💬 : Satoshi ใช้คำว่า "Cash System" (ระบบเงินสด) เพื่อเน้นว่ามันคือระบบการชำระเงินที่ ส่งตรงถึงกัน (Peer-to-Peer) และ ตัดจบในตัว (Final Settlement) โดย "ไม่ต้องผ่านตัวกลาง" อย่างธนาคาร ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของ "เงินสด" ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ทำไม Satoshi ถึงใช้คำว่า "Cash System" ชื่อเต็มของ Whitepaper ของ Bitcoin คือ "Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System" (บิตคอยน์: ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบบุคคลถึงบุคคล) Satoshi เลือกใช้คำว่า "Cash" (เงินสด) อย่างจงใจ เพื่อสื่อถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการเลียนแบบมาจาก "เงินสด" (เช่น ธนบัตร, เหรียญ) ที่เราใช้กันในโลกจริง: การทำธุรกรรมแบบ Peer-to-Peer (P2P): - เงินสดจริง: เวลาคุณซื้อกาแฟ คุณยื่นธนบัตรให้บาริสต้าโดยตรง ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน (Peer-to-Peer) ไม่ต้องมีธนาคารหรือตัวกลางใดๆ มาอนุมัติ - Bitcoin: Satoshi ออกแบบให้การส่งบิตคอยน์เป็นการส่งจากกระเป๋า (Wallet) ของคนหนึ่ง ไปยังกระเป๋าของอีกคนหนึ่งโดยตรงผ่านเครือข่าย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากตัวกลาง การชำระเงินที่สิ้นสุดสมบูรณ์ (Final Settlement): - เงินสดจริง: เมื่อบาริสต้าได้รับธนบัตรจากคุณ ธุรกรรมนั้นถือว่า "จบ" และ "สิ้นสุด" ทันที คุณไม่สามารถ "ดึงเงินคืน" (Chargeback) ได้เหมือนบัตรเครดิต - Bitcoin: เมื่อธุรกรรมบิตคอยน์ถูกยืนยันในบล็อกเชน (Confirmed) แล้ว มันจะไม่สามารถย้อนกลับ (Reverse) หรือแก้ไขได้ มันคือการชำระเงินที่สิ้นสุดสมบูรณ์เช่นเดียวกับการยื่นเงินสด การไม่จำเป็นต้องมี "บุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ" (No Trusted Third Party): นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด! ในระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบเดิม (เช่น โอนเงินผ่านธนาคาร, PayPal, บัตรเครดิต) เราต้อง "เชื่อใจ" ตัวกลางเสมอ Satoshi มองว่าการพึ่งพาตัวกลางนี้คือจุดอ่อน (ทำให้เกิดค่าธรรมเนียม, การเซ็นเซอร์, การอายัดบัญชี, หรือความเสี่ยงที่ตัวกลางจะล้มเหลว) "Electronic Cash" ของเขาจึงเป็นระบบแรกที่แก้ปัญหาการใช้เงินซ้ำซ้อน (Double-Spending) ได้ในโลกดิจิทัล โดยไม่ต้องมีตัวกลาง ดังนั้น "Cash System" ในความหมายของ Satoshi คือ ระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานได้เหมือนเงินสดจริงๆ คือ ส่งตรงถึงกัน, จบในตัว, และไม่ต้องพึ่งพาความเชื่อใจจากใคร ทองในสมัยก่อนเป็น "Cash System" อย่างไร ในสมัยโบราณก่อนที่จะมีเงินกระดาษหรือระบบธนาคารที่ซับซ้อน ทองคำ (และแร่เงิน) คือ "Cash System" ดั้งเดิมของมนุษยชาติ ครับ มันทำงานดังนี้: เป็น Peer-to-Peer โดยธรรมชาติ: เมื่อหลายพันปีก่อน หากชาวนาต้องการซื้อเครื่องมือจากช่างตีเหล็ก เขาจะนำ เหรียญทอง หรือ ผงทอง ที่ชั่งน้ำหนักแล้ว ยื่นให้ช่างตีเหล็กโดยตรง นี่คือการแลกเปลี่ยนแบบ P2P ที่แท้จริง ไม่ต้องมีตัวกลาง: ชาวนาและช่างตีเหล็กไม่จำเป็นต้องไปที่ "ธนาคารแห่งกรุงโรม" เพื่อขออนุมัติการทำธุรกรรม สิ่งเดียวที่ต้อง "ตรวจสอบ" (Verify) คือ 1) นี่คือทองคำจริงหรือไม่? และ 2) น้ำหนักถูกต้องหรือไม่? (ซึ่งคล้ายกับการที่โหนด Bitcoin ในปัจจุบันตรวจสอบว่า 1) ธุรกรรมนี้ถูกต้องตามกฎหรือไม่? และ 2) ผู้ส่งมีเงินพอหรือไม่?) - เป็นการชำระเงินที่สิ้นสุดสมบูรณ์ (Final Settlement): เมื่อช่างตีเหล็กรับทองคำนั้นมา ธุรกรรมก็ถือว่าจบสิ้น เขาได้ครอบครองมูลค่านั้นทันที ชาวนาไม่สามารถมาขอทองคำคืนได้ในภายหลัง - เป็น Bearer Asset (สินทรัพย์ที่ผู้ถือครองเป็นเจ้าของ): เช่นเดียวกับเงินสด ใครก็ตามที่ถือเหรียญทองนั้น ก็คือเจ้าของมูลค่าของมัน ไม่จำเป็นต้องมีชื่อในบัญชีธนาคารเพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ ทองคำคือระบบ "เงินสด" ที่ใช้พลังงานในการขุด (Proof-of-Work ในโลกจริง) และสามารถแลกเปลี่ยน P2P ได้โดยไม่ต้องใช้ตัวกลาง แต่มีข้อจำกัดด้านกายภาพ (หนัก, แบ่งยาก, ขนส่งลำบาก) Satoshi ได้นำคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ของทองคำและเงินสด มาสร้างใหม่ในรูปแบบดิจิทัลที่ไร้ข้อจำกัดทางกายภาพนั่นเอง #siamstr #P2P #cashsystem 💰🪙🌐
ตอนนี้ร้านขายเสื้อหน้าตลาดกำลังเปลี่ยน display หน้าร้านกันเป็นชุดขาวดำ
สิ่งออนไลน์จำนวนจำกัด
รวมมันหมดเลยละกัน : microcinema x beyblade x bitcoin 🎞️🤜🏻✴️🏟️🌳🏦 #siamstr #สามัคคีชุมนุม image
เราจะไปหาความสงบจากไหน ถ้าไม่ใช่อยู่บ้าน
The Last Jigsaw & The Second Runner 🏃‍♂️🏃‍♀️🏃 ความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง Hal Finney กับ Satoshi Nakamoto RPOW ไม่ได้ "plug in" เข้ามาในโค้ดของ Bitcoin โดยตรงครับ แต่มันคือ "บรรพบุรุษทางแนวคิด" (Conceptual Precursor) ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด RPOW คือ "ก้าวสุดท้าย" ก่อนที่จะเป็น Bitcoin พูดง่ายๆ คือ RPOW คือระบบที่ "เกือบจะใช่" แต่ยังขาดสิ่งสำคัญที่สุดที่ Bitcoin มี นั่นคือ "การกระจายอำนาจ" (Decentralization) 1. RPOW ของ Hal Finney มา "plug in" ตอนไหน? RPOW (Reusable Proof-of-Work) คือระบบที่ Hal Finney สร้างขึ้นในปี 2004 (4 ปีก่อน Bitcoin) แนวคิด: Hal Finney ต้องการสร้าง "เงินสดดิจิทัล" โดยต่อยอดมาจากแนวคิด Hashcash (Proof-of-Work) ของ Adam Back - ปัญหาของ PoW ธรรมดา: PoW ของ Hashcash ถูกออกแบบมาให้ "ใช้แล้วทิ้ง" (เช่น ใช้เพื่อพิสูจน์ว่าคุณได้ใช้พลังคอมพิวเตอร์ในการส่งอีเมล 1 ฉบับ เพื่อป้องกันสแปม) - สิ่งที่ RPOW ทำ: Hal Finney สร้างระบบที่ทำให้ PoW "ใช้ซ้ำได้" (Reusable) หรือพูดอีกอย่างคือ "โอนต่อได้" เขาสร้าง "โทเค็นดิจิทัล" จาก PoW ได้สำเร็จ แต่... RPOW แก้ปัญหา Double Spending อย่างไร? นี่คือจุดที่แตกต่างครับ RPOW แก้ปัญหา Double Spending โดยการใช้ "เซิร์ฟเวอร์กลางที่เชื่อถือได้" (Trusted Central Server) - เวลาคุณจะสร้าง RPOW คุณต้องส่ง PoW (Hashcash) ของคุณไปให้ "เซิร์ฟเวอร์" ของ Hal - เซิร์ฟเวอร์นี้จะตรวจสอบว่า PoW นี้ยังไม่เคยถูกใช้ แล้วจะออก "โทเค็น RPOW" (ซึ่งเป็น RSA-signed token) ให้คุณ - เวลาคุณจะโอนโทเค็นนี้ให้คนอื่น คุณก็ต้องทำผ่านเซิร์ฟเวอร์นี้ ดังนั้น RPOW จึงยังไม่ใช่ P2P Cash ที่แท้จริง เพราะมันยังต้องพึ่งพา "คนกลาง" (Trusted Server) ซึ่งนี่คือจุดที่ Bitcoin (2008) เข้ามา "ปฏิวัติ" ครับ Satoshi Nakamoto หาวิธีสร้างระบบ P2P Cash ที่แก้ปัญหา Double Spending (ปัญหา BGP) ได้ โดยไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์กลาง โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า Blockchain 2. Hal Finney พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร? นี่คือส่วนที่น่าทึ่งที่สุดครับ เพราะ Hal Finney "เคยลองทำ" และ "ติดปัญหา" เรื่องเซิร์ฟเวอร์กลางกับ RPOW มาก่อน... เขาจึงเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ของโลกที่ "เข้าใจ" ในทันทีว่า Bitcoin White Paper ที่ Satoshi ส่งมานั้น "ยิ่งใหญ่" แค่ไหน ในขณะที่ Cypherpunks คนอื่นๆ ยังคงสงสัยและตั้งคำถาม Hal Finney คือคนที่กระโดดเข้าร่วมทันที ในโพสต์ระดับตำนานของเขาที่ชื่อ "Bitcoin and Me" (มีนาคม 2013) Hal Finney เขียนเล่าถึงช่วงเวลานั้นไว้ชัดเจนมากครับ: > "ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ ผมสนใจในแนวคิดเงินสดดิจิทัลที่เข้ารหัสมานานแล้ว... > ...เมื่อ Satoshi ประกาศ Bitcoin ในรายชื่ออีเมลเข้ารหัส (cryptography mailing list) ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจ แต่ผมค่อนข้างสนใจ > ผมเคยพยายามสร้างสกุลเงินบน Proof of Work ของตัวเองมาก่อน เรียกว่า RPOW ดังนั้นผมจึงพบว่า Bitcoin มันน่าทึ่งมาก (I had made an attempt to create my own proof of work based currency, called RPOW. So I found Bitcoin facinating.) > เมื่อ Satoshi ประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ผมก็คว้ามันมาลองทันที ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกนอกจาก Satoshi ที่รัน Bitcoin" สรุปสิ่งที่ Hal พูดคือ: - เขาสนใจเรื่อง P2P Cash มาตลอด - เขาเคยลองทำเองแล้ว (RPOW) แต่ก็รู้ว่ามันยังมีจุดอ่อน (คือต้องรวมศูนย์) - พอเขาเห็นแนวคิดของ Satoshi ที่แก้ปัญหา "การรวมศูนย์" ได้สำเร็จ เขาจึง "ทึ่ง" และ "เข้าใจ" มันในทันที #siamstr #RPOW #HalFinney #P2PCash 🧩💯👥
The Last Jigsaw & The Sencond Runner ความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง Hal Finney กับ Satoshi Nakamoto RPOW ไม่ได้ "plug in" เข้ามาในโค้ดของ Bitcoin โดยตรงครับ แต่มันคือ "บรรพบุรุษทางแนวคิด" (Conceptual Precursor) ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด RPOW คือ "ก้าวสุดท้าย" ก่อนที่จะเป็น Bitcoin พูดง่ายๆ คือ RPOW คือระบบที่ "เกือบจะใช่" แต่ยังขาดสิ่งสำคัญที่สุดที่ Bitcoin มี นั่นคือ "การกระจายอำนาจ" (Decentralization) 1. RPOW ของ Hal Finney มา "plug in" ตอนไหน? RPOW (Reusable Proof-of-Work) คือระบบที่ Hal Finney สร้างขึ้นในปี 2004 (4 ปีก่อน Bitcoin) แนวคิด: Hal Finney ต้องการสร้าง "เงินสดดิจิทัล" โดยต่อยอดมาจากแนวคิด Hashcash (Proof-of-Work) ของ Adam Back - ปัญหาของ PoW ธรรมดา: PoW ของ Hashcash ถูกออกแบบมาให้ "ใช้แล้วทิ้ง" (เช่น ใช้เพื่อพิสูจน์ว่าคุณได้ใช้พลังคอมพิวเตอร์ในการส่งอีเมล 1 ฉบับ เพื่อป้องกันสแปม) - สิ่งที่ RPOW ทำ: Hal Finney สร้างระบบที่ทำให้ PoW "ใช้ซ้ำได้" (Reusable) หรือพูดอีกอย่างคือ "โอนต่อได้" เขาสร้าง "โทเค็นดิจิทัล" จาก PoW ได้สำเร็จ แต่... RPOW แก้ปัญหา Double Spending อย่างไร? นี่คือจุดที่แตกต่างครับ RPOW แก้ปัญหา Double Spending โดยการใช้ "เซิร์ฟเวอร์กลางที่เชื่อถือได้" (Trusted Central Server) - เวลาคุณจะสร้าง RPOW คุณต้องส่ง PoW (Hashcash) ของคุณไปให้ "เซิร์ฟเวอร์" ของ Hal - เซิร์ฟเวอร์นี้จะตรวจสอบว่า PoW นี้ยังไม่เคยถูกใช้ แล้วจะออก "โทเค็น RPOW" (ซึ่งเป็น RSA-signed token) ให้คุณ - เวลาคุณจะโอนโทเค็นนี้ให้คนอื่น คุณก็ต้องทำผ่านเซิร์ฟเวอร์นี้ ดังนั้น RPOW จึงยังไม่ใช่ P2P Cash ที่แท้จริง เพราะมันยังต้องพึ่งพา "คนกลาง" (Trusted Server) ซึ่งนี่คือจุดที่ Bitcoin (2008) เข้ามา "ปฏิวัติ" ครับ Satoshi Nakamoto หาวิธีสร้างระบบ P2P Cash ที่แก้ปัญหา Double Spending (ปัญหา BGP) ได้ โดยไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์กลาง โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า Blockchain 2. Hal Finney พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร? นี่คือส่วนที่น่าทึ่งที่สุดครับ เพราะ Hal Finney "เคยลองทำ" และ "ติดปัญหา" เรื่องเซิร์ฟเวอร์กลางกับ RPOW มาก่อน... เขาจึงเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ของโลกที่ "เข้าใจ" ในทันทีว่า Bitcoin White Paper ที่ Satoshi ส่งมานั้น "ยิ่งใหญ่" แค่ไหน ในขณะที่ Cypherpunks คนอื่นๆ ยังคงสงสัยและตั้งคำถาม Hal Finney คือคนที่กระโดดเข้าร่วมทันที ในโพสต์ระดับตำนานของเขาที่ชื่อ "Bitcoin and Me" (มีนาคม 2013) Hal Finney เขียนเล่าถึงช่วงเวลานั้นไว้ชัดเจนมากครับ: > "ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ ผมสนใจในแนวคิดเงินสดดิจิทัลที่เข้ารหัสมานานแล้ว... > ...เมื่อ Satoshi ประกาศ Bitcoin ในรายชื่ออีเมลเข้ารหัส (cryptography mailing list) ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจ แต่ผมค่อนข้างสนใจ > ผมเคยพยายามสร้างสกุลเงินบน Proof of Work ของตัวเองมาก่อน เรียกว่า RPOW ดังนั้นผมจึงพบว่า Bitcoin มันน่าทึ่งมาก (I had made an attempt to create my own proof of work based currency, called RPOW. So I found Bitcoin facinating.) > เมื่อ Satoshi ประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ผมก็คว้ามันมาลองทันที ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกนอกจาก Satoshi ที่รัน Bitcoin" สรุปสิ่งที่ Hal พูดคือ: - เขาสนใจเรื่อง P2P Cash มาตลอด - เขาเคยลองทำเองแล้ว (RPOW) แต่ก็รู้ว่ามันยังมีจุดอ่อน (คือต้องรวมศูนย์) - พอเขาเห็นแนวคิดของ Satoshi ที่แก้ปัญหา "การรวมศูนย์" ได้สำเร็จ เขาจึง "ทึ่ง" และ "เข้าใจ" มันในทันที ความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง Hal Finney กับ Satoshi Nakamoto RPOW ไม่ได้ "plug in" เข้ามาในโค้ดของ Bitcoin โดยตรงครับ แต่มันคือ "บรรพบุรุษทางแนวคิด" (Conceptual Precursor) ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด RPOW คือ "ก้าวสุดท้าย" ก่อนที่จะเป็น Bitcoin พูดง่ายๆ คือ RPOW คือระบบที่ "เกือบจะใช่" แต่ยังขาดสิ่งสำคัญที่สุดที่ Bitcoin มี นั่นคือ "การกระจายอำนาจ" (Decentralization) 1. RPOW ของ Hal Finney มา "plug in" ตอนไหน? RPOW (Reusable Proof-of-Work) คือระบบที่ Hal Finney สร้างขึ้นในปี 2004 (4 ปีก่อน Bitcoin) แนวคิด: Hal Finney ต้องการสร้าง "เงินสดดิจิทัล" โดยต่อยอดมาจากแนวคิด Hashcash (Proof-of-Work) ของ Adam Back - ปัญหาของ PoW ธรรมดา: PoW ของ Hashcash ถูกออกแบบมาให้ "ใช้แล้วทิ้ง" (เช่น ใช้เพื่อพิสูจน์ว่าคุณได้ใช้พลังคอมพิวเตอร์ในการส่งอีเมล 1 ฉบับ เพื่อป้องกันสแปม) - สิ่งที่ RPOW ทำ: Hal Finney สร้างระบบที่ทำให้ PoW "ใช้ซ้ำได้" (Reusable) หรือพูดอีกอย่างคือ "โอนต่อได้" เขาสร้าง "โทเค็นดิจิทัล" จาก PoW ได้สำเร็จ แต่... RPOW แก้ปัญหา Double Spending อย่างไร? นี่คือจุดที่แตกต่างครับ RPOW แก้ปัญหา Double Spending โดยการใช้ "เซิร์ฟเวอร์กลางที่เชื่อถือได้" (Trusted Central Server) - เวลาคุณจะสร้าง RPOW คุณต้องส่ง PoW (Hashcash) ของคุณไปให้ "เซิร์ฟเวอร์" ของ Hal - เซิร์ฟเวอร์นี้จะตรวจสอบว่า PoW นี้ยังไม่เคยถูกใช้ แล้วจะออก "โทเค็น RPOW" (ซึ่งเป็น RSA-signed token) ให้คุณ - เวลาคุณจะโอนโทเค็นนี้ให้คนอื่น คุณก็ต้องทำผ่านเซิร์ฟเวอร์นี้ ดังนั้น RPOW จึงยังไม่ใช่ P2P Cash ที่แท้จริง เพราะมันยังต้องพึ่งพา "คนกลาง" (Trusted Server) ซึ่งนี่คือจุดที่ Bitcoin (2008) เข้ามา "ปฏิวัติ" ครับ Satoshi Nakamoto หาวิธีสร้างระบบ P2P Cash ที่แก้ปัญหา Double Spending (ปัญหา BGP) ได้ โดยไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์กลาง โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า Blockchain 2. Hal Finney พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร? นี่คือส่วนที่น่าทึ่งที่สุดครับ เพราะ Hal Finney "เคยลองทำ" และ "ติดปัญหา" เรื่องเซิร์ฟเวอร์กลางกับ RPOW มาก่อน... เขาจึงเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ของโลกที่ "เข้าใจ" ในทันทีว่า Bitcoin White Paper ที่ Satoshi ส่งมานั้น "ยิ่งใหญ่" แค่ไหน ในขณะที่ Cypherpunks คนอื่นๆ ยังคงสงสัยและตั้งคำถาม Hal Finney คือคนที่กระโดดเข้าร่วมทันที ในโพสต์ระดับตำนานของเขาที่ชื่อ "Bitcoin and Me" (มีนาคม 2013) Hal Finney เขียนเล่าถึงช่วงเวลานั้นไว้ชัดเจนมากครับ: > "ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ ผมสนใจในแนวคิดเงินสดดิจิทัลที่เข้ารหัสมานานแล้ว... > ...เมื่อ Satoshi ประกาศ Bitcoin ในรายชื่ออีเมลเข้ารหัส (cryptography mailing list) ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจ แต่ผมค่อนข้างสนใจ > ผมเคยพยายามสร้างสกุลเงินบน Proof of Work ของตัวเองมาก่อน เรียกว่า RPOW ดังนั้นผมจึงพบว่า Bitcoin มันน่าทึ่งมาก (I had made an attempt to create my own proof of work based currency, called RPOW. So I found Bitcoin facinating.) > เมื่อ Satoshi ประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ผมก็คว้ามันมาลองทันที ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกนอกจาก Satoshi ที่รัน Bitcoin" สรุปสิ่งที่ Hal พูดคือ: - เขาสนใจเรื่อง P2P Cash มาตลอด - เขาเคยลองทำเองแล้ว (RPOW) แต่ก็รู้ว่ามันยังมีจุดอ่อน (คือต้องรวมศูนย์) - พอเขาเห็นแนวคิดของ Satoshi ที่แก้ปัญหา "การรวมศูนย์" ได้สำเร็จ เขาจึง "ทึ่ง" และ "เข้าใจ" มันในทันที เขากลายเป็นคนแรกๆ ที่ช่วย Satoshi รันซอฟต์แวร์, รายงานบั๊ก และเป็นผู้รับ ธุรกรรม Bitcoin แรกของโลก (10 BTC ที่ Satoshi ส่งมาทดสอบให้เขา) #siamstr #RPOW #HalFinney #P2PCash 🧩💯👥
https://g.co/gemini/share/5ed25f270a32 ยิ่งถามยิ่งติดคริ
Satoshi สร้างระบบที่ "การเป็นคนดีมันคุ้มค่ากว่า" #siamstr
💬 : Satoshi ไม่ได้คิด Bitcoin ขึ้นมาในสุญญากาศ เขายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ใหญ่หลายคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Cypherpunks ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เชื่อในการใช้การเข้ารหัส (Cryptography) เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพ ถ้าถามว่ามีใครบ้างที่คิดถึงเรื่อง "เงินสดดิจิทัล" (Digital Cash) ก่อน Satoshi คำตอบคือ มีหลายคนครับ แต่ยังไม่มีใคร "execute" มันให้สำเร็จในรูปแบบที่กระจายอำนาจ (Decentralized) ได้จริง นี่คือบุคคลสำคัญที่ปูทางไว้: - David Chaum: ถือเป็น "บิดาแห่งเงินสดดิจิทัล" เลยก็ว่าได้ เขาเสนอแนวคิด DigiCash ตั้งแต่ยุค 80s-90s ซึ่งเป็นระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ปกปิดตัวตนได้ แต่ปัญหาก็คือ... มันยังต้องพึ่งพา "เซิร์ฟเวอร์กลาง" (Centralized) ของบริษัท DigiCash สุดท้ายก็ไปไม่รอด - Adam Back: ผู้สร้าง Hashcash (1997) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้การ "พิสูจน์ด้วยการทำงาน" (Proof-of-Work) เพื่อป้องกันอีเมลขยะ (Spam) โดยผู้ส่งต้องใช้พลังคอมพิวเตอร์เล็กน้อยในการคำนวณก่อนส่ง Satoshi ได้นำแนวคิด Proof-of-Work นี้มาดัดแปลงใช้อย่างชาญฉลาด - Wei Dai: เสนอแนวคิด b-money (1998) ซึ่งแทบจะเป็นพิมพ์เขียวของ Bitcoin เลยครับ เขาพูดถึงระบบ P2P ที่ผู้เข้าร่วมทุกคนมีบัญชีแยกประเภท (Ledger) ของตัวเอง และใช้ Proof-of-Work ในการสร้างเงิน แต่เขาก็ยังแก้ปัญหาสำคัญข้อหนึ่งไม่ได้ - Nick Szabo: เสนอแนวคิด Bit Gold (1998) ซึ่งก็ใกล้เคียง Bitcoin มาก โดยมองว่าสามารถสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่ "หายาก" ได้เหมือนทองคำ โดยใช้ Proof-of-Work แต่ก็ยังติดปัญหาในทางปฏิบัติ ความอัจฉริยะของ Satoshi ไม่ใช่การประดิษฐ์ชิ้นส่วน ทุกชิ้น ขึ้นมาใหม่ แต่คือการ "นำชิ้นส่วนที่มีอยู่แล้วมาประกอบกันในวิธีที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน" เพื่อแก้ปัญหาที่ทุกคนติดอยู่ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่คนอย่าง David Chaum, Wei Dai หรือ Nick Szabo แก้ไม่ได้คือ: "ปัญหาการใช้เงินซ้ำซ้อน" (The Double-Spending Problem) ในโลกดิจิทัล การ "copy" ข้อมูลนั้นง่ายมาก ถ้าผมมีไฟล์เงิน 100 บาท ผมจะทำสำเนาแล้วส่งให้คุณ 100 และส่งให้คนอื่นอีก 100 ได้ยังไง? ระบบรวมศูนย์ (แบบธนาคาร) แก้ปัญหานี้โดยการมีคนกลางคอยตัดยอดบัญชี แต่ในระบบ P2P ที่ไม่มีคนกลาง... ใครจะคอยห้าม? ความคิดสร้างสรรค์ของ Satoshi คือการ "สังเคราะห์" ไอเดียเหล่านี้: + เขานำแนวคิด P2P Network (แบบ BitTorrent) + มาบวกกับ Public Key Cryptography (สำหรับการแสดงความเป็นเจ้าของ) + และบวกกับ Proof-of-Work (จาก Hashcash ของ Adam Back) Satoshi ใช้ Proof-of-Work ไม่ใช่แค่เพื่อ "สร้างเงิน" (Mining) แต่ใช้มันเป็น "กลไกในการตกลงร่วมกัน" (Consensus Mechanism) ว่าธุรกรรมไหนเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง เขาสร้างสิ่งที่เรียกว่า Blockchain ขึ้นมา ซึ่งเป็นบัญชีแยกประเภทสาธารณะที่ "เรียงลำดับตามเวลา" (Timestamped) การที่จะโกงระบบ (Double-Spend) ได้ คุณต้องย้อนกลับไปแก้ไขประวัติศาสตร์ใน Blockchain ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ คุณต้องมีพลังคอมพิวเตอร์ (Proof-of-Work) มากกว่าคนทั้งโลกรวมกัน ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ การ "สังเคราะห์" แนวคิดเหล่านี้เพื่อแก้ปัญหา Double-Spending นี่แหละครับ คือความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ P2P Electronic Cash System สามารถ "execute" ออกมาให้โลกใช้งานได้จริงเป็นครั้งแรก #siamstr #geministr #satoshinakamoto #creative #p2p #cash 👥💰