งเน้นไปที่ realpolitik (การเมืองที่เป็นจริงเน้นยืดหยุ่น รู้อะไรควรได้อะไรควรเสียและทางออกของ "ประเทศ" คืออะไร) 'ก้าวไกล' มุ่งเน้นไปที่ consistency principle (การเมืองที่อยู่บนพื้นฐานของประชาชน ถ้าจะตายก็ตายไปพร้อมกับหลักการ ประชาชนและประเทศ สิ่งนี้แหละคือทางออกของ "ประเทศ") . 'เพื่อไทย' แทบจะไม่มีกระดูกสันหลัง (เหตุผลอยู่ข้อแรก) 'ก้าวไกล' มีกระดูกสันหลังเปี่ยมล้น (อาจจะแค่ตอนนี้และนับเฉพาะที่แสดงออกบนสื่อกระแสหลัก) . 'เพื่อไทย' อ้างว่าตั้งรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤต (ควรจะเป็น) 'ก้าวไกล' อ้างว่าควรยึดมั่นในหลักการและสัจจะจนกว่าประเทศนี้จะได้รัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน (ควรจะเป็น) . 'เพื่อไทย' มองการเมืองไทยแบบเก่า (ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร) 'ก้าวไกล' มองการเมืองไทยแบบที่ไม่เคยเป็น (ไร้เดียงสาทางการเมือง) . 'เพื่อไทย' มองว่าบุคคลท่านนั้นเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง (แนวโน้มว่า "จริง" สุด ๆ ไปเลย) 'ก้าวไกล' มองว่าประชาชนเป็นเจ้าของพรรค (ตอแหล) . 'เพื่อไทย' ยึดหลักความเป็นจริงถ้าคนเดิมไปไม่รอด เหตุใดจึงจะต้องไปต่อ? แต่จะยอมคืนดีเพื่ออะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ 'ก้าวไกล' ยึดหลักผัวเดียวเมียเดียว ทิ้งแล้วทิ้งเลยไม่ต้องง้อ ถ้าผัวทิ้งไปแล้ว แล้วผัวกลับมาง้อ เรื่องอะไรจะยอมคืนดี? . 'เพื่อไทย' เอา Confidence and supply (+เน้นมิตรมากกว่าศัตรู) 'ก้าวไกล' ไม่เอา Confidence and supply (+เน้นศัตรูมากกว่ามิตร) . 'เพื่อไทย' มองว่ายอมเสียต้นทุน + ลงทุนการตั้งรัฐบาลเพื่ออะไรที่ดีกว่า (ภูมิธรรม) 'ก้าวไกล' มองว่าควรกลับไปฝ่ายค้าน ตั้งหลักทำผลงานในสภา-นอกสภา งานสื่อ งานเผยแพร่ชุดอุดมการณ์ความคิดให้ดีกว่าเดิม (ปิยบุตร) . 'เพื่อไทย' มองว่าตัวละครหลักในการแก้ไขปัญหาประเทศคือ "รัฐ" (นโยบายเคนส์เซี่ยน) 'ก้าวไกล' มองว่าตัวละครหลักในการแก้ไขปัญหาประเทศคือ "รัฐ" (นโยบายเคนส์เซี่ยน หรือไกลกว่านั้นคือ นโยบายสังคมนิยมแบบอ่อน ๆ) . 'เพื่อไทย' ไม่ล้มเจ้า/สู้ไปกราบไป เป็นตัวแปรในการครองอำนาจเก่าให้อยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง (อาจจะมี Hidden agenda) 'ก้าวไกล' ล้มเจ้า/ไม่สู้ไปกราบไป เป็นตัวแปรในการทำให้อำนาจเก่าไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ (โดยเฉพาะในปีพ.ศ. 2570 หรือ เร็วกว่านั้นหากมีการยุบสภา) เน้น Poker face ในหลายเรื่องนอกเหนือจากสถาบัน (มี Hidden agenda) . จบ... คิดได้เท่านี้มก่อน หากมีอะไรเพิ่มเติมก็สามารถเสนอมาได้ **หมายเหตุ มีคนส่งข้อความนี้มาในเพจอยากให้แชร์ต่อ
อนาธิปไตย (anarchism) เป็นกลุ่มความคิดทางการเมืองที่เชื่อว่าต้องไม่มีรัฐที่เป็นผู้ผูกขาดความรุนแรงเหนือพื้นที่แล้วผลักดันสังคมที่ไม่มีสถาบันทางการเมืองและความร่วมมือกันอย่างสมัครใจ บางครั้งคำว่าอนาธิปไตยถูกทำให้สับสนและบิดเบือน นิยามของมันตามรากศัพท์และบริบทของกรีก (ใช้จนถึงปัจจุบัน) คำว่า anarkhia หมายถึง "ปราศจากรัฐ" (ตามบริบทที่เป็นไม่ใช่ปราศจากผู้นำหรือผู้ปกครอง) โดยมันมีคำว่า an ที่หมายถึง "ปราศจาก" หรือ without ในภาษาอังกฤษ และคำว่า arkhos หมายถึง ผู้นำ หรือ ผู้ปกครอง (ตามบริบทจริง ๆ คือรัฐ) พิจารณานิยามเพิ่มเติมจาก Oxford Dictionary ในคำว่า anarchy มันหมายถึง "สถานการณ์ในประเทศ องค์กรหรืออื่น ๆ ที่ไม่มีรัฐในการควบคุม" หรือนิยามจาก merriam-webster บอกไว้เหมือนกันว่า "การไม่มีรัฐ" "สภาวะที่ไม่มีกฎเกณ์หรือระเบียบทางการเมืองอันเนื่องมาจากไม่มีผู้มีอำนาจของรัฐ" "สังคมอุดมคติที่มีเสพสุขไปกับเสรีภาพโดยปราศจากรัฐ" "การไม่มีผู้มีอำนาจใด ๆ ที่สร้างระเบียบ" ซึ่งในความหมายใด ๆ ก็ตามคำว่า 'ผู้ปกครอง' 'ผู้มีอำนาจ' 'ผู้นำ' ในแง่บริบทของคำว่าอนาธิปไตยจะหมายถึง "รัฐ" ทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าอนาธิปไตยจะไม่มีผู้นำหรือผู้ปกครอง เพราะในความเป็นจริงไม่ว่าผู้นำ (ผู้ปกครอง) ระเบียบทางสังคม กฎหมาย วัฒนธรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วสามารถเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่ไม่มีรัฐทั้งหมด อันนี้เป็นแค่น้ำจิ้มจะลงเฉพาะในนกม่วงก่อนเท่านั้น
Libertarianism means "free from government" Left-Libertarian ultimately uses the state power, then there will be nothing free. Accordingly, being free from the state doesn't mean being free from cultural and social constraints.