วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ปิตาธิปไตย (Patriarchy) กับกรณีสีกา-พระสงฆ์ ข่าวฉาวฝั่งสงฆ์(สมมติ)ในไทยนั้นมีความร้อนแรงไปตามกาลสมัยของความเจริญแห่งวัตถุซึ่งผู้คนได้แสดงความคิดเห็นมากมายหลายประการตามทัศนะ -ทิฐิ-มานะของตน แต่หนึ่งในข้อคิดเห็นนั้นเป็นไปภายใต้ “วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวัฒนธรรมดังกล่าวที่แฝงผ่านจารีต ทางสังคมส่งผลต่อ Logic เช่น เรื่อง “วันทอง” เรื่องราวของ "วันทอง" ซึ่งถูกตัดสินว่า "สองใจ" และต้องโทษประหารชีวิต ทั้งที่เธออาจเป็นเพียงผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ถูกกดทับจากบรรทัดฐานสังคมในยุคนั้น สะท้อนภาพของวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดต่อเรื่องข่าว พระ-สีกาของประชาชน ขณะนี้ วัฒนธรรมดังกล่าวแฝงอยู่ในพลวัตหลายประการ ดังนี้: 1. พลวัตด้านอำนาจและการคุ้มครอง สถานะทางสังคมของพระสงฆ์: ในสังคมไทย พระสงฆ์เป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพยกย่อง มีสถานะทางสังคมสูง และมักถูกมองว่าอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ การมีสถานะที่ "ศักดิ์สิทธิ์" นี้ ทำให้เกิด "เกราะคุ้มกัน" ให้แก่พระสงฆ์ผู้กระทำผิด ซึ่งมักได้รับการปกป้องจากพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธา ไม่กล้าตรวจสอบ หรือมองว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะแตะต้องได้ โครงสร้างอำนาจภายในคณะสงฆ์: คณะสงฆ์มีโครงสร้างการปกครองแบบลำดับชั้นที่ยังคงเป็นแบบชายเป็นใหญ่ อำนาจการตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่ในมือของพระผู้ใหญ่ที่เป็นบุรุษ การจัดการกับปัญหาพระสงฆ์กระทำผิดจึงมักถูกดำเนินการภายในวงการสงฆ์เอง ซึ่งอาจนำไปสู่การ "ปกปิด" "ปกป้อง" หรือ "ย้าย" พระที่กระทำผิด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์ มากกว่าการลงโทษอย่างจริงจังและโปร่งใส การขาดกลไกตรวจสอบที่เป็นอิสระ: เมื่อเกิดกรณีการกระทำผิด กลไกในการรับเรื่องร้องเรียน การสอบสวน และการลงโทษ มักจะขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์เอง ซึ่งบางครั้งอาจขาดความเป็นกลาง หรือถูกอิทธิพลจากสถานะของพระผู้กระทำผิด ทำให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะสตรีเพศ เข้าถึงความยุติธรรมได้ยาก 2. พลวัตด้านทัศนคติและอคติทางเพศ การโทษเหยื่อ (Victim Blaming): เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่พระสงฆ์กระทำผิดทางเพศกับสตรี วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มักนำไปสู่การ "โทษผู้หญิง" ที่เป็นเหยื่อ โดยตั้งคำถามถึงการแต่งกาย พฤติกรรม หรือความตั้งใจของผู้หญิง เช่น "ทำไมถึงไปที่ลับตาคน" "แต่งตัวยั่วหรือไม่" "ไปเองหรือเปล่า" ซึ่งเป็นการปัดความรับผิดชอบจากผู้กระทำผิดไปให้เหยื่อ และทำให้เหยื่อไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราว การมองผู้หญิงเป็น "มารศาสนา": มีความเชื่อบางอย่างที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรมที่มองว่าผู้หญิงเป็นต้นเหตุของความเสื่อมเสียหรือเป็น "มารผจญ" ต่อพรหมจรรย์ของพระสงฆ์ คล้ายกับเรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่ถูกมารผจญเมื่อครั้งจะตรัสรู้ แนวคิดนี้ทำให้สังคมพร้อมที่จะตำหนิติเตียนผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวของพระสงฆ์ได้ง่ายกว่าการเพ่งเล็งที่ตัวพระภิกษุที่กระทำผิด ความเงียบของเหยื่อ: ด้วยวัฒนธรรมที่โทษเหยื่อและตอกย้ำภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ไม่ควรพูดเรื่องเพศ หรือเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้สตรีที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่เลือกที่จะ "เก็บเงียบ" และไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราว เนื่องจากเกรงกลัวการถูกสังคมประณามหรือถูกผลักไสออกจากศาสนา 3. พลวัตด้านศาสนากับค่านิยมทางสังคม ภาพลักษณ์ของ "ผู้บริสุทธิ์": สังคมไทยปลูกฝังความเชื่อว่าพระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญ และอยู่เหนือคนธรรมดาสามัญ การที่พระสงฆ์กระทำผิดทางเพศจึงเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับและขัดต่อภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน ทำให้เกิดการ "ปฏิเสธความจริง" หรือพยายามหาเหตุผลมาปกป้องพระ การตีความพระธรรมวินัย: แม้พระธรรมวินัยจะกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับการผิดศีลธรรมของพระสงฆ์ แต่ในทางปฏิบัติ การตีความและการบังคับใช้ อาจได้รับอิทธิพลจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ ทำให้การลงโทษไม่เด็ดขาดเท่าที่ควร หรือเน้นการ "ซ่อน" ปัญหามากกว่าการ "แก้ไข" อย่างเปิดเผย ความอ่อนไหวต่อศรัทธา: การเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวของพระสงฆ์มักถูกมองว่าเป็นการ "ทำลายศรัทธา" หรือ "ทำร้ายพระศาสนา" ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ทำให้เกิดแรงกดดันให้เรื่องราวถูกเก็บเป็นความลับ หรือถูกจัดการอย่างเงียบๆ 4. พลวัตของสื่อและการรับรู้ของสาธารณะ การนำเสนอข่าว: สื่อมวลชนบางครั้งอาจนำเสนอข่าวที่เน้นความหวือหวา หรือตอกย้ำภาพลักษณ์ที่โทษเหยื่อ หรือสร้างความขัดแย้งมากกว่าการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางและให้ความสำคัญกับการปกป้องเหยื่อ การตัดสินของสังคม: การที่วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่หยั่งรากลึก ทำให้เมื่อเกิดกรณีอื้อฉาว สังคมมีแนวโน้มที่จะตัดสินผู้หญิงที่เป็นเหยื่ออย่างรุนแรงและรวดเร็ว ในขณะที่ผู้กระทำผิดซึ่งเป็นพระสงฆ์อาจได้รับความเห็นใจ หรือการปกป้องจากสังคมบางส่วน โดยสรุปแล้ว วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาการกระทำผิดของพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศในสังคมไทยมีความซับซ้อน ตั้งแต่การขาดการตรวจสอบที่เป็นอิสระ การโทษเหยื่อ การปกป้องผู้กระทำผิดในนามของการรักษาภาพลักษณ์ศาสนา ไปจนถึงการที่เหยื่อไม่กล้าออกมาเรียกร้องความยุติธรรม ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและโปร่งใสในสังคมไทย #critical #liberalism #discussing #socialism #monk #วิพากษ์สังคม image
image Cr Tonhor ปลาส้มแบน image จากข้อมูล On chian การขึ้นรอบนี้ไม่ใช่การเก็งกำไร… #siamstr #btc #fixthemoneyfixtheworld
📍ตามเทรนด์วงการพระสงฆ์แบบ Austrian School 📍 แนวคิดของ ฟรีดริช ฮาเยก (F.A. Hayek) นักเศรษฐศาสตร์และนักปรัชญาการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ มีความสอดคล้องกับแนวคิดของนักวิชาการไทยอย่าง สุรพศ ทวีศักดิ์ และ สมฤทธิ์ ลือชัย ในประเด็นการแยกอำนาจการปกครองออกจากศาสนา โดยมีจุดร่วมสำคัญที่เน้นย้ำถึง ข้อจำกัดของอำนาจรัฐ และ ความสำคัญของเสรีภาพปัจเจกบุคคล * ข้อจำกัดของความรู้ (The Limits of Knowledge): ฮาเยกเชื่อว่าความรู้ในสังคมกระจายอยู่ตามปัจเจกบุคคลจำนวนมาก ไม่มีใครหรือกลุ่มใดที่จะมีความรู้ที่สมบูรณ์พอที่จะวางแผนจัดการสังคมทั้งหมดได้ การที่รัฐพยายามควบคุมและวางแผนชีวิตของผู้คนจำนวนมาก (รวมถึงเรื่องศาสนา) จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติและจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่บิดเบือน * อันตรายจากการรวมศูนย์อำนาจ (Dangers of Centralized Power): ฮาเยกมองว่าการรวมศูนย์อำนาจ ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจหรือการเมือง นำไปสู่การใช้อำนาจตามอำเภอใจและการลดทอนเสรีภาพของปัจเจกบุคคล เมื่อศาสนาถูกผูกรวมกับอำนาจรัฐ มันจะกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมและจำกัดเสรีภาพในการเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาของประชาชน * กฎหมายที่ไม่ใช่คำสั่ง (Rules vs. Commands): ฮาเยกเน้นย้ำถึงความสำคัญของ หลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่ว่ากฎหมายควรเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมและเป็นอิสระจากเจตจำนงของผู้ปกครองแต่ละคน ซึ่งแตกต่างจาก "คำสั่ง" ที่ออกมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง การที่รัฐเข้ามาบัญญัติหรือควบคุมศาสนา ย่อมขัดต่อหลักการนี้ เพราะเป็นการใช้ "คำสั่ง" เพื่อกำหนดความเชื่อ ซึ่งควรเป็นเรื่องส่วนตัว * เสรีภาพส่วนบุคคล (Individual Liberty): แก่นของแนวคิดฮาเยกคือการปกป้องเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดๆ การที่รัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวกับศาสนา ไม่ว่าจะด้วยการสนับสนุนหรือควบคุม ล้วนเป็นการละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐานนี้ แม้ฮาเยกจะไม่ได้กล่าวถึงการแยกศาสนาออกจากการปกครองโดยตรงในงานเขียนของท่านมากนัก แต่หลักการพื้นฐานของท่านที่เน้น การจำกัดอำนาจรัฐ เสรีภาพของปัจเจกบุคคล และการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจและการวางแผนจากส่วนกลางนั้น สอดคล้องกับแนวคิดการแยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ เพราะศาสนาในฐานะที่เป็นความเชื่อและวิถีปฏิบัติส่วนบุคคล ควรได้รับการคุ้มครองจากอำนาจรัฐที่พยายามเข้ามาควบคุมหรือชี้นำ 📍 แนวคิดของ สุรพศ ทวีศักดิ์ และ สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการไทยทั้งสองท่านนี้ ได้เสนอแนวคิดที่สอดรับกับหลักการของฮาเยกอย่างชัดเจนในบริบทของสังคมไทย โดยเน้นการ แยกศาสนจักรออกจากรัฐ (Separation of Church and State) หรือ การทำให้เป็นโลกวิสัยทางการเมือง (Political Secularization) 📍 สุรพศ ทวีศักดิ์: * ศาสนาไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง: คุณสุรพศชี้ให้เห็นว่าการที่ศาสนาถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือกลุ่มศาสนาเอง ล้วนนำไปสู่ปัญหา เพราะทำให้ศาสนาสูญเสียความบริสุทธิ์และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจนิยม * รัฐต้องเป็นกลางทางศาสนา: เน้นย้ำว่ารัฐควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ควรมีศาสนาประจำชาติ ไม่ควรให้การอุปถัมภ์ศาสนาใดเป็นพิเศษ และต้องปฏิบัติต่อประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะมีศาสนาหรือไม่ มีความเชื่อใดๆ อย่างเท่าเทียมกัน * ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว: คุณสุรพศมองว่าศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เป็นสิทธิส่วนบุคคลในการเลือกเชื่อและปฏิบัติ รัฐไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายหรือกำหนดรูปแบบความเชื่อ 📍 สมฤทธิ์ ลือชัย * ปฏิรูปโครงสร้างคณะสงฆ์: คุณสมฤทธิ์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างคณะสงฆ์ให้เป็นอิสระจากรัฐ ยกเลิกสถานะสมณศักดิ์และระบบอุปถัมภ์จากภาครัฐ เพื่อให้ศาสนจักรสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองและพึ่งพาตนเอง * ป้องกันการนำศาสนาไปใช้เพื่ออำนาจ: มองว่าการรวมศาสนจักรเข้ากับอำนาจรัฐเปิดช่องให้มีการนำศาสนาไปใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้อำนาจทางการเมือง และจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน * สร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง: การแยกศาสนาออกจากการเมืองเป็นส่วนสำคัญของการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออกและเลือกวิถีชีวิตของตนเอง โดยปราศจากการครอบงำของอำนาจทางศาสนาที่ผูกกับรัฐ จุดสอดคล้องกัน แนวคิดของ ฮาเยก, สุรพศ ทวีศักดิ์ และ สมฤทธิ์ ลือชัย มีจุดสอดคล้องกันอย่างชัดเจนดังนี้: 1. การต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจ: ทั้งสามแนวคิดต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การรวมศูนย์อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐหรืออำนาจทางศาสนาที่ผูกกับรัฐ ล้วนเป็นอันตรายต่อเสรีภาพและนำไปสู่ปัญหา 2. การส่งเสริมเสรีภาพปัจเจกบุคคล: เสรีภาพในการเลือกความเชื่อและวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคลคือหัวใจสำคัญที่ทั้งสามฝ่ายให้ความสำคัญ การแยกศาสนาออกจากการเมืองจึงเป็นการปกป้องเสรีภาพนี้ 3. ความเชื่อในระเบียบที่เกิดจากล่างขึ้นบน (Bottom-up Order): ฮาเยกเน้น "ระเบียบที่เกิดขึ้นเอง" ในขณะที่สุรพศและสมฤทธิ์เสนอให้ศาสนาเป็นเรื่องของชุมชนและปัจเจกบุคคล ซึ่งสะท้อนแนวคิดที่ว่า สังคมและศาสนาควรพัฒนาไปตามกลไกธรรมชาติและความสมัครใจของผู้คน ไม่ใช่การบงการจากอำนาจสูงสุด 4. การลดทอนบทบาทของรัฐในการควบคุมชีวิต: ทั้งหมดมองว่ารัฐไม่ควรมีบทบาทในการกำหนดหรือควบคุมความเชื่อและวิถีชีวิตส่วนตัวของประชาชน ซึ่งรวมถึงเรื่องศาสนาด้วย image #siamstr #philosophy #FAhayek #hayek #socialism #political