ใจสั่นมั้ย ปะทะ ATH ครั้งแรกๆ หวั่นไหวมั้ย ที่เห็นราคา Shitcoin แม่มขึ้นเอาขึ้นเอา? image บิตคอยน์มันขึ้นช้า ตกยุค ล้าหลัง และที่สำคัญมันแพง! Altcoin สิ บล็อกเชนสิน่าคืออนาคต ไม่เห็นราคามันขึ้นเหรอ ? ราคาขึ้นเยอะ ไม่ได้หมายความว่า ประโยชน์มันจะเยอะนะครับ แต่อาจหมายถึง "ขี้โม้" เยอะ สร้างกระแสเก่งก็เป็นได้ ความโลภมันจะคอยเล่นงานเราให้เคลิบเคลิ้มไปกับคำโม้โอ้อวดของบรรดาเจ้าของโปรเจกต์ Shitcoin ที่หลอกให้เราเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนโลก มันคืออนาคต ซึ่งพวกนี้อาศัยความโลภของเรานี่แหละช่วยผลักราคา และลงเอยด้วยการเอาเหรียญส่วนใหญ่ที่ถือในมือ (เสกก่อนปล่อยสู่ตลาด) มาเทขาย สร้างความร่ำรวยให้แก๊งตนเอง ให้เจ้าของโปรเจกต์ ให้บรรดาอินฟลูรับจ้างปั่นกระแสร่ำรวยกันถ้วนหน้า แต่คนส่วนใหญ่อยู่ในสถานะ "ลุกช้าจ่ายรอบวง" เราผู้อยากรวยลัดรวยเร็วนี่แหละ คือเหยื่อที่เอาเงินไปประเคนให้เขา เมื่อตลาดพังพินาศ ฝุ่นควันแห่งความโลภจางหาย เราจะเริ่มรู้ตัวว่าเหรียญที่เราเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากไปแลกมา โดยหวังจะร่ำรวยพลิกชีวิต มันคือ "ขยะ" ดีๆ นี่เอง ของแท้และคืออนาคต คือ "บิตคอยน์" เท่านั้น ไม่ใช่ "คริปโต" ไม่ใช่ "บล็อกเชน" โปรดอย่าเข้าใจผิด ไม่งั้นเราจะตกอยู่ในวังวนวงจรอุบาทว์ กลายเป็นเหยื่อให้เขาเชือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะคิดได้เงินเก็บทั้งชีวิตอาจจะหายไปหมดแล้ว เพราะ เมื่อตลาดคริปโตวาย 99.99% ของเหรียญคริปโต มันจะไม่กลับมาจุดเดิม ถือทนอยู่ 6-7 ปี ยังติดลบ 80-99% ต้องนั่งสวดมนต์ภาวนาให้มันขึ้นไปอีก เป็น 1,000% เพื่อหวังจะเอาทุนคืน เฝ้ารอแบบลมๆแล้งๆ มันไม่ต่างกับการเอาเงินไปทิ้ง แต่กว่าจะรู้ตัวมันก็สายจนแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ถ้าคุณจะเทรด Shitcoin เพื่อคาดหวังผลกำไร ก็ต้องปฏิบัติกับมันในฐานะ "สินค้าเก็งกำไร" หยิบวิชาเทรดที่ถูกจริตซักตัวมาใช้ มองเรื่องความเสี่ยงเป็นสำคัญ (Risk Management) ผิดทางขาดทุนได้เท่าไร ถูกทางจะขายเก็บกำไรตรงไหน วาง position sizing ยังไง ตัดสินใจแต่แรกให้ชัดแล้วทำตามนั้น อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ล็อกการขาดทุน ส่วนกำไรแล้วแต่เวรแต่กรรม ศัตรูที่แท้จริงในการลงทุน ไม่ใช่เจ้ามือ แต่คือ "ความโลภ & ความกลัว" ที่อยู่ในกมลสันดาน การไปเทรดตามสัญชาตญาณตัวเอง จะพาเราไปติดกับดัก "ลูปนรกเจ๊งไม่รู้จบ" สิ่งที่เราจะเจอ คือ - ตอนควรซื้อไม่ซื้อเพราะกลัวลงต่อ ตอนควรขายไม่ขาย กลัวขายหมู ผิดจังหวะตัดสินใจกลับหัวกลับหางไปหมด - ตอนได้กำไร 1 แสนก็จะเอา 5 แสน พอได้ 5 แสนจะเอา 1 ล้าน 5 ล้าน 10ล้านไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ตอนขาดทุนก็ไม่กล้าคัทลอส เพราะเคยคัทแล้วมันเด้งใส่หน้า ไม่ขายไม่ขาดทุน คัทเท่ากับเสียเงินจริง - ทำใจยอมรับการขาดทุนไม่ได้ ราคาลงเยอะแล้วเดี๋ยวคงขึ้นแหละหน่า หอบเงินมาถัวเฉลี่ยให้ขาดทุนหนักขึ้น - รู้ตัวอีกที ขาดทุน 80-90% กลายสภาพเป็นสาย VI ถือยาว เพราะติดดอย คนที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ หลายคนพกโชคมาด้วย (ผมเป็น 1 ในนั้น) เข้ามาในจังหวะเหมาะเม๋ง เป็นช่วงที่เอาวัวเอาควายมากดซื้อ ยังไงก็กำไร หลงตัวเองว่าเก่ง แต่จริงๆ ฟลุ๊ก แรกๆ กล้าๆ กลัวๆ ไม่นานก็ทุ่มสุดตัว ได้กำไรเบิกบาน แต่ไม่สาแก่ใจ เริ่มอหังการไปใช้ leverage แบบไม่เข้าใจ แค่อยากรวยเร็วเฉยๆ แต่ลืมคิดไปว่าแม้จะได้กำไรเร็ว แต่ขาดทุนมันก็เร็วไม่ต่างกัน เครื่องมือนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับมือสมัครเล่น แรกๆ ใช้ 2x สักพัก 5x ไป 10x 20x สุดท้ายไปจบที่ 125x มีเท่าไรใส่สุด และหากอยากจะพลิกชีวิต ทุนจำเป็นต้องเยอะ ดังนั้น ต้องเอาเงินทั้งหมดที่มีไปค้ำ โดยไม่รู้ว่ามีความวินาศสันตะโรอะไรรออยู่ ตอนที่ซื้อยังไงก็ได้กำไร ผีพนันเริ่มเข้าสิง เราจะโลกสวยเพ้อฝันความร่ำรวยไปไกลแล้ว มองหาแต่ผลกำไรเยอะๆ เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ กำไรที่ได้เอาไปทบต้นทบดอกให้พอร์ตใหญ่ขึ้นเพื่อกำไรที่มากขึ้น โอเวอร์เทรดจนพาตัวเองไปอยู่ในจุด เกาะติดทุกราคา "พร้อมเละ" ทุกเมื่อ และสุดท้ายจะลงเอยเหมือนๆ กัน คือ ไม้สุดท้ายไม้เดียวมันเอาเรา "หมดตัว" โดนล้างพอร์ตเรียบไม่เหลือ เหตุการณ์นี้เกิดกับผม เดือนกุมภา 2018 บิตคอยน์ร่วง 50% ในแท่งเดียว และ altcoin มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้น ล่อลงทีเดียว 60-90% (7 ปีผ่านไปเกือบทั้งหมดยังดอยสูง และเหรียญจำนวนมากทยอยถูกถอดออกจากกระดานชั้นนำ) วินาทีนั้นใช้ leverage แค่ 2x ยังไม่รอด เกินกว่านั้นไม่ต้องพูดถึง นอกจากรักษากำไรไม่ได้แม้แต่บาทเดียว ยังขาดทุนแทบหมดตัว ไม่ใช่แค่ผมที่โดน พ่อแม่พี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายทุกคนที่เข้าตลาดมาพร้อมๆ กัน ประสบชะตากรรมเดียวกันทั้งหมด มองย้อนกลับไปไม่เห็นทางรอดเลย เวลาได้ก็อยากได้อีก เวลาเสียก็อยากเอาคืน ยังไงก็เละ ขึ้นอยู่กับจะโดนช้าหรือเร็ว วาดฝันไว้ว่าจะรีบกอบโกยแล้วรีบออก แต่ด้วยความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ความจริง คือ ไม่ทัน และดูยังไงก็ไม่มีทางทัน หลายคนโฟกัสเทรด shitcoin เพื่อหวังจะเอากำไรไปซื้อบิตคอยน์ได้มากขึ้น...ถ้าได้กำไรมันก็ดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ - ถ้าคุณจะเข้าๆ ออกๆ ตามกระแสเพราะอยากรวยเร็วบ้าง..คุณเจ๊ง - ฟลุ๊กเข้าถูกจังหวะ ได้กำไรมหาศาล แต่ไม่รู้จักพอ สุดท้ายมันกลับมาขาดทุน - ถ้าคุณจะถือ Shitcoin ระยะยาวเพื่ออนาคต...คุณเจ๊ง - ถ้าใช้ Leverage ไม่ดูตาม้าตาเรือด้วย มันไม่ใช่แค่ติดดอยสูง แต่จะสิ้นเนื้อประดาตัวเอา แต่ความจริงแม่งช้า!...กว่าเราจะรู้ว่าคำพูดนี้เป็นจริงก็ต่อเมื่อเราได้ชิบหายไปเรียบร้อยแล้ว และถ้าเราไม่ใช่คนเงินถุงเงินถัง วันที่มันกลับตัวเป็นขาขึ้น ก็ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะเพิ่งหมดตูดมา แทบไม่เหลือเงินในจังหวะที่ควรซื้อที่สุด แทนที่น้ำพักน้ำแรงมันจะงอกเงย สร้างความมั่งคั่งให้ชีวิตมากขึ้น กลับเอาเงินไปทิ้งและเริ่มใหม่ ทิ้ง เริ่มใหม่ ไม่รู้จบ ใช้เวลาทั้งชีวิตติดกับดักอยู่ในหลุมบ่อขี้ ทำท่าจะปีนขึ้นไปได้ก็ตกลงไปใหม่ หาเงินได้เท่าไรเอาไปทิ้งหมด วิชาการลงทุนมันเป็นเรื่องเรียบง่ายก็จริง แต่สันดานมนุษย์จะทำให้มันยากเสมอ อาจจะมีเพียงคน 20% เท่านั้นที่อยู่รอดในตลาดแบบทุลักทุเล และ 1% ที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย ที่เหลือหอบความมั่งคั่งไปถวายให้มืออาชีพในตลาด หลังจากที่ผมเจ๊งก็ตั้งใจเรียนเทรด เพราะอยากจะเอาคืนตลาด แต่พอเข้าใจกลับเลือกที่จะไม่เทรดซะงั้น เพราะเราไม่ได้ชอบเทรด เราแค่อยากรวยทางลัด และโลกการเทรดจริงๆ มันไม่ได้สร้างความร่ำรวยขนาดนั้น ต้องมองความเสี่ยง รักษาเงินทุนเป็นสำคัญ เทรดแทบตายได้กำไร 10-15% ต่อปี แลกมาด้วยอาการจิตตก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าเรายังควบคุมอารมณ์จิตใจได้ไม่ดี บทเรียนที่ได้คือ การเทรดมันเป็นเรื่องของมืออาชีพ คนได้กำไรเป็บกอบเป็นกำมันก็มี เพียงแต่เป็นส่วนน้อยมาก และมันไม่มีกำไรง่ายๆ อย่างที่คิด ถ้าเราไม่แน่จริง เราจะกลายเป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะฟลุ๊กได้มาเท่าไร สุดท้ายโดนเอาคืนหมดทบต้นทบดอกอยู่ดี และผมคือ 1 ในคนไม่แน่จริง ก็เริ่มคิดได้ว่าอย่าทำเป็นฉลาดเยอะ ถ้าถือบิตคอยน์เฉยๆ โง่ๆ ป่านนี้รวยไปนานแล้วไอฟาย โลภมากลาภหายของแทร่ เข้าก่อน ไม่ได้รวยก่อน แต่เจ๊งก่อน ความเสี่ยงที่ชั้นนึงของการเน้นเทรด คือ เราต้องเอาสมบัติของเราไปฝากไว้กับตัวกลาง ถ้ามีปัญหาเขาชิ่งเราได้ วันนี้ผมกลับมาใช้ท่าที่เรียบง่ายที่สุด คือ ทำงาน กินให้น้อย เหลือเท่าไรเก็บออมเป็นบิตคอยน์ทั้งหมด มีน้อยเก็บน้อย มีมากเก็บมาก ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ถ้าวันนึงบิตคอยน์พัง ความมั่งคั่งผมอาจไม่เหลือ แต่ก็น่าจะใช้ชีวิตต่อไปได้ เพราะยังมีรายได้อยู่ กว่าผมจะเริ่มเข้าใจก็เสียหายไปแสนสาหัส ถ้าไม่เข้าใจ ต่อให้มีโอกาสซื้อที่ 1 ดอล ราคาขึ้นไปไม่กี่ดอลคงขายทิ้งหมดแล้ว การซื้อบิตคอยน์มันง่ายมาก การเก็บรักษานั้นยากกว่า แต่ที่ยากที่สุด คือ การถือเฉยๆ โง่ๆ ต้องเป็นยอดมนุษย์ขนาดไหนถึงจะอดทนถือตั้งแต่มันไม่มีค่า ฝ่าฟันทุกหลุมทุกดอย มาจนถึงวันนี้ ยกเว้น ลืมว่ามี "เราจะมีบิตคอยน์เท่าความรู้ที่เรามี" คำนี้โคตรจริงครับ #Siamstr
ทำไมที่ดินถึงแพง เพราะมันหายากและมี(เกือบ)จำกัด และใช้ประโยชน์ได้ ทำไมทองคำถึงแพง เพราะมันหายากและเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะทางสังคม เราไม่สามารถเดินไปเด็ดทอง เหมือนเด็ดมะละกอในสวนได้ ทำไมของสะสมหลายๆ ยิ่งเก็บนานยิ่งแพงขึ้น ก็เช่นเดียวกันครับ คือ มีทั้งความหายากและจำนวนจำกัด ยิ่งจำกัดมากบวกมีความต้องการครอบครองของผู้คนมาก...ราคามันก็จะยิ่งแพงขึ้นและแพงขึ้น ทุกสิ่งของหรือสินทรัพย์ทุกอย่าง ที่ไม่ว่าจะจับต้องได้หรือไม่ได้ หากราคามันมีแต่แพงขึ้น ล้วนมีคุณสมบัติข้อนี้ จนกว่าวันที่มันไม่ได้หายากหรือมีจำกัดอีกต่อไป และแทบไม่มีใครอยากได้มันอีกแล้ว...มูลค่ามันก็พังทลายลง แล้วเงินล่ะ? สำหรับเรามันก็หายากหาเย็นเหมือนเดิม ต้องเหนื่อทำงานกว่าจะได้มา...แล้วทำไมยิ่งนานวัน "เงิน" ยิ่งเสื่อมค่า (เงินเฟ้อ) วะ? ก็เพราะมีคนบางกลุ่มไม่ได้เล่นเกมชีวิต ในกฎกติกาเดียวกับเรา เงินยังคงหายากสำหรับเรา...แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีคน "บางกลุ่ม" สามารถเสกเงินได้ง่ายๆ หยิบยืมความมั่งคั่งในอนาคตของเราและลูกหลานเรา เพื่อมาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองในวันนี้ แม้มีคนแค่หยิบมือเดียวที่ผลิตเงินเองได้ แต่เขาก็สามารถผลิตเพิ่มได้มากมายมหาศาล จนทำให้ประเมินภาพรวมแล้ว เงินที่เคย "หายาก" กลับกลายเป็นของ "หาง่าย" เมื่อคุณสมบัติมันไม่เข้าหลักการ หายากและมีจำนวนจำกัด อย่างที่กล่าวมานี้ มันก็ย่อมกลายเป็นสิ่งที่เสื่อมค่าลงตามกาลเวลา ซึ่งการเสื่อมค่านั้น มันสะท้อนออกมาในรูป "เงินเฟ้อ" มันคือ ระบบบัตรเครดิตที่ประชาชนไม่ได้รูดและแทบไม่ได้ประโยชน์จากวงเงินนี้ แต่ถูกบังคับให้เป็นคนผ่อน ผ่อนจนชีวิตชิบหายหมดแล้ว อยากขอบคุณจากใจและยกส้นตีนให้ครับ #Siamstr
ตัวการใหญ่ที่ทำให้เงินในกระเป๋าประชาชนเสื่อมค่า (เงินเฟ้อ) คือ ระบบการธนาคารสมัยใหม่ image ในวันนี้การกู้ เขาไม่ได้หอบเงินฝากของใครซักคน หรือรวบรวมจากหลายๆ คนมาให้เรา แต่เขาแค่เคาะตัวเลขในบัญชี 2-3 ที โดยแทบไม่มีต้นทุน ภายใต้ระบบการธนาคารที่เรียกว่า fractional reserve banking หรือการอนุญาตให้ธนาคารสำรองสินทรัพย์แค่บางส่วน (กฎหมายให้สำรองเงินฝากแค่ 1% แต่ธนาคารไทยสำรองที่เฉลี่ย 12% ถือว่าเซฟกว่าประเทศอื่น) มันมอบความสามารถในการ leverage หรือเสกเงินปล่อยกู้มากกว่าเงินจริงๆ ที่ตัวเองมี (เพดาน max. ที่ 99 เท่า) ยกตัวอย่างเช่น นายตั๊มขายบ้าน 3 ล้าน นายโสพรสนใจจึงไปยื่นกู้ ธนาคารก็เคาะเงิน 3 ล้านมาให้ดื้อๆ (ประเมินนิดนึงมีปัญญาจ่ายมั้ย ถ้าไม่มีเชิญไปหาสมบัติมาค้ำ) นายโสพรหอบเงินไปให้นายตั๊มและเอาบ้านไป นายตั๊มก็นำเงินหอบกลับไปให้ธนาคารสมนึกพาณิชย์ที่ตัวเองถือบัญชี เงิน 3 ล้านที่เคาะมาจากอากาศมันไม่มีตัวตนจริงๆ ได้ถือเป็นสินทรัพย์ของแบงก์สมนึกพาณิชย์แล้ว และมันสามารถถูกใช้เป็นฐานในการปล่อยกู้ต่อไป เงินกู้ที่เสกขึ้นทับถมกันไปกันมา รู้ตัวอีกทีปริมาณเงินในระบบก็มีมากมายมหาศาลกว่า "สินทรัพย์ที่มีจริงๆ" ไปหลายเท่าตัว ปัญหาใหญ่ของระบบนี้ มันทำให้มีคนบางกลุ่มซึ่งร่ำรวยสุดๆ สามารถเข้าถึงเงินผลิตใหม่ได้ก่อนคนอื่น ในต้นทุนที่ถูกกว่ามาก เข้าถึงเงินได้ก่อนก็ไปกว้านซื้อสากกะเบือยันเรือรบได้ก่อน บางคนสามารถกู้ระดับแสนล้านได้ง่ายๆ ในต้นทุนดอกเบี้ยแค่ 1-3% บริษัทยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วยหนี้ และการเป็นหนี้มันได้รับการยกเว้นภาษี แล้วยังใช้สินทรัพย์ที่ได้มาจากหนี้ เช่น หุ้น อสังหา ตราสารหนี้ เอาไปค้ำเพื่อกู้เงินออกมาเพิ่มได้อีก หรือแตกบริษัทลูกแล้วเอาเงินที่บริษัทแม่กู้มาไปเป็นทุน บริษัทลูกก็สามารถเอาทุนจากหนี้ไปวางค้ำประกันเพื่อกู้เงินเพิ่มได้เช่นกัน ส่วนคนธรรมดานอกจากจะกู้ยากเหมือนเดิม ต้นทุนดอกเบี้ยที่ได้ก็แพงกว่ามากมายหลายเท่า ณ วันนี้ แค่ประชาชนไปแห่ถอนเงินออกซัก 10-20% สมนึกพาณิชย์รวมถึงทุกๆ เจ้า ก็พร้อมที่จะ bank run ทันที ถ้าเราเข้าใจกระบวนการนี้ เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า ทำไมดอกเบี้ยเงินฝากมันถึงน้อยน่าเกลียด ก็เพราะเงินฝากเรามันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เขาจะแข่งกันให้ดอกเบี้ยสูงๆ เพื่อแย่งเงินฝากเหมือนในอดีตไปทำไม ในเมื่อเขา "เสกเงิน" ได้ แถมยังมีท่าไม้ตายที่สามารถขอวงเงินจากธนาคารกลางได้หากธุรกิจมีปัญหา หรือเข้าตาจนจริงๆ ก็ให้คนดีย์เอาภาษีมาอุ้มได้...ไม่ช่วยเราก็ได้แต่เงินฝากประชาชนหายหมดนะ นี่แค่ภาพเล็กในประเทศ สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าจะรัฐกู้ เอกชนกู้ ประชาชนกู้ ทุกการเพิ่มหนี้ล้วนเป็นการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ และหากมันมากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินในกระเป๋าทุกคนจะด้อยค่าลง เงินจะมีมูลค่าเท่าเดิม ถ้าอย่างน้อยการเติบโตของปริมาณเงินและเศรษฐกิจมันเท่ากัน แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินเพิ่ม 6+% แล้วเศรษฐกิจมีกี่ปีที่โตเกิน 6%..? เงินคือตัวสะท้อน productivity ของประเทศ และ productivity มันเสกไม่ได้ อยากได้เพิ่มเราจะต้องทำงาน ต้องค้าขายดึงความมั่งคั่งจากต่างชาติเข้ามา กิจการที่ชื่อว่าประเทศ สมมติมีมูลค่า 1ล้าน จะแบ่งเงินเป็นกี่ล้านหน่วยก็ช่าง สุดท้ายมูลค่ารวมก็เท่าเดิมที่ 1ล้านอยู่ดี ยิ่งผลิตเงินเพิ่มมากเท่าไร เงินต่อหน่วยก็จะยิ่งเสื่อมค่า เงินเสื่อมค่ามากเท่าไร ชีวิตเราก็ยากขึ้นตามนั้น ดังนั้น อย่าแปลกใจที่ขยันก็แล้ว ประหยัดก็แล้ว แค่สร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้ซักที เพราะในยุคนี้มันคือเรื่องปกติ #Siamstr