ครบรอบ 49 ปี !!! วันกำเนิด Public/Private Key !!! ถ้าไม่มีสิ่งนี้ #Bitcoin และคริปโตก็ไม่เกิด 👏
1 พ.ย. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวัน "Diffie-Hellman day" เพื่อรำลึกถึง Whitfield Diffie และ Martin E. Hellman ผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องคู่ Public Key และ Private Key ซึ่งมันทำให้ศาสตร์ Cyptography ก้าวผ่านกำแพงด่านสำคัญของมนุษยชาติมาได้จนวันนี้ !!! คารวะจากใจจริงขอรับ 🙏
ในสมัยก่อน ศาสตร์ Cryptography เคยติดปัญหาใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นั่นคือการที่ "ผู้รับและผู้ส่ง ต้องใช้ Secret Key เดียวกัน" 🗝
Secret Key เปรียบเสมือนเป็น "กุญแจลับ" ที่ใช้สำหรับ "เข้ารหัสข้อความ" (encrypt) ดังนั้นหากเราอยากจะสื่อสารกับใครแบบลับ ๆ เราจำเป็นจะต้องมี Secret Key เพื่อใช้เข้ารหัสข้อความเสียก่อน 👍
แต่ประเด็นคือ... ไอเจ้า Secret Key มันดันจำเป็นต้องใช้เพื่อ "ถอดรหัสข้อความ" (decrypt) ด้วยเช่นกัน !!! ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่มี Secret Key ของเรา ก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราสื่อสารไปหาได้ !!! เอ้า !!! ง่าย ๆ คือคนสองคนจะต้องใช้ Secret Key เดียวกัน เพื่อเข้ารหัสข้อความและถอดรหัสข้อความกันไปมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสื่อสารกันลับ ๆ สองคนได้ (แค่ฟังก็นึกภาพงานงอกออกเต็มเลย) 🤣
ตอนนี้ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ... เราต้องใช้ Secret Key ในการล็อค และต้องใช้มันในการปลดล็อคด้วยเช่นกัน ตอนนี้จึงเหมือน Secret Key มันเป็นทั้ง "แม่กุญ+ลูกกุญแจ" ในอันเดียว ถ้าเราอยากสื่อสารกับใคร ก็ต้องยอมให้เขารู้ Secret Key ของเราด้วย ทีนี้พอจะจินตนาการปัญหาที่จะตามมาได้ไหมสหาย ? 🙃
❌ ปัญหาที่ตามมา คือ... ก็ในเมื่อทั้งผู้รับและผู้ส่งมี Secret Key เดียวกัน หมายความว่าเขาก็จะแอบอ่านข้อความที่เราคุยกับคนอื่นโดยใช้ Secret Key นี้ได้เช่นกัน (ถ้าเราแบ่ง Secret Key ให้คนอื่นใช้มากกว่า 1 คน) นี่คือปัญหาแรก !!!
❌ ไม่พอนะ... เราจะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้รับจะเอา Secret Key เราไปเพื่อใช้ถอดรหัสอ่านข้อความอย่างเดียว ในเมื่อมันคือ Secret Key เดียวกันกับที่เขาสามารถใช้เข้ารหัสข้อความและเป็นผู้ส่งได้เหมือนกัน ผู้รับจึงจะแกล้งตีเนียนเป็นผู้ส่งก็ได้ ส่งข้อความและตีเนียนเป็นอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก็ไม่รู้อยู่แล้วนิว่าใครรับใครส่ง เพราะคนเข้ารหัสกับคนถอดรหัสมันคือคนที่มี Secret Key เดียวกัน
ทีนี้... ถ้าโลกยังฝืนดันทุรังใช้ศาสตร์ Cyptography ที่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้กันต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ยุค Cryptocurrency ขึ้นมา ไม่อยากจะนึกภาพเลย... ในโลกที่คนโอนเงินและคนรับเงินต้องใช้ Secret Key เดียวกัน 😱
ผู้รับเงินที่รู้ Secret Key ของผู้โอน ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต สามารถเซ็นธุรกรรมต่าง ๆ หรือ Sign Smart Contract ใด ๆ ก็ได้ จะโยกเงินเราไปที่อื่นเล่น ๆ ยังไงก็ได้ อลม่านกันหมดแน่นอนทีนี้ ต้องขอบคุณนักนวัตกรรมยุคก่อน ๆ ที่ใส่ใจกับปัญหานี้ ไม่ทู่ซี้จะมองข้ามปัญหาและพัฒนาอะไรต่อไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (เข้าใจเนอะว่าจะสื่ออะไร หึหึ...) เราจึงไม่ต้องประสบกับพหุจักรวาลนั้นกัน ฮู้เร่ !!! 55555555 🌌
และต้องขอขอบคุณ Diffie และ Hellman ที่ริเริ่ม "คู่ Public Key และ Private Key" ขึ้นมา ✅
โดยทั้ง Public Key และ Private Key จะมีความเชื่อมโยงกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เลยเป็นที่มาที่หลายคนกลัวจะโดน Quantum Computer ย้อนรอยหา Private Key กันหนักหนานั่นแหละ คือมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเสี่ยงหรอก ตอนนี้มันยังมี แต่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ขี้เกียจจะตอบแล้ว แหะ ๆ 😅
โดย Public Key จะมีไว้ใช้ encrypt ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถใช้ decrypt ได้ เราจึงสามารถส่งในพื้นที่สาธารณะหรือให้ใครรับรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในเชิงการเข้ารหัส เพราะต่อให้คนนอกเห็น "แม่กุญแจ" ของเรา แต่เขาก็ไม่มีอะไรมาไข ส่วน Private Key ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ลูกกุญแจ" อันนี้เราต้องเก็บไว้ให้ปลอดภัย เรารู้ได้คนเดียว ไม่ต้องทะลึ่งบ้องไปแชร์ให้ใครทั้งนั้น 🔐
ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ Cyptography จึงแก้ปัญหาคอขวดในอดีตได้ และทำให้เราได้มี #BTC รวมถึงพวกเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใช้กันจนปัจจุบันนี้นั่นเองงงง ขอบคุณฮ้าฟฟู่ววว 🎉
และหากย้อนไปยังวันที่เปเปอร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมา (1 พ.ย. 1976) วันนี้ก็ถือเป็นวันครบรอบ 49 ปีแล้ว หวังว่าจะอ่านสนุกกันนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ฉลอง 17 ปี #Bitcoin Whitepaper Day ด้วย 17 Fun Facts เกี่ยวกับ Bitcoin White Paper !!! 🤩
🗓️ 1. วันนี้ เป็นวันครบรอบ 17 ปี ที่ White Paper
ของเครือข่าย Bitcoin ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน
โดย Satoshi Nakamoto ตัวผู้สร้าง #BTC เอง
วันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 17 ปีก่อน (31 ตุลาคม 2008)
จึงนับเป็นวันปล่อย White Paper แบบทางการ !
(ผู้ที่ได้รับกลุ่มแรกคือเหล่า Mailing List)
📃 2. Bitcoin White Paper ยาวเพียง 2,736 คำ
สั้นกว่าเปเปอร์วิชาการทั่วไปโดยเฉลี่ยราวครึ่งหนึ่ง
(เปเปอร์วิชาการยาวเฉลี่ย 4,000 ถึง 10,000 คำ)
📛 3. มีคำว่า Bitcoin ในเปเปอร์เพียงแค่ 2 ครั้ง
หลายคนเชื่อว่า Satoshi Nakamoto ไม่ได้คิดไว้
และอาจจะมาตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า Bitcoin ทีหลัง
โดยมีหลักฐานปรากฎไว้ด้วยว่า ซาโตชิ "อาจจะ"
ตั้งใจเรียก “Electronic Cash” หรือ “Netcoin”
ในตอนเริ่มคิดโปรเจ็กต์ (เดี๋ยวแปะวาร์ปให้555)
⏲ 4. ใน White Paper ไม่มีคำว่า "blockchain"
และไม่มีคำว่า "cryptocurrency" แม้แต่คำเดียว
แต่ซาโตชิเรียกสิ่งที่ทำหน้าที่ blockchain ว่า...
"เซิร์ฟเวอร์ประทับเวลา" (timestamp server)
ส่วนเปเปอร์เวอร์ชั่นก่อนหน้า เรียก "timechain"
📦 5. คำที่ใช้บ่อยที่สุด คือ คำว่า "block"
โดย "บล็อก" คือชุดธุรกรรมที่ได้รับการ...
"ประทับเวลา" ลงบนบล็อกเชนแล้ว และได้รับ
"การอนุมัติว่าถูกต้อง" จากเครือข่าย Bitcoin
ซึ่งคำนี้ถูกใช้บ่อยถึง 48 ครั้งใน White Paper
ทั้งนี้คือไม่ได้นับพวกที่เติม s ต่อท้ายนะสหาย
เช่น คำว่า "transaction" กับ "transactions"
จะนับว่าเป็นคนละคำกัน คำไหนถูกใช้กี่ครั้งว่าไป
ทั้งสองคำจะไม่ถูกนับจำนวนการใช้รวมกันนะ
🔢 6. ไม่ได้มีสมการคณิตศาสตร์เยอะขนาดนั้น
หลายคนอาจเข้าใจว่าเปเปอร์นี้ต้อง Geek มาก
คงมีสมการทางคณิตศาสตร์เต็มไปหมดแน่เลย
แต่ความจริง "ไม่ใช่เลย" สหาย นับทั้งเปเปอร์
ประกอบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด...
เพียงแค่ "3 สมการ" เท่านั้น (เดี๋ยวแปะวาร์ป)
แถมนิด ทั้ง 3 สมการที่ยกขึ้นมาประกอบนั้น...
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นที่จะมีคน...
โจมตีหรือขัดขวางเครือข่าย Bitcoin ได้นั่นเอง
คนอ่านจะได้เห็นภาพว่าเครือข่ายปลอดภัย 💪
✍ 7. ซาโตชิเขียนโค้ดก่อนเขียนเปเปอร์
โดยมีข้อความที่เขาเคยบอกว่าเขานั้น...
เขียนโค้ดอยู่ราว 2 ปีก่อนปล่อยเปเปอร์
🗣 8. Bitcoin White Paper มีการอ้างอิง
ถึงแหล่งข้อมูล 8 รายการ ซึ่งในนั้นมีพูดถึง
โปรเจ็กต์ที่พยายามจะสร้างเงินสดดิจิทัล
อย่าง B-money โดย Wei Dei และพูดถึง
Hashcash โดย Adam Back ด้วยเช่นกัน
และในปัจจุบัน ก็มีเพียงแค่ Adam Back
ที่ยังมีมีส่วนร่วมอยู่ในโลกคริปโตทุกวันนี้
(หมายถึงในบรรดาชื่อคนทีพูดถึงอะนะ555)
💻 9. มีการระบุว่า CPU ใช้สร้างบล็อก
ใน White Paper ระบุว่าพลังงานจาก CPU
จะถูกใช้เพื่อสร้างบล็อก ซึ่งไม่ใช่แล้ว !
ปัจจุบันข้อนี้จึงไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว
เพราะพลังงานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
ที่ใช้กันในเครือข่าย มาจากเครื่อง ASIC
🎃 10. จงใจปล่อยในวัน Halloween ?!
วันที่และเวลาแบบเป๊ะ ๆ ที่ปล่อยเปเปอร์
คือ... "วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม" !!! ปี 2008
ณ ตอน 14:10 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก
หลายคนจึงคาดเดาว่าเป็นการ "ตั้งใจ"
เพื่อจะได้เล่นกับธีมของวัน Halloween
ในเรื่อง "การดับสูญและเกิดสิ่งใหม่"
สื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยเก่า
ที่เงินแบบเก่ากำลังจะได้เวลาจบไป
และได้เวลากำเนิดยุคสมัยเงินใหม่ขึ้น
แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย
เป็นเพียงการคิดต่อยอดกันเองเท่านั้น
🤏 11. ไม่มีการพูดเรื่อง 21 ล้านเหรียญ !!!
หลายคนเชื่อว่าเรื่อง Bitcoin จะมีกี่เหรียญ
ซาโตชิน่าจะตัดสินใจเป็นส่วนท้าย ๆ สุดเลย
เพราะในเปเปอร์ไม่มีพูดถึงแม้แต่คำเดียว
มาประกาศเรื่องนี้เอาตอน มกราคม ปี 2009
🔥 12. เป็นที่ถกเถียงยับตอนเปเปอร์ออก !
เหล่า Mailing List (รายชื่อผู้จะได้รับอีเมล)
ต่างถกเถียงกันดุเดือดหลังเปเปอร์ออกมา
จนผู้ดูแลต้องเข้ามาแทรกกลางและห้ามไว้
โดยบอกให้คุยกันแค่เรื่องโปรโตคอลเท่านั้น
หยุดลามไปจวกเงิน Fiat, ภาษี, หรืออื่น ๆ
และถ้าอยากคุยให้ก็ทำ Mailing List แยก
ซึ่ง Satoshi และ Hal Finney ก็ทำแยกจริง
🤔 13. คนแรกที่ตอบกลับเปเปอร์ยังอยู่ !
James A. Donald คือคนแรกที่ตอบกลับ
เพื่อแสดงความเห็นที่มีต่อ White Paper
ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนั้น...
เขาดันไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะสำเร็จได้จริง
😎 14. Hal Finney นี่แหละของแทร่ !!!
เขาคือคนทดลองใช้งาน Bitcoin คนแรก
และให้การสนับสนุนซาโตชิเรื่อยมาแต่เดิม
ทันทีที่ได้อ่าน White Paper เขาพูดเลยว่า
ระบบ Proof of Work นี่แหละ เป็นแนวคิด
ที่ "มีแนวโน้มจะสำเร็จสูงมาก ๆ" 💪
⚖ 15. White Paper โดนกฎหมายโจมตี
หลายคนตอนนั้นก็ดราม่ากันยับ ไม่แฟร์เลย
แต่ช่างเถอะ เพราะมันทำให้แข็งแกร่งขึ้น
หลัง White Paper โดนสั่งลบ ก็มีเว็บไซต์
หลายแห่งทั่วโลกช่วยกันกระจายให้เลย
แม้แต่เว็บของภารรัฐสหรัฐและเมืองไมอามี
ก็มี White Paper นี้แปะบนหน้าเว็บเช่นกัน
แม้แต่บริษัทมหาชน อย่าง บริษัท Block
และบริษัท Microstrategy ก็ด้วย อิอิ ! 💪
📱 16. บางส่วนของเปเปอร์ก็ไม่ได้ไปต่อ
ใน White Paper ซาโตชิเคยมีเสนอเรื่อง
การแก้ปัญหาด้าน Scaling เอาไว้ โดยใช้
"Simple Payment Verification (SPV)"
เป็นแนวคิดที่จะทำให้ผู้ใช้ยืนยันธุรกรรม
โดยไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดมา
ไม่ต้องดึงมาหมดทั้งเครือข่ายบล็อกเชน
แต่แนวคิดนี้ยังมีช่องโหว่และไม่ได้ไปต่อ
(ซึ่งซาโตชิก็รู้ ไม่ได้บอกว่ามันสมบูรณ์)
ข้อเสนอนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในท้ายที่สุด
ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ และมีทางอื่นมาแทน
🌐 17. เว็บไซต์แรกที่ให้โหลดเปเปอร์
คือ "Bitcoin .org" ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะ
แถมมีให้เลือกโลดมากกว่า 40 ภาษา
แต่ประเด็นคือ... ข้าได้ยินมาว่าเว็บนี้นั้น
เคยมีประวัติโดนแฮ็คอยู่ และเคยมีเหตุ
ปล่อย client เวอร์ชั่นอันตรายลงในเว็บ
ใครจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเว็บนี้ก็ดูให้ดีนะ
เสียหายโทษใครไม่ได้ เช็คกันเอง555
จบแล้วกับ 17 Fun Facts เกี่ยวกับ
#Bitcoin White Paper เพื่อฉลอง
ครบรอบ 17 ปี Whitepaper Day
อ่านกันเพลิน ๆ นะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากอีเมลฉบับนี้ !!! ครบรอบ 17 ปี อีเมลในตำนาน 📧
📌 วันศุกร์ที่ 31 ต.ค. ปี 2008 เป็นวันที่ Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโตะ) ได้ส่งอีเมลฉบับสำคัญของโลก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในภายหลัง จนเกิดเป็น #Bitcoin และก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้
📝 ศัพท์เทคนิคในอีเมลฉบับนี้ก็ เช่น:
- peer-to-peer = บุคคลถึงบุคคล
- double-spending = การใช้จ่ายซ้ำซ้อน
(เช่น การพยายามทำให้เกิดการโอนเงินจำนวนเดิมที่เคยถูกโอนออกไปแล้วซ้ำอีกรอบ ทั้งที่เงินจำนวนนั้นควรจะถูกโอนออกไปได้แค่รอบเดียว เรียกง่าย ๆ คือการพยายามจะใช้จ่ายเงินก้อนเดิมซ้ำทั้งที่ตัวเองใช้จ่ายไปแล้ว)
- proof-of-work = หลักฐานการทำงาน
(เป็นกลไกฉันทามติที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องในบล็อกเชน หนึ่งในจุดประสงค์หลักที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อแก้ไขปัญหา double-spending)
- Hashcash = ชื่อของบล็อกเชนรุ่นบรรพบุรุษที่มาก่อน Bitcoin
อีเมลดังกล่าวใช้หัวข้อว่า "Bitcoin P2P e-cash paper" และเริ่มเกริ่นด้วยการจั่วหัวว่า "ฉันกำลังพัฒนาระบบเงินอิเล็กทรอนิคที่เป็นแบบ peer-to-peer เต็มตัว โดยไม่ต้องเชื่อใจบุคคลที่สาม"
ในอีเมลมีการแนบลิงค์เปเปอร์เอาไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เข้าไปอ่านกันแบบละเอียดกันได้ และแอบมีการเปรยคุณสมบัติเอาไว้ในอีเมลก่อนว่า:
✍️ คุณสมบัติหลัก:
- ป้องกัน double-spending ด้วยเครือข่าย peer-to-peer
- ไม่มีการสร้างเหรียญขึ้นมาก่อนหรือมีบุคคลที่สามที่ต้องเชื่อใจใด ๆ
- สามารถมีส่วนร่วมแบบนิรนามได้
- เหรียญใหม่จะเกิดจากระบบ proof-of-work สไตล์ Hashcash
โดยการพิสูจน์การทำงานเพื่อทำให้เกิดเหรียญใหม่ขึ้นมานี้ยังเสริมพลังให้กับเครือข่ายเพื่อป้องกัน double-spending
ประมาณนี้สหาย ที่เหลือพี่แกก็เล่นแปะ Abstract ซะยาวเหยียด ก่อนจะปิดท้ายด้วยลิงค์เปเปอร์อีกรอบ และทิ้งชื่อ Satoshi Nakamoto ลงท้ายตามฉบับคนจดหมายสมัยก่อน 📫
อีเมลในตำนานฉบับนี้ได้ถูกส่งไปให้ Cryptography Mailing List ซึ่งเป็นลิสต์รายชื่ออีเมลของเหล่า cryptographer, นักวิจัย, และผู้ที่มีไฟในคริปโต ณ ตอนนั้น คืออีเมลเหล่านี้มาสมัครขอรับข้อมูลไว้จากเว็บไซต์ เวลาซาโตชิส่งอีเมลหา Cryptography Mailing List ก็คืออีเมลจะถูกส่งกระจายไปให้ทุกคนที่พูดถึงข้างต้นโดยอัตโนมัติ 👍
และทุกวันนี้ #BTC มาไกลมาก ! อีเมลฉบับดังกล่าวนับว่าเป็นอีเมลในตำนานที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมที่ยิ่งใหญของโลกที่ชื่อ Bitcoin เลยก็ว่าได้ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างก่อนจะมีตลาดคริปโตให้เทรดกันแบบทุกวันนี้ 🤣
และวันนี้ก็ครบรอบ 17 ปีของอีเมลฉบับดังกล่าวแล้วนะสหาย !!! Happy Bitcoin Whitepaper Day นะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
นักขุด #BTC ลอยฟ้า ความสูง 18,000 ฟุต ✈
ขุด #Bitcoin บนเครื่องบิน ! กำลังบินอยู่ด้วย !
นับเป็น "ครั้งแรกของโลก" ที่มีการ...
ขุดคริปโตบนเครื่องบิน ที่กำลังบินอยู่
ณ ความสูง 18,000 ฟุต (5.48 กม.) 🌍
วันนี้ (30 ต.ค.) เมื่อ 14 ปีที่แล้ว (2011)
จากกระทู้บน Bitcoin Forum ยุค OG
พบว่ามีคนเปิด Run เครื่องขุดบนฟ้า !!!
พยายามจะขุด BTC, TBX, และ LTC ⛏
ถ้าถามว่าเชื่อมต่อเครือข่ายได้ยังไง
ใช้ WiFi บนเครื่องบินนั่นแหละ ! 📶
ความสูงระดับ 18,000 ฟุตก็ไม่สูงมาก
นับว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหากเทียบกับ
สายการบินปกติที่เราใช้งานกันทั่วไป
อยู่แค่ระดับเครื่องบินส่วนตัวลำเล็ก ๆ
เห็นว่าขุดระหว่าง "บินข้ามเมือง" 🏙
เห็นบอกว่า "ทำได้สำเร็จ" ซะด้วย
ไม่มั่นใจว่าหมายถึง Run เครื่องขุด
ขณะอยู่บนที่สูงกลางฟ้าได้สำเร็จ
หรือหมายถึงขุดจนได้ BTC มาด้วย
สำเร็จที่ว่านี่คือยังไงนะอยากรู้ ? 🤔
ตัวกระทู้เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ไปส่องกัน...
เผื่อใครอยากรู้อะไรมากกว่านั้นสหาย
ดูเหมือนนี่จะเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์
ที่มีการ Run เครื่องขุด ณ บนเครื่องบิน
ความสูง 18,000 ฟุต ครั้งแรกของโลก
นำมาเล่าสู่กันฟัง ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#พ่อมดคริปโต #siamstr
ยังทัน ยังพอทนไหว ไม่ต้องรีบต้องร้อน !!! 🔥
ไอน้องใจเย็น !!! 🤣 ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙♂️
#Bitcoin #BTC #พ่อมดคริปโต #siamstr