satuser 5 days ago 💬 : ถ้าเปรียบ Mining Pool ในปัจจุบันเป็น "โรงงานนรก" ที่ผู้จัดการ (Pool) สั่งให้คนงาน (Miners) ทำงานตามคำสั่งเป๊ะๆ โดยห้ามถามห้ามเถียง... Stratum V2 กำลังจะเปลี่ยนให้คนงานทุกคนกลายเป็น "หุ้นส่วน" ที่มีสิทธิ์มีเสียงครับ Stratum V1 (ที่ใช้กันมาเป็นสิบปี) มันเก่าและมีจุดอ่อนเยอะ การมาของ Stratum V2 จะเข้ามา Shape (ปรับโฉม) วงการใน 3 มิติใหญ่ๆ ดังนี้ครับ: 1. การกระจายอำนาจที่แท้จริง (Decentralization & Censorship Resistance) นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุดครับ • ปัญหาของ V1 (ยุคเผด็จการ): ปัจจุบัน Pool (เช่น Foundry, AntPool) เป็นคน "เลือก Transaction" ใส่ลงใน Block เองทั้งหมด เครื่องขุด (Miner) มีหน้าที่แค่รับโจทย์ไปคำนวณเลข Hash เท่านั้น ความเสี่ยง: ถ้าวันหนึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ สั่ง Foundry ว่า "ห้ามยืนยันธุรกรรมของกระเป๋าเงินนี้นะ" Foundry ก็ต้องทำตาม และธุรกรรมนั้นอาจถูกแบนได้ นี่คือจุดอ่อนเรื่อง Centralization • สิ่งที่ V2 เปลี่ยน (ยุคประชาธิปไตย): V2 มีฟีเจอร์เด็ดที่เรียกว่า Job Negotiation (การเจรจางาน) • อนุญาตให้ Miner (เจ้าของเครื่อง) สามารถเลือก Transaction ที่ตัวเองอยากใส่ใน Block ได้เอง! แล้วค่อยส่งไปให้ Pool ตรวจคำตอบและจ่ายเงิน • ผลลัพธ์: อำนาจในการเลือกธุรกรรมจะกระจายจาก "Pool ใหญ่ไม่กี่เจ้า" กลับไปสู่ "Miner นับล้านเครื่องทั่วโลก" ทำให้การแบนหรือเซ็นเซอร์ธุรกรรมทำได้ยากขึ้นมหาศาลครับ 2. ประสิทธิภาพและความเร็ว (Efficiency & Latency) • ปัญหาของ V1: มันใช้ภาษาแบบ JSON (Text-based) ซึ่งเยิ่นเย้อ กิน Bandwidth และช้า เหมือนคุยกันด้วยการพิมพ์จดหมายหากัน • สิ่งที่ V2 เปลี่ยน: มันใช้ภาษา Binary (รหัสเลขฐานสอง) ซึ่งเบากว่าเดิมมาก • ลดปริมาณข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่าง Pool กับ Miner ได้ถึง 50-90% • ลด Latency (ความหน่วง) ทำให้ Miner ที่เน็ตไม่แรง หรืออยู่พื้นที่ห่างไกล (เช่น ในป่าเขา หรือโรงไฟฟ้าไกลปืนเที่ยง) สามารถส่งคำตอบได้เร็วขึ้น ลดโอกาสเกิด Stale Share (ขุดฟรีแต่ไม่ได้เงินเพราะส่งช้าไป) 3. ความปลอดภัย (Security & Privacy) • ปัญหาของ V1: ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ส่งหากัน "ไม่ได้เข้ารหัส" (Unencrypted) • มีความเสี่ยงต่อการโดน Hashrate Hijacking (แฮกเกอร์แอบดักกลางทาง แล้วเปลี่ยนเลขกระเป๋าเงินให้พลังขุดไปเข้ากระเป๋าโจรแทน) • สิ่งที่ V2 เปลี่ยน: บังคับ เข้ารหัส (Encryption) เป็นมาตรฐาน • ป้องกันการโดน ISP หรือแฮกเกอร์ส่องดูข้อมูล หรือขโมยกำลังขุดไปดื้อๆ (Man-in-the-Middle Attack) สรุปภาพรวม: วงการจะเปลี่ยนไปอย่างไร? 1. อำนาจของ Pool จะลดลง: Pool จะเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้คุมกฎ" เหลือเพียง "ผู้ให้บริการทางการเงิน" (Liquidity Provider) ที่ช่วยเกลี่ยรายได้ให้ Miner เท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการกำหนดทิศทาง Blockchain อีกต่อไป 2. เหมืองรายย่อยจะแกร่งขึ้น: ด้วยระบบที่เบาและปลอดภัยขึ้น เหมืองตามบ้าน (Home Miners) หรือเหมืองในพื้นที่ทุรกันดาร จะเสียเปรียบเหมืองใหญ่น้อยลง 3. Bitcoin จะ "ตัน" ยากขึ้น: การโจมตีระดับเน็ตเวิร์ค หรือการแทรกแซงจากรัฐจะทำได้ยากขึ้นมาก เพราะอำนาจการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่หัวเรือใหญ่ไม่กี่คนอีกต่อไป สถานะปัจจุบัน: ตอนนี้ Pool ใหญ่ๆ เริ่มรองรับ Stratum V2 แล้ว (เช่น Braiins Pool ที่เป็นผู้ผลักดันหลัก, DEMAND Pool) และ Firmware ของเครื่องขุดรุ่นใหม่ๆ ก็เริ่มรองรับแล้วเช่นกันครับ นี่คือการอัปเกรดท่อส่งเลือดของ Bitcoin ครั้งใหญ่ ที่จะทำให้ระบบแข็งแกร่งสมบูรณ์แบบขึ้นครับ #siamstr #stratumv2 #SV2 #bitcoin #mining #pool #geministr
satuser 5 days ago แบบนี้ก็มี Epic Satoshi : 3.125 BTC ในราคา 33.3 BTC เหตุการณ์จริงที่ทำให้เรื่องนี้ดังระเบิดเกิดขึ้นเมื่อ เดือนเมษายน 2024 ที่ผ่านมาครับ (ช่วง Bitcoin Halving รอบที่ 4) • วินาทีที่การ Halving เกิดขึ้น คือที่ Block หมายเลข 840,000 • เหมืองที่ขุด Block นี้ได้คือ ViaBTC • รางวัลที่ได้จาก Block นี้คือ 3.125 BTC... แต่!!! • ใน 3.125 BTC นั้น มี "Epic Satoshi" (Satoshi ตัวแรกของยุค Halving ใหม่) ปนอยู่ด้วย 1 หน่วย ผลลัพธ์คือ: ViaBTC รู้ทันทีว่าตัวเองถือ "ทองคำ" อยู่ในมือ เขาจึงเอา Epic Satoshi ตัวนั้นไปเปิดประมูลขาย จบราคาประมูลไปที่ 33.3 BTC (ประมาณ 75 ล้านบาท ในตอนนั้น) สรุปความหมาย: คำว่า "Block ที่มี Satoshis หายาก" หมายถึง Block ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบ (เช่น Block แรกของการ Halving) ซึ่งนักขุดหรือ Pool จะแย่งกันขุดสุดชีวิต เพราะถ้าฟลุ๊คขุดได้ Block นั้น มูลค่ารางวัลที่ได้จะไม่ใช่แค่ราคา Bitcoin ปกติ แต่จะบวกมูลค่าความหายากของ "เลขสวย" เข้าไปอีกหลายสิบเท่าตัวครับ Bitcoin MagazineOne Of Only Four Bitcoin "Epic Sats" Just Auctioned Off For Over $2.1 MillionViaBTC sold the fourth ever “epic sat” for over $2.1 million less than a week after mining it during the Bitcoin halving. #siamstr #epicsatoshi
satuser 5 days ago 💬 : นี่คือข้อมูลอัปเดตล่าสุดปี 2024-2025 ของ Data Center (หรือ Data Center Campus) ที่มีการใช้พลังงานและมีกำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Capacity) สูงที่สุดในโลกครับ สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอดีตเรามักจะเห็นชื่อ Data Center จากจีนครองอันดับต้นๆ (ที่ประมาณ 150 MW) แต่ปัจจุบัน "Hyperscale Campus" ของบริษัทยักษ์ใหญ่ฝั่งอเมริกา (Meta, Google, Microsoft) ได้ขยายตัวจนมีขนาดระดับ "Gigawatt (1,000 MW+)" ไปแล้ว ซึ่งใหญ่กว่าโรงงานอุตสาหกรรมหนักเสียอีกครับ 10 อันดับ Data Center ที่ใช้พลังงานสูงสุด (โดยประมาณการจาก Capacity) 1 Meta (Facebook) Altoona Data Center * สถานที่: รัฐไอโอวา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: สูงถึง ~1,400 MW (ตามรายงานปี 2025) * จุดเด่น: เป็น Campus ที่ใหญ่ที่สุดของ Meta ใช้พลังงานลม (Wind Energy) ในพื้นที่มาเลี้ยงระบบเกือบทั้งหมด 2 Meta (Facebook) Prineville Data Center * สถานที่: รัฐออริกอน, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~1,290 MW * จุดเด่น: เป็น Data Center แห่งแรกที่ Meta สร้างเอง และเป็นต้นแบบของ Open Compute Project (OCP) 3 CloudHQ LC Campus * สถานที่: เมือง Ashburn (Data Center Alley), รัฐเวอร์จิเนีย, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ตั้งเป้าหมายสูงสุดที่ ~1,200+ MW (ปัจจุบันเปิดใช้งานแล้วหลายเฟส) * จุดเด่น: เป็นศูนย์รวม Data Center แบบ Colocation ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ตั้งอยู่ในจุดที่สาย Fiber Optic หนาแน่นที่สุด 4 Meta (Facebook) Fort Worth Data Center * สถานที่: รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~730 MW * จุดเด่น: ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพพลังงานสูง และรองรับการขยายตัวของ AI Workload 5 Switch Citadel Campus * สถานที่: รัฐเนวาดา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: รองรับสูงสุด 650 MW * จุดเด่น: ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ป้อมปราการแห่งข้อมูล" (The Citadel) ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และอยู่ใกล้โรงงาน Gigafactory ของ Tesla 6 Microsoft Quincy Data Center * สถานที่: รัฐวอชิงตัน, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~620 MW * จุดเด่น: ใช้พลังงานน้ำ (Hydroelectric) ราคาถูกจากเขื่อนในแม่น้ำโคลัมเบีย เป็นฮับสำคัญของ Azure Cloud 7 Switch Core Campus (SuperNAP) * สถานที่: เมืองลาสเวกัส, รัฐเนวาดา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~500 MW * จุดเด่น: เคยครองแชมป์เก่าอยู่หลายปี เป็นศูนย์ที่มีระบบความปลอดภัยเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 8 Google Council Bluffs Data Center * สถานที่: รัฐไอโอวา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: >400 MW (มีสัญญาซื้อขายพลังงานลมรองรับกว่า 1,000 MW) * จุดเด่น: หนึ่งในไซต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Google ที่รองรับบริการ Search, YouTube และ Gmail ทั่วโลก 9 QTS Atlanta Metro Data Center * สถานที่: รัฐจอร์เจีย, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~280 MW * จุดเด่น: สร้างและดัดแปลงมาจากศูนย์กระจายสินค้าเก่าของ Sears-Roebuck ขนาดมหึมา มีพื้นที่หลังคาสำหรับ Solar Cell มหาศาล 10 China Telecom Inner Mongolia Information Park * สถานที่: เขตปกครองตนเองอินเนอร์มองโกเลีย, จีน 🇨🇳 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~150 MW (และกำลังขยายต่อ) * จุดเด่น: เคยเป็นอันดับ 1 ในแง่ของ "พื้นที่" (Area) ที่กว้างที่สุดในโลก ใช้ความเย็นจากอากาศธรรมชาติในมองโกเลียเพื่อลดค่าไฟ ข้อสังเกต: Tesla Cortex 2 ที่คุณสนใจ (100-200 MW) ถ้าสร้างเสร็จและรันเต็มระบบ จะแทรกเข้ามาอยู่ในกลุ่ม Top 10-15 ได้ทันที ซึ่งถือว่าใหญ่มากสำหรับ Data Center ที่ใช้เพื่อ "เทรน AI ให้บริษัทเดียว" (ในขณะที่อันดับบนๆ คือ Cloud ที่ให้บริการคนทั้งโลก) ตัวเลข MW (Megawatt) คือหน่วยวัดความจุของไฟที่รับได้ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการประมวลผล (Compute Power) โดยตรงครับ ///// Data Center ของ Facebook (Meta) ไม่ได้มีไว้เก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างเดียว แต่ก็ ไม่ได้เป็น AI ทั้งหมด ครับ มันคือโรงงานอเนกประสงค์ที่แบ่งโซนการทำงานชัดเจน และที่สำคัญ "ไม่มีการขุด Bitcoin แน่นอน" ครับ ขอแยกส่วนประกอบข้างในให้เห็นภาพชัดๆ ดังนี้ครับ: 1. สัดส่วนการทำงาน (Workload Distribution) Meta ไม่เคยเปิดเผยตัวเลข % เป๊ะๆ ของแต่ละตึกเพราะเป็นความลับทางการค้า แต่เราสามารถดูได้จาก "Hardware ที่เขาสั่งซื้อ" ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ครับ: ส่วนที่ 1: Storage (ห้องเก็บของเก่า) ~ ประมาณ 40-50% • หน้าที่: เก็บรูปภาพ วิดีโอ โพสต์เก่าๆ ของพวกเราตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว • อุปกรณ์: เป็นตู้ Rack ที่อัดแน่นด้วย Hard Disk Drive (HDD) ธรรมดาๆ หมุนช้าๆ เน้นความจุเยอะๆ (Cold Storage) เครื่องพวกนี้กินไฟน้อย และจะทำงานก็ต่อเมื่อคุณเลื่อนฟีดไปดูรูปเก่าๆ เท่านั้น • ถ้าเปรียบเทียบ: เหมือนโกดังเก็บเอกสาร ส่วนที่ 2: Compute / Web Serving (พนักงานต้อนรับ) ~ ประมาณ 30-40% • หน้าที่: รันตัวแอป Facebook/Instagram, จัดหน้า Feed ว่าจะเอาโพสต์ไหนขึ้นก่อน, ยิงโฆษณาหาเรา • อุปกรณ์: ใช้ CPU Server ทั่วไป (คล้ายคอมพิวเตอร์แรงๆ) • ถ้าเปรียบเทียบ: เหมือนพนักงานออฟฟิศที่คอยหยิบเอกสารมาให้เราดู ส่วนที่ 3: AI / Machine Learning (สมองกล) ~ ประมาณ 10-20% (แต่กินไฟเกิน 50%!) • หน้าที่: อันนี้คือของใหม่และสำคัญที่สุด เอาไว้ "เทรน AI" (Llama, Meta AI) และทำ "Recommendation System" (ระบบที่เดาใจว่าเราชอบดูคลิป Reels อะไร) • อุปกรณ์: ใช้ GPU (NVIDIA H100) ล้วนๆ โซนนี้แหละครับที่ร้อนที่สุด และกินไฟดุเดือดที่สุด • แนวโน้ม: ตึกใหม่ๆ ที่กำลังสร้าง (เช่นที่เพิ่งเป็นข่าว) จะเทน้ำหนักมาที่ส่วนนี้เกือบทั้งหมดครับ 2. ทำไมเขาถึง "ไม่ขุด Bitcoin"? ฟันธงว่า Facebook (Meta) ไม่ขุด Bitcoin 100% ด้วยเหตุผลทางวิศวกรรมและธุรกิจครับ: 1. Hardware คนละประเภท: • Bitcoin Mining: ต้องใช้เครื่อง ASIC (วงจรเฉพาะทางที่ทำหน้าที่แก้สมการได้อย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย) • Meta Data Center: ใช้ GPU (การ์ดจอ) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง ใช้เทรน AI ก็ได้ ใช้เรนเดอร์ภาพก็ได้ ถ้าเอา GPU ไปขุด Bitcoin จะ "ขาดทุนค่าไฟ" ทันทีเพราะสู้เครื่อง ASIC ไม่ได้ครับ 2. Business Model: • กำไรของ Meta มาจาก "ข้อมูล" และ "โฆษณา" (ปีละหลายหมื่นล้านเหรียญ) • การเอาไฟไปขุด Bitcoin เพื่อรอลุ้นรางวัล เป็นโมเดลธุรกิจที่ความเสี่ยงสูงและกำไรน้อยกว่าธุรกิจหลักของเขามากครับ เขาเอาไฟไปรัน AI เพื่อยิงโฆษณาให้แม่นขึ้น ทำเงินได้เยอะกว่าขุดบิทคอยน์หลายล้านเท่าตัว สรุปภาพรวม ถ้าคุณเดินเข้าไปใน Data Center ของ Facebook ตอนนี้: • โซนซ้าย: เงียบๆ เย็นๆ = เก็บรูปงานบวชงานแต่งของเรา (Storage) • โซนขวา: เสียงดังพัดลมกระหึ่ม ร้อนจัด = กำลังคำนวณว่าเย็นนี้จะยิงโฆษณาอะไรใส่หน้าฟีดคุณ หรือกำลังเทรน AI ตัวใหม่ให้ฉลาดขึ้น (AI Compute) #siamstr #geministr #datacenter 🗂️🗼
satuser 5 days ago ความรู้สึก #หมดเวรหมดกรรมสักที มักมาหลังจากการปลดทุกข์ยำเผ็ดๆที่ค้างท้องที่กินไปเมื่อคืน 🌶️💩 #สู้ชีวิต