Thread

“ไฟที่เผาเรามันมอดไปนานแล้ว ที่ยังแสบอยู่…คือใจเราที่ไม่ยอมดับมันเอง” เพลงของคนที่ไม่ยอมจมในกองเถ้าถ่าน.. image นึกถึงเพลงเก่าๆ บางทีก็เหมือนเรานั่งดูรอยสักบนแขนตัวเอง เราไม่ได้มองมันเพื่อจะหวนนึกถึงวันเก่าๆ เพียงอย่างเดียว เราก็แค่มองเพื่อจะเตือนตัวเองว่า.. แผลบางแผลน่ะ.. พอมันหายดีแล้ว ก็ควรปล่อยให้มันเป็นแค่ลายเส้นบนตัวเราไป อย่าไปทำให้มันกลายเป็นหนามที่กลับมาทิ่มใจเราได้ทุกวัน เพลง “Don’t Look Back in Anger” ของ Oasis ก็เป็นแบบนั้นเลย มันไม่ใช่เพลงปลอบใจ เพลงนี้มันเหมือนมีคนมาตบไหล่แรงๆ แล้วบอกให้เราเลิกจมกับเรื่องเก่าๆ ที่มันคอยกัดใจเราอยู่ได้แล้ว เป็นเสียงห้าวๆ ที่ลอยมาบอกว่า.. ชีวิตมันไม่ต้องเอาเมื่อวานมาตัดสินวันนี้ก็ได้นี่หว่า เพลงนี้มันเหมือนเขียนมาเพื่อใครสักคน... ที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากเมืองในใจ เมืองที่เคยสร้างขึ้นมาแล้วก็พังลงไปกับตา... พังเพราะความพลาด ความขม หรือเพราะไม่เคยให้อภัยใครได้เลย... ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนอื่น หรือเป็นตัวเราเองก็ตาม เพลงนี้มันเหมือนเพื่อนขี้เมาคนหนึ่ง ที่เดินโซเซมาข้างๆ แล้วบอกว่า “ปล่อยแม่งไปเถอะว่ะ” ที่เพื่อนคนนั้นบอกให้ปล่อยแม่งไป ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องที่เคยเกิดมันไร้ค่านะ... เรื่องราวของมันน่ะ... จบแล้วต่างหาก เสียงของ Noel Gallagher ที่ร้องลากยาวไปกับเสียงเปียโนและกีตาร์ เป็นเสียงของคนที่เคยล้มลุกคลุกคลาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนเหมือนๆ กันกับเรานี่แหละ มันเลยเป็นเสียงที่พูดแทนใจคนได้ทั้งยุค ในเนื้อเพลงของมันมีความเก๋าแบบเด็กอังกฤษยุค 90s ปนอยู่ทุกท่อน แต่ลึกลงไป... มันก็โคตรจะเปราะบาง เป็นเสียงของคนๆ หนึ่งที่กำลังพยายามจะยืนขึ้นใหม่อีกครั้ง พยายามจะยืนยังไงแบบไม่ให้เสียฟอร์ม เพลงนี้มันไม่เคยบอกให้เราลืมอะไร มันแค่ชี้ให้เราเห็นว่า... การไม่หันหลังกลับไปมองด้วยความแค้นในใจเนี่ย... คือของขวัญอย่างเดียวเลยที่เราจะให้ตัวเองได้ ความรู้สึกมันก็คล้ายๆ เช้าวันหยุด ที่ห้องของเรามันอาจจะยังรกอยู่ แต่เราก็เลือกที่จะไม่หัวเสียไปกับมัน แค่เดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมมันพัดเข้ามา แล้วก็บอกกับตัวเองเบาๆ ว่า “เออ... ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ ไปต่อได้” ถ้าจะมองให้ลึกลงไปอีก เพลงนี้มันมีภาพซ้อนอยู่เต็มไปหมด ทั้ง "แซลลี" ที่อาจเป็นแค่เสียงอีกเสียงในหัวเรา หรือ "ไฟในใจ" ที่เป็นเหมือนเชื้อไฟของคนในยุคนั้น... ทั้งหมดนั่นน่ะ มันคือการบอกให้เราปล่อยวาง... แต่ปล่อยแบบยังเท่อยู่ ไม่ใช่ปล่อยแบบคนแพ้ พอมาถึงยุคเรา... เราอาจไม่ต้องไปยืนอยู่ท่ามกลางการเมืองวุ่นวายของอังกฤษในตอนนั้น แต่เราทุกคนก็มีพายุในใจของตัวเองกันทั้งนั้น เพลงนี้มันเลยยังกลับมาทำงานกับใจเราได้เสมอ เพราะมันยังถามคำถามเดิมกับเราอยู่ซ้ำๆ... ว่าเราจะยังกำเถ้าถ่านในมือแล้วจ้องมองมันด้วยไฟโทสะ... หรือจะแค่เป่ามันทิ้งเบาๆ... ยิ้มมุมปาก... แล้วเดินต่อไปด้วยไฟดวงเดิมในใจ? และนี่คือเสียงกระซิบจากเพลงนั้น ในภาษาของผม... Slip inside the eye of your mind Don't you know you might find A better place to play? You said that you'd never been But all the things that you've seen Will slowly fade away สอดกายผ่านม่านตาของใจ ไปยังห้องเก่าที่เราเคยซ่อนภาพฝัน ฝุ่นนิ่งอยู่บนกรอบรูป ความทรงจำเปิดไฟของมันเอง ที่นั่น... เวลาไม่เคยเดินเป็นเส้นตรง So I start a revolution from my bed 'Cause you said the brains I had went to my head Step outside, summertime's in bloom Stand up beside the fireplace Take that look from off your face 'Cause you ain't ever gonna burn my heart out เราวางชีวิตผิดที่มานาน เอามันไปฝากไว้กับเสียงดังของวงดนตรี กับคำชมชั่วครู่ กับฝูงชนที่พร้อมจะเดินจากไป วันนี้เลยขอเก็บเสียงเราไว้กับเรา ไม่ยื่นพวงกุญแจหัวใจให้ใครถือ แล้วกระซิบกับตัวเองบนหมอน “เริ่มปฏิวัติกันที่เตียงนี่แหละ” ปฏิวัติวิธีที่เรามองความพ่ายแพ้ ปฏิวัติภาษาที่เคยเผาเราให้ร้อนรน เปลี่ยนคำสาปให้เป็นบทเรียน เปลี่ยนทางตันให้เป็นประตู And so, Sally can wait She knows it's too late as we're walking on by Her soul slides away "But don't look back in anger," I heard you say "แซลลี" คือใคร...ไม่สำคัญนัก อาจเป็นแค่เงาของโอกาสที่เคยผ่านไป หรือเป็นวิญญาณของความเสียดายที่เริ่มรู้จักให้อภัย เธอบอกเบาๆ ว่าชีวิตต้องเดินต่อ ไม่ต้องรอให้ใครมาชดใช้... โดยเฉพาะอดีต Take me to the place where you go Where nobody knows if it's night or day Please don't put your life in the hands Of a rock and roll band Who'll throw it all away ในเมืองที่ฝนตกเป็นภาษาของมันเอง เราเดินผ่านความหนักอึ้งของเมื่อวาน ปล่อยให้มันไถลออกจากบ่า เหมือนแจ็กเก็ตตัวหนาที่ใส่จนหมดฤดูของมันแล้ว Gonna start a revolution from my bed 'Cause you said the brains I had went to my head Step outside 'cause summertime's in bloom Stand up beside the fireplace Take that look from off your face 'Cause you ain't ever gonna burn my heart out นี่ไม่ใช่คำคมที่บอกให้เราเข้มแข็ง แต่มันคือท่าที ที่เรามีต่อความบอบช้ำ เราไม่ได้บอกให้ลืม แค่เลือกจะถือมันไว้...ด้วยมือที่อ่อนโยนกว่าเดิม ให้มันนอนนิ่งๆ อยู่ในใจ โดยไม่ทำร้ายเราอีก And so, Sally can wait She knows it's too late as she's walking on by My soul slides away "But don't look back in anger, don't look back in anger" I heard you say "At least not today" พอเสียงเปียโนตัวแรกดังขึ้น เราแค่จำได้ว่าโลกนี้ยังมีท่วงทำนองที่ชวนให้เราหายใจต่อ เราจึงบอกกับเงาของตัวเอง.. ชัดขึ้นทุกครั้งที่ท่อนฮุควนมา อย่าหันหลังกลับไปด้วยไฟโทสะ ถ้าวันหนึ่งต้องมองย้อนกลับไป... ก็ขอให้มองด้วยสายตาของคนที่เรียนรู้แล้ว ไม่ใช่สายตาของนักโทษที่ตัดสินตัวเองซ้ำๆ สุดท้าย...เราวางทุกอย่างลงเงียบๆ เหมือนวางหินก้อนสุดท้ายลงบนฝั่ง หันหน้าเข้าหาลม และยอมให้วันนี้เป็นวันที่ใจเบากว่าเมื่อวาน อย่างน้อย... ก็ไม่ใช่วันนี้ที่จะต้องโกรธ. #JakkGoodday #Siamstr

Replies (0)

No replies yet. Be the first to leave a comment!