"ระบบรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่" สร้างปัญหาให้กับประเทศสวีเดนอย่างไร? . บทความนี้คัดส่วนหนึ่งมาจาก "The Mirage of Swedish Socialism : The Economic History of a Welfare State" โดยคุณ Johan Norberg ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.realitiesofsocialism.org . สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งมากที่สุดในโลกเป็นผลมาจากพัฒนาการบนระบบเศรษฐกิจแบบปล่อยให้ทำไป (laissez-faire) ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1840s ถึงทศวรรษ 1970s นับเป็นช่วงที่ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุดของสวีเดน การบริหารจัดการของรัฐบาลในด้านการใช้จ่ายนั้นมีสัดส่วนที่ต่ำกว่า 20% ต่อจีดีพี และมีโครงสร้างรัฐบาลขนาดเล็กกว่าประเทศยุโรปตะวันตกบางประเทศและมีการเก็บภาษีต่ำกว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวีเดนเคยมีการทดลองการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจให้ใกล้เคียงกับระบบสังคมนิยมมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1970s และ 1980s เริ่มจากการขยายการใช้จ่ายภาครัฐ การเพิ่มอัตราภาษีไปทำสวัสดิการและกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้แรงจูงใจในการทำงานและการทำธุรกิจของผู้ประกอบการนั้นอ่อนแอ ภาคส่วนเอกชนมีการสร้างงานลดลง ค่าแรงจริงหดตัวและธุรกิจอื่น ๆ อย่าง IKEA, Tetra Pak ต้องจำใจต้องย้ายทุนออกไปจากประเทศเพราะความเสี่ยงจากการขาดดุลรายจ่ายภาครัฐจำนวนที่มหาศาลกับความกลัวในอัตราเงินเฟ้อที่สูง เหตุการณ์เหล่านี้จบลงในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1990s รัฐบาลของประเทศสวีเดนในช่วงเวลานั้นมีฉันทามติร่วมที่จะย้อนกลับไปหาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมดั้งเดิม พวกเขาลดกฎระเบียบ ลดภาษีและสนับสนุนวินัยทางการคลังให้มั่นคงอีกครั้ง พร้อมกับภาคส่วนหลายอย่างถูกเปลี่ยนกลับไปอยู่ในมือของเอกชนอีกครั้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่บานปลายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การกระทำของรัฐที่เกิดขึ้นมันได้ชี้ชัดแล้วว่าการเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ดีอยู่แล้วไปเป็นระบบสังคมนิยมนั้นแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ หรือ การให้รัฐมีบทบาทเหนือปัจเจกบุคคล = ประเทศสวีเดนจนมาก่อน แต่ความเสรีทางเศรษฐกิจนำพาความเจริญ = โยฮัน ออกัสต์ กริเพนสเตดท์ (Johan August Gripenstedt) อดีตรัฐมนตรีการเงินของสวีเดนช่วงปี ค.ศ.1856 ถึง 1866 เชื่อว่า “สวีเดนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ถึงแม้จะเป็นประเทศยากจน” ตามประวัติศาสตร์ของสวีเดนนั้นมีปราสาทไม่มาก และไม่มีศูนย์กลางของเมืองขนาดใหญ่ อีกทั้งผู้พักอาศัยในเมืองขนาดใหญ่ก็มีจำนวนแค่ 75,000 คนที่อยู่ในสต็อกโฮล์ม (Stockholm) และอีก 16,000 คนอาศัยอยู่ในกอเทนเบิร์กเมืองขนาดใหญ่ที่รองลงมา (Gothenburg) จุดเด่นของสวีเดนในช่วงเวลานั้นก็คือ เหล่าชาวนามีความอิสระมากกว่าคนกลุ่มอื่น เนื่องจากประเทศสวีเดนแตกต่างจากประเทศอื่นในยุโรปที่ไม่เคยมีระบบศักดินาอย่างชัดเจน แต่ถึงมีขุนนางในสวีเดนก็เป็นแค่กลุ่มขนาดเล็กและอำนาจที่อ่อนแอทำให้ชาวนาในช่วงเวลานั้นมีความสามารถในการบริหารจัดการแรงงานและพื้นที่ของตัวเองได้ และส่วนใหญ่ชาวนาจะจ่ายภาษีให้กับคนในราชวงศ์และโบสถ์โดยตรงเท่านั้น บางส่วนของชาวนาก็ไม่ได้อิสระมากหากแยกออกจากกลุ่มส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีปากมีเสียงในสังคมมากเท่าที่ควร ชาวนาส่วนใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้ก่อนจะมีการศึกษาภาคบังคับในปี ค.ศ.1842 พบว่าราว ๆ 90% ของชาวสวีเดนสามารถอ่านออกเขียนได้อยู่แล้วรวมถึงชาวนา ในเวลาต่อมาก็ได้มีการปฏิรูปที่ดินในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ทำให้กลุ่มชาวนาบางส่วนกลายเป็นกลุ่มนายทุนกลุ่มเล็ก ๆ ทำให้บางชุมชนได้เลิกการทำนารวม (คนละอย่างกับในคอมมิวนิสต์) แต่ผันเปลี่ยนไปเป็นการลงทุนในวิธีการใหม่ ๆ ผ่านเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยให้ผลิตภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้น . กล่าวคือ สวีเดนถือเป็นประเทศที่มีสารตั้งต้นความเจริญมาจาก "ชาวนา" ที่ผันตัวเองไปเป็นนายทุนและเป็นผลให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งทำให้คนหลายคนมีฐานะชีวิตที่ดีขึ้นแต่ก่อนจำนวนมาก ทั้งนี้การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากขาดพรรคการเมืองของสวีเดนในช่วงเวลานั้นที่สนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 1840s และ 1870s เพราะมีความจำเป็นต้องทลายสังคมเก่าถูกควบคุมโดยพ่อค้าโดยได้รับอภิสิทธิ์จากกฎระเบียบของรัฐบาลกลาง กิลด์ (guild) ที่ให้สิทธิ์ในการควบคุมปัจจัยการผลิต การจ้างงาน การกำหนดราคาและการควบคุมอื่น ๆ กระทั่งการตั้งธนาคารและอัตราดอกเบี้ยก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาล กล่าวได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงถูกจำกัดสิทธิ์หลายประการ แม้แต่ชาวนาเองที่ขึ้นชื่อว่ากลุ่มคนที่มีเสรีภาพมากที่สุด ก็เพียงแค่สามารถควบคุมทรัพย์สินของตนเองได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถแยกหรือนำไปขายได้อย่างอิสระ ในด้านทรัพยากรของสวีเดนก็มีหลายอย่างที่สำคัญมาก แต่ถูกจำกัดแค่ในประเทศและรัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะใช้มันมากกว่าคนอื่น หนึ่งในนั้นก็คือ การตัดไม้ (logging) หรือไม้แปรรูป แร่ (ore) เหล็กหล่อ (pig iron) ก็ถูกจำกัดการส่งออกหรือถูกแบน ถ้าหากจะนำเข้าก็ต้องเสียภาษีกุศลากรในระดับที่สูง หรือ บางสินค้าก็นำประเทศเข้าไม่ได้เลย . แอนเดอร์ส ไชเดเนียส (Anders Chydenius) เขาเป็นคนแรกที่เสนอการเปลี่ยนทิศทางทางเศรษฐกิจของสวีเดนตามแนวคิดเสรีนิยมแบบดั้งเดิม (classical liberalism) หรือก็คือ จุดเริ่มต้นของการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (economic liberalism) เขาเป็นคนวางรากฐานทางความคิดเกี่ยวกับสิทธิ์การค้าของคนในชนบทจนทำให้ชื่อเสียงเขาโด่งดังจนได้รับเลือกเป็นผู้แทนในสภาฐานันดรนักบวชในสต็อกโฮล์มช่วงปี ค.ศ.1765 ถึง ค.ศ. 1766 เขายื่นข้อเสนอต่อรัฐสภาให้มีเสรีภาพของสื่อมวลชนและยกเลิกการเซ็นเซอร์ ซึ่งหลังจากนั้นกษัตริย์กุสตาฟที่ 3 ฉวยโอกาสควบคุมรัฐสภาเพื่อยกเลิกกฎเกณฑ์ดังกล่าวในปี ค.ศ.1772 แต่ก็มีการรื้อฟื้นบัญญัติขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังปี ค.ศ.1809 เป็นต้นมา ตัวของไชเดเนียสเองได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากปรัชญาในช่วงยุคตื่นรู้ (Enlightenment philosophy) จนทำให้เขาเขียนงานทางเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลานั้นอย่าง The National Gain ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1765 ในหนังสือได้อธิบายว่าตลาดเสรีนั้นจะมีการควบคุมตัวเอง ตั้งแต่กลไกทางกำไรและกลไกราคาจะเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นผลิตในสิ่งที่คนอื่นต้องการมากที่สุด ซึ่งในงานเขียนของเขาเองได้อธิบายถึง "มือที่มองไม่เห็น" "บทบาทของตลาดเสรีและการค้าเสรี" ก่อนหน้างานเขียน The Wealth of Nations (1776) ของอดัม สมิท (Adam Smith) จะตีพิมพ์ถึง 11 ปี . ต่อมาหนึ่งในลูกศิษย์ของไชเดเนียสที่ชื่อ จอร์จ แอดเลอร์สปาร์ (Georg Adlersparre) เป็นนักคิดคนแรก ๆ ในสวีเดนที่เรียกเสรีภาพในทรัพย์สินและเสรีภาพส่วนบุคคลว่าแนวคิดแบบ "เสรีนิยม" ตัวของแอดเลอร์สปาร์ยังได้แปลงาน The Wealth of Nations ของอดัม สมิทเป็นภาษาสวีเดนและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติในปี ค.ศ.1809 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเองกษัตริย์กุสตาฟที่ 4 อดอล์ฟ (Gustav IV Adolf) ได้นำพาประเทศไปสู่สงครามกับรัสเซีย ฝรั่งเศส และเดนมาร์กพร้อม ๆ กัน ในปลายทศวรรษ 1808 กองทัพสวีเดนต้องยอมจำนนในส่วนครึ่งหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศ—ฟินแลนด์—เพื่อรุกรานรัสเซียและหลายคนกลัวว่าสวีเดนจะทำเช่นนั้นจะต้องพังทลายลง แอดเลอร์สปาร์จึงได้เข้าควบคุมกองทัพตะวันตกแล้วออกประกาศให้กองทัพต้องยกทัพไปสต็อกโฮล์มและปลดกษัตริย์ออกไปเพื่อกอบกู้ประเทศ กษัตริย์ถูกจับกุมตัวและกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “เสรีนิยม” ได้ต่อสู้เพื่อประเทศและสร้างปฏิรูปที่รุนแรงในรัฐสภาปฏิวัติปี ค.ศ. 1809-10 . อีกทางหนึ่งในช่วงยุคการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศสวีเดนก็ได้มีผู้ประกอบการคนหนึ่งชื่อว่า ลาร์ส โยฮัน เอียร์ต้า (Lars Johan Hierta) ต่อมาในปี ค.ศ.1830 เขาได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์อย่าง Aftonbladet (อาฟตันเบลด) ที่มีอิทธิพลต่อฝ่ายเสรีนิยมในสวีเดนและสร้างพื้นที่ทางการเมืองให้แก่พวกกลุ่มสายกลางปฏิรูปอย่างโยฮัน ออกัสต์ กริเพนสเตดท์ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทำให้ช่วงระหว่างปีค.ศ.1840 และ ค.ศ.1870 สวีเดนได้อยู่ในยุคของการปฏิวัติเสรีนิยมที่สงบสุขที่สุด มีการปกป้องสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล เสรีภาพในการแบ่งแยก การโอนถ่าย การซื้อและขายที่ดิน กฎระเบียบที่ขัดขวางการส่งออกเหล็กและไม้ถูกยกเลิก กิลด์การค้าที่เป็นตัวตอการผูกขาดเศรษฐกิจก็ได้ถูกทลายลงในเวลาต่อมา และช่วงต้นปี ค.ศ.1846 และ ค.ศ.1864 ผู้หญิงก็สามารถเริ่มทำธุรกิจได้อย่างเสรีมากขึ้น สวีเดนมีกฎหมายบริษัทร่วมหุ้นที่มีความรับผิดจำกัดตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1848 ซึ่งถูกทำให้ทันสมัยมากขึ้นอีกทีในปี ค.ศ. 1895 มีการก่อตั้งระบบธนาคารและยกเลิกการควบคุมอัตราดอกเบี้ย ระบบเก่าที่กีดกันทางการค้าถูกรื้อออก และในปี ค.ศ.1865 รัฐมนตรีการเงินอย่างกริเพนสเตดท์เป็นผู้ทำให้สวีเดนเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาการค้าระหว่างฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ซึ่งเป็นสนธิสัญญาด้วยข้อกำหนดของประเทศที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนสามารถเข้าถึงตลาดของผู้อื่นเป็นผลสืบเนื่องในการเปิดการค้าขายของยุโรป . อีกหลายประเด็นที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจก็คือ เสรีภาพในการนับถือศาสนาและการพิมพ์/สื่อสารมวลชนก็ได้เพิ่มขยายมากขึ้น ผู้หญิงมีสิทธิ์ในทรัพย์สินและตนเอง มีสิทธิ์ได้รับการศึกษาและการมีอาชีพ และอื่น ๆ ซึ่งมาพร้อมกับการแพร่กระจายแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตย วัฒนธรรมและเทคโนโลยีภายในประเทศอีกด้วย แต่ยังมีหลายอย่างที่ยังคงมี "การแทรกแซงของรัฐ" ที่ยังคงอยู่เช่น การศึกษาการบังคับสำหรับนักเรียนประถม (mandatory elementary education) การสร้างระบบรางรถไฟแห่งชาติ (national railway system) แต่ทั้งสองอย่างนี้มันก็ได้ถูกอธิบายโดยเสรีนิยมสายกลางที่มองว่ากองทุนรัฐบาลในเรื่องของสินค้าสาธารณะจะเป็นประโยชน์กับทุกคนเช่น การศึกษาขั้นพื้นฐานและรถไฟ ในขณะเดียวกันก็มองว่าการแทรกแซงของรัฐจะเป็นประโยชน์แต่คนกลุ่มเดียวที่คนอื่นไม่เต็มใจจะจ่ายเงินภาษีให้คนกลุ่มนั้น มากไปกว่านั้นพวกสนับสนุนการให้รัฐสร้างรางรถไฟเฉพาะสายหลักเท่านั้น ส่วนสายรองหรือสายในท้องที่ควรจะเป็นของเอกชนดูแลเป็นเจ้าของ . อย่างไรก็ตามความสำเร็จของระบบตลาดเสรีในช่วงเวลานี้เองก็ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่าและกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหวแรงงานยอมรับกับ "Gripenstedt System" (แนวคิดของรัฐมนตรีการเงินที่เป็นหัวคิดเสรีนิยม) ที่เป็นแนวคิดสามารถแสดงให้เห็นว่าใช้ได้และมีประสิทธิภาพ การปฏิรูปนี้ก็กินเวลาไปประมาณเกือบ 100 ปีทำให้เศรษฐกิจสวีเดนร่ำรวยและเหนือชั้นกว่าบางประเทศในยุโรปตามที่กริพเพนสเตดท์ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า "สวีเดนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ถึงแม้จะเป็นประเทศยากจน" = รัฐสวัสดิการสร้างความรุ่งเรืองให้สวีเดนจริงหรือไม่? = ประเทศสวีเดนไม่ได้เดินตามรอยเท้าประเทศสังคมนิยมหลายประเทศแบบรุนแรง แต่แนวทางของพรรคสังคมประชาธิปไตย (social democrat) ต้องการจะควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย Employee Funds ซึ่งเป็นแบบแผนจากสหภาพแรงงานในปี ค.ศ.1976 ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของผลกำไรของบริษัทจะต้องถูกรัฐบาลเก็บภาษีไว้เพื่อนำไปใช้ซื้อหุ้นในบริษัทสวีเดนอีกทีเพื่อเป้าหมายในการโอนบริษัทเหล่านั้นจากมือของเอกชนไปสู่การเป็นเจ้าของร่วม (ควบคุมโดยรัฐผ่านการซื้อหุ้นเอกชนและใช้เงินจากภาษีไปซื้อหุ้น) แต่ทว่าการกระทำนี้ถูกปฏิเสธจากความคิดเห็นของประชาชนและต้องถอยห่างจากแนวทางนี้เนื่องจากกระแสโต้กลับของกลุ่มธุรกิจเองด้วยส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ทางความคิดแบบสังคมนิยมในปีทศวรรษ 1970s และ 1980s ส่วนใหญ่จะเป็นการควบคุมจากรัฐภายนอกมากกว่าเกิดขึ้นในกระบวนการภายในเศรษฐกิจ อย่างเช่น การควบคุมภายนอกผ่านกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ การควบคุมราคา การเพิ่มภาษีเพื่อให้มีการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจ หรือ การทำให้กระบวนการตัดสินใจเศรษฐกิจที่ควรเป็นของปัจเจกกับเจ้าของธุรกิจเอง แต่กลับถูกยึดโดยนักการเมืองและผู้มีอำนาจในรัฐบาล ซึ่งใช่เวลานี้เองทำให้เศรษฐกิจของประเทศสวีเดนมีแนวโน้มที่จะเอียงไปทางสังคมนิยมมากกว่าตลาดเสรีทุนนิยม หากตอบสั้น ๆ ว่าทำให้รุ่งเรืองจริงหรือไม่? คำตอบก็คือ “ไม่อย่างแน่นอน” . กลุ่มสังคมประชาธิปไตยตื่นตระหนกกับการขึ้นมาของกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงในปัจจุบันที่เป็นนักเรียนและปัญญาชนในช่วงทศวรรษ 1960s แต่ว่ากลุ่มสังคมประชาธิปไตยมีความพยายามสร้างพันธมิตรกับชนชั้นแรงงาน จึงเป็นเหตุผลให้พรรคสังคมประชาธิปไตยและผองเพื่อนใช้โอกาสตรงนี้ในการเถลิงอำนาจตั้งแต่ปี ค.ศ.1932 เป็นต้นมาแทนที่จะเป็นกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงที่เกิดขึ้นภายหลัง รัฐบาลสังคมประชาธิปไตยผลักดันการทำให้เป็นสังคม (socialize) เพื่อเอื้อต่อการบริโภคทางเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซึ่งตรงนี้้เองมันได้นำไปสู่การขยายขนาดอำนาจรัฐบาลอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงใช้เวลาแค่ 20 ปี การใช้จ่ายภาครัฐมีมากกว่า 2 เท่าจาก 25.4 ถึง 58.5 ระหว่างปี ค.ศ.1965 และ ค.ศ.1985 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการขยับขยายการให้บริการทางสังคมอย่าง ระบบสาธารณสุข ระบบดูแลผู้สูงอายุ ระบบดูแลเด็กแรกเกิด หรือ ระบบเงินบำนาญและเบี้ยเลี้ยงที่อยู่อาศัย มีการเก็บอัตราภาษีส่วนเพิ่มจากกลุ่มคนงานหรือกรรมกรจากที่เคยน้อยกว่า 40% ในปี ค.ศ.1960 กลายเป็นมากกว่า 60% ในปี ค.ศ.1980 ในขณะที่พนักงานออฟฟิต มนุษย์เงินเดือน ข้าราชการ หรือ ผู้บริหารมีการเก็บภาษีสูงกว่า 70% ส่วนภาษีเงินเดือน (payroll tax) ก็เพิ่มขึ้นจาก 12.5% ในปี ค.ศ.1970 ไปเป็น 36.7% ในปี ค.ศ.1979 ยังรวมไปถึงภาษีที่นักลงทุนจ่ายเมื่อขายสินทรัพย์ได้กำไร (Capital gains tax) จะต้องมีการเก็บแบบอัตราก้าวหน้า (ยิ่งได้กำไรเยอะยิ่งเก็บเยอะ) และภาษีบริษัทที่สูงเกือบ 60% ในปี ค.ศ.1980s ในช่วงเวลาเดียวกันรัฐบาลสังคมประชาธิปไตยก็ยังเพิ่มต้นทุนในการทำธุรกิจและออกกฎระเบียบทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันอีกด้วย มีการควบคุมราคาที่บังคับให้ธุรกิจจะต้องเข้าสู่การเจรจาต่อรองการเปลี่ยนแปลงราคากับรัฐบาล หมายความว่า แม้แต่การเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยก็อาจมีปัญหาได้ทันที มันส่งผลให้สกุลเงินของสวีเดนเสื่อมคุณค่าลงเพราะมีการดำเนินการควบคุมการเพิ่มราคาสินค้าและบริการหลายประการ ในปี ค.ศ.1974 รัฐบาลยังออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่มีการควบคุมมากมาย ทั้งการกำหนดเหตุผลทางกฎหมายในการเลิกจ้างและกำหนดให้สถานที่ทำงานจำเป็นต้องไล่พนักงานคนก่อนออกเนื่องจากมีความอาวุโสกว่าแล้วให้พนักงานคนใหม่เข้ามาแทนที่ (“คนหลังเข้า คนก่อนออก”) และอื่น ๆ = รัฐสวัสดิการเป็นภาระหนักหนาจนไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในที่สุด = สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นนี้นำไปสู่การขยับขยายวิกฤตทางเศรษฐกิจของสวีเดนอย่างมีนัยสำคัญ (a). รัฐบาลสวีเดนมีความพยายามลดค่าเงินและคงค่าเงินเอาไว้คานกับมาร์คเยอรมัน (ค่าเงินขอเยอรมันตะวันตก) กับหน่วยสกุลเงินของยุโรป (ECU) ส่งผลทำให้ในปี ค.ศ.1976 โครนาสวีเดนลดค่าลง 3 เปอร์เซ็นต์ อีกครั้งในเดือนเมษายน ค.ศ.1977 ลง 6 เปอร์เซ็นต์ และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันเพิ่มขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกันยายน ค.ศ.1981 มีการลดมูลค่าลง 10 เปอร์เซ็นต์ และสุดท้ายคือในปีค.ศ. 1982 หลังจากที่พรรคสังคมประชาธิปไตยกลับมามีอำนาจอีกครั้งมูลค่าของเงินก็ลดลงไปอีกถึงถึง 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุหนึ่งในการลดค่าเงินครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันในกับสกุลเงินอื่นเท่านั้นแต่ยังเป็นเพราะ (i).สหภาพแรงงานเรียกร้องการเพิ่มค่าแรงให้กับแรงงานโดยทันที ซึ่งส่งผลทำให้ค่าของเงินลดลง และ (ii).การเติบโตของเศรษฐกิจระหว่างประเทศช่วงทศวรรษ 1980s ทำให้เกิดการการลดค่าเงินที่สูงมากในปี ค.ศ. 1982 ได้ซ่อนปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการในเศรษฐกิจสวีเดน ซึ่งตรงนี้การแก้ไขปัญหาแบบเคนส์ก็คือการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดเงินเฟ้อและเพิ่มเงินหมุนเวียนมาจ่ายค่าแรงกับแรงงาน แต่กลับกันค่าครองชีพที่สูงขึ้น สหภาพแรงงานก็ย่อมที่จะเรียกร้องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด และ (iii).การลดค่าเงินได้กระตุ้นภาคการส่งออก แต่ก็เป็นเรื่องเอาแน่เอานอนไม่ได้เพราะมันเป็นการบ่อนทำลายการลงทุนระยะยาวและบิดเบือนกลไกราคา แทนที่จะปล่อยให้กลไกตลาดสนับสนุนบริษัทที่มีประสิทธิผลและลงโทษบริษัทที่ไม่มีการแข่งขันทั้งหมด บริษัทส่งออกได้รับการเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ในขณะที่การลดค่าเงินช่วยปกป้องธุรกิจในประเทศที่ไม่ก่อผลจากการนำเข้า อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งการส่งออกของตลาด OECD ของสวีเดนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในทศวรรษ 1970s และ 1990s ลดลงเกือบ 30% . (b).บริษัทเกิดใหม่ในประเทศสวีเดนมีจำนวนน้อยลงและบริษัทที่ยังเหลืออยู่ไม่มีการขยับขยายกิจการมากเท่าที่ควร โดยเฉพาะในปี ค.ศ.1990 เศรษฐกิจสวีเดนไม่ได้สร้างงานสุทธิในภาคเอกชนมาก ซึ่งสวนทางกับประชากรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลสวีเดนยังคงการขาดดุลงบประมาณทุก ๆ ปีตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 จนถึงปี ค.ศ.1987 และมีจำนวนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 18% ต่อจีดีพีในปี ค.ศ.1970 กระโดดไปมากกว่า 70% ในปีค.ศ.1985; (c).ในปีค.ศ.1973 อิงวาร์ คัมปราด (Ingvar Kamprad) ผู้ก่อตั้งบริษัทเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง IKEA ถอนทุนออกจากสวีเดนและมูลนิธิที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทได้ย้ายไปยังเนเธอร์แลนด์ Tetra Pak ก็ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1981 และเฟรดริก ลุนด์เบิร์ก (Fredrik Lundberg) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของสวีเดนก็เดินทางออกจากประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการและนักลงทุนอีกหลายคนในปี ค.ศ.1985 กลายเป็นว่าสวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเท่าเทียมกันมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเพราะ "คนรวยและเจ้าของกิจการร้านค้าต่าง ๆ ย้ายไปที่อื่นหมด" . และ (d).ช่วงวิกฤตในปีค.ศ. 1990 ถึง ค.ศ.1994 เกิดการประทุจากเหตุผลข้างต้นซึ่งถือเป็นปัญหาในระยะยาวทางเศรษฐกิจของสวีเดนมาเป็นเวลาช้านาน (long-term problem) โดยการเติบโตในปีค.ศ.1990 อยู่ที่ 0.75% ต่อจีดีพี ในปี ค.ศ.1991 อยู่ที่ -1.10% ต่อจีดีพี ในปี ค.ศ.1992 อยู่ที่ -0.94% ต่อจีดีพี และในปี ค.ศ.1993 อยู่ที่ -1.83% ต่อจีดีพี แล้วเริ่มฟื้นตัวจากการปฏิรูปเศรษฐกิจอีกครั้งในปี ค.ศ.1994 อยู่ที่ 3.93% ต่อจีดีพี และถัดมาในปี ค.ศ.1995 อยู่ที่ 3.94% ต่อจีดีพี ซึ่งกระแสการปฏิรูปเศรษฐกิจมีจุดเริ่มต้นมาจาก (i).ประชากรทั่วไปเริ่มตั้งคำถามกับการที่รัฐบาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสรีภาพของตนและมองว่าการที่รัฐบาลมีภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่สูงขึ้นเป็นปัญหาทำให้เศรษฐกิจเอียงไปทางสังคมนิยมมากขึ้น คนเริ่มมีปฏิกริยาต่อต้าน Employee Funds และการแทรกแซงของรัฐอื่น ๆ ผ่านการโอบกอดแนวคิดของตลาดเสรีทุนนิยม (ii).โมเดลทางเศรษฐกิจของสวีเดนนั้นมีปัญหาเพราะการขาดผู้ประกอบการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลุ่มนักการเมืองของพรรคสังคมประชาธิปไตยก็เริ่มกลับมาขบคิดถึงการเอาชีวิตรอดให้กับระบบรัฐสวัสดิการของตนโดยการดำเนินการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (economic liberalization) จากการลดกฎระเบียบด้านคมนาคม ยกเลิกการควบคุมปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ยกเลิกการควบคุมเงินตราต่างประเทศ และลดกฎระเบียบเกี่ยวกับการควบคุมราคาและอัตราภาษีลง พร้อมปฏิรูประบบภาษีแบบก้าวหน้าที่เก็บโหด ๆ กลับไปเป็นระบบอัตราภาษีคงที่ และสุดท้าย (iii).วิกฤตทางการเงินในปี 1990-94 เป็นวิกฤตที่สร้างบาดแผลให้กับประเทศอย่างมากจนทำให้เกิดฉันทามติที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจไปเป็นตลาดเสรีอีกครั้งเพื่อทำให้เศรษฐกิจเกิดการเติบโตเหมือนเดิม วิกฤตนี้เองเป็นผลมาจากการสะสมปัญหาในระยะยาวทั้งในส่วนของผลิตภาพการแข่งขันที่ไม่ถูกแก้ไข การเกิดฟองสบู่เป็นผลมาจากนโยบายการเงินแบบหลวมของธนาคารกลาง (loose monetary policy) หลังจากปี ค.ศ.1986 และก่อนหน้านั้นก็มีการแทรกแซงจากรัฐอย่างหม่ำเสมออยู่แล้ว ทั้งจากการขาดดุลงบประมาณ การเสื่อมค่าของเงินและกำลังซื้อ การเพิ่มค่าแรงและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การแบกภาระจากรัฐสวัสดิการเป็นผลทำให้เกิดวิกฤตครั้งนี้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธนาคารกลางแห่งชาติของสวีเดนในช่วงเวลานั้นต้องตอบโต้โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น 500% เพื่อยับยั้งการขาดดุล การเสื่อมมูลค่าของเงิน อัตราเงินเฟ้อที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ไตรมาสติดลบ . อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันนี้เริ่มมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมาอีกครั้ง มีความพยายามทำให้อัตราภาษีลดลง การพยายามแปรรูปจากกิจการรัฐไปเป็นเอกชน แต่ในขณะเดียวกันก็ผูกระบบรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่เอาไว้กับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีทุนนิยม ชื่อเฉพาะของมันได้ว่ามันคือ "capitalist welfare state" มันไม่ใช่ระบบสายกลาง หรือ ทางที่สามแต่อย่างใด แต่เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอียงไปทางทุนนิยมมากกว่าการแทรกแซงของรัฐและสังคมนิยมเท่านั้น image
สปอยบทความ 1.รัฐสวัสดิการของสวีเดน (ละเอียด) แต่อาจจะแยกตอน ๆ ต้องดูอ้างอิงก่อน 2.สังฆกรรมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กับ fiscal multiplier
วาทกรรม "ถ้าคิดอะไรไม่ได้นอกจากปากท้องก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่เขาเลี้ยงไว้ แต่ถ้าเราคิดถึงเรื่องสิทธิ เสรีภาพ เราจะได้เป็นคนเท่ากัน" ถือเป็นความไร้สาระของฝ่ายซ้ายที่สุดท้ายก็เผยหางออกมาเพื่อที่จะยก "ศีลธรรม" ของกลุ่มตนเองให้สูงกว่ากลุ่มคนอื่น ทั้งหมดทั้งมวลมันมาพร้อมกับความหลงตัวเองกับ ความย้อนแย้งในหมู่ขบวนการฝ่ายซ้ายเอง ถ้าคนเรามีความเท่าเทียมกันตั้งแต่เริ่มแรกเริ่ม มันจะไม่มีการเรียกร้องความเท่าเทียมและถ้าคนเราไม่มีความเท่าเทียมกันตั้งแต่แรก มันก็ต้องทำให้คนเรียกร้องความเท่าเทียม ในความเป็นจริงคนเราไม่ได้เท่าเทียมกัน เราเชื่อว่าเราเท่าเทียมกันผ่าน "การอนุญาตของรัฐ" ให้ตรากฎหมายคุ้มครองปัจเจกบุคคลจะรู้จักกันในชื่อ ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ก็เป็นเพียงการกระทำของรัฐให้เชื่อว่าเราเท่าเทียมกันแล้ว แต่ทว่าธรรมชาติของมนุษย์เรามันไม่เท่าเทียมกัน ไม่มีแบบแผน (ระบบ) เหมือนกัน หรือ มนุษย์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงซึ่งทำให้ความเท่าเทียมตามธรรมชาติเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณจะทำให้เท่าเทียมในสังคมมนุษย์ได้ก็ต้องใช้กลไกที่มีในสังคมมนุษย์ผ่านกฎหมาย ผ่านรัฐเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นเพียงวิศวกรรมทางสังคม (กล่าวให้ชัดกว่านั้นก็คือ พยายามดิ้นรนหาทางทำให้ได้ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วจะทำไม่ได้) เมื่อพิจารณา "เรื่องปากท้อง" ในบริบทของการสร้างความเจริญงอกงาม มันถือเป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนเรื่องอื่น ๆ เปรียบได้เหมือนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง หรือ การจะเดินทางไกลไปรบหรืออะไรคุณต้องอิ่มท้องก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น ดังนั้น การด้อยค่าเรื่องปากท้องมันก็เท่ากับด้อยค่าเรื่องสำคัญที่สุดในสังคมมนุษย์ แถมแต่ละสังคมที่แตกต่างกันอยู่แล้วมันก็ไม่ได้เกิดจากการมีสิทธิและเสรีภาพเริ่มแรก แนวคิดเหล่านี้มันเพิ่งจะมีมาช่วงที่อารยธรรมมนุษย์มันก้าวหน้า ตรงนี้คนกล่าวอ้างวาทกรรมเขาไม่ได้เข้าใจถึง "ความสำคัญ" ว่าปากท้องสำคัญกว่าสิทธิและเสรีภาพยังไง ผมเชื่อว่าคนเราไม่ได้กินเรื่องพวกนี้เป็นอาหาร (สิทธิและเสรีภาพ) ทุกมื้อ เพราะเราไม่ใช่นักกิจกรรมทางการเมืองครับ เราจะใช้วาทกรรมนี้ปลุกปั่นคนให้นำเงินมาบริจาคเราไม่ได้
ขบวนการฝ่ายซ้ายกับการใช้เหตุผลวิบัติในการสื่อสาร . โดย TheReactionarist . ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะเคยผ่านประสบการณ์การเถียงกับฝ่ายซ้ายมาบ้างแล้ว พวกท่านอาจจะได้เคยพบเห็นวิธีการเถียงของพวกมันที่เน้นเรื่องการบิดเบือน, ย้อนแย้ง และ “ความเห็นใจ” เป็นหลักมากเสียกว่าที่จะใช้เหตุผลและหลักการ หนึ่งในเหตุผลที่พวกมันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าผู้เขียนมองว่า (a) หลักการของพวกมันใช้ไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ฉะนั้นการที่พวกมันจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามด้วยเหตุผลและหลักการจึงเป็นหนึ่งในทางออกเมื่อพวกมันไม่สามารถแถ (เถียง) ได้อีกต่อไป โดยการหลีกเลี่ยงดังกล่าวอาจจะตามมาด้วยการโจมตีบุคคลเรื่องส่วนตัวของฝ่ายตรงข้ามหรือด่าทอโดยใช้ฐานความคิดเพียงแค่ด้านความเห็นใจเป็นหลัก; . (b) พวกมันถูก “ล้างสมอง” จากแนวคิดซ้ายและบวกกับการเมืองไทยที่ได้สร้างความแตกแยกจนเกิดการแบ่งขั้ว (political polarization) อย่างชัดเจนจึงทำให้การพูดคุยเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้รวมไปถึงเทรนทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ทั่วไปที่มองเพียงแค่ว่าเวทีทางการเมืองไทยเป็นเพียงแค่ “การต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย” ในขณะที่ใครก็ตามที่ยืนอยู่นอกเหนือกรอบทางการเมืองดังกล่าว เช่น เพจ อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ก็จะถูกตีความว่าเป็นเสื้อเหลือง-สลิ่ม หรือตรงกันข้ามฝ่ายเสื้อเหลือง-สลิ่มก็จะมองว่าเราเป็นเสื้อส้ม-สามกีบ . ในบทความสั้นนี้ทางผู้เขียนกล่าวถึงการใช้เหตุผลวิบัติในการสื่อสารของฝ่ายซ้ายที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลกอินเตอร์เน็ต เราจะเน้นที่ฝ่ายซ้ายมากกว่าตามเหตุผลที่ได้กล่าวไปข้างต้น มันอาจจะไม่เป็นสิ่งที่ฝ่ายซ้ายใช้พวกเดียวแต่อาจจะรวมไปถึงฝ่ายอื่นด้วยเช่นกันแต่ทางเรามองว่าเหตุผลวิบัติเหล่านี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายบนเวทีการเมืองโดยฝ่ายซ้ายในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นอย่างมาก . Red herring: การเฮอร์ริ่งแดงหรือ “red herring” คือการหันเหใจความสำคัญของการสื่อสารและการถกเถียงไปที่เรื่องอื่นโดยที่เรื่องดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญกับการสื่อสารหรือการถกเถียง ฝ่ายซ้ายมักจะใช้เหตุผลวิบัติในรูปแบบนี้เพื่อหลีกเลี่ยงถึงปัญหาที่ตามมาของอุดมการณ์และความต้องการของพวกมันบนเวทีการเมือง ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังถกเถียงกับฝ่ายซ้ายอยู่ในเรื่องที่ว่าทำไมประเทศไทยถึงมาจุดนี้ได้ แต่แล้วอยู่ดี ๆ ฝ่ายซ้ายก็โพล่งขึ้นมาว่า “ถ้าการเมืองดีเราจะ...” – ตรงนี้จะเห็นได้ชัดถึงความพยายามที่จะหันเหประเด็นไปเรื่องอื่นให้คุณและผู้ฟังไปเน้นที่ประเด็น “การเมืองดี” แทนหลักการหรือเหตุผลอื่นที่มีน้ำหนักมากกว่า การเฮอร์ริ่งมักจะถูกใช้ร่วมกับ “วาทกรรม” (“rhetoric”) เพื่อจูงใจผู้ฟังในขณะที่ฝ่ายซ้ายมักจะไม่อธิบายเลยว่า “การเมืองดี” ดังกล่าวคืออะไร? นิยามแบบไหน? เป็นในรูปแบบใด? มากไปกว่านั้นนอกเหนือจากการเฮอร์ริ่งแดงแล้ว วาทกรรม “การเมืองดี” เป็นเครื่องมือแบ่งดีร้ายใช้เพื่อสร้างภาพ เพียงเพราะแค่มันใช้วาทกรรม “การเมืองดี” แล้ว คุณและผู้ฟังก็จะต้องยอมจำนนต่อความต้องการ “การเมืองดี” ของมันในขณะที่คุณถูกป้ายสีให้เป็น “การเมืองร้าย” . Ad hominem: การโจมตีตัวบุคคลหรือ “ad hominem” คือเหตุผลวิบัติที่โจมตี ลักษณะ, รูปลักษณ์, แนวคิด, แรงจูงใจ, ความเป็นมา, ประวัติ และ อื่น ๆ ที่นิยามตัวบุคคลแทนที่จะเป็นการถกเถียงที่ตัวประเด็นจริง ๆ เหตุผลวิบัติในรูปแบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ตเพราะการเข้าถึงที่ง่ายและเป็นแหล่งรวมคนรุ่นใหม่ฝ่ายซ้ายที่ยังคิดถกเถียงและคุยให้ตรงประเด็นไม่ได้อย่างสมบูรณ์หรือกล่าวในภาษาอังกฤษก็คือ “unwise” ทั้งนี้ทางเราก็เคยเห็นคนรุ่นเก่าที่ใช้เหตุผลวิบัตินี้เช่นกันตามเพจข่าวต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น มีคนเสื้อแดงออกมาต้อนรับอดีตนายกท่านนั้นที่กลับไทยมาไม่ว่าจะเหตุใดก็ตาม แต่กลุ่มคนบางกลุ่มโดยเฉพาะที่อ้างตัวว่าเป็น “คนรุ่นใหม่-เสื้อส้ม” ก็ออกมาโจมตีว่า “คนเสื้อแดงโดนจ่ายมา” – ตรงนี้จะเห็นได้ชัดถึงการโจมตีแรงจูงใจของคนเสื้อแดงมากกว่าที่จะถกเถียงถึงประเด็นที่ว่าทำไมคนเสื้อแดงถึงออกมาต้อนรับอดีตนายก เพราะเขายังเป็นคนที่สามารถกู้ประเทศได้จากกระแสฝ่ายซ้ายใหม่? เพราะเขายังเป็นคนที่สามารถสร้างความสงบได้? เพราะเขาสามารถจะช่วยทำให้ประเทศดำเนินต่อไปที่ตรงกันข้ามกับที่พวกมันต้องการแต่ยังเป็นที่ชื่นชอบต่อคนต่างจังหวัด? พวกมันไม่ได้สนคำถามเหล่านี้แต่โจมตีคนเสื้อแดงเพียงง่าย ๆ แค่ว่า “คนเสื้อแดงโดนจ่ายมา” รวมไปถึงอาจจะโจมตีพร้อมความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าคนเสื้อแดงทุกคนต้องการเงินจึงออกมาต้อนรับอดีตนายก ในประเด็นนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการมโนภาพของฝ่ายซ้ายที่มองว่าตัวเองมีศีลธรรมและการศึกษาที่สูงกว่าผู้อื่น – ทั้งนี้การโจมตีตัวบุคคลในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศตะวันตกมักจะเป็นการโจมตีโดยป้ายสีตรง ๆ อย่างรุนแรง เช่น กล่าวหาว่าบุคคลหนึ่งเป็น “นาซี” หรือ “ฟาสซิสต์” ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นพวกเขาก็ถือว่าผิด หรือถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นจริง ๆ แล้วยังไง? บุคคลดังกล่าวก็มีหลักการและเหตุผลที่มีน้ำหนักพอที่จะเถียงได้ (นอกเสียจากจะมองในเชิงฝ่ายซ้ายที่ตีความว่า “ลัทธิฟาสซิสต์” ไม่มีหลักการมาโดยตลอด ทางเราไม่เคยมองว่าเพราะศัตรูเราเป็นซ้าย/คอมมิวนิสต์เราจึงต้องโจมตีเพราะพวกมันเป็นแบบนั้น เราโจมตีที่หลักการและเหตุผลของพวกมัน) . Straw man fallacy: การโจมตีหุ่นฟางหรือ “straw man fallacy” คือเหตุผลวิบัติที่โจมตีเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ได้เสนอ ฝ่ายซ้ายมักจะใช้เหตุผลวิบัตินี้ในการสร้างภาพลวงที่ว่าตนได้โต้แย้งเหตุผลของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์เพื่อทำให้ผู้ฟังคิดว่าตนได้ชนะอีกฝ่ายแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ทางเพจ อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ได้อธิบายว่า “แรงงานไม่ได้เป็นผู้สร้างมูลค่า ([l]abor does not create value) แรงงานถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิตสินค้าและบริการก็จริง แต่ “มูลค่าของสินค้า” ขึ้นอยู่กับอรรถประโยชน์ของปัจเจกแต่ละคน” แต่กลับมีบุคคลท่านหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำตามใจ ไปตามจิตวิสัยเสมอไป เพราะงบประมาณคนเราไม่เท่ากัน และจิตวิสัย ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงความ สมเหตุสมผล กับราคาที่ต้องจ่ายเสมอไป” – ในประเด็นนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าบุคคลดังกล่าวพยายามที่จะเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่อง “งบประมาณ [...] ไม่เท่ากัน” มากกว่าที่จะโจมตีว่าทำไม “อรรถประโยชน์ของปัจเจกแต่ละคน” ถึงไม่ใช่กฎเหล็กของการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ มากไปกว่านั้นบุคคลท่านนั้นยังมองว่า “ความรู้สึก” ที่มีต่อ “งบประมาณ” ไม่เกี่ยวกับ “จิตวิสัย” ในขณะที่ทางเพจได้อธิบายในประเด็นเรื่องนี้ในแง่ของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน (Austrian School of Economics) มาอยู่หลายครั้งอย่างสม่ำเสมอ . Self-contradiction: ความย้อนแย้งในตัวเอง “self-contradiction” คือเหตุผลวิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อประโยคประพจน์ของผู้กล่าวขัดแย้งในตัวมันเองหรือขัดแย้งกับความจริงที่เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านประจักษ์นิยม (empiricism) และเหตุผลนิยม (rationalism) ฝ่ายซ้ายมักจะเสนอนโยบายซ้ายของพวกมันออกมาโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกมันกำลังเสนอนั้นย้อนแย้งในตัวมันเอง และถึงทำไปก็ถือว่าเป็น “การแก้ปัญหาด้วยการวนอยู่ที่เดิม” เสียมากกว่าที่จะเป็นการก้าวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้เหตุผลวิบัติในข้อนี้ถือว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญหลักที่ทำให้พวกซ้ายพยายามที่จะเปลี่ยนเทรนของโลกให้ไปทางซ้ายทีละนิดทีละน้อย เมื่อธรรมชาติของจักรวาลและธรรมชาติของมนุษย์ถูกเปลี่ยนเป็นไปเป็นแบบที่พวกซ้ายต้องการความย้อนแย้งก็จะเกิดขึ้นได้ยาก กล่าวคือธรรมชาติอยู่ในมือของพวกมันฉะนั้นความย้อนแย้งจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ทางเพจ อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ให้ความเห็นว่าการแข่งขันตามธรรมชาติโดยไร้รัฐเข้ามาแทรกแซงเท่านั้นที่จะเป็นแรงผลักดันทำให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น แต่กลับมีบุคคลท่านหนึ่งกล่าวว่า “เอกชนจะแข่งขันกันให้เกิดค่าแรงที่เหมาะสมกับแรงงานก็ต่อเมื่อ มีความสามารถในการแข่งขันเท่ากัน อยู่ในบริบททางสังคม และ/หรือมีมาตรฐานจริยธรรมเดียวกันเท่านั้น” โดยที่หลักฐานของความเป็นจริงทั้งในด้านประจักษ์และเหตุผลนั้นการแข่งขันที่จะทำให้เกิดความเหมาะสมต่อสภาวะสังคมจริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนมีความต่างกัน เมื่อธรรมชาติของมนุษย์ยังคงอยู่และถูกแบ่งด้วยความแตกต่างและชนชั้นเท่านั้นที่จะทำให้ “เกิดค่าแรงที่เหมาะสม” ในขณะเดียวกันการทำให้ “อยู่ในบริบททางสังคม และ/หรือมีมาตรฐานจริยธรรมเดียวกันเท่านั้น” โดยใช้อำนาจรัฐในการควบคุมการแข่งขัน “ให้เท่ากัน” รัฐเข้ามาเพื่อบังคับให้ค่าจ้างแรงงาน “เหมาะสม” ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้ “เหมาะสม” แม้แต่น้อยเมื่อปัจเจกในประเทศถูกลดทอนอำนาจในการต่อรองแล้วให้รัฐเข้ามาเป็นนายหน้าโดยที่คำว่า “เหมาะสม” ถูกนิยามโดยรัฐ ฉะนั้นความเหมาะสมจริง ๆ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในประเด็นนี้จะเห็นได้ชัดว่า “การแข่งขัน [ที่เท่ากัน]” ดังกล่าวของบุคคลท่านนั้นย้อนแย้งในตัวมันเอง “การแข่งขัน” ถูกทำให้ “เท่ากัน” มันจะไม่ใช่ “การแข่งขัน” อีกต่อไป image
Hans-Hermann Hoppe ลงสื่อกระแสหลักแล้วนะครับ
เราคือขวาเก่า (Old Right) . มันมักจะมีกลุ่มคนบางกลุ่มกล่าวหาว่าอุดมการณ์และกลุ่มของเราเป็น “ฝ่ายขวาใหม่” (“New Right”) หรือ “ฝ่ายขวาทางเลือก” (“Alt-Right”) ซึ่งในทางตรงกันข้ามและในความเป็นจริงแล้วเราคือ “ฝ่ายขวาเก่า” (“Old Right”) ที่มีอุดมการณ์แตกต่างจากฝ่ายขวาใหม่ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างชัดเจน เราต่อต้านอุดมการณ์ของเหล่าฝ่ายขวาใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็นในประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่หรือ “neoconservatism” และ กลุ่มเสรีนิยมใหม่หรือ “neoliberalism” ที่สนับสนุนการแทรกแซงทางการเมืองต่างประเทศ, สนับสนุนตลาดเสรีแบบบังคับ และการบังคับแจกประชาธิปไตยที่เห็นได้ทั่วโลก ในทางตรงกันข้ามเราสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่าหรือ “paleoconservatism” และ กลุ่มอิสรนิยมแบบเก่า “paleolibertarianism” ที่เป็นกระแสของฝ่ายขวาก่อนสงครามที่มีเป้าหมายในการต่อต้านนโยบายนิวดีล (New Deal) เรามองว่าสหรัฐอเมริกาควรที่จะกลับไปใช้นโยบายทางการต่างประเทศก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้น กล่าวคือหันไปหานโยบายไม่แทรกแซง (non-interventionism) และ ต่อต้านนโยบายการเข้าร่วมสงครามของ ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) แทน คำว่า “paleoconservatism” และ “paleolibertarianism” ถูกเริ่มใช้ในช่วงทศวรรษที่ 1980s เพื่อใช้นิยามกลุ่มอนุรักษ์นิยมและอิสรนิยมแบบดั้งเดิม ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขวาใหม่และฝ่ายขวาเก่าเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของกลุ่มอนุรักษ์นิยมและอิสรนิยมดั้งเดิมที่มองว่ากระบวนการการแจกประชาธิปไตยและความหลากหลายในนามของเสรีนิยมทั่วโลกโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่เป็นแนวคิดที่ห่างไกลจากอุดมการณ์ที่ใช้สร้างชาติแบบดั้งเดิมตามเจตนารมณ์ของบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (Founding Fathers of the United States) และการที่ฝ่ายขวาใหม่มองว่าฝ่ายขวาเก่าเป็น “ตำรวจโลกไม่พอ” และ “รัฐบาลที่อุ้มทุกคนไม่พอ” จึงทำให้ฝ่ายขวาใหม่มองว่าสหรัฐอเมริกาควรที่จะยืนเป็นหนึ่งของโลกและเพื่อควบคุมโลกให้เป็นไปตามความต้องการของชนชั้นนำสหรัฐฯ และเหล่าชนชั้นนำโลกนิยม (globalists) ในบทความนี้เราจะอธิบายว่าทำไมเราจึงเป็นขวาเก่าและทำไมขวาใหม่ถึงเป็นจุดยืนที่ทำให้ฝ่ายซ้ายโตขึ้นมาและปราศจากความมั่นคงที่นำพาความหายนะมาสู่ฝ่ายขวาทางการเมืองโดยรวม = ในแง่ของการเมืองภายในประเทศ การเมืองระหว่างประเทศและสังคม = ฝ่ายขวาใหม่มีจุดเริ่มต้นมาจากสมาชิกของฝ่ายขวากลางของทั้งสองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธแนวทางการลดอำนาจรัฐของฝ่ายขวาเก่าและยอมรับแนวคิดของรัฐบาล แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ และผลพวงของลัทธิเคนส์เซี่ยน (Keynesianism) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีความเห็นว่าอุดมการณ์ฝ่ายขวาแบบเก่าเป็นผลทำให้ “ลัทธิฟาสซิสต์” (fascism) เกิดขึ้นมาได้เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ไป “ดูแล” เวทีโลกเลย (ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเนื่องจากตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมารัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ทำการ “ดูแล” โลกมาโดยตลอดไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม – เพราะการ “ดูแล” ของรัฐบาลสหรัฐฯ และการตีกรอบให้กับตะวันออกโดยเฉพาะในสาธารณรัฐไวมาร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่างหากที่ทำให้ลัทธิฟาสซิสต์เกิดขึ้นมาราวกับเป็นปฏิกิริยา) ถึงแม้พวกเขาฝ่ายขวาใหม่จะไม่ปฏิเสธนโยบายนิวดีลก็ตาม แต่พวกเขาก็มองว่ามรดกของนิวดีลอย่างนโยบาย “Great Society” ของ ประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson) และการเติบโตของซ้ายใหม่ (New Left) เป็นผลลัพธ์ของการที่พรรคเดโมแครต (Democratic Party) ปล่อยให้ลัทธิคอมมิวนิสต์และซ้ายเฉดอื่น ๆ เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศตั้งแต่ยุค 1930s เป็นต้นมา แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาฝ่ายขวาใหม่จะเห็นว่าภัยร้ายคือลัทธิคอมมิวนิสต์พวกเขสก็ไม่ได้มองว่าเสรีนิยมประชาธิปไตย (liberal democracy) ที่มีกลไกอันเปราะบางสามารถที่จะนำปัญหาอื่นเช่นอุดมการณ์ซ้ายเข้ามาแทรกซึมได้ มากไปกว่านั้นพวกเขายังพยายามที่จะเสนอจุดยืนของพวกเขาว่าสนับสนุน “โลกเสรี” แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะเพิ่มอำนาจรัฐในการจัดการปัญหาต่าง ๆ และมองว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหมควรจะถูกเพิ่มให้มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการยึดถือ “ความเป็นข้อยกเว้นที่ไม่มีหลักการ” (“unprincipled exception”) ของฝ่ายขวาใหม่ กล่าวคือ “วัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมือนจะขวาแต่เปิดทางให้กับฝ่ายซ้ายเนื่องจากความไม่มั่นคงของจุดยืนและการยอมรับกลไกที่จะนำไปซึ่งสู่การเติบโตของฝ่ายซ้าย” (Francis 1994) ที่หนักไปกว่านั้นก็คือพวกเขาได้รับการสนับสนุนจาก “องค์กรคณะกรรมการชาวยิวอเมริกัน” (American Jewish Committee, AJC) และองค์กรยิวอื่น ๆ อย่างล้นหลาม ส่งผลทำให้นโยบายต่าง ๆ ที่พวกเขาฝ่ายขวาใหม่ทำนั้นจะต้องเอื้อให้กับชาวยิวทั้งในและนอกประเทศอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตามความคิดของนักเขียนและนักปรัชญาการเมืองฝ่ายขวาเก่าอย่าง พอล ก็อดฟรีด มองว่า “เพราะอิทธิพลขององค์กรเหล่านี้จึงทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต้องเสียภาษีและอำนาจการต่อรองของตนเพื่อที่จะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ของตนสนับสนุนรัฐอิสราเอลและการกระกระทำของของรัฐอิสราเอลมาโดยตลอด” (Gottfried 2015) นอกเหนือจากนั้นองค์กรเหล่านี้ก็ยังสนับสนุนนโยบายสิทธิมนุษยชน (civil rights) ที่มาพร้อมกับการละเมิดปัจเจกบุคคลและพื้นที่ส่วนตัว บางนโยบายก็ขัดกับรัฐธรรมนูญที่บิดาผู้ก่อตั้งได้ตั้งเอาไว้ แต่ฝ่ายขวาใหม่ก็มักจะอ้างว่ารัฐบาลกลางต้องแข็งแกร่งเหนือรัฐบาลรัฐมาโดยตลอดมันจึงทำให้นโยบายอนุรักษ์นิยมใหม่สำเร็จมาโดยตลอด . ในขณะเดียวกันนั้นทางเราในฐานะ “ฝ่ายขวาเก่า” ได้ต่อต้านนโยบายที่กล่าวมาทั้งหมด พวกเราต่อต้านการเพิ่มอำนาจรัฐและงบประมาณกระทรวงกลาโหม และพวกเรามองว่านโยบายที่เกิดขึ้นที่มาจากจุดยืน “ดูแล” ของฝ่ายขวาใหม่ที่ร่วมมือกับฝ่ายกลางซ้ายนั้นส่งผลร้ายมากกว่าผลดีต่อการทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองในแง่ของประเพณีที่บิดาผู้ก่อตั้งได้สร้างรากฐานเอาไว้ พวกเรามองว่าการแทรกแซงทางการเมืองภายในจากองค์กรของรัฐ เช่น จากการกระทำสำนักงานสอบสวนกลาง (Federal Bureau of Investigation, FBI) เพื่อถอนรากทั้งลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิฟาสซิสต์ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก การเสนอว่า “ต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์” ของฝ่ายขวาใหม่อย่างซ้ำไปซ้ำมาก็ถือเป็นการสนับสนุนฝ่ายซ้ายใหม่ที่นำลัทธิฟาสซิสต์มาเป็นแพะรับบาปจากเรื่องทุกอย่างที่ฝ่ายซ้ายใหม่มองว่าเป็นปัญหาแบบทางอ้อม การสนับสนุนเสรีนิยมประชาธิปไตยในขณะเดียวกันก็เพิ่มอำนาจรัฐเพื่อปกป้องเสรีนิยมประชาธิปไตยดังกล่าว อย่างการสนับสนุนให้รัฐเยอรมันนีตะวันตกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีองค์กรของรัฐที่ “ปกป้องรัฐธรรมนูญเสรีนิยมประชาธิปไตย” โดยเฉพาะก็ถือว่าเป็นความย้อนแย้งของฝ่ายขวาใหม่ที่มองว่าเสรีภาพจะต้องถูกกำหนดโดยรัฐและความสุดโต่งอย่างซ้ายจัดหรือขวาจัดจะต้องถูกกำจัดเพื่อสร้างโลกที่มีแต่ความสงบสุขผ่านการบังคับโดยโลกตะวันตกเสรี (Gottfried 2020) . แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาพยายามที่จะบังคับให้ทั้งโลกเห็นด้วยกับ “ระบบเสรีนิยมประชาธิปไตย” เมื่อพวกเขามองว่าเสรีนิยมประชาธิปไตยคือทางออกของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้พวกเขาก็ย่อมที่จะนำมาซึ่งวัฒนธรรมความเป็นสากล (cosmopolitanism) ที่เข้าไปแทนที่วัฒนธรรมและระบบการจัดสรรของท้องถิ่นทำให้เกิดปัญหากับคนในท้องถิ่นเป็นอย่างมาก (Whitaker 1982) ในที่นี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนผ่านการที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ประท้วงไม่ให้มีฐานทัพอเมริกัน ญี่ปุ่นแพ้ให้กับสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสูญเสียอธิปไตยไปพร้อมกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นของตนที่ถูกสั่นคลอน ในขณะที่เกาหลีถูกแบ่งเป็นสองขั้วเหนือกับใต้ตาม “เกมสร้างความสงบศึก” ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายขวาใหม่ หรือแม้แต่การสนับสนุน “รัฐบาลชั่วคราว/เสรีนิยมประชาธิปไตยฆราวาสอัฟกานิสถาน” หลังจากที่รัฐบาลตาลีบันถูกล้มลงหลังปี 2001 ซึ่งไม่ต่างอะไรเลยจากกระกระทำของสหภาพโซเวียต 20 ปีก่อนหน้านั้น ประเด็นนี้ในด้านของการเมืองระหว่างประเทศฝ่ายขวาใหม่ได้สนับสนุนการแทรกแซงประเทศอื่นในนามของ “เสรีนิยมประชาธิปไตย” อย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้ก็ได้ก่อปัญหามากมายในระดับของภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่น (i) ประเทศทั้งหลายในตะวันออกกลางทุกวันนี้ที่มีปัญหาส่วนหนึ่งก็เพราะการสนับสนุนให้สร้างรัฐอิสราเอลของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ถึงแม้ว่าจะเป็นความเห็นของคณะรัฐบาลฝ่ายกลางซ้ายในขณะนั้นก็ตามผู้ที่สนับสนุนการสร้างรัฐอิสราเอลก็มาจากฝ่ายกลางขวา/ขวาใหม่มาโดยตลอดและไม่มีทีท่าว่าจะยกเลิกสนับสนุนแต่อย่างใดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา; (ii) การบุกรุกอิรักและอัฟกานิสถานโดยอ้างว่าเป็น “การแก้แค้น” เหตุการณ์ 9/11 และอ้างเหตุผลที่ไร้หลักฐานที่ว่าอิรักในตอนนั้นมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง ท่านผู้อ่านน่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเหตุการณ์บุกรุกสองประเทศดังกล่าวมีบทสรุปออกมาเป็นเช่นไร; (iii) การสนับสนุนรัฐบาลยูเครนหลังจาก “การประท้วงปี 2014” เป็นต้นมาที่ส่อให้เห็นถึงการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการที่จะกดดันรัสเซีย และ อื่น ๆ อีกมาก . ทางผู้เขียนแนะนำให้ไปอ่านงานเขียนและฟังเลคเชอร์ของนักรัฐศาสตร์การเมือง จอห์น เมียร์ไชเมอร์ (John Mearsheimer) ที่วิจารณ์ “การแจกประชาธิปไตย” มาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะว่าเราวิจารณ์การแทรกแซงต่างประเทศโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นแนวคิดของฝ่ายขวาใหม่/อนุรักษ์นิยมใหม่เสียส่วนใหญ่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเห็นด้วยกับรัสเซียหรือจีน เราต่อต้านการแทรกแซงทางการเมืองและสงครามที่ก่อโดยทั้งสองประเทศดังกล่าวเช่นกัน ที่เราสนับสนุนขั้นต่ำที่สุดคือการไม่แทรกแซง (non-interventionism) ส่วนเป้าหมายของเราคือการไม่ยุ่งกัน (let live) และนโยบายโดดเดี่ยวนิยม (isolationism) พร้อมกับชูให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและประชาชนชาวอเมริกันอยู่เหนือสิ่งอื่นใด (America First) เหนือกว่ารัฐอิสราเอล, เหนือกว่าเด็กแอฟริกันโลกที่สาม และเหนือกว่าฝ่ายซ้าย เพราะฝ่ายขวาใหม่/กลางขวามีแนวคิดที่จะนำทั้งโลกและสังคมท้องถิ่นไปสู่หนทางของสากลนิยมที่เปิดทางให้กับฝ่ายซ้ายเราจึงยืนหยัดที่จะเป็นฝ่ายขวาเก่าดั้งเดิม . บรรณานุกรม Francis, Samuel T. Beautiful Losers: Essays on the Failure of American Conservatism. Columbia, MO: University of Missouri Press. August 1, 1994. Gottfried, Paul. “The Influence of the Jewish Lobby”. Bodrum, Turkey: Property and Freedom Society. February 9, 2015. . Gottfried, Paul. The Vanishing Tradition: Perspectives on American Conservatism. DeKalb, IL: Northern Illinois University Press. July 15, 2020. Whitaker, Robert W. The New Right Papers. New York City, NY: St. Martin's Press. January 1, 1982. image
ในแง่หนึ่งเราย่อมรู้ดีกว่านโยบาย 10000 บาท Digital Wallet มันจะมีปัญหาแน่นอน แต่ทำไมเราไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับนโยบายของพรรคที่มุ่งเน้นทำรัฐสวัสดิการที่หนักกว่าแจกเงินแค่ 10000 บาท? ทั้งที่นโยบายนี้มันจะฉุดรั้งประเทศไทยไม่ให้เจริญเลยไปกี่สิบปี? (ประเมินแล้วว่าพรรคการเมืองดังกล่าวเขาจะได้เป็นรัฐบาลในอนาคตแน่นอน) บางทีการ PR เรื่องความหวังของอนาคตมันก็ไม่ได้สวยหรูหรือเป็นตัวเลือกที่ lesser evil กว่ายิ่งพรรคแบบนี้เข้าหาสังคมนิยมแบบอ่อน (soft socialism) ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณจะหาอนาคตที่ดีได้อย่างไร?
เพจโดนเฟซ shadow เรียบร้อย ☠
image