FIAT : OFF BITCOIN : ON #siamstr #toggle 💡
อีกอย่างที่ชอบในเรื่องนี้คือเรื่องความเป็นมนุษย์ที่อยู่ใน password ของ hacker กับ trump very sync View quoted note →
search bitcoin ใน netflix มาแล้วเจอสารคดีเรื่องนี้ The Antisocial Network : Memes to Mayhem เล่าเรื่อง internet history / anonymous identity / online community / digital activist ไว้ได้อย่างดี , แนะนำหลายๆ 👥🎭🌐🤳 ปล.ไม่เคยใช้ 4chan / reddit , เคยใช้แต่ pramool cz.podzone กับ pantip , ไม่รู้ของไทยมีเรื่องราวหรือสารคดีเกี่ยวกับ internet history แนวๆนี้ไหม #ตำนาน #อินเตอร์เน็ต #hacker #siamstr
[...] ตรรกะของรัฐชาติบ่งชี้ว่าราคาสูงสุดของความเป็นพลเมืองคือการเสียสละและความตาย ดังที่เจน เบธค์ เอลช์เทนสังเกต รัฐชาติปลูกฝังพลเมืองให้เสียสละมากกว่าก้าวร้าว: "ชายหนุ่มไปสงครามไม่ใช่เพื่อฆ่าเท่ากับเพื่อตาย เพื่อสละร่างกายเฉพาะของเขาเพื่อร่างกายที่ใหญ่กว่า นั่นคือร่างกายทางการเมือง" แรงกระตุ้นในการเสียสละไม่ได้น้อยลงเมื่อเกี่ยวข้องกับผู้เสียภาษี การจ่ายภาษีเช่นเดียวกับการถืออาวุธ เป็นหน้าที่มากกว่าการแลกเปลี่ยนที่คนสละเงินเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าเท่ากันหรือมากกว่า สิ่งนี้ได้รับการยอมรับในภาษาทั่วไป ผู้คนพูดถึง "ภาระภาษี" แต่ไม่พูดถึง "ภาระอาหาร" ของการซื้ออาหาร หรือ "ภาระรถยนต์" ของการซื้อรถยนต์ หรือ "ภาระวันหยุด" สำหรับการเดินทาง เพราะการซื้อขายทางการค้าโดยทั่วไปเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม มิฉะนั้นผู้ซื้อก็จะไม่ทำการซื้อ ในแง่นี้ ลัทธิชาตินิยมแสดงให้เห็นว่าอีพิเจเนซิสสามารถพลิกตรรกะของ "เศรษฐกิจของธรรมชาติ" แบบดาร์วินได้อย่างไร รัฐชาติอำนวยความสะดวกให้เกิดการล่าเหยื่อเชิงระบบที่อิงกับดินแดน ต่างจากสถานการณ์ที่นักล่า-เก็บของในยุคหินเผชิญ ปรสิตและผู้ล่าหลักของปัจเจกบุคคล ณ ปลายศตวรรษที่ 20 ไม่น่าจะเป็น "คนนอก" ศัตรูต่างชาติ แต่เป็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นตัวแทนของ "กลุ่มภายใน" นั่นคือรัฐชาติท้องถิ่นนั่นเอง ดังนั้นข้อได้เปรียบหลักที่การมาถึงของสินทรัพย์ที่เหนือดินแดนในยุคสารสนเทศมอบให้ คือข้อเท็จจริงที่ว่าสินทรัพย์เช่นนั้นสามารถอยู่พ้นเอื้อมมือของการบีบบังคับเชิงระบบที่ระดมโดยรัฐชาติท้องถิ่นที่บุคคลผู้ต้องการเป็นอธิปัตย์ส่วนบุคคลอาศัยอยู่ หากมุมมองของเราถูกต้อง เทคโนโลยีขนาดเล็กจะทำให้เป็นไปได้ทางเทคนิคสำหรับปัจเจกบุคคลที่จะหลีกหนีจากภาระของการเป็นพลเมืองระดับรองได้เป็นส่วนใหญ่ พวกเขาจะเป็นอธิปไตยเหนือตนเองนอกประเทศ ไม่ใช่ผู้ใต้ปกครอง ใน "เมืองเสมือน" ใหม่ โดยมีความจงรักภักดีตามสัญญาหรือสนธิสัญญาส่วนตัวในลักษณะที่คล้ายคลึงกับยุโรปก่อนสมัยใหม่มากขึ้น ที่พ่อค้าได้รับสนธิสัญญาทางการค้าและกฎบัตรเพื่อป้องกันตนเอง "จากการยึดทรัพย์สินตามอำเภอใจ" และเพื่อให้ได้ "การยกเว้นจากกฎหมายของเจ้าศักดินา" ในวัฒนธรรมไซเบอร์ บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะได้รับการยกเว้นจากหน้าที่พลเมืองที่เกิดจากอุบัติเหตุแห่งการเกิด พวกเขาจะไม่คิดถึงตัวเองว่าเป็นชาวอังกฤษหรืออเมริกันเป็นหลักอีกต่อไป พวกเขาจะเป็นผู้อยู่อาศัยนอกประเทศของโลกทั้งใบที่บังเอิญอาศัยอยู่ในท้องถิ่นหนึ่งหรือมากกว่านั้น #TheSovereignIndividual #ความไม่ประหยัดของธรรมชาติและชาตินิยม #siamstr
#อีพิเจเนซิส เรามองพฤติกรรม "ราวกับว่า" นี้เป็นตัวอย่างสำคัญของ "อีพิเจเนซิส" หรือแนวโน้มของปัจจัยจูงใจที่ได้รับอิทธิพลทางพันธุกรรมที่จะโน้มเอียงมนุษย์โดยธรรมชาติให้ชอบทางเลือกบางอย่างมากกว่าอย่างอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง จิตใจมนุษย์ไม่ใช่ตาบูลา ราซา หรือกระดานว่างเปล่า แต่เป็นฮาร์ดไดรฟ์ที่มีวงจรเชื่อมต่อไว้ล่วงหน้าซึ่งทำให้การตอบสนองบางอย่างเรียนรู้ได้ง่ายและน่าดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น ดังนั้นข้อเสนอที่ว่าจิตใจมีแนวโน้มที่จะคิดในแง่ของกลุ่มภายนอกที่กระตุ้นความเป็นศัตรูหรือความเป็นปรปักษ์ และกลุ่มภายในที่ทำให้รู้สึกมีมิตรภาพหรือความจงรักภักดีอย่างมาก ซึ่งโดยปกติสงวนไว้สำหรับญาติ ความโน้มเอียงทางอีพิเจเนติกส์ที่จะปฏิบัติต่อกลุ่มภายในราวกับว่าประกอบด้วยญาติสนิท ทำให้เกิดช่องโหว่ที่ถูกชาตินิยมใช้ประโยชน์เพื่อสร้างการสนับสนุนแบบเสียสละให้กับรัฐ ในแง่นี้ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การโฆษณาชวนเชื่อแบบชาตินิยมทุกแห่งถูกแต่งแต้มด้วยคำศัพท์เกี่ยวกับความเป็นเครือญาติ "ด้วยเสียงปืนใหญ่ของเธอที่ดังสนั่น ฝรั่งเศสอันงดงามเรียกลูกๆ ของเธอให้ลุกขึ้น ทหารรอบตัวเรากำลังติดอาวุธ ไปเถิด ไปเถิด นั่นคือแม่ของเราที่กำลังร้องเรียก" - เพลงประจำกองทัพฝรั่งเศส View quoted note →
วัฒนธรรมถูกถ่ายทอดผ่านการสื่อสารระหว่างมนุษย์ ไม่ใช่ผ่านทางพันธุกรรมระหว่างรุ่น วัฒนธรรมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่งโดยการกระทำที่ตั้งใจและชาญฉลาด (อาจน้อยกว่าที่เราคิด) และวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมของต้นทุนและผลตอบแทนที่เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมมาก ในทางกายภาพเราคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษเมื่อสามหมื่นปีก่อนมาก แต่ในทางวัฒนธรรมเราได้เคลื่อนห่างจากพวกเขาไปไกลพอสมควร #siamstr #TheSovereignIndividual #วัฒนธรรม #พันธุกรรม #การเปลี่ยนแปลง
ไม่คุ้นกับ anime พากษ์อังกฤษเลย ยังไงก็รู้สึกว่าพากษ์ไทยเสียงมันเข้ากับ character ตัวละครมากกว่า หรือเราแค่ไม่ชิน #ไป๋เร้ยมังกรฟ้าาา #จัดการมันพยัคฆ์ขาว 🐅🐉
💬 : นี่เป็นเป็นหัวข้อที่นักวิทยาศาสตร์ถกเถียงและวิจัยกันมานานหลายศตวรรษ แนวคิดที่ว่า "ทักษะที่เรียนรู้มาในชีวิตสามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้" นั้น มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "การสืบทอดลักษณะที่ได้มา" (Inheritance of Acquired Characteristics) หรือที่มักเรียกกันว่า "ทฤษฎีของลามาร์ก" (Lamarckism) ผมขอตอบโดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือคำตอบตามหลักพันธุศาสตร์ดั้งเดิม และคำตอบตามงานวิจัยยุคใหม่ครับ 1. คำตอบตามหลักพันธุศาสตร์ดั้งเดิม (Classical Genetics) โดยหลักการแล้ว "ไม่ครับ" ทักษะความเป็นมืออาชีพ (Professional) ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม การเล่นดนตรี หรือความรู้ด้านการเงิน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้และประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ การเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในสมอง (Neural Connections) ในทางกลับกัน สิ่งที่ส่งต่อไปยังลูกหลานผ่านทางพันธุกรรมคือ DNA ซึ่งอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ (อสุจิและไข่) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยึดมั่นในแนวคิดที่เรียกว่า "กำแพงไวสมันน์" (Weismann Barrier) ซึ่งระบุว่า ข้อมูลจากเซลล์ร่างกาย (Somatic Cells) เช่น เซลล์สมองหรือเซลล์กล้ามเนื้อ ไม่สามารถถ่ายทอดกลับเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์ (Germline) เพื่อเปลี่ยนแปลง DNA ที่จะส่งต่อไปได้ ตามทฤษฎีนี้: ไม่ว่าคุณจะเป็นมืออาชีพตอนอายุ 40 หรือมีลูกตอนอายุ 15 แล้วค่อยไปเป็นมืออาชีพ DNA ในเซลล์สืบพันธุ์ของคุณก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงในแง่ของ "ทักษะ" นั้นครับ ลูกของคุณยังคงต้องเรียนรู้ทักษะนั้นด้วยตัวเองตั้งแต่ต้น 2. คำตอบตามงานวิจัยยุคใหม่ (Epigenetics) นี่คือจุดที่น่าสนใจและเป็นที่มาของงานวิจัยที่คุณถามถึงครับ แม้ว่า "รหัส DNA" (Sequence) ของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปตามประสบการณ์และอายุได้ คือ "การแสดงออกของยีน" (Gene Expression) ครับ วิทยาศาสตร์แขนงนี้เรียกว่า "อีพีเจเนติกส์" (Epigenetics) อุปมาง่ายๆ: DNA คือ "หนังสือคู่มือ" (ฮาร์ดแวร์) ที่คุณได้รับมาจากพ่อแม่ Epigenetics คือ "ปากกาไฮไลต์ หรือ Post-it" (ซอฟต์แวร์) ที่แปะไว้ว่า "ให้อ่านหน้านี้ดังๆ" หรือ "ข้ามหน้านี้ไป" ประสบการณ์ในชีวิตของคุณ เช่น ความเครียด, โภชนาการ, การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การเรียนรู้อย่างหนัก สามารถเปลี่ยนแปลง "ไฮไลต์" เหล่านี้ได้ โดยที่ตัวหนังสือในคู่มือ (DNA) ไม่ได้เปลี่ยน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ที่ใกล้เคียงที่สุด): งานวิจัยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน (มักทำในสัตว์ทดลอง เช่น หนู) พบว่า "สภาวะ" บางอย่างของพ่อแม่ สามารถส่งผลต่อลูกหลานผ่านกลไก Epigenetics ได้ เช่น: - ความเครียดและบาดแผลทางใจ (Trauma): มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า หนูตัวผู้ที่ถูกทำให้เครียดหรือกลัวกลิ่นบางอย่าง อาจมีลูกหลานที่แสดงอาการกลัวกลิ่นนั้นๆ หรือมีภาวะวิตกกังวลสูงกว่าปกติ แม้ว่าลูกหลานจะไม่เคยเจอเหตุการณ์นั้นเลย - โภชนาการ (Diet): พ่อแม่ที่ขาดสารอาหารหรือมีภาวะอ้วน อาจส่งต่อ "เครื่องหมาย Epigenetic" ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ (Metabolism) ไปยังลูก ทำให้ลูกมีความเสี่ยงต่อโรคอ้วนหรือเบาหวานมากขึ้น 3. สรุปสำหรับกรณีของคุณ กลับมาที่สถานการณ์ของคุณ: "เป็นมืออาชีพก่อนมีลูก" ลูกของคุณจะได้ "ทักษะ" (Skill) นั้นมาเลยหรือไม่? คำตอบคือ ไม่ครับ ลูกของคุณจะไม่ตื่นมาแล้วเขียนโค้ดหรือเล่นไวโอลินได้เลย ทักษะที่ซับซ้อนเหล่านี้ต้องเรียนรู้ผ่านสมองครับ แล้ว Epigenetics จะส่งต่ออะไรได้บ้าง? นี่คือส่วนที่ยังเป็นทฤษฎีอยู่ครับ สิ่งที่อาจถูกส่งต่อ ไม่ใช่ "ความรู้" แต่ อาจเป็น "แนวโน้ม" (Tendencies) หรือ "ความถนัด" (Predispositions) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ตัวอย่าง (สมมติ): การที่คุณใช้เวลา 10 ปีฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเป็นมืออาชีพ อาจทำให้ร่างกายคุณปรับตัวเข้ากับสภาวะเครียด หรือการใช้สมาธิอย่างหนัก สภาวะนี้ อาจจะ สร้างเครื่องหมาย Epigenetic บางอย่างที่ส่งต่อไปยังลูก ทำให้ลูกของคุณ (อาจจะ) มีแนวโน้มที่จะทนต่อความเครียดจากการเรียนรู้ได้ดีกว่า หรือมีสมาธิจดจ่อได้ดีกว่า เล็กน้อย ข้อเท็จจริงที่สำคัญกว่า: สิ่งที่ลูกได้รับแน่ๆ สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นและสำคัญกว่า Epigenetics มาก ในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นมืออาชีพ มีอยู่ 2 อย่างครับ: พันธุกรรม (Nature): คุณอาจมี "ยีน" ที่ทำให้คุณมีศักยภาพในการเป็นมืออาชีพด้านนั้นๆ อยู่แล้ว (เช่น มีความจำดี, มีตรรกะดี, มีทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็กดี) และลูกของคุณก็มีโอกาส 50% ที่จะได้รับยีนนั้นต่อไป นี่คือพันธุกรรมพื้นฐาน ไม่ใช่ทักษะที่เรียนรู้ครับ การเลี้ยงดู (Nurture): นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ที่เป็นมืออาชีพด้านไหน ก็มักจะสร้าง "สภาพแวดล้อม" ที่เอื้อต่อการเรียนรู้สิ่งนั้นให้กับลูก ลูกของนักดนตรีได้ยินเสียงดนตรีตั้งแต่ในท้อง ลูกของโปรแกรมเมอร์อาจได้จับคอมพิวเตอร์เร็วกว่าเด็กคนอื่น การส่งต่อนี้เกิดขึ้นผ่าน "การเลี้ยงดู" ไม่ใช่ DNA ครับ โดยสรุป: ทักษะที่คุณเรียนรู้มา ไม่ได้ถูกบันทึกลงใน DNA และส่งต่อไปให้ลูกโดยตรงครับ แต่งานวิจัยใหม่ๆ ด้าน Epigenetics กำลังชี้ให้เห็นว่า ประสบการณ์ชีวิตของพ่อแม่ อาจจะ ส่งผลต่อ "การควบคุม" ยีนของลูกได้บ้างในระดับหนึ่ง แต่ยังห่างไกลจากแนวคิดที่ว่าลูกจะได้รับ "ความสามารถ" นั้นมาเลยครับ #siamstr #geministr #study #DNA #learning #surviving 🧬🔬 image
Lightning Match 🏟️ Interfere Step ⚡️ View quoted note →