💚ความสัมพันธ์ระหว่างการบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธองค์ (โดยเฉพาะการเดินจงกรม) และการเดินเท้าเปล่าของพระสงฆ์ กับการค้นพบเรื่อง Grounding (Earthing)
💚ความสัมพันธ์ระหว่างการบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธองค์ (โดยเฉพาะการเดินจงกรม) และการเดินเท้าเปล่าของพระสงฆ์ กับการค้นพบเรื่อง Grounding (Earthing) ที่มีผลต่อสุขภาพและจิตนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสามารถตีความเชื่อมโยงกันได้ แม้ว่าในพุทธศาสนาจะไม่ได้ระบุถึง "Grounding" โดยตรงด้วยศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ แต่หลักปฏิบัติเหล่านี้กลับสอดคล้องกับประโยชน์ที่การ Grounding มอบให้ได้เป็นอย่างดี
💚1. การเดินจงกรมของพระพุทธองค์และพระสงฆ์
การเดินจงกรม เป็นการปฏิบัติภาวนาในอิริยาบถยืนและเดินอย่างมีสติ พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติการเดินจงกรม และทรงแนะนำว่าเป็นประโยชน์ 5 ประการ คือ:
💚ทำให้ทนทานต่อการเดินทางไกล (ธุดงควัตร)
💚ทำให้ทนทานต่อความเพียร (ไม่เมื่อยล้าเร็ว)
💚ทำให้มีอาพาธน้อย (สุขภาพดี)
💚อาหารที่ฉันย่อยได้ดี
💚สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมตั้งมั่นอยู่ได้นาน
การเดินเท้าเปล่าของพระสงฆ์ โดยเฉพาะในการบิณฑบาต ถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกตนและเป็นไปตามพระวินัย พระภิกษุในสมัยพุทธกาลมักเดินเท้าเปล่า และในปัจจุบันพระป่าหรือพระที่ปฏิบัติเคร่งครัดก็ยังคงเดินเท้าเปล่าเป็นปกติ การเดินเท้าเปล่านี้มีนัยยะของการลดอัตตา ปลงละสังขาร และการสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง
💚จุดประสงค์หลักทางธรรมะ:
💚เจริญสติ: การเดินจงกรมเน้นการรับรู้สัมผัสของเท้ากับพื้น การยก การย่าง การวางเท้า การรับรู้อาการทางกายที่เกิดขึ้นในแต่ละก้าว ทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ (ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม-เจริญสติในอริยาบถน้อย,อริยาบถใหญ่)
💚ปรับสมดุลอิริยาบถ: เป็นการปรับเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งสมาธิ ช่วยให้ร่างกายไม่เมื่อยล้าเกินไป และยังคงการปฏิบัติธรรมได้อย่างต่อเนื่อง (โดยเฉพาะการปฏิบัติแนวเคลื่อนไหว)
💚ฝึกความอดทน: การเดินจงกรมและการเดินเท้าเปล่าเป็นการฝึกความอดทนต่อความเจ็บปวด ความเมื่อยล้า และสภาพแวดล้อมต่างๆ (ตามสภาพแวดล้อมของสถานที่ เช่น พื้นที่ราบ พื้นที่ภูเขาที่ต้องใช้ความอดทนเพิ่มขึ้น)
💚2. การค้นพบเรื่อง Grounding (Earthing)
Grounding หรือ Earthing คือ การเชื่อมต่อร่างกายโดยตรงกับพื้นผิวโลก (เช่น เดินเท้าเปล่าบนหญ้า ดิน ทราย หรือสัมผัสพื้นผิวธรรมชาติอื่นๆ) ทฤษฎีของ Grounding ระบุว่า โลกมีประจุลบอิสระจำนวนมาก ซึ่งเมื่อร่างกายมนุษย์สัมผัสกับพื้นผิวโลก จะสามารถรับประจุลบเหล่านี้เข้ามาในร่างกายได้
💚ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ที่สันนิษฐานได้จาก Grounding:
💚ลดการอักเสบในร่างกาย: ประจุลบจากโลกเชื่อว่าทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยลดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ
💚ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ: ช่วยปรับสมดุลจังหวะชีวิต (Circadian Rhythm) และลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ทำให้หลับได้ดีขึ้น
💚ลดความเครียดและความวิตกกังวล: การสัมผัสธรรมชาติช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการพักผ่อนและผ่อนคลาย
💚เพิ่มการไหลเวียนโลหิต: มีงานวิจัยเล็กๆ น้อยๆ ชี้ว่าอาจช่วยลดความหนืดของเลือดและปรับปรุงการไหลเวียน
💚เพิ่มพลังงาน ลดความเมื่อยล้า: ผู้ที่ฝึก Grounding หลายคนรายงานว่ารู้สึกมีพลังงานมากขึ้นและลดความเหนื่อยล้า
💚3. ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธกิจ (การเดินจงกรม, เดินเท้าเปล่า) กับ Grounding
แม้ว่าในพุทธศาสนาจะไม่ได้มีแนวคิดเรื่อง "ประจุลบ" หรือ "อิเล็กตรอน" เหมือนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่ผลลัพธ์ทางสุขภาพและจิตที่เกิดจากการปฏิบัติดังกล่าวกลับมีความสอดคล้องกันอย่างน่าทึ่ง:
💚การเชื่อมต่อกับธรรมชาติโดยตรง: ทั้งการเดินจงกรม (มักทำบนพื้นดิน) และการเดินเท้าเปล่าของพระสงฆ์ ล้วนเป็นการนำร่างกายมาสัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการ Grounding โดยธรรมชาติ
💚ลดความเครียดและเพิ่มสติ: การเดินจงกรมเป็นการฝึกสติในอิริยาบถเคลื่อนไหว ทำให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งสอดคล้องกับผลของ Grounding ที่ช่วยลดความเครียด ปรับอารมณ์ และเพิ่มสมาธิ
💚ส่งเสริมสุขภาพกาย: พระพุทธองค์ตรัสถึงประโยชน์ของการเดินจงกรมว่าทำให้มีอาพาธน้อย (สุขภาพดี) และช่วยให้อาหารย่อยได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับผลของ Grounding ที่ช่วยลดการอักเสบ ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต และโดยรวมแล้วส่งเสริมสุขภาพกายที่ดี
💚การตระหนักรู้ในกาย: การเดินจงกรมเน้นการรับรู้สัมผัสของเท้ากับพื้น ซึ่งทำให้เกิดการตระหนักรู้ในกาย (Body Awareness) และการเชื่อมโยงกับปัจจุบันขณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำสมาธิ และการผ่อนคลายจิตใจจากการจดจ่ออยู่กับสิ่งภายนอก
💚การเป็นสมถะและวิปัสสนาญาณในตัว
การเจริญสติในอิริยาบถเดิน โดยเฉพาะแนววิปัสสนา สามารถเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาญาณในตัวได้ เนื่องจาก:
💚สมถะเกิดจากการจดจ่อ: เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของเท้าหรือกายได้อย่างต่อเนื่อง สติที่ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์เดียวนี้จะทำให้จิตสงบลงโดยธรรมชาติ แม้จะเป็นความสงบชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นฐานให้เกิดปัญญาได้ ข้อสังเกตหากผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถต่อสู้กับนิวรธรรม โดยเฉพาะ ถีนมิทธะ จะจัดอยู่ในข่ายการทำสมถะคือยังไม่สามารถรวมอินทรีย์แก่กล้าจนตัด ความง่วงเหงา หาวนอนไปได้ การปฏิบัติจริงจากประสบการณ์ตรงของหลายท่านพบว่าการเผลอหลับในขณะเดินจงกรมนั้นมีสาเหตจากหลายปัจจัยเช่น ความเมื่อยล้า การบริโภคอาหารโดยไม่พิจารณาโดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลสูง
💚วิปัสสนาเกิดจากการพิจารณา: เมื่อจิตมีความสงบและสติที่มั่นคงระดับหนึ่งแล้ว การที่ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้และพิจารณาเห็นอาการต่างๆ ของกายที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป (ยก-ย่าง-วาง) เห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) เหล่านี้คือการทำงานของปัญญาวิปัสสนาญาณ
กล่าวโดยสรุป:
การบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธองค์และการเดินเท้าเปล่าของพระสงฆ์ โดยเฉพาะการเดินจงกรมนั้น แม้จะมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อการฝึกจิตภาวนาและลดละกิเลส แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มันได้สร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดประโยชน์ทางกายภาพคล้ายกับการทำ Grounding โดยธรรมชาติ การสัมผัสกับพื้นโลกโดยตรงอย่างมีสติ ทำให้ร่างกายได้ "เชื่อมต่อ" กับพลังงานธรรมชาติของโลก ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสุขภาพกาย (ลดการอักเสบ ปรับสมดุลร่างกาย) และสุขภาพจิต (ลดความเครียด เพิ่มความสงบ) ซึ่งสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่การค้นพบเรื่อง Grounding ในปัจจุบันระบุไว้ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ปราชญ์ในอดีตได้ค้นพบวิธีการปฏิบัติที่นำมาซึ่งประโยชน์ต่อทั้งกายและใจ โดยที่ยังไม่มีศัพท์ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายกลไกได้อย่างชัดเจนในสมัยนั้นนั่นเอง
#Earthing
#Grounding
#siamstr
#Dhamma
