💬 : Satoshi ใช้คำว่า "Cash System" (ระบบเงินสด) เพื่อเน้นว่ามันคือระบบการชำระเงินที่ ส่งตรงถึงกัน (Peer-to-Peer) และ ตัดจบในตัว (Final Settlement) โดย "ไม่ต้องผ่านตัวกลาง" อย่างธนาคาร ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของ "เงินสด" ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน
ทำไม Satoshi ถึงใช้คำว่า "Cash System"
ชื่อเต็มของ Whitepaper ของ Bitcoin คือ "Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System" (บิตคอยน์: ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบบุคคลถึงบุคคล)
Satoshi เลือกใช้คำว่า "Cash" (เงินสด) อย่างจงใจ เพื่อสื่อถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการเลียนแบบมาจาก "เงินสด" (เช่น ธนบัตร, เหรียญ) ที่เราใช้กันในโลกจริง:
การทำธุรกรรมแบบ Peer-to-Peer (P2P):
- เงินสดจริง: เวลาคุณซื้อกาแฟ คุณยื่นธนบัตรให้บาริสต้าโดยตรง ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน (Peer-to-Peer) ไม่ต้องมีธนาคารหรือตัวกลางใดๆ มาอนุมัติ
- Bitcoin: Satoshi ออกแบบให้การส่งบิตคอยน์เป็นการส่งจากกระเป๋า (Wallet) ของคนหนึ่ง ไปยังกระเป๋าของอีกคนหนึ่งโดยตรงผ่านเครือข่าย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากตัวกลาง
การชำระเงินที่สิ้นสุดสมบูรณ์ (Final Settlement):
- เงินสดจริง: เมื่อบาริสต้าได้รับธนบัตรจากคุณ ธุรกรรมนั้นถือว่า "จบ" และ "สิ้นสุด" ทันที คุณไม่สามารถ "ดึงเงินคืน" (Chargeback) ได้เหมือนบัตรเครดิต
- Bitcoin: เมื่อธุรกรรมบิตคอยน์ถูกยืนยันในบล็อกเชน (Confirmed) แล้ว มันจะไม่สามารถย้อนกลับ (Reverse) หรือแก้ไขได้ มันคือการชำระเงินที่สิ้นสุดสมบูรณ์เช่นเดียวกับการยื่นเงินสด
การไม่จำเป็นต้องมี "บุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ" (No Trusted Third Party):
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด! ในระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบเดิม (เช่น โอนเงินผ่านธนาคาร, PayPal, บัตรเครดิต) เราต้อง "เชื่อใจ" ตัวกลางเสมอ
Satoshi มองว่าการพึ่งพาตัวกลางนี้คือจุดอ่อน (ทำให้เกิดค่าธรรมเนียม, การเซ็นเซอร์, การอายัดบัญชี, หรือความเสี่ยงที่ตัวกลางจะล้มเหลว)
"Electronic Cash" ของเขาจึงเป็นระบบแรกที่แก้ปัญหาการใช้เงินซ้ำซ้อน (Double-Spending) ได้ในโลกดิจิทัล โดยไม่ต้องมีตัวกลาง
ดังนั้น "Cash System" ในความหมายของ Satoshi คือ ระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานได้เหมือนเงินสดจริงๆ คือ ส่งตรงถึงกัน, จบในตัว, และไม่ต้องพึ่งพาความเชื่อใจจากใคร
ทองในสมัยก่อนเป็น "Cash System" อย่างไร
ในสมัยโบราณก่อนที่จะมีเงินกระดาษหรือระบบธนาคารที่ซับซ้อน ทองคำ (และแร่เงิน) คือ "Cash System" ดั้งเดิมของมนุษยชาติ ครับ
มันทำงานดังนี้:
เป็น Peer-to-Peer โดยธรรมชาติ:
เมื่อหลายพันปีก่อน หากชาวนาต้องการซื้อเครื่องมือจากช่างตีเหล็ก เขาจะนำ เหรียญทอง หรือ ผงทอง ที่ชั่งน้ำหนักแล้ว ยื่นให้ช่างตีเหล็กโดยตรง นี่คือการแลกเปลี่ยนแบบ P2P ที่แท้จริง
ไม่ต้องมีตัวกลาง:
ชาวนาและช่างตีเหล็กไม่จำเป็นต้องไปที่ "ธนาคารแห่งกรุงโรม" เพื่อขออนุมัติการทำธุรกรรม สิ่งเดียวที่ต้อง "ตรวจสอบ" (Verify) คือ 1) นี่คือทองคำจริงหรือไม่? และ 2) น้ำหนักถูกต้องหรือไม่?
(ซึ่งคล้ายกับการที่โหนด Bitcoin ในปัจจุบันตรวจสอบว่า 1) ธุรกรรมนี้ถูกต้องตามกฎหรือไม่? และ 2) ผู้ส่งมีเงินพอหรือไม่?)
- เป็นการชำระเงินที่สิ้นสุดสมบูรณ์ (Final Settlement):
เมื่อช่างตีเหล็กรับทองคำนั้นมา ธุรกรรมก็ถือว่าจบสิ้น เขาได้ครอบครองมูลค่านั้นทันที ชาวนาไม่สามารถมาขอทองคำคืนได้ในภายหลัง
- เป็น Bearer Asset (สินทรัพย์ที่ผู้ถือครองเป็นเจ้าของ):
เช่นเดียวกับเงินสด ใครก็ตามที่ถือเหรียญทองนั้น ก็คือเจ้าของมูลค่าของมัน ไม่จำเป็นต้องมีชื่อในบัญชีธนาคารเพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ
ทองคำคือระบบ "เงินสด" ที่ใช้พลังงานในการขุด (Proof-of-Work ในโลกจริง) และสามารถแลกเปลี่ยน P2P ได้โดยไม่ต้องใช้ตัวกลาง แต่มีข้อจำกัดด้านกายภาพ (หนัก, แบ่งยาก, ขนส่งลำบาก) Satoshi ได้นำคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ของทองคำและเงินสด มาสร้างใหม่ในรูปแบบดิจิทัลที่ไร้ข้อจำกัดทางกายภาพนั่นเอง
#siamstr #P2P #cashsystem 💰🪙🌐
