1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ? - Sats And Sound Ep.50 คลิปนี้ไม่ได้เรียกทัวร์ แต่คิดว่าคงมีคนเห็นต่างแน่นอนครับ บ้าหรือเปล่า 1 ล้าน sats มูลค่าแค่ 3-4 หมื่นบาทไทย จะรวยกว่า 1ล้านบาทไทยได้ยังไง ใครคิดแบบนี้อยากให้ดูคลิปให้จบก่อนครับ ผมอยากให้ทุกคนเห็นภาพความจริงของเงินที่ดีเมื่อเทียบกับเงินที่เสื่อมค่า ย้อนกลับไปเมื่อ 10-15 ปีก่อน การวางแผนเกษียณมีสัก 5ล้านบาทก็เกษียณได้แล้ว แต่ตอนนี้ปี 2025 ลองไปถามคนที่วางแผนเกษียณได้เลยทุกคนอาจจะตอบคล้ายๆกันคือ มีแค่ 5 ล้านบาทคงไม่พอแล้ว สาเหตุเพราะเงินเฟียตในมือของเรามันเสื่อมค่า จากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อนั่นเอง ผมจะมาบอกว่าทําไม การมี 1 ล้าน Sats ถึงรวยกว่า 1 ล้านบาท เงินเฟ้อที่ประกาศประมาณ 2-3% ต่อปี ใครยังเชื่อตัวเลขนี้อยู่ อยากให้มาดูความจริงกันครับ เราไปดูปริมาณ M2 ซึ่งคือปริมาณเงินที่อยู่ระบบในไทยก็ได้ M2 คือ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ จะครอบคลุมปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด ง่ายๆคือใช้ดูเงินเฟ้อนั่นเอง แต่ละปีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ข้อมูลจาก treding view ปริมาณ M2 ของประเทศไทย กรกฏาคม 2025 M2 = 23.43T กรกฏาคม 2024 M2 = 22.68T กรกฏาคม 2020 M2 = 20.14T กรกฏาคม 2015 M2 = 14.57T กรกฏาคม 2009 M2 = 9.07T การคำนวณการเพิ่มขึ้นของ M2 จากปี 2024 ถึง 2025 (1 ปี) ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 22.68T = 0.75T (3.31%) อันนี้ดูไม่แย่นะ ไม่ถึง 4% แต่ยังไม่จบครับ จากปี 2020 ถึง 2025 (5 ปี) ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 20.14T = 3.29T (16.34%) จากปี 2015 ถึง 2025 (10 ปี) ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 14.57T = 8.86T (60.81%) จากปี 2009 ถึง 2025 (16 ปี) ปีแรกที่บิทคอยเกิดขึ้น หลังจาก Hamburger crisis 2008 ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 9.07T = 14.36T (158.32%) จากตัวเลข 16 ปีที่ผ่านปริมาณเงินในไทยเพิ่มขึ้น 158% นี่ไงครับใจความสําคัญของคลิปนี้ สาเหตุที่ว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพอ ค่าใช้จ่ายมากขึ้นทุกอย่าง มีตัวอย่าง ข้าวกะเพราะ 10 ปีก่อนยังได้เห็น 30-40 บาทต่อจาน ตอนนี้ 60-100 บาทต่อจานไปแล้ว การถือเงินเฟียตที่อํานาจการจับจ่ายลดลงตลอดเวลา มันทําให้เราไม่สามารถหาเงินได้ทันอัตราเร่งของเงินเฟ้อ เพราะรัฐบาลพิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่แก้ผิดจุดตลอดเวลา รวมถึงอเมริกาที่พิมพ์เงินและขยายเพดานหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อมันแย่ แต่เราไม่มีทางหลีกหนีมันได้เลย มีคําพูดบอกว่า มี 2 สิ่งที่คนเราไม่มีทางหนีได้นั่นคือ ความตาย และ ภาษี ผมขอเพิ่มไปอีก 1 อย่างนั่นก็คือเงินเฟ้อ ครับ เก็บเงินเฟียตเดือนละแสนยังแพ้เงินเฟ้อในระยะยาวเลย น่ากลัวนะครับ ไหนๆจะขยี้มันยังไม่จบครับ ผมก็ได้ไปคํานวณต่อว่า 16 ปีที่ผ่านมานั้น 158.32% ถ้าคิด อัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีของ M2 จากข้อมูลนี้คือประมาณ 6.01% มันจะตรงกับที่เราคาดการณ์กันเงินเฟ้อที่แท้จริง 6-8% ต่อปี เห็นยังครับ มันไม่ใช่ 2-3% ตามค่า CPI นะครับ จากคลิปอาจารย์พิริยะ ล่าสุดผมชอบมาก แกบอกว่า ถ้าใครอยากดูเงินเฟ้อคร่าวๆ ให้ไปดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของแบ้งค์ จากรูปขอบคุณข้อมูลจาก เวิร์คพ้อยทูเดย์นะครับ ดู MRR 6.5-8% นี่แหละคือคําตอบว่า แบงค์เขารู้ตัวเลขเงินเฟ้อที่แท้จริงนะ ถ้าเงินเฟ้อจริงมัน 2-3% ทําไมแบงค์ไม่สามารถลดอัตราเงินกู้ให้ถูกลงกว่านี้ได้ ถ้าใครดูมาถึงตรงนี้ น่าจะเริ่มเข้าใจและได้คําตอบแล้วครับว่า การถือ 1ล้าน sats หรือ 0.01 BTC นั้นรวยกว่า การมีเงิน 1 ล้านไทยบาทในระยะยาว ผมมีคลิป เป้าขั้นต่ำที่อยากให้ทุกคนมีบิทคอยไว้ 0.01 BTC เข้าไปดูกันได้นะครับ ถ้าถามว่าบิทคอยมันมาแก้อะไร มันก็มาแก้เงินเฟ้อไง ตรงตัวเลย แก้แค่เรื่องนี้ ชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะเลย สมมติมี 1ล้าน sats มูลค่า 35,000 บาท ในวันนี้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณก็ยังมี 1ล้าน sats หรือ 0.01 BTC เท่าเดิม แต่การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ ตลอดเวลา จะทําให้มูลค่า 1 ล้าน sats เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบิทคอยไม่เฟ้อ มันถูกโปรแกรมมาให้ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีก ตัดไปที่คุณถือเงินเฟียต 1 ล้านบาท เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ด้วยอัตรเงินเฟ้อ 6-7% อํานาจการจับจ่าย ของคุณจะเหลือเพียง 5แสนบาทเท่านั้น และมันจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะเงินเฟียตถูกพิมพ์ออกมาได้เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด เท่ากับว่า ใครยิ่งถือบิทคอยช้า เราจะยิ่งโดนเงินเฟ้อกัดกินอํานาจการใช้จ่ายไปเรื่อยๆ ถ้าใครยังคิดว่า บิทคอยแพงขนาดนี้มันจะโตไปได้อีกเท่าไหร่ ผมมีรูปนี้มาอธิบายให้ฟัง นี่คือรูปของ total global assets value สินทรัพย์แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่บ้าง ข้อมูลจาก onceinaspecies.com - อสังหาฯ กับ พันธบัตร มีอยู่ประมาณ 300T - เงินและหุ้น 130T - ทองคํา 22T - บิทคอยมีแค่ 2T เท่านั้น ตอนนี้น่าจะ 2.4T ซึ่งเราจะเห็นว่า ยังมีช่องการเติบโตอีกมากเลย มีคนกาวว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มูลค่าของบิทคอยจะแซงทองคําได้ คิดเร็วๆ ตอนนี้ราคา 3.5 ล้าน มูลค่าเพิ่มขึ้น 10 เท่า ล้านsats หลักหมื่นในวันนี้ จะกลายเป็นหลักแสนในวันนั้น อาจจะมีคําถามว่า ตอนนี้การเงินพังแล้ว อยากถือบิทคอยต้องทํายังไง 1 ทํารายรับรายจ่ายและเช็คสุขภาพการเงินของคุณก่อน ข้อนี้จะทําให้เรารู้ว่า เรามีเงินเท่าไหร่ มีรายได้ รายจ่ายเท่าไหร่ ทําให้เราวางแผนการออมบิทคอยได้ในระยะยาว ต้องออมบิทคอยอย่างสมํ่าเสมอทุกเดือน ทุกอย่างจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณออมได้เยอะๆมากแค่ 2-3 เดือนแรกแล้วเลิก ถ้ายิ่งใครมีสินทรัพย์ที่โตแย่กว่า เงินเฟ้อ หรือเงินเก็บที่ยังไม่ได้จัดสรร รีบเปลี่ยนเป็นบิทคอยได้เลย ถ้าปัญหาคือการหาเงินได้ไม่เยอะ - ดูสินทรัพย์ที่มีก่อน เผื่อมีบางอย่างที่ยังไม่ได้จัดสรร หรือ อยู่ในสินทรัพย์ที่โตช้ากว่าเงินเฟ้อก็เปลี่ยนมาเป็นบิทคอย - หาเงินให้มากขึ้น เพื่อออมบิทคอยมากขึ้น - กําหนดแผนและเป้าหมายที่ทําได้จริงอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน - ศึกษาเรื่องการเก็บบิทคอยใน HW อย่างปลอดภัย 2 ในระหว่างจัดการการเงินตัวเอง ต้องศึกษาบิทคอยไปด้วย ว่ากันว่า เราจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจเจคบุคคล เอาเป็นว่าศึกษาเยอะๆครับ แล้วคุณจะรู้จุดของตัวเองว่าเราโอเค หรือ ต้องการออม หรือ ต้องการมีบิทคอยแค่ไหน ผมเคยทำคลิปเกี่ยวกับบิทคอยเพื่อเกษียณลองไปดูกันได้ 3 ทั้งสองข้อที่ผมบอกไปด้านบน ต้องทําเลยนะครับ ถ้าผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ คนก็จะไม่ได้เริ่มสักที ใครยังไม่มีไอเดียลองดูคลิป ออมด้วยหลักการสิบเท่าของผม ดูได้ครับ บอกไอเดีย รวมถึงวิธีบันทึกการออมที่ทำง่ายๆ ทำได้ทุกคน สรุป 1 บิทคอยคือเงินที่ดี ถือไปมันไม่เสื่อมค่าลง กลับกันเฟียตคือเงินที่ไม่ดี มูลค่าจะลดลงตามการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ ดังนั้น ในระยะยาว 1 ล้าน sats ยังไงก็รวยกว่า มี 1 ล้านบาท 2 เงินเฟ้อมันเฮีย แต่เราก็หลีกหนีไม่พ้น ไม่อยากจนลงวิธีแก้คือ เปลี่ยนเงินเสื่อมค่าในมือให้กลายเป็นเงินไม่เสื่อมค่า 3 เงินเฟ้อที่ค่อยกัดกินเราไปเรื่อยๆ จะทําร้ายทุกคนที่รู้ไม่ทัน ดังนั้นถ้าคุณเข้ามาดูคลิปนี้ คุณรอดแล้วครับ 4 ทุกอย่างที่พูดเอามาจากข้อมูลจริงๆในอดีต ที่ถ้าเราเข้าใจความสําคัญของมัน จะทําให้เราเลือกทางเดินที่ถูกต้อง การออมเงินผิดที่เสียเวลามากครับ กว่าจะรู้อีกทีเราอาจจะเสียโอกาสมหาศาลแล้ว 5 มองทุกอย่างให้เป็นภาพกว้าง และ ระยะยาว มันจะทําให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลกับราคาบิทคอยระยะสั้นครับ แค่ออมง่ายๆโง่ๆ อย่างสม่ำเสมอ และเก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW แค่นี้พอแล้ว 6 บิทคอยยิ่งถือช้ายิ่งซื้อแพง ใครสนใจอยากเริ่มออมระยะยาว ต้องศึกษาบิทคอยและเช็คสุขภาพการเงินของตัวเองก่อน แล้วเริ่มเลย ทุกอย่างที่พูดในคลิป ถ้าใครไม่เชื่อไม่เป็นไรครับ คุณลองทดสอบด้วยตัวเองได้ บิทคอยเป็นทางเลือกที่ใครจะถือหรือไม่ถือก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง #siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออมbtc #stacksats
ถือบิทคอยไว้เฉยๆ วิธีเรียบง่าย แต่ทําจริง โคตรยาก - Sats And Sound Ep.49 ในกลุ่ม Bitcoin Thai Community มีสมาชิกท่านหนึ่ง ได้แชร์รูปพร้อม แคปชั่น "ถ่ายไว้เมื่อปี 2016 ใช้การ์ดจอขุดใน pool สมัยก่อน #รู้งี้ #bitcoin" วันนี้ผมจะรวบรวมความคิดเห็นของคนในคอมมูนิตี้ว่าคิดเห็นยังไงกับภาพนี้กันบ้าง และผมได้บทเรียนอะไรบ้าง อีกอย่างผมอยากให้คอนเท้นนี้เก็บความทรงจําของบิทคอยในช่วงที่คนยังไม่ค่อยรู้จักอย่างปี 2016 ด้วยครับ ในรูปเราก็จะเห็นเป็นหน้าเว็บไซต์ bx.in.th ซึ่งใช้ซื้อขายบิทคอย ในตอนนั้นยังไม่มี exchange ด้วยความที่บิทคอยเพิ่งเกิดไม่นาน และสนใจโดยคนกลุ่มที่เล็กกว่าในปัจจุบันมาก ทําให้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เก็บบิทคอย ยุ่งยากมากๆครับ อาจจะด้วยเทคโนโลยี ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ต ด้วยความรู้หลายๆอย่าง ต่างจากในตอนนี้ที่เราสามารถซื้อบิทคอยได้สะดวกมากทําเสร็จภายใน 1 นาที ผมเคยทําคลิปจับมือทํา มี 40 บาทก็ออมบิทคอยได้แล้ว ใครสนใจเข้าไปดูกันได้ กลับมาที่รูปนี้กันต่อ นอกจากประเด็นเว็บซื้อขายบิทคอยที่ปิดไปแล้ว อยากให้ดูราคาบิทคอยในตอนนั้นครับ ในปี 2016 ถ้าอิงเรทซื้อขายบิทคอยเว็บไซต์ bx.in.th เรทการซื้อบิทคอย 1 BTC = 23,664 THB เรทการขายบิทคอย 1 BTC = 22,668 THB หลายคนตกใจว่าทําไมเรทซื้อขายต่างกันเยอะ อยากบอกว่าเป็นเรื่องปกติครับ เขาไม่มีทางซื้อขายเท่ากันอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง ถ้าคุณลองเอาเงิน ดอลล่าไปแลกแบงค์ดู เรทซื้อ เรทขายก็ไม่เท่ากันเหมือนกัน แล้วในรูป ถ้าหากคุณขาย 0.8 BTC จะได้รับเงิน 18,110 บาท แล้วตัดกลับมาที่ราคาบิทคอยในปัจจุบัน อยู่ที่ 3,597,865.67 บาทต่อ 1 BTC เท่ากับว่า 0.8 BTC ในวันนี้มีมูลค่าถึง 2,878,292.53 มูลค่าเพิ่มขึ้น 159 เท่า หลังจากเวลาผ่านไป 9 ปี จริงๆข้อมูลตรงนี้ ดูกราฟทุกคนรู้หมด แต่ภาพนี้มันมายํ้าความรู้สึกเสียดาย ความรู้สึกรู้งี้ ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก เกริ่นมาพอสมควรคราวนี้ เราไปดูความคิดเห็นของคนในคอมมูกัน บ้างครับ ผมจะแบ่งประเภทคอมเม้นได้ 3 กลุ่มหลักๆก็คือ 1. กลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ตรง (Early Adopters) 2. กลุ่มผู้ที่รู้จักบิทคอยแต่ไม่ได้ซื้อขาย 3. กลุ่มที่แสดงความคิดเห็นทั่วไป 1. กลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ตรง (Early Adopters) คอมเมนต์ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนที่รู้จักและเข้ามาในวงการบิทคอยน์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ โดยเฉพาะยุคที่ BX.in.th และ Coins.co.th ยังเป็นที่นิยมอย่างมาก คอมเมนต์ในกลุ่มนี้จะมีการกล่าวหัวข้อย่อยๆอีกเช่น 1.1 ประสบการณ์การซื้อขาย การซื้อบิทคอยน์ในราคาหลักร้อยหลักพันบาท (มีเม้นบอกว่า 100 บาท ได้ 30 เหรียญ) การซื้อขายผ่านเว็บ BX และ Coins.co.th พูดถึงลุงโฉลก เป็นต้น 1.2 การขุด (Mining) การใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวขุดบิทคอยหรือเหรียญอื่นๆ เช่น NiceHash หรือ Minergate รวมถึงปัญหาเรื่องค่าไฟ มีคอมเม้นบอกว่าเหรียญที่ขุดหายไปเพราะ HDD คอมเก่าเสีย ทิ้งไปแล้ว ซึ่งมีมูลค่าเยอะเสียดายมาก 1.3 ความทรงจำและอารมณ์ ความคิดถึงบรรยากาศในแชทของ BX ที่สนุกสนาน และการพูดถึง "สมศักดิ์" ซึ่งเป็นตัวละครที่สร้างสีสันในห้องแชท มีคอมเม้นบอกว่า ปั่นกันทั้งวันทั้งคืน ไม่นอน สนุกมาก 1.4 ประสบการณ์การสูญเสีย ทําบิทคอย หรือ ขายหมู การสูญเสียเหรียญเนื่องจากเว็บปิดตัว, wallet เงินหาย ,ไฟล์ seedphrase.dat หายไปพร้อม HDD หรือ ล้างเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือการขายทิ้งในราคาที่ต่ำกว่าปัจจุบันมาก เช่น ขายหมดตอนราคาหลักแสนบาท 2. กลุ่มผู้ที่รู้จักบิทคอยแต่ไม่ได้ซื้อขาย กลุ่มนี้จะรู้จักบิทคอยน์จากข่าวหรือคนรอบข้าง แต่ไม่มั่นใจหรือมีเงินทุนแต่ไม่อยากซื้อช่วงแรกๆ หรือมารู้จักเมื่อราคาสูงขึ้นมากแล้ว เช่น คอมเมนต์ที่บอกว่ามารู้จักตอนราคาไป 700,000 แล้ว คนที่คิดว่าบิทคอยแพง ผ่านไปกี่ปี กี่ราคา มันจะขึ้นขนาดไหน เขาก็ไม่ซื้ออยู่ดี 3. กลุ่มที่แสดงความคิดเห็นทั่วไป เป็นคอมเมนต์ที่สรุปบทเรียนหรือความรู้สึกจากเรื่องราวในอดีตของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในยุคบุกเบิก เช่น "รู้อะไรไม่เท่า รู้งี้" หรือ "ขายไปก็ดีแล้ว คนอื่นจะได้รวยบ้าง" รวมไปถึงคอมเมนต์ที่ให้คำแนะนำแบบสั้นๆ เช่น "เก็บโง่ๆ" และ "ถือยาว+อดทนรวย" คนที่ทําได้จะต้องศึกษาและเข้าใจบิทคอย รวมถึงอดทนรอให้มันงอกงามได้ จากคอมเม้นผมก็มานั่งวิเคราะห์ต่อว่า แต่ละท่านที่มาแสดงความคิดเห็นน่าจะรู้จักบิทคอยในช่วงเวลาไหนบ้าง แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม 1 กลุ่มผู้บุกเบิก (รู้จักตั้งแต่ปี 2013-2017) - กลุ่มนี้คือผู้ที่ใช้งาน BX.in.th โดยตรง - เป็นผู้ที่ทันยุคที่บิทคอยยังมีราคาถูกมากๆ เช่น คอมเมนต์ที่พูดถึง ราคาหลักพันหรือหลักหมื่นบาท - คอมเมนต์ที่พูดถึงการเก็บเหรียญในช่วงปี 2017 2 กลุ่มที่รู้จักหลังจากปี 2017 (ช่วงที่ราคาเริ่มพุ่ง) - กลุ่มนี้คือผู้ที่เริ่มสนใจบิทคอยน์ในช่วงที่ราคามีความผันผวนสูงและเริ่มเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง - บางคนรู้จักมาก่อนแต่พึ่งมาสนใจบิทคอยช่วงนี้ 3 กลุ่มผู้ที่รู้จักในช่วงหลัง (ราคาเริ่มสูงมาก) - กลุ่มนี้คือผู้ที่เพิ่งมารู้จักบิทคอยน์เมื่อไม่นานมานี้ หรือเมื่อราคาได้พุ่งสูงขึ้นไปแล้ว หลังปี 2020 ซึ่งมักจะแสดงความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้ามาลงทุนตั้งแต่แรก และพยายาม stack sats ต่อไป จากคอมเม้นและประสบการณ์ของทุกคนในคอมมูนิตี้ ผมได้บทเรียนอะไรบ้าง 1 จงศึกษาบิทคอย และศึกษาบทเรียนในอดีต แล้วนํามาปรับใช้ในอนาคต หลายๆคนไม่ถือยาว แล้วมารู้งี้ ก็เพราะในตอนนั้นยังไม่มีบทเรียนให้เห็น เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ ดังนั้นเราก็โฟกัสที่ปัจจุบัน ผมเคยทําคลิป โฟกัสที่ ปัจจุบัน สําคัญที่สุด ได้พูดถึงประเด็นการซื้อบิทคอยไว้ด้วย ลองไปดูกันได้ น่าจะสรุปสาเหตุความรู้งี้ ของกลุ่มบิทคอยเนอร์ในยุคแรกๆได้ ว่าทำไมเขาถึงไม่ถือจนมาถึงปัจจุบัน 2 "ถือยาว" คือหัวใจสำคัญ คอมเมนต์หลายข้อที่แสดงความเสียดายล้วนมาจากปัญหาการ "ขายทิ้ง" ในช่วงที่ราคาดิ่งลง หรือขายไปเมื่อได้กำไรเล็กน้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการลงทุน บทเรียนที่ได้คือค่อยๆสะสม ทยอยออม และไม่ขาย หากเราเชื่อมั่นในสินทรัพย์อย่างบิทคอย การถือครองในระยะยาว (HODL) คือกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด 3 "เก็บโง่ๆ" คือวิธีที่ง่ายที่สุด คำว่า "เก็บโง่ๆ" จากคอมเมนต์มันสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ซับซ้อนในการเก็งกำไร เพียงแค่ซื้อและเก็บไว้โดยไม่ต้องคิดมากในระยะยาว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้ 4 ความอดทนต่อความผันผวน มีคอมเม้นที่สะท้อนให้เห็นว่าการจะเก็บสินทรัพย์ที่ผันผวนสูงอย่างบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนทางราคาและปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในชีวิตจริง มีหลายสาเหตุ ที่ทําให้คนถือบิทคอยได้ไม่นานพอ ความอดทนจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการออมบิทคอย มีคอมเมนต์ที่ บอกว่ารู้จักตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังไม่รวยสักที ทําให้ผมนึกถึงคลิป ถือ BTC มานาน กําไรเยอะ แต่ทําไมไม่เห็นเปลี่ยนชีวิตสักที? ที่ผมเคยทํา อันนั้นจะพูดในการมองภาพในปัจจุบัน ดูคลิปนี้จบ ยังอารมณ์ค้างไปต่อคลิปนั้นกันได้เลยครับ 5 การจัดการความเสี่ยงและเก็บรักษาบิทคอย บทเรียนสำคัญที่ผู้บุกเบิกหลายคนต้องเผชิญคือการทําบิทคอยหาย - ลืมรหัสผ่าน การทํากระเป๋าเงินดิจิทัลหาย - seedphrase.dat หาย , HDD คอมเสีย - การที่เว็บเทรดปิดตัว โดนโกง - การเรียนรู้ในการเก็บบิทคอยอย่างปลอดภัยใน Hardware wallet สําคัญมากๆ - seed phrase เก็บไว้ให้ปลอดภัย จดในกระดาษ หรือตอกใส่แผ่นโลหะ ห้ามถ่ายรูป ห้ามอัพลงอินเทอร์เน็ต คําว่า Not Your Key , Not Your Coins มันเกิดมาจากปัญหาเรื่องบิทคอยหาย เพราะเราไม่ได้เก็บบิทคอยด้วยตัวเอง ดังนั้นดูแล HW , seed phrase และ บิทคอยของคุณให้ดี ถ้า seed หลุด บิทคอยหายได้ทั้งหมด 6 เข้าใจความแตกต่างระหว่าง "การออม" และ "การลงทุน" มีคอมเม้นที่พูดถึง "การเทรดและการลงทุน" ซึ่งมักจะเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นหรือเทรดซื้อขาย อาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่การ "ออม" ที่มาจากการศึกษา และเข้าใจบิทคอย รวมวางแผนระยะยาวต่างหากที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายกว่า ผมมีคลิปแยกการออมและลงทุน ลองไปศึกษากันดูนะครับ สรุป 1 ถือบิทคอยไว้เฉยๆ วิธีเรียบง่าย แต่ทําโคตรยาก เพราะเราไม่มีทางรู้อนาคตว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับคอนเท้นในวันนี้ ที่มีเหล่า Early Adopters มาแชร์ประสบการณ์และความเสียดายมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าพวกเขารู้ว่าราคาจะพุ่งมาขนาดนี้ใครจะขายถูกมั้ย? 2 การออมบิทคอย ระยะยาว เก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW คือวิธีที่ง่ายที่สุดก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจบิทคอยจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจ เราก็จะขายออกในวันที่ไม่ควรขาย 3 โฟกัสที่ปัจจุบันสําคัญที่สุด ความผิดพลาดในอดีตเอามาเป็นบทเรียนเพื่อให้ไม่ผิดเรื่องเดิมซ้ำๆ 4 ในตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า บิทคอยคือทางรอดและยืนระยะจากผู้โจมตีมาได้ถึง 16 ปี บิทคอยคือการเงินไร้ศูนย์ที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ และสาเหตุที่มูลค่ามันเพิ่มขึ้นก็เพราะการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อที่ไม่มีทางทีที่จะลดลง รวมถึงคนเริ่มเห็นความจริงตรงนี้มากขึ้นว่า บิทคอยเป็นแหล่งเก็บมูลค่า ต่อต้านเงินเฟ้อ การถือครองระยะยาว ทําให้เรามีความมั่นคงและมั่งคั่งมากขึ้น 5 ผมเชื่อว่า บทเรียนในอดีตทําให้คนที่เข้าใจเก็บบิทคอยระยะยาวกันมากขึ้น - ถ้าหากเราไปดูข้อมูล on chain ข้อมูล bitcoin dominance รวมถึง supply ของบิทคอยใน exchange ที่น้อยลงไปเรื่อยๆ - รัฐชาติเริ่มเก็บ ทํา bitcoin reserve - บริษัท เริ่มทํา bitcoin treasury company มากขึ้น - ในอเมริกา สัดส่วนคนถือครองบิทคอย แซงหน้า ทองคําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว - อเมริกันดรีมที่เคยมีเป้าหมายคือบ้าน รถ กลายเป็นการถือบิทคอย 1 BTC แทนแล้ว คุณเห็นเทรนแห่งอนาคตแล้วยัง?? ทองคําคือเงินของพระเจ้า เฟียตคือเงินของรัฐบาล บิทคอยคือเงินของประชาชน บิทคอยยิ่งรู้ช้า ยิ่งซื้อแพงขึ้น #siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #ถือbtc #ออมbtc #stacksats
ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืน และทำซ้ำๆได้ - Sats And Sound Ep.48 บทความนี้อยากให้ทุกคนหันกลับมมามองสิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสำเร็จ ว่าแท้ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เราควร ดีใจ ภูมิใจ และยั่งยืนขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง เพราะถ้าหากเราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าเรื่องไหน ล้วนแต่เป็นเกมระยะยาวทั้งนั้น ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทำซ้ำๆได้ คนที่ประสบความสําเร็จ เขาจะสามารถทําสิ่งนั้นๆได้อีกเรื่อยๆ เช่นดาราที่ได้รางวัลออสก้าซ้ำๆ หรือ นักธุรกิจที่สร้างเงินได้เรื่อยๆ พอคิดได้แบบนี้ การมองโลกของผมก็เปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราบังเอิญทำแล้วสำเร็จ หรือได้ผลดีมันแย่นะ ยกตัวอย่างเช่น บังเอิญถูกหวย บังเอิญขายของได้ค่าคอมเยอะๆ ถ้าได้ผมก็ดีใจกับมัน แต่ผมจะคอยเตือนตัวเอง และไม่หลงคิดไปว่า สิ่งบังเอิญเหล่านี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆได้บ่อย อาจจะดูมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย แต่ตัวผมเองเป็นคน ไม่พึ่งโชค ไม่พึ่งดวง มองทุกอย่างเป็นความจริงที่จับต้องได้เท่านั้น ยกตัวอย่าง 1. ความสำเร็จคือการขายของออนไลน์หรือทำนายหน้า - ถ้าเป็นการขายของตรงกับคลิปที่เราจะขาย แล้วขายได้เรื่อยๆ อันนี้ผมจะดีใจ เพราะสินค้าที่ขายเกิดจากลูกค้าสนใจคลิปเราแล้วกดซื้อ มีโอกาสที่เราจะขายได้ซ้ำๆอีก ถึงจะได้เงินไม่มากต่อขึ้นก็ไม่เป็นไร เรามองระยะยาว - ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลิปของเรา แล้วลูกค้ากดซื้อ เราได้ค่าคอม ถึงแม้จะได้เงินเยอะ แต่สิ่งนี้ไม่ยั่งยืน และมีโอกาสที่เราจะขายได้แค่ครั้งเดียว ผมก็จะเฉยๆครับ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้คาดหวังมาก 2. ความสำเร็จคือการหาเงินมา ออมบิทคอย ได้มากขึ้น ตัวอย่างนี้เราจะได้เห็นประโยชน์ ของการทําซํ้าๆได้อย่างชัดเจน - ถ้าเงินที่ได้มาจากการถูกหวย การขายของที่ทำได้แค่ครั้งเดียว ได้เงินก้อน ผมก็จะเฉยๆครับ ไม่ได้ภูมิใจอะไรมาก เพราะสิ่งนี้มันทําซํ้าไม่ได้ - ถ้าเงินที่ได้มาเกิดจาก การทํางาน productivity ร่วมกับการจัดการเงินส่วนบุคคลผ่านการทํารายรับรายจ่าย อันนี้น่าภูมิใจกว่าเพราะเราคิดมาแล้ว และที่สําคัญมันทําได้ในระยะยาว ถึงแม้ว่าจํานวนที่ใช้ออมบิทคอยจะน้อยกว่าแต่ยั่งยืนกว่ามาก ผมทำทุกเดือนสร้างวินัยจนเป็นนิสัย มันจะค่อยๆขัดเกลา มายเซ็ตของเราให้เดินถูกทางมากขึ้นด้วย อะไรที่ผ่านกระบวนคิดมาดีแล้ว และไม่ฉาบฉวย ผมว่ามันยั่งยืนและมีความสุขกว่าจริงๆนะ ตรงกับหลักคิดของ บิทคอย ที่ทุกคนต้อง Low Time Preference และชอบหลักการ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ในตอนนี้เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่ต้องรวดเร็ว High Time Preference ตลอดเวลา แต่ละวันเราก็จะเห็นข่าว คนถูกหวยรางวัลใหญ่ เป็นสิบๆล้าน ข่าวความสำเร็จของนัก ธุรกิจที่สร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่น 1 ปีรวยเลย ประสบความสำเร็จในระยะสั้น ข่าวพวกนี้อ่านได้แต่อย่าไปอินกับสิ่งพวกนี้มากนะครับ ความสำเร็จแบบชั่วคราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในคนแค่ 1% เท่านั้น มนษย์ธรรมดาอีก 99% อย่างพวกเรา อยากให้รู้เท่าทันความคิด และมองโลกแห่งความเป็นจริง ไม่พึ่งพาโชคหรือเอาความสำเร็จไปแขวนกับความไม่แน่นอน อยากประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและแท้จริง ไม่ว่าในเรื่องไหน ต้องหาวิธีที่ทำให้เราสามารถทำสิ่งนั้นซ้ำๆได้ ผมเองไม่ได้ด้อยค่าคนที่ฟลุ๊ดหรือโชคดีนะครับ บุญวาสนาโชคลากเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ถ้าโชคดีก็ถือว่าเป็นทางลัดไปสู่ความสําเร็จเร็วขึ้น เช่นเรื่องเงิน เราก็จัดการดีๆ อย่าเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหมด ไม่งั้นจากลาภ มันจะกลายเป็นทุกขลาภแทน สรุป 1. ความสําเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทําซํ้าๆได้ มันไม่ได้เกิดเพียงข้ามคืน ต้องอาศัยทั้ง วินัย ความสามารถ และการอุทิศเวลา เพื่อสร้าง Productivity ซํ้าๆนั่นเอง 2. รู้เท่าทันความสำเร็จที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ทำซ้ำๆไม่ได้ เราก็อย่าไปคาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ 3. อยู่ในโลกแห่งความจริง ค่อยๆสะสมประสบการณ์ ความรู้ ความชํานาญ อยากสําเร็จเรื่องไหน ก็โฟกัสที่เป้าหมายนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถทําตามเป้าที่ตัวเองคาดหวังได้ ไม่ช้าก็เร็ว 4. ความโชคดี ความฟลุ๊ค เกิดขึ้นก็ดี มันเป็นทางลัดที่ทําให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น แต่อย่าไปคาดหวังว่าความโชคดีจะเกิดขึ้นบ่อยๆ รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง #siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #พัฒนาตัวเอง #ความสำเร็จ
การออมบิทคอยด้วย หลักการ สิบเท่า เกษียณได้จริงมั้ย ?? - Sats And Sound Ep.47 วันนี้ผมก็จะมาเสนอหลักการ การตั้งเป้าหมาย การออมบิทคอย "ด้วยหลักการสิบเท่า" กันครับ ซึ่งเป็นการกําหนดเป้าหมายระยะยาวที่ท้าทายขึ้นอีกระดับหนึ่ง ไอเดียนี้ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยจะเอามาแชร์ให้ฟังกัน อยากให้ดูให้จบเพราะผมจะคํานวณตัวเลขจริงให้ดูว่าออมบิทคอยด้วยหลักการสิบเท่า - คํานวณยังไง - ต้องมี BTC เท่าไหร่ - ที่สําคัญ มันเกษียณได้จริงมั้ย การกําหนดเป้าหมายการออมบิทคอย ที่จริงมันหลากหลายมากๆนะครับ จากคลิป Bitcoin เริ่มออมเท่าไหร่ดี?? ที่ผมเคยทําไปก่อนหน้านี้ ผมก็ได้มีการยกตัวอย่างเป้าหมายในการออมบิทคอย 2 เป้าหมายคือ 1 ออมให้ได้ 0.01 BTC 2 เป้าหมายเกษียณ โดยใช้การคํานวณจากตัวเลขจริงจาก Bitcoin Retirement Calculator ดูคลิปนี้จบ ใครสนใจไปต่อคลิปนั้นกันได้ ผมแปะลิงค์ไว้ให้แล้ว กลับมาที่วันนี้กันก่อน หลักการสิบเท่าเป็นการตั้งเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว โดยให้มูลค่าของบิทคอยที่ถือครอง มีมูลค่าอย่างน้อย 10 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำปี ของเราเอง คํานวณง่ายเข้าใจง่ายมากครับ ตัวอย่าง: ชายโสด อายุ 30 ปี ค่าใช้จ่ายต่อปีคือ 300,000 บาท ต้องการเกษียณตอนอายุ 60 ปี ดังนั้นเป้าหมายตามหลักการนี้คือ การมีบิทคอยน์ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 3,000,000 บาท ถ้าเทียบราคา 1 BTC = 4,000,000 บาท เป้าหมายการออมบิทคอยตามหลักการสิบเท่า หากมีค่าใช้จ่าย 300,000 บาท ต่อปี ก็คือ 0.75 BTC ถือว่าเป็นจํานวนบิทคอยที่ไม่น้อยเลย เพื่อคอนเฟิร์มว่าจํานวนเท่านี้มันเกษียณได้จริงมั้ย เราจะลองเอาข้อมูลเคสนี้ไป คํานวณผ่าน Bitcoin Retirement Calculator กัน ใส่ข้อมูลได้เลย อายุ 30 ปี คิดว่ามีชีวิตอยู่ถึง 86 ปี จํานวนบิทคอยที่ถือ 0.75 BTC ไม่ซื้อเพิ่มต่อปีแล้วหลังเกษียณ คิดว่าอัตราดอกเบี้ยทบต้น 30% และเงินเฟ้อ 8% ส่วนหัวข้อ Desired annual retirement income เงินที่ต้องใช้ต่อปีหลังเกษียณ ข้อนี้เราใส่ ตัวเลข 3,000,000 บาท ตามหลักการสิบเท่าเข้าไปครับ (ประมาณ 94,000 ดอลล่าสหรัฐ) ที่จริงหัวข้อนี้ ผมลองไปคํานวณค่าใช้จ่ายต่อปี ใหม่โดยการคิดเงินเฟ้อ 8% จะได้ว่า ค่าใช้จ่ายรายปี 300,000 บาท ในปีนี้ อีก 30 ปีข้างหน้า มันจะกลายเป็น 3,016,160 บาท ตัวเลขก็ใกล้เคียงกับ หลักสิบเท่าเหมือนกันนะ ดังนั้นข้อใช้เลขเดียวกันไปเลย ในชาร์ตสรุปว่า ถ้าเรามี 0.75 BTC ในตอนนี้ตามที่คํานวณจากหลักการออมบิทคอยสิบเท่า คุณจะสามารถเกษียณได้ตอนอายุ 41 ปี ถือว่าเกษียณได้เร็วมากเลยนะครับ ในเคสนี้สิ่งที่ต้องทําคือ 1 เก็บบิทคอยให้ได้ 0.75 BTC ถ้าทําได้ก่อน อายุ 41 ปี คุณก็เกษียณได้เลย 2 หลังจากนั้น คุณอาจจะ - HODL ถือบิทคอยต่อไปเรื่อยๆ ด้วยการเก็บใน HW ที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและมีอํานาจการใช้จ่ายที่มากขึ้น - ขายตามอัตราส่วนเพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย ถ้าเป็นผมทําได้ตอนอายุ 41 ปี ผมไม่ขายบิทคอยนะ คิดว่าคงจะ stack sats ต่อสะสมไปเรื่อยๆ บิทคอยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ยิ่งมีมากยิ่งสบายใจ มีเวลาทํางานอีกตั้ง 19 ปี ผมว่าเก็บบิทคอยน้อยกว่านี้ก็ยังเกษียณได้เลย 3 บางคนอาจจะเลือกกระจายไปลงทุน หรือ สร้าง cash flow เตือนไว้ก่อน ใครจะเอาบิทคอยที่ออมได้แล้วไปต่อยอด ค้ำประกัน หรือลงทุนต่อ คิดและศึกษาหาข้อมูลดีๆนะครับ ทําแบบนี้บิทคอยคุณเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก จากที่มั่นคงจะเครียดแทนได้ สรุป 1 การออมบิทคอยด้วย หลักการ สิบเท่า เป็นหนึ่งในวิธีกําหนดเป้าหมายการออมบิทคอย ระยะยาว จากกรณีศึกษาสามารถเกษียณได้จริง และตัวเลขสอดคล้องกับเครื่องมืออื่นๆที่เคยใช้คํานวณ 2 เป้าหมาย และตัวเลขที่คาดการณื เป็นเพียงการคํานวณให้เราเห็นภาพคร่าวๆเท่านั้น การเกษียณเป็นเกมระยะยาว เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 3 คลิปนี้เป็นแค่หนึ่งในไอเดียในการกําหนดเป้าหมายเท่านั้น ผมเชื่อว่าคนที่ตั้งใจ stack sats ทุกคนมีวิธีที่ดีที่สุดสําหรับตัวเอง 4 ความเห็นส่วนตัวคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้าง consevative ตัวเลขบิทคอยที่เป็นเป้าหมายมันสูง และต้องใช้เวลาเก็บระดับหนึ่ง ใครรู้สึกว่ายาก ไม่ต้องเครียดนะครับ ทําเท่าที่เราทําได้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีทางของตัวเอง ส่วนตัวแนะนําเริ่มจาก 0.01 BTC ก่อน ถ้าทําได้ค่อยเพิ่มเป็น 0.1 BTC ค่อยเพิ่มเป้าทีละนิด ไม่แน่นะวันที่คุณมี 0.1 BTC มันอาจจะเพียงพอต่อการเกษียณโดยที่คุณไม่รู้ตัวแล้วก็ได้ คนที่ดูมาทั้งคลิปแล้วลองคํานวณของตัวเองดูครับ ว่าเป้าหมายของคุณเท่าไหร่ และคุณจะวางแผนเก็บบิทคอยให้ถึงได้อย่างไร ผมขอให้ทุกท่าน stack sats ได้ตามเป้าหมายนะครับ #siamstr #btc #bitcoin #ออมเงิน #ออม #ออมบิทคอย #satsandsound
มีเงินแค่ 40 บาท เริ่มออมบิทคอยได้เลย จับมือทํา เสร็จใน 1 นาที - sats and sound Ep.46 (เป็นคลิปแนะนำมือใหม่ จับมือทำ ที่อาจจะต้องดูวิดีโอประกอบครับ อ่านบทความอาจจะ งง บางส่วนได้ ) คลิปนี้ทําจากคอมเม้นในช่องครับ มือใหม่บางคนยังเข้าใจว่า บิทคอยที่ราคาเกือบ 4 ล้านในวันนี้ ถ้าจะเริ่มต้นออม จะต้องใช้เงินจํานวนมาก หรือ ต้องมีเงินขั้นตํ่า หลักพัน หลักหมื่น ขึ้นไปกว่าจะซื้อได้ มันเป็นมายเซ็ตคล้ายๆการซื้อหุ้นที่เราต้องซื้อเป็น lot แต่ในการซื้อบิทคอย ใน exchange เราสามารถซื้อด้วยจํานวนน้อยๆได้ครับ วันนี้ผมจะมาทําให้ดูว่า มีแค่ 40 บาท ก็เริ่มต้นออมในบิทคอยได้แล้ว ผมใช้ bitkub นะครับ ซึ่งเป็น exchange ที่ผ่านการรับรองจาก กลต. ประเทศไทย ที่จริงมีอีกหลายเจ้า เข้าไปดูในเว็บไซต์ของกลต. ได้เลยครับ ใครยังไม่สมัคร โหลดแอฟก็จัดการให้เรียบร้อยก่อนนะครับ จากข้อมูลที่ผมไปถาม บิทคับมา 1 ขั้นตํ่าในการฝากเงินด้วย QR code คือ 40 บาท 2 ขั้นตํ่าในการซื้อเหรียญคือ 10 บาท มีเงินหลักสิบก็เริ่มต้นออมบิทคอยได้แล้วนะ มาดูขั้นตอนตั้งแต่ฝากเงินเข้า จน ออมบิทคอยเสร็จ บอกเลยว่าใช้เวลาแค่ 1 นาที 1 ฝากเงิน อแฟ bitkub กดที่ไอคอนฝาก THB มาอีกหน้าจอก็ระบุจํานวนเงินได้เลย วันนี้ผมจะฝาก 40 บาท เงื่อนไขทั้ง 4 ข้ออ่านและติ๊กให้ครบนะครับ ข้อ 1 เงินที่โอนเข้ามา ชื่อบัญชีจะต้องตรงกับ ชื่อของเราที่ลงทะเบียนกับบิทคับเท่านั้น ข้อ 2 โอนเงินตรงตามยอดที่ระบุ ข้อ 3 QR code ใช้ได้ครั้งเดียว ห้ามใช้ซํ้า ข้อ 4 งดโอนในช่วงเวลา 5ทุ่มครึ่ง ถึง เที่ยงคืน 10 นาที น่าจะเป็นช่วงอัพเดทหรือปรับปรุง ระบบ ติ๊กให้ครบ อ่านเข้าใจเรียบร้อย กดยืนยันการฝากได้เลย หน้าpop up เช็คจํานวนเงินอีกครั้ง 40 บาทถูกต้องกดยืนยัน จากนั้นจะได้ QR code มา เราก็ดาวน์โหลดรูป ลงมือถือแล้วไปกดโอนในแอฟธนาคารได้เลย พอโอนเสร็จ จะมี pop up แจ้งเตือนว่าเงิน 40 บาทเข้ามาที่ exchange แล้ว หรือถ้าใครเชื่อมต่อ บิทคับกับ line มันก็จะแจ้งผ่านไลน์ด้วย จากนั้นเข้ามาที่แอฟ กดที่คําว่า wallet ด้านล่างขวามือ จะเห็นว่า เงิน 40 บาทเข้ามาแล้ว ที่นี้ก็พร้อม ออมบิทคอยแล้วครับ กดที่ไอคอน market ซ้ายล่าง แล้วเลือก ตัวบนสุด ที่เขียนว่า BTC / THB ซื้อบิทคอย กดที่ปุ่มสีเขียวที่เขียนว่า ซื้อ มันจะขึ้น option มา แถบเงินที่ต้องการจ่าย เราสามารถใส่ตัวเลข หรือ กดจํานวนเงินได้ อย่างที่บอกขั้นตํ่า 10 บาทเองแต่วันนี้ผมซื้อหมดเลยครับ 40 บาท แถบต่อไปราคาต่อ BTC เราสามารถเลือกราคา บิทคอยที่ต้องการซื้อได้ เราไปดูแถบ price ASKS สีแดง จิ้มได้เลย ส่วนใหญ่บันทัดบนสุดก็จะถูกสุดในตอนนี้ เช่น 3693220.13 มีปริมาณBTCพร้อมขายคือ 0.0049818 BTC แต่ชีวิตเราง่ายกว่านั้นครับ สังเกตแถบที่เขียนว่า ลิมิต มาร์เก็ต สต็อป กดที่ตรงกลาง มาร์เก็ต เราก็ได้ราคาตลาดตอนนั้น กดปุ่มเขียวซื้อ แล้วกดยืนยัน ออเดอร์มาร์เก็ต จํานวนเงิน 40 บาท มี pop up แจ้งว่า ซื้อเสร็จแล้ว จบ เชื่อยังว่านาทีนึงเสร็จ เราสามารถกดเข้าไปดูใน wallet ได้ว่าตอนนี้เรามี BTC เท่าไหร่ ผมได้มา 0.0000108 BTC มูลค่า 39.88 บาท จํานวนเงินบาทจะไม่คงที่ขึ้นอยู่กับราคา บิทคอยตอนนั้น และ การซื้อบิทคอย exchange จะมีหักค่าธรรมเนียมไปด้วยนะ กดไปที่ปุ่มคล้ายนาฬิกาขวาบน เราสามารถเข้าไปดู รายละเอียดการซื้อได้ บอกหมดว่า ซื้อตอนกี่โมง ได้ต้นทุน BTC กี่บาท ได้รับกี่ BTC หรือถ้าใครผูกบัญชีกับไลน์ มันก็จะแจ้งเหมือนกัน ออมเสร็จสบายใจ สิ่งที่แนะนําให้ทําต่อไปคือ การจดบันทึกการออม สิ่งนี้จะทําให้เรารู้ว่าเราใกล้ถึงเป้าแล้วยัง การจดมันเป็นจิตวิทยาที่ทําให้เรามีแรง และมีไฟในการออมบิทคอยด้วยครับ จะเห็นถึงความก้าวหน้า proof of work และ productivity ด้วย แนะนําไปดูคลิป การจดบันทุก proof of work ลองทําดูมันใจฟูจริงๆนะครับ ผมมี ตัวอย่าง การจดบันทึกใน Excel ให้ดู เราคีย์ข้อมูลได้เลย เราดูเอง ทําตามสไตล์ ตามความถนัดได้เลย 1 BTC เท่ากับ 100 ล้าน ซาโตชิ (sats) ใน exchange จะใช้หน่วย BTC เป็นหลัก ทําให้เราเห็น เลขทศนิยมเยอะ แนะนําบันทึกเป็นหน่วยเดียวกัน จะได้ดูง่าย จะใช้ BTC หรือ Sats ก็ได้ การโอนบิทคอยเข้าไปใน Hardware Wallet อีกหนึ่งหัวข้อที่มือใหม่ควรศึกษาไว้ก่อน ในอนาคตถ้าหากเราต้องการโอน บิทคอย ออกจาก exchange ไปเก็บใน hardware wallet ก็ทําได้นะครับ แต่แนะนําว่า เราอาจจะต้องมี บิทคอยจํานวนหนึ่งก่อน ยกตัวอย่างเช่น มีบิทคอยมูลค่า 5 พัน - 1 หมื่น บาท เพราะทุกครั้งที่เราโอนบิทคอยออกผ่าน Bitcoin Network เราจะเสียค่าธรรมเนียม Fix 0.00003 BTC หรือ 3000 sats ( โอนกี่ sats ก็จ่ายเท่ากัน ) ดังนั้นการโอนบิทคอยออกในจํานวนน้อยๆมันไม่คุ้ม เรื่องนี้ค่อยไปศึกษาเพิ่มเติมได้ครับ ทำไมเราจะเก็บบิทคอยไว้ใน exchange ตลอดไปไม่ได้ ถึงแม้ exchange ที่ กลต. รับรองจะปลอดภัย แต่มันก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงครับ อย่างไรก็ดี ถ้าเราไม่ได้เก็บบิทคอยเอง บิทคอยนั้นก็อาจจะยังไม่ใช่ของเรา อยากให้ทุกคนเก็บแบบ self custody เป็นครับอย่างกับคําที่พูดว่า Not Your Key, Not Your Coins เน้นยํ้าอีกครั้ง คลิปวันนี้เป็นการออมบิทคอยนะครับ ไม่ใช่การเทรด ซื้อๆขายๆ ใครยังแยกไม่ออก เข้าไปดูคลิป แยกการออม และ การลงทุน ออกจากกันของผมได้นะครับ ถ้ามายเซ็ตเราถูก ชีวิตเราจะง่ายขึ้นมาก สบายใจด้วยครับ สรุป 1 ออมบิทคอย ไม่ต้องใช้เงินจํานวนมาก เริ่มต้นแค่ 40 บาท ก็ออมได้แล้ว ง่ายซื้อเสร็จใน 1 นาที 2 ทุกครั้งที่ซื้อบิทคอย อย่าลืมจดบันทึกการออม เพื่อติดตามผลและเป้าหมาย 3 ไม่ควรเก็บบิทคอยไว้ใน exchange จํานวนมาก อาจจะเกิดความเสี่ยงถอนออกมาไม่ได้ ถ้า exchange มีปัญหา ถ้าหากมีจํานวนบิทคอยมูลค่าเกินหลักหมื่น แนะนําให้ศึกษาการเก็บแบบ self custody โอนออกไปเก็บใน HW ที่ปลอดภัย เพื่อทําให้บิทคอยหรือ sats ที่เรามีนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง มือใหม่ค่อยๆศึกษาได้ครับ ไม่ต้องรีบ 4 ทุกอย่างที่บอกในคลิปคือการออมบิทคอยในระยะยาว ไม่ใช่การลงทุน #siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออม #ออมbitcoin #bitkub
Bitcoin เริ่มออมเท่าไหร่ดี?? คลิปนี้มีคำตอบ - sats and sound Ep.45 เป็นคําถามในช่องนะครับ ซึ่งเป็นคําถามที่ผู้ที่เริ่มศึกษาและเข้าใจบิทคอย อยากได้ไอเดีย เริ่มออมบิทคอยเท่าไหร่ดี การเริ่มที่ดีที่สุดคือ การมีส่วนร่วม (skin in the game) หรือการเข้ามาถือบิทคอยนั้นเอง เชื่อเถอะ ถ้ามามีบิทคอยจํานวนหนึ่งแล้ว เราก็จะเริ่มศึกษาและเข้าใจมันมากขึ้น ควรเริ่มออมยังไง และ ออมเท่าไหร่ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลเลยครับ ผมคิดว่าเราจะต้องดู 2 เรื่อง 1 การเงินส่วนบุคคลของเรา 2 เป้าหมายการออมบิทคอย 1 การเงินส่วนบุคคลของเรา - ดูสุขภาพการเงินของเราก่อน เพราะการออมของเราจะต้องทําต่อเนื่องในระยะยาว นั่นหมายความว่าเราจะต้องมีแผนการออมที่สามารถทําจริงได้ทุกเดือน - การเช็คสุขภาพการเงินที่ง่ายที่สุดคือเริ่มต้นทํารายรับรายจ่าย ให้ดีลองทําสัก 3-6 เดือนจะเริ่มเห็นตัวเลข ว่าที่จริงเราจ่ายอะไรไปบ้าง ข้อนี้จะทําให้เรากําหนด ค่าใช้จ่ายต่างๆ การออมรายเดือนแบบคร่าวๆได้ด้วย - จัดการหรือเคลียร์หนี้ ให้เรียบร้อย ถ้ายังมีก้อนนี้อยู่ คุณจะไม่สามารถออมระยะยาวได้ ผมมีคลิปพูดเกี่ยวกับหนี้ลองไปดูได้ครับ - เงินสํารองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่าย รายเดือน รู้ตัวเลขจาการทำรายรับรายจ่าย ก้อนนี้ต้องมีไว้ก่อน เพราะถ้าเราไม่มี สุดท้ายเราก็ต้องเอาเงินที่ออมบิทคอยที่ไม่ควรขายออกมาใช้อยู่ดี (ขายขาดทุนด้วย) ประสบการณ์ตรงจากตัวเอง สมัยเป็นมนุษย์เงินเฟียต ใจร้อน ทุ่มเงินเข้าพอร์ตหุ้นทั้งหมด high time preference กะว่าทุนเยอะเราจะรวย สุดท้ายต้องใช้เงินแล้วพอร์ตเงินฉุกเฉินไม่พอ ผมต้องขายหุ้นขาดทุนมาใช้ก่อน ความสําเร็จคือสิ่งที่ต้องทําซ้ำๆได้ ดังนั้น อยากออมบิทคอยให้ถึงเป้าหมาย สุขภาพทางการเงินของคุณต้อง healthy ก่อน 2 เป้าหมายการออมบิทคอย ข้อนี้จะเป็นตัวกําหนดขั้นตอน ระยะเวลา และสร้างวินัยในการออมให้ถึงเป้าหมายที่จับต้องได้จริง เวลาทําสําเร็จมันรู้สึกดีมาก ผมจะมีตัวอย่างเป้าหมาย 2 แบบคือ เป้าหมายเริ่มต้น กับเป้าหมายเกษียณ 2.1เป้าหมายเริ่มต้น ใครที่ยังไม่เคยมีบิทคอยเลย เริ่มออมสัก 10% ของเงินเดือนก็ได้ครับ หรือตัวผมจะบังคับตัวเองต้องออมบิทคอยอย่างน้อย 1000 บาททุกเดือน หรือ ถ้าอยากตั้งเป้าหมายการออมบิทคอย ผมแนะนําคลิป เป้าหมายแรกให้ทุกคนก็คือ ให้เก็บ 0.01 บิทคอยเป็นเป้าขั้นตํ่า ลองเข้าไปดูในคลิปได้นะครับ 2.2 เป้าเกษียณ ถ้าใครออมได้เกิน 0.01 BTC แล้ว ก็ค่อยเพิ่มเป้าหมายเช่น 0.1 - 1 BTC หรือมากกว่านี้เพื่อเกษียณ อันนี้ผมใช้เครื่องมือ ชื่อ Bitcoin Retirement Calculator ซึ่งผมมีคลิปการคํานวณตัวอย่างเกษียณจริงมาให้ดูเลยว่าเกษียณได้มั้ย เข้าไปดูกันได้เลยครับ ดูจบคํานวณของตัวเองได้เลย สมมติได้เป้าหมาย ได้ตัวเลขมาแล้วทํายังไงต่อ ผมยกตัวอย่างเคสให้เห็นภาพชัดๆนะครับ ชายโสด อายุ 25 ปี เงินเดือน 20,000 บาท ทําบัญชีรายรับรายจ่ายแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน 16,000 มีหนี้ กยศ ส่งเดือนละ 1,500 บาท ยังไม่มีเงินสํารองฉุกเฉินเลย จากเคสนี้ คิดง่ายๆคือ เหลือเงินเก็บเดือนละ 2,500 บาท เราก็จะเอาส่วนนี้มาจัดสรรกันครับ 1 ก้อนแรกเงินสำรองฉุกเฉิน 3 เท่าของรายจ่าย (16,000*3= 48,000) 2 ก้อนออมในบิทคอย เป้าหมาย 0.01 BTC (1 BTC ราคาประมาณ 4 ล้าน , 0.01 BTC 40,000) ถ้าตัวเป็นตัวเงินที่ต้องเก็บ 88,000 บาท / 2,500 = 35.2 เดือน หรือ 2.9 ปี (ในกรณีที่บิทคอยราคาไม่เพิ่ม) ดูยากใช่มั้ย แต่ลองเริ่มทําดูก่อน ถ้าไม่เริ่มก็ไม่ได้ทําสักที กรณีที่ 1 เงินเหลือ 2,500 บาท (ออม 12 เดือน มีเงิน 30,000 บาท) ลองจัดสัดส่วนก่อนเช่น สำรองฉุกเฉิน 1500 บาท ออมในบิทคอย 1000 บาท ทําดูสัก 3-6 เดือนต่อเนื่อง ผมคิดว่าคุณจะเริ่มมีไฟในการประหยัด และหาเงินเพิ่ม เข้าไปดูคลิป ของไม่จําเป็นไม่ซื้อในทันทีได้ คลิปนั้นช่วยจัดการการใช้เงินได้ดี เป้านี้ดูแล้วมันนานดังนั้น ดังนั้นการหารายได้หลายทาง รายได้เสริม การทําโอทีเพิ่ม รวมถึงโบนัสปลายปี จะทําให้เป้าหมายคุณถึงเร็วขึ้น ผมเป็นนะ พอเห็นแผนเราจะพยายามหาทางทําให้มันเร็วขึ้น กรณีที่ 2 เงินเหลือ 2,500 + 1,000 (ประหยัดเพิ่ม) + 3,000 (รายได้เสริม) = 6,500 บาท (ออม 12 เดือน มีเงิน 78,000 บาท) เป้าหมายดูใกล้ขึ้น กว่าเดิม เก็บสํารองฉุกเฉิน 3,500 บาท ออมในบิทคอย 3,000 บาท กรณีตัวอย่างเป็นไอเดียที่คุณสามารถนําไปวางแผนการออมในบิทคอย หรือ เป้าหมายอื่นได้เอง เริ่มจะออมบิทคอย ต้องดูสุขภาพการเงิน วางแผนเพื่อสร้างวินัย การออมระยะยาว อย่าลืมเงินสํารองฉุกเฉิน เพื่อจะได้ไม่ต้องขายบิทคอยตอนไม่จําเป็น อีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญมากคือ บิทคอยที่ออม ต้องเก็บไว้ใน Hardware wallet ที่ปลอดภัย ศึกษาเรื่อง seed phase จดในกระดาษเท่านั้น ห้ามบอกใคร ห้ามถ่ายรูปในมือถือ ห้ามโพสลงเน็ตเด็ดขาด ถ้า seed หลุด บิทคอยเสี่ยงหายได้ทั้งหมดทันที เรื่องนี้มือใหม่ทุกคนต้องศึกษานะ ไม่รู้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก สรุป 1 การออมบิทคอย จะต้องจัดสรรเงินที่มีก่อน จากนั้นวางเป้าหมาย ส่วนจะเริ่มเท่าไหร่ ออมเท่าไหร่ดี สุขภาพการเงิน และ passion เกี่ยวกับ บิทคอย ของคุณจะบอกคุณเอง แต่ละคนไม่เหมือนกัน 2 ทํารายรับรายจ่าย และวางแผน เพื่อกำหนดวิธี เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ 3 วินัยและความสม่ำเสมอ คือคําตอบของความสําเร็จ ดังนั้นจะต้องวางแผนการออมที่คุณต้องทําได้จริงทุกเดือน 4 ถ้าศึกษาไปเรื่อยคุณจะรู้ว่า มีบิทคอยเท่าไหร่ก็ไม่พอ จะออมบิทคอยต้องรีบทํานะ เพราะยิ่งออมช้า ยิ่งซื้อแพงขึ้น 5 เก็บบิทคอยไว้ใน Hardware wallet ที่ปลอดภัย Seed Phrase ต้องอยู่ในที่ไม่มีใครรู้นอกจากเรา 6 วันที่ดีที่สุดในการออมบิทคอย คือวันนี้ ดังนั้นเริ่มวางแผนการเงิน และออมบิทคอยเลยครับ ลองทําดูสัก 2 ปี คุณจะตกใจในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นว่า เราก็ออมเงิน ออมบิทคอย ทําได้ตามเป้าเหมือนกันนะ ผมเชื่อว่าถ้าคุณทํา 2 เป้าหมายนี้สําเร็จ คุณจะสามารถตั้งเป้าหมายต่อไป ที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตที่แท้จริงได้ #siamstr #bitcoin #btc #ออมเงิน #การเงิน #ออมbitcoin #ออมbtc #satsandsound
เข้าใจ บิทคอยผ่านประสบการณ์จริง แบบโลกไม่สวย - sats and sound Ep.44 ปี 2025 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิด bitcoin adoption ไม่ว่าจะเป็นบริษัท bitcoin treasury หรือแม้แต่กฏหมาย bitcoin reserve ของรัฐชาติต่างๆ cycle นี้คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น พอมีคนสนใจมากขึ้น เริ่มจะเข้ามาศึกษาน่าจะฟังข้อมูลทั่วไปมาเยอะแล้ว ผมก็จะมาเล่าความเข้าใจ บิทคอย ผ่านประสบการณ์จริงของผมแบบโลกไม่สวยกัน 1 เงินเฟ้อมันเฮีย แถมไม่มีใครหยุดมันได้ ตัวผมเองก่อนที่จะเข้ามาศึกษาบิทคอยก็โดนเงินเฟ้อทําร้ายมาก่อน ผมเคยเล่าไว้ในหลายๆคลิปลองไปหาฟังกันดู ถ้าคุณเข้าใจระบบการเงินโลก การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ รู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณจะรู้ว่าเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ประวัติศาสตร์ดินแดนที่ล่มสลายเพราะเงินเฟ้อเกิดขึ้นซํ้าๆจากการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ เกิดจากความโลภ ความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น เงินเฟียตเกิดจากการเป็นตั๋วแลกทองคํามาก่อน จนกลายมาเป็นเงินกระดาษที่ถูกพิมพ์ออกมาได้ไม่อั้น ทําให้โลกของเราเต็มไปด้วยหนี้ที่คนรุ่นใหม่จะต้องรับกรรม และ มีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่ารุ่นพ่อแม่ไปเรื่อย การศึกษาและระบบเฟียต ล้างสมองให้เราคิดว่า เงินเฟ้อมันดี เป็นเรื่องปกติ เพราะรัฐต้องพิมพ์เงินมาพยุงเศรษฐกิจ เขาบอกว่า เงินเฟ้อปีละ 2-3% แต่พอไปดู M2 ความจริงเงินเฟ้อปีละ 7-10% ใครรู้รอด ใครไม่รู้โดนหลอก จนทั้งชีวิต ถ้าเงินเฟียตที่เราใช้อยู่มันไม่เฟ้อ และรักษามูลค่าได้ เราไม่จําเป็นต้องมีบิทคอยเลย 2 ความเชื่อใจ จริงใจไม่มีอยู่จริง ภาษาพี่ชิตคือ (สังคมตอแล..) เราอยู่ในโลกที่ทุกคนต้องเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยิ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ เรื่องเงิน คุณจะไว้ใจใครเหรอ?? - การโกงเกิดขึ้นทุกระดับชั้นตั้งแต่ครอบครัว จนไปถึงระดับประเทศ ข้อนี้ไม่ต้องอธิบายเยอะ ทุกคนเข้าใจดี - คิดว่าทุกวันนี้แบ้งค์เอาเงินคุณไปทําอะไรบ้าง - การลงทุนในกองทุนฝากเงินไว้กับคนอื่น หรือ หุ้น ที่คุณทุ่มเงินลงไปแล้วคิดว่าอีก 5-10 ปี คุณจะรวย สรุปคนรวยจริงกี่คน หรือ มันต้องมีเงินต้นเท่าไหร่ถึงจะสบาย - ไม่มีใครหวังดีกับเราที่สุด เท่ากับตัวเราเอง ในโลกแห่งความเป็นจริงเราจะไว้ใจและเชื่อใจทุกคนไม่ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะดูดี จะน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม ทุกสิ่งที่มีผลประโยชน์ และ คน เข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้ามีช่องโหว่ โกงกันหมด 3 ทํางานเกือบตาย 10 ปี เพิ่งรู้ว่าหาเงินเร็วไม่เท่าเงินเฟ้อ คําตอบก็คือ จนและไม่มั่นคงไงครับ สมัยก่อนที่ผมยังเป็นมนุษย์เงินเฟียต ทํางานเก็บเงิน ลงทุน ออมไปเรื่อยๆ พอผ่านไป 10 ปีที่เราควรจะรวยจากหุ้น จากสินทรัพย์ สรุปแล้วว่า เราจนลง เราไม่มั่นคง หุ้นไทยกลับไปอยู่ พันจุดเท่าเดิม อายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผมรู้ตัวเลยว่า ถ้าผมยังอยู่ในสภาพนี้ เราจะจนก่อนแก่ ผมพยายามโทษตัวเองว่าเราไม่เก่ง หาเงินไม่ได้มากพอ ลงทุนก็ไม่เก่ง สรุปว่าชีวิตล้มเหลวมาก จนได้มาศึกษาบิทคอยจนรู้ว่าความจริงว่า ผมถูกบังคับให้อยู่ในเกมที่ออกแบบมาให้เราแพ้ตั้งแต่แรก 1 เงินเฟ้อทําให้ทุกอย่างแพงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง ทุกคนจนลงอัตโนมัติ 2 มันยากมากในการเก็บเงินให้เร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็น exponential -เคสสยอง เก็บเงินเดือนละ 1 แสน ผ่านไป 10 ปีแพ้เงินเฟ้อ วิธีแก้ชีวิตแย่ๆแบบนี้คือการ ออกมาจาก matrix ของเงินเฟียต ด้วยการเปลี่ยนเงินเฟียตเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า เช่น ทองคํา อสังหาฯ และบิทคอย ใครถนัดสิ่งไหนก็เก็บสิ่งนั้น ส่วนตัวผมเลือกบิทคอยครับ เพราะ 1 บิทคอยถูกเขียนโค้ดมาให้มีจํานวนจํากัดอย่างแท้จริง มีอัตราการผลิตที่แน่นอน ไม่มีใครเปลี่ยนกฏและทําให้เฟ้อนี้ได้ ต่างจากทองคําและอสังหาฯ มันถูกควบคุมและสามารถทําให้เฟ้อได้ด้วย กฏหมายหรือภาครัฐ - ตั๋วแลกทองคํา คุณว่า เทียบกับปริมาณทองคําจริงๆ คุณว่ามันจะเท่ากันจริงมั้ย? Fort Knox ที่เก็บทองคํามาไม่รู้กี่สิบปียังไม่เคยนับจริงๆเลย - อสังหาฯ บ้านพร้อมที่ดิน อันนี้เฟ้อน้อย แต่คอนโดฯ บ้านบนอากาศที่ไม่มีที่ดิน สร้างได้มากขึ้นเรื่อยๆ 2 บิทคอยเป็นสินทรัพย์ที่รัฐยังไม่สามารถ "ควบคุม" ได้ - การขนทองคําออกนอกประเทศต้องขออนุญาตรัฐก่อน (ทั้งๆที่เป็นทองของคุณ) และเขายังจํากัดปริมาณด้วย - การถ่ายโอนซื้อ-ขาย อสังหาฯ คุณต้องให้ภาครัฐอนุญาตก่อน แถมยังต้องไปดูแล ถ้าปล่อยให้เสื่อมโทรม หรือ ครอบครองปรปักษ์ อสังหาฯนั้นอาจจะไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป บิทคอยคือเงินที่อยู่ในมือของคุณอย่างแท้จริง คุณจะจ่าย ใช้ หรือโอนให้ใครในโลกนี้ก็ได้ด้วยตัวเอง เงินเรา เราดูแล และควบคุมเอง ถ้าทําหายเอง seed หลุด ใครก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน การมีอํานาจตัดสินใจในสินทรัพย์ของเราเอง มันทําให้เรามีความรู้สึกมั่นคงกว่าที่คิด 3 สภาพคล่อง บิทคอยสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา - ทองคําก็สภาพคล่องไม่แย่ ซื้อขายได้สะดวกเหมือนกัน - อสังหาฯ ใช้เวลานานกว่าจะโอน ซื้อขาย กัน 4 บิทคอยถูกออกแบบมาให้ไม่ต้องเชื่อใจกันตั้งแต่แรก ดังนั้นจะไม่มีการโกงเกิดขึ้น ตัดปัญหาที่ต้นเหตุ เน็ตเวิร์คของบิทคอยถูกปกป้องด้วยกลุ่มคนหลายๆหน้าที่ที่มี ฉันทามติเดียวกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ไม่ต้องเชื่อใจกัน ด้วยระบบการปกป้องเน็ตเวิร์คที่แข็งแกร่ง การโกงต้องใช้ทรัพยากรและเงินจํานวนมากจนไม่คุ้มค่า เพราะบิทคอยถูกออกแบบมาให้รางวัลคนทําตามกฏ ต่างจากทองคําและอสังหาฯ ในโลกเงินเฟียต ที่ยังต้องอาศัยตัวกลางและความเชื่อใจ รวมถึงถูกควบคุมจากรัฐที่อ้างเรื่องความปลอดภัยอีกหลายจุด 5 ผลตอบแทน อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2024 (ข้อมูลจาก InnovestX) บิทคอยนำโด่งทิ้ง ทองคําและอสังหาฯแบบไม่เห็นฝุ่น - ที่บิทคอยผลตอบแทนเยอะมาก (129%) เกิดจากการพิมพ์เงินขึ้นมามาก และคนที่เห็นว่าบิทคอยเป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อได้ดีกวาเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น - ในส่วนของหุ้น S&P 500 (28.3%) ที่ขึ้นมาสาเหตุมาจากเงินที่อัดเข้ามาในระบบ ซึ่งไม่ได้เกิดจากผลประกอบการบริษัท ที่แท้จริง ต้องหาหุ้นที่โตมากกว่า 7% เพื่อชนะเงินเฟ้อ - ทองคํา (32.2%) คล้ายๆบิทคอยแต่อัตราเติบโตช้ากว่าเพราะทองคํามี market cap มากกว่าบิทคอย 10 เท่า - อสังหาฯ เติบโตช้าที่สุด 3-10% ต้องหาอสังหาฯที่โตมากกว่า 7% เพื่อชนะเงินเฟ้อ - พันธบัตร 5ปี (5.3%) และ 10 ปี(8.2%) แบบ 5 ปีแพ้เงินเฟ้อไปแล้ว ดังนั้นถ้าคนที่เข้ามาศึกษา และเข้าใจก่อน ถือก่อน อิสระก่อน ด้วยผลตอบแทนในตอนนี้เราแค่เก็บบิทคอยอย่างปลอดภัยใน HW ก็เอาเวลาไปทําอย่างอื่นได้อีกเยอะ สบายใจนะ สรุป ถ้าใคร.... - ไม่อยากจนอัตโนมัติจากเงินเฟ้อที่หนีไม่พ้น - เกลียดสังคมจอมปลอมและไม่อยากเชื่อใจคนอื่น - ต้องการหลุดออกจาก Matrix เงินเฟียตอย่างแท้จริง - สบายใจ เอาเวลาของเราไปทําสิ่งที่เราชอบหรือสร้างประโยชน์อื่นๆ การออมบิทคอยคอยคือคําตอบ ยํ้าว่าออมนะไม่ใช่ลงทุน ถือให้ยาวพอพร้อมศึกษา เมื่อลงหลุมกระต่ายคุณจะเข้าใจดีขึ้นในสิ่งที่ผมพูดอยู่ #siamstr #btc #bitcoin #satsandsound
"หนี้" เกมการเงินระบบทาส ถ้ารู้ไม่ทัน ไม่มีวันชนะ - sats and sound Ep.43 ในช่องผมที่พูดเรื่องทั้งการออม ระบบการเงินโลก เงินเฟ้อรวมถึง คนจนและวิธีหลุดพ้นจากความจนมาอยู่บ้าง จากคลิป คนไทยครึ่งประเทศเสี่ยงจน ในช่องที่เคยทํา สรุปสั้นๆวิธีแก้จนคือ 1 หาความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง ความรู้ผิดๆจะทําให้คุณออกจาก matrix นี้ไม่ได้ 2 ทํารายรับรายจ่าย 3 ประหยัด และหาเงินเพิ่มโดยวิธีสุจริต 4 เก็บออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า เช่นบิทคอย ทองคํา แต่มีอยู่อีก 1 สิ่งที่ไม่เคยพูดถึงเลยก็คือ "หนี้" ทุกคนคงเคยได้ยินและเห็นด้วยกับคําว่า "ไม่มีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ" หนี้เหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ที่ถูกออกแบบมาให้ลูกหนี้ต้องทํางานวิ่งตามหาเงินทั้งชีวิต คนไทยเป็นหนี้เยอะมาก แล้วส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการบริโภคที่ไม่สร้างรายได้ด้วย ดังนั้นถ้าจะพูดเรื่องการหลุดพ้นจากความจน ยังไง เรื่องหนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ต้องจัดการ มี 3 สาเหตุหลักที่ ทําให้คนไทย โดยเฉพาะคนจน ไม่สามารถหลุดพ้นจากความจนได้ และส่งต่อความจนนี้จากรุ่นสู่รุ่นลงไปเรื่อยๆ 1 เงินเฟ้อ และระบบการเงินโลกที่ออกแบบมาทุกคนในระบบ "จนและเชื่อง" อัตโนมัติ - การพิมพ์เงิน การทํา QE เพื่อพยุงหรือกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED - การปล่อยกู้ และ ระบบ Fractional Reserve Banking ของธนาคารพาณิชย์ - ระบบการศึกษาถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง "ฟันเฟือง" สําหรับแรงงานในระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาหนี้ ในมหาลัยผมมี บูท บริษัทต่างๆให้นักศึกษามาสมัครและสอบถามเรื่องการทํางาน และก็มีบู้ทธนาคารมารับสมัครบัตรเครดิตเลย สิ่งนี้คือสาเหตุหลักของระบบ fiat standard ในโลกการเงินปัจจุบันที่ทําให้เงินเฟ้อมหาศาล คนรุ่นใหม่จะจนลงเรื่อยๆ เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่าง สินค้ามันแพงขึ้นจนซื้อไม่ไหว สิ่งที่น่าเศร้าคือ การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อมันแย่ เราถูกสอนให้เชื่อว่าเงินเฟ้อ ของแพงขึ้นเป็นเรื่องปกติ เราถูกความโลภและความสะดวกสบาย และสังคมจอมปลอม บอกให้ก่อหนี้ตั้งแต่เริ่มทํางาน สิ่งนี้มันจะดําเนินต่อไป ไม่มีใครหยุดมันไม่ได้ 2 การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผูกติดกับหนี้ ในระบบปัจจุบัน การเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการขยายตัวของหนี้โดยตรง หากไม่มีการกู้ยืมใหม่ เศรษฐกิจจะซบเซาลง ทำให้การขยายตัวของธุรกิจ การจ้างงาน และการใช้จ่ายลดลง ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายจึงต้องส่งเสริมให้มีการกู้ยืมอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างเป็นห่วงโซ่ ที่คนตัวเล็กอย่างเราออกแบบมาให้แพ้ตั้งแต่แรก เขาพิมพ์เงินทําให้เงินเฟ้อ ทําให้เงินในมือของประชาชนเสื่อมค่าลง ซื้อของแพงและคุณภาพชีวิตแย่ลง เมื่อเงินไม่พอใช้ ทําให้คนบางกลุ่มเลือกที่จะกู้เงินมาใช้ก่อน ด้วยเหตุจําเป็นหรือไม่จําเป็นก็ตาม ทําให้คุณเป็นหนี้ไปแล้ว มีภาระผูกพันต้องจ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยจนครบ ไม่จ่ายโดนเบี้ยปรับอีก ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากหนี้ - ธนาคารพาณิชย์ ได้กําไรจากการสร้างเงินใหม่และเก็บดอกเบี้ย - ธนาคารกลาง ควบคุมกลไกนี้ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย - นักลงทุนรายใหญ่ ซื้อหนี้ของคุณที่ถูกแปลงเป็นสินทรัพย์ลงทุนเพื่อทำกำไร เช่น กองทุนที่ลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ - รัฐบาล กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐที่มาจากการกู้ยืม - บริษัทขนาดใหญ่ ขายสินค้าที่มีราคาสูงโดยผู้ซื้อสามารถใช้การกู้ยืมเงินได้ ระบบหนี้คนตัวใหญ่ทุกคนได้ประโยชน์หมดเลย ยกเว้น "คนทั่วไป หรือ คนที่ไม่มีความรู้ทางการเงิน" 3 ขาด Money Literacy "ความฉลาดทางการเงิน" จากคลิป คนไทยครึ่งประเทศเสี่ยงจน และการหาข้อมูล รวมถึง ความรู้เห็นส่วนตัวของผม คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนจนและชนชั้นกลางยังขาดความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง เมื่อเงินไม่พอใช้ แถมอยู่ในสังคมของมันต้องมี ต้องการอัพเกรดคุณภาพชีวิต มีการโฆษณาสร้าง "ความต้องการเทียม" ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อกระตุ้นให้คุณซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นและก่อหนี้ หรือบางคนมีเรื่องที่ต้องใช้เงินด่วน ไม่มีเงินไม่ใช่ปัญหา เราก็กู้ไง เดี๋ยวนี้สะดวกมากๆ 3.1 ชนชั้นกลาง - สินค้าไม่จําเป็น มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด ของมันต้องมี ก็ใช้สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด รูดซื้อของออกมาก่อน - เดี๋ยวนี้แอฟซื้อของออนไลน์มันผ่อนของได้ สิ่งที่ผมตกใจมากคือ มีคนมาอวดกันว่า เป็นหนี้วงเงินเท่าไหร่ ยิ่งวงเงินเยอะยิ่งเท่ แล้วผ่อนง่ายมาก ส่งผลให้ซื้อของไม่จําเป็นมากขึ้น เล็กๆน้อยๆก็ผ่อน ทําให้ยอดการจ่ายรายเดือนเยอะ พวกสินเชื่อส่วนบุคคล ความนรกคือจ่ายขั้นตํ่าหรือลืมจ่ายเสียดอกเบี้ยเยอะมากๆนะ - อยากอัพเกรดคุณภาพชีวิต กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ที่แพงจนซื้อด้วยเงินออมได้ยาก ทําให้เกือบทุกคนเลือกที่จะผ่อนแบงค์ ข้อนี้ผมเคยพูดไปใน 2 คลิปนะครับ เรื่อง การมีบ้าน หรือ รถยนต์ ที่ไม่ได้ใช้สร้างรายได้นั้น ทําให้คุณเสียโอกาสในการออมในสินทรัพย์ที่ดีกว่า ภาระผูกพัน 5-30 ปี ทั้งชีวิตแล้วนะ - บางคนอยากหารายได้เพิ่ม กู้บ้านมาเพื่อปล่อยเช่า หรือ รีโนเวทขาย อันนี้ก็เหมือนจะดี แต่ต้องมีประสบการณ์ด้วย ผมเคยทําคลิปบิทคอย vs อสังหาฯปล่อยเช่าอยู่ ใคนสนใจไปดูได้ เอาเป็นว่าขนาดชนชั้นกลางที่พอรู้เรื่องการเงิน การลงทุน ยังไม่เข้าใจระบบการเงินโลก และการทํางานของเงินเฟ้อเลย ถ้าเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ คนจะพยายามไม่เป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ เพราะมันมีค่าเสียโอกาสในการเก็บออมเงินในสินทรัยพ์ที่ดีกว่า 3.2 คนจน - ตาสีตาสาไม่มีเครดิต กู้แบงค์ไม่ได้ ก็ไปกู้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยเยอะกว่ากู้แบงค์หลายเท่า บางคนรู้ดีกว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย อาจจะโดนทวง โดนทําร้าย บางคนเลือกที่จะหนีไปเรื่อยๆ บางคนเงินที่กู้มาไม่รู้หรอกว่าจะหาคืนยังไงแต่จะเอามาใช้ก่อน เงินไม่พอบวกกับหนี้ที่ไม่จบสิ้น ทําให้ครอบครัวคนจนหลายครอบครัว ไม่สามารถหลุดพ้นความจนได้ ความจนที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่นทําให้เด็กหลุดออกจากระบบศึกษา อาจจะทําให้เกิดปัญหาสังคมในระยะยาวอีก การมี Money Literacy หรือ ความฉลาดทางการเงิน อย่างถูกต้องจะทําให้เราเข้าใจระบบการเงินโลก เงินเฟ้อ และจัดการการเงินส่วนบุคคลหรือครอบครัวได้อย่างเหมาะสม รวมถึงป้องกันความเสี่ยงที่จะต้องใช้เงินฉุกเฉินในอนาคตได้ ถ้าความคิดไม่เปลี่ยนถึงแม้จะถูกหวยหรือมีคนเอาเงินมาช่วยเหลือ สุดท้ายเงินก็จะหมดอยู่ดี เหมือนกับเคสการช่วยเหลือคนจนหลายๆเคสในสารคดี สุดท้ายแล้วเขาก็จะกลับไปจนแบบเดิม นี่แหละที่เรียกว่า จนจากมายเซ็ต ไม่ใช่เงินที่มี ใครอยากหลุดออกความจนอย่างยั่งยืน ผมแนะนําทําตามนี้ 1 วางแผนใช้หนี้เก่าที่มีอยู่ (ถ้าไม่เคลียร์ก้อนนี้ คุณจะไปต่อยากอีกหลายเท่า) 2 ไม่ก่อหนี้ใหม่เพิ่ม (ยิ่งคนไม่มีเงินหรือวินัยทางการเงิน อย่าไปก่อนหนี้เพิ่ม) 3 หาเงินเพิ่มและ ทำรายรับรายจ่าย (อยากชีวิตดีขึ้นไม่มีทางลัด) 4 เก็บออมในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าเช่น บิทคอย (ถ้าเงินเก็บไม่รั่ว คุณรวยขึ้นทันที) สรุป 1 หนี้ เป็นระบบที่ออกแบบมาให้เรากลายเป็นทาส โดยเฉพาะหนี้บริโภคที่ไม่สร้างรายได้ 2 คนส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจระบบการเงินโลก เงินเฟ้อ ที่ออกแบบมาให้เราลําบาก เมื่อเราตามเกมไม่ทัน ไปก่อหนี้ ทีนี้แหละคุณก็จะกลายเป็นทาสที่ไม่สามารถหลุดออกจากระบบเงินเฟียตได้ 3 หนี้ดีที่สร้างเงินให้ตัวเอง เช่นหนี้ธุรกิจ อันนี้จัดการต่อไปได้ หนี้เสียที่เกิดการใช้จ่ายเงินเกินตัว สินเชื่อส่วนบุคคลหรือหนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยสูงรีบเคลียร์ให้เร็วที่สุด 4 จัดการหนี้ จัดการเงินใหม่ และออมเงินในสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าเช่น บิทคอย ทองคํา เมื่อเราเข้าใจระบบการเงินโลก เงินเฟ้อ และหนี้ ทําให้เรารู้ทันระบบทาส และหนีจากมันได้อย่างแท้จริง #siamstr #หนี้ #การเงิน #btc
ของไม่จําเป็น ไม่ซื้อในทันทีทําแค่นี้ ประหยัดได้มหาศาล - sats and sound EP28 ตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคการซื้อของออนไลน์ ที่ง่ายดายไปหมดไม่ว่าจะเป็น การหาของที่ต้องการ คลิปป้ายยาแปะพิกัด การจ่ายเงิน กดสั่งง่ายๆหน้าจอมือถือที่บ้าน อีก 2-3 วันของก็มาส่งแล้ว สะดวกสบายมาก เทียบกับ 10 ปีก่อน พฤติกรรมของผมเปลี่ยนไปเลย ตอนนี้ผมซื้อ ออนไลน์ 95% แล้ว ผมว่าคนไทยส่วนมากก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอซื้อง่าย จ่ายง่าย แถมมีเทรน ของมันต้องมี อยู่ตลอด ทําให้บางครั้งเราอาจจะไปซื้อสินค้าที่ไม่ได้จําเป็นต่อเราขนาดนั้น เบื้องหน้าการช้อปปิ้งบําบัดเพื่อความสุขแบบนี้ มันคือ การใช้ชีวิตแบบ High Time Preference ที่ตัวผมเองก็เป็น แต่ผมเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากมัน โดยที่รู้เท่าทันตัวเอง สินค้าที่เราต้องซื้อผมจะแบ่งออกเป็น 4 แบบ ตามความจําเป็นและความเร่งด่วนของสินค้านั้นๆ 1 สินค้าจําเป็นและเร่งด่วน 2 สินค้าไม่จําเป็นแต่เร่งด่วน 3 สินค้าจําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน *** 4 สินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วน 1 สินค้าจําเป็นและเร่งด่วน สินค้ากลุ่มนี้คือสิ่งที่คุณต้องมีทันที และขาดไม่ได้ เพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน สุขภาพ ความปลอดภัย หรือการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ - ป่วยต้องไปซื้อยามากิน - ฝักบัวที่บ้านเสีย ต้องซื้อใหม่เลย - มือถือ ถ้าเสีย หรือ ทําหาย สมัยก่อนผมใช้ ไอโฟน 5s ซึ่งพังคามือเลย ข้อมูลหายหมด ทําให้ผมต้องไปยืมมือถือสํารองเพื่อนใช้ระหว่าง รอเครื่องใหม่ ใช้ชีวิตลําบากมาก แต่ตอนนั้น ยังไม่ได้ใช้แอฟธนาคารจ่ายเงิน ถ้าเป็นตอนนี้ ไม่มีมือถือไม่ได้เลย - คอมพิวเตอร์ที่ทํางาน หาเงิน เสียกระทันหัน ชีวิตวุ่นวาย - รถเสีย/อุบัติเหตุ ต้องซ่อมทันที เพราะไม่งั้นเราเดินทางไม่ได้ แนะนํา - พวกนี้ยังไงก็ต้องซื้อใช้เลย ถ้าไม่มีลำบาก จัดการเงินไว้ก่อนชีวิตจะไม่ได้สะดุด - ในกรณีที่สินค้านั้นราคาไม่แพงมากเช่น ไม่เกิน 1000 บาท ผมใช้เงินรายเดือนได้เลยเพราะผมได้กันเงินไว้เผื่อซื้อของพวกนี้ไว้อยู่แล้ว เคสจริงจากด้านบน ซื้อยา หรือฝักบัวในบ้านพัง ใช้เงินรายเดือนนี่แหละ สรุปรายเดือนเหลือเท่าไหร่ก็ค่อยเก็บออม - ถ้าสินค้านั้นราคาแพงมาก อาจจะสัก 2-3พันบาท หรือ แพงกว่านั้น ผมจะใช้เงินสํารองฉุกเฉินมาใช้ (ประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน) โดยหลังจากนั้นก็ค่อยๆเก็บสะสมให้เท่าเดิม มือถือพัง คอมพัง และรถเสียใช้เงินสํารองฉุกเฉินที่เก็บไว้มาใช้ 2 สินค้าไม่จําเป็นแต่เร่งด่วน กลุ่มสินค้าที่ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ตอนนั้นมีโอกาสที่ซื้อในราคาถูกมาก หรือเป็นสิ่งที่ทําให้เรามีความสุข - ตั๋วคอนเสิร์ต/ตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชันแบบ Flash Sale - ของขวัญให้คนสําคัญในวันพิเศษ หรือ hang out กับเพื่อนๆ - งานภาษีสังคมต่างๆ เช่น งานแต่ง งานศพ งานบวช แนะนํา - กลุ่มนี้ก็ใช้การบริหารเงินเหมือนกับกลุ่มแรกได้เลย ผมกันเงินไว้ส่วนหนึ่งรายเดือนเผื่อใช้อยู่แล้ว - เราสามารถลดหรือตัดได้ เช่น ไม่จําเป็นต้องไป hang out คอนเสิร์ตทุกครั้งที่เพื่อนชวน - งานภาษีสังคมต่างๆ ผมก็จะเลือกไปบางงาน งานไหนไม่ได้ไปก็ส่งเงินไปแทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไม่ต้องลางานด้วย กลุ่มสินค้าที่ต้องใช้ด่วน หลักคิดสําคัญคือการบริหารเงินและดูความจําเป็น ชีวิตจะได้ไม่สะดุด 3 สินค้าจําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน เป็นกลุ่มที่เราต้องใช้ความสําคัญมากที่สุด มันคือของจำเป็นแต่ไม่ต้องใช้ตอนนี้เดี๋ยวนี้ กลุ่มนี้แหละที่ผมจะใช้ทริคไม่ซื้อเลยในทันที จะมีการวางแผน คิดนานขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่า เราต้องซื้อสินค้านี้จริงๆ เป็นกลุ่มที่ผมโฟกัสที่สุด เพราะเป็นของส่วนใหญ่ในชีวิตที่ผมซื้อ ถ้าเราจัดการกลุ่มนี้ดี แล้วเราจะประหยัดได้มหาศาล - เสื้อผ้า - ของใช้ทั่วไป เช่น สบู่ ยาสีฟัน สกินแคร์ ทิชชู่ - ของใช้ในบ้านที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เรา ซึ่งความจําเป็นต้องขึ้นอยู่กับบุคคลอีกทีครับ เช่น โครงเตียงเหล็ก เครื่องเติมอากาศ - มือถือส่วนตัวที่ใกล้พัง แนะนํา - ผมจะ list ของใช้ที่จําเป็น แล้ว กดใส่ตระกร้าไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่ลืม แต่จะไม่กดซื้อทันที สิ่งที่ผมทําคือ คิดนานๆ หาข้อมูลเยอะๆ สัก 2-3 วัน แล้วกลับมาคิดอีกทีว่า สินค้านั้นยังจําเป็นมั้ย ทําให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น สะดวกขึ้น หรือแค่อยากได้ - ถ้าเป็นเสื้อผ้า แน่นอนครับ ซื้อของลดราคา และเลือกทุกอย่างสีพื้นๆ ลายน้อยๆ เนื้อผ้าสมราคา เพื่อใส่ได้หลายๆงาน ด้วยหลักการนี้ทําให้ 5 ปีที่ผ่านมา ผมซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดไม่ถึง 10 ตัว ถ้าใครซื้อออนไลน์ ถ้าชอบร้านไหนลองซื้อมาลองสัก 1 ตัวก่อน ถ้าโอเคค่อย list เป็นร้านที่ซื้อได้ - ถ้าเป็นของทั่วไป ราคาไม่เกิน 1,000 บาท เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผมจะดูโปรโมชั่นแล้วซื้อครั้งละเยอะๆใช้ได้ 3-6 เดือน ถ้าเราซื้อตัวไหนบ่อยๆเราจะรู้ว่า ราคาสินค้ามันประมาณไหน ตัวไหนมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 ก็ค่อยกดตอนโปร ต้องรู้และรอเป็น - ถ้าเป็นสินค้าราคาสูง เช่นหลายพันบาท ผมจะหาข้อมูล ใช้เวลาพิจารณาหลายๆวันว่าสิ่งนี้มันจำเป็นจริงๆมั้ย เอาความอยากได้กับเหตุผลสู้กันก่อน แนะนําเขียนข้อดีข้อเสีย ออกมาเลย ว่าเราจําเป็นต้องใช้ไหม -- ตัวอย่างเคสจริง เตียงโครงเหล็ก ผมเพิ่งย้ายที่อยู่มาใหม่ ห้องไม่มีอะไรเลย ที่นอนเราซื้ออยู่แล้ว แต่โครงเตียงอ่ะ ผมชั่งใจอยู่นานมาก ตอนแรกอยากได้มากๆ กดใส่ตระกร้าไว้ก่อน แล้วหาข้อมูลหลายๆร้าน หาข้อมูลไปเรื่อยๆอยู่ 3 วัน จนรู้ว่ามันมี 2 เกรด เกรดแรกราคา ประมาณ 1200 แต่มันก็อาจจะโยกแยก อ่านรีวิวแล้วต้องวัดดวงว่าของที่ได้จะพังมั้ย เกรดที่สอง ดีขึ้นมาหน่อย คงทน ไม่โยกเยก ราคา 3000 ผมอยากได้อันนี้ แต่ด้วยราคามันสูงผมเลือกที่จะรอ แล้วลองทดลองนอนบนฟูกติดพื้นดูก่อน ผมทดลองอยู่ 3 เดือนพบว่า การนอนแบบไม่มีโครงเตียงก็ไม่ได้แย่ การซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ในห้องเช่า ตอนย้ายก็ลำบากอีก สรุปเคสนี้คือ ผมไม่ซื้อโครงเตียงเหล็ก ประหยัดไป 3000 บาท -- เครื่องเติมอากาศ ห้องที่ผมอยู่มีฝุ่นเยอะมาก ขนาดทําความสะอาดและไม่ได้เปิดหน้าต่างประตูเยอะ ผมก็ไปหาข้อมูลจนเจอเครื่องเติมอากาศ หลักการของมันคือ ทําห้องเป็นแรงดันบวก ดันฝุ่นในห้องออก ป้องกันฝุ่นด้านนอกเข้ามา ถ้ามีเครื่องนี้เท่ากับว่า ฝุ่นในห้องจะลดลงมาก ผมทั้งอ่านรีวิว ศึกษา 4-5 วัน สนใจมาก ราคาเครื่องก็ 4000 บาท ทําให้ผมต้องไปศึกษา ดูรีวิวหนักกว่าเดิมว่า ซื้อมาแล้วคุ้มมั้ย ดูถึงขั้นเราจะติดตั้งตรงไหน เปิดใช้ตอนไหน ผมเขียนข้อดีข้อเสียออกมา ชั่งน้ำหนัก จนสรุปว่า ผมซื้อ เพราะมันทําให้ฝุ่นในห้องเราลดลงโดยภาพรวม ทําความสะอาดห้องน้อยลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น -- มือถือใกล้พัง อันนี้ ต่างจากเคส มือถือไอโฟน 5sพังไปแล้วที่ต้องซื้อเลยนะครับ ตอนนี้ผมใช้ ไอโฟน 11 ที่ซื้อมาตั้ง ตุลาคม 2562 ตอนนี้ปี 2568 ผ่านมาเกือบ 6 ปี ไอโฟน 11 ผมยังใช้งานได้ดี ผมรักมาก ทนมาก แต่แบตเริ่มเสื่อม และ iOS ไม่รู้จะซับพอร์ตไปอีกกี่ปี ดังนั้นสิ่งที่ผมทําคือ การสะสมเงินไว้ก่อนเดือนละ 2000 บาท เพื่อรอซื้อไอโฟนใหม่ ตอนนี้มือถือคือชีวิตถูกมั้ยใช้ทําทุกอย่าง จากบทเรียน ไอโฟน 5s พังคามือ ข้อมูลในมือถือหายหมด ดังนั้น เราได้เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เงินพร้อม ประมาณ 35000 บาท ถ้า ไอโฟน 11 เริ่มส่งสัญญาณไม่ไหว ผมมีเวลาไปซื้อเครื่องใหม่ พร้อมกับ ย้ายข้อมูลมือถือได้ทัน ชีวิตก็ไม่สะดุดแล้ว ไอโฟนแพงขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ซื้อตัวท็อปนะ ซื้อตัวธรรมดาพอครับ 4 สินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วน กลุ่มนี้คือแสดงถึงความเป็น ของต้องมี ของโดนป้ายยา แสดงถึง High Time Preference เข้ากับ ระบบเงินเฟียตสุดๆ ตัดได้ตัด ที่เขาต้องการให้เราซื้อได้เร็ว ก็เพราะแบบนี้แหละ - ของตกแต่งบ้านที่ไม่จำเป็น - ของเล่น/เกมใหม่ล่าสุด - อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ล่าสุด - เสื้อผ้าแฟชั่นที่ยังไม่ถึงฤดู - ของตามกระแสต่างๆ แนะนํา - ตัดได้ตัด - ก่อนซื้ออะไรคิดเยอะๆ นานๆ ว่าเราแค่อยากได้ หรือ มันจำเป็นจริงๆ - ตั้งเป้าหมายออมเงิน เช่นผมต้องออมในบิทคอย อย่างน้อยเดือนละ 1000 บาท ห้ามน้อยกว่านี้ เราก็จะคิดเยอะและประหยัดขึ้นมาอัตโนมัติ สรุป 1 ท้ายที่สุดการซื้อสินค้าทุกอย่างต้องดูที่ความจําเป็นเป็นหลัก 2 การบริหารการซื้อสินค้าที่จําเป็นแต่ไม่เร่งด่วน เป็นคีย์สําคัญในการบริหารการเงิน และจัดการชีวิตให้ราบรื่น 3 คิดเยอะๆและชะลอการจ่ายเงินซื้อสินค้าออกไป แค่ 2-3 วัน อาจจะทําให้คุณประหยัดเงินขึ้นมหาศาล 4 ผมทําแบบนี้มาสักพักแล้ว ข้อดีที่สุดคือ ของที่ซื้อมาทุกอย่าง ได้ใช้งานจริงๆและคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป #siamstr #btc #ประหยัด #ประหยัดเงิน #bitcoin
Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด - sats and sound EP23 Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด Fiat Food เป็นคําเปรียบเปรยถึงอาหารที่ผ่านการแปรรูปและผลิตจำนวนมาก แสดงถึงความ high time preference โดยไม่คํานึงถึงผลเสียต่อร่างกายระยะยาว Ultra-Procesed Food คือ อาหารแปรรูป ผลผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ที่เต็มไปด้วย สารเคมี สารกันบูด สารแต่งรสแต่งกลิ่นสังเคราะห์ Fiat Food / Ultra Process Food 2 สิ่งนี้มันเป็นซับเซ็ทกันอยู่ ที่บอกว่ามันแย่กว่าที่คิด ลดได้ลดเพราะว่าอาหารเหล่านี้ มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ ทํากําไรให้แก่นายทุน คิดง่ายๆนะ อาหารที่ต้องผลิตจํานวนมาก ต้องหาต้นทุนการผลิตที่น้อยที่สุด ต้องเก็บได้นานๆ และรสชาติเข้มข้น ในตอนนี้อาหารแปรรูปราคาถูกและหาซื้อง่ายกว่า อาหารทั่วไปไปแล้ว แต่ภาพลวงตาของความง่ายและสะดวกนี้เต็มไปด้วยผลเสียต่อสุขภาพระยะยาวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรัง ความดัน เบาหวาน ไขมัน หรือแม้แต่มะเร็ง ย้อนไปในอดีต มนุษย์อยู่ได้มาตั้งนาน จนมาถึงยุคการมาถึงของเงินเฟียต ที่ทุกอย่างต้องเร็ว รวมไปถึงการสร้างกําไรของภาคธุรกิจ ในภาคเกษตรกรรม ต้องปลูกพืชที่โตเร็วเท่านั้น เพื่อสร้างผลผลิตได้เร็ว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมื่อดินฟื้นฟูตัวเองไม่ทัน ก็เผาป่าสิ แล้วปลูกใหม่ pm มลพิษฉ่ำ แล้วผลผลิตที่มากแบบนี้มันต้องแปรรูปทุกอย่างให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น - แป้ง ทําขนมปังได้ง่าย - มาการีน ทําได้เร็ว ถูกกว่าเนยแท้ - นํ้ามันพืช ปรับแต่งโครงสร้างไม่ให้เหม็นหืนเร็ว - High Fructose Corn Syrup ลดการใช้นํ้าตาลจริงๆ น่ากลัวมาก อยู่ในขนม ซอส แยมต่างๆ แล้วมันก็ไปอยู่ในพวกอาหารแปรรูปต่างๆที่เรากินกันจนถึงทุกวันนี้เพราะมีผลิตง่าย ผลิตได้เยอะๆ สิ่งที่เลวร้ายต่อมาคือ การแทรกแซงโดยรัฐบาล การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและการกำหนดนโยบาย อำนาจนี้สามารถถูกใช้โดยกลุ่มผลประโยชน์พิเศษและนักการเมืองเพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางสังคม รวมถึงแนวทางการบริโภคอาหาร งานวิจัยพวกนี้มีผลสนับสนุนว่าการใช้สารเคมีในอาหารอุตสาหกรรมนั้นปลอดภัย สปอนเซอร์เงินทุนงานวิจัยก็พวกบริษัทผลิตอาหารพวกนี้นั่นแหละที่ให้มา ลองผลไม่ดีสิ ได้ถอนสปอนเซอร์ เริ่มเห็นความเน่ายัง ใครเคยเห็น ปิรมิดอาหารบ้าง แบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางภาครัฐแนะนําสัดส่วนในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน เรียนในโรงเรียนด้วยถูกมั้ย ดูดิ เขาให้เรากินแป้ง และ ผักผลไม้ที่ปลูกได้ง่าย ขายเร็ว สัดส่วนรวมกันถึง 75% แล้วให้กินโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต หรือซ่อมแซมร่างกายแค่ 20% มันแปลกมั้ย เพราะโปรตีนจากสัตว์นั้น ผลิตยากและแพงกว่า และกลุ่มนายทุนได้กําไรน้อยกว่า ส่งผลให้เขาพยายามรณรงค์ให้กินของที่ถูก ผลิตง่ายแทน เริ่มเห็นภาพแล้วยัง นี่ยังไม่รวมงานวิจัยที่แนะนําให้ลดการกินเนื้อสัตว์เพราะเสี่ยงมะเร็งอีก ทุกคนก็ใช้ชีวิตในการกินแป้ง น้ำตาล อาหารแปรรูป แบบนี้กันมา 30-40ปี อเมกาที่ดังคือพวก fast food ที่ทุกอย่างคืออาหารแปรรูป ที่เอามาทอดอีก มันโคตรอร่อย แต่มันน่ากลัวมาก จากสถิติคนอเมริกัน อ้วนขึ้นจํานวนมาก และมาพร้อมกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น ความดัน เบาหวาน ไขมัน ซึ่งโรคพวกนี้มันเกิดจากพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตเป็นหลักเลย พันธุกรรมก็มีส่วน แต่พฤติกรรมมีผลมากกว่า พอเราเป็นโรค ก็ต้องใช้ยา บริษัทผลิตยา ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีก อยากให้ไปคิดต่อกันเอง สงสัยมั้ยว่าพอเราเป็นโรค NCD มีคนบอกเราตรงๆว่า กินแค่ยารักษาโรคไปตลอดชีวิต แต่กลับ ไม่มีใครมาบอกเราตรงๆว่า อาหารที่เรากินมันแย่ และเป็นสาเหตุของโรคเหล่านั้น? วิธีที่ผมใช้จริงในการ ลด ละ เลิก Fiat Food / Ultra-Processed Food สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องเลือกการกินมากขึ้น you are what you eat - ลดการกิน fiat food หรือ Ultra Process Food อาหารแปรรูปให้มากที่สุด พวกขนมปัง ขนมขบเคี้ยว น้ำหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก หมูยอ อาหารกระป๋อง พวกนี้เต็มไปด้วยสารเคมี สารกันบูดและ สารแต่งรสสังเคราะห์ ตระกูล high fructose corn syrup - กินอาหารสด ปรุงสุกใหม่ เท่านั้น - กินอาหารให้หมดเป็นมื้อๆ - ไม่กินอาหารค้างคืน หรือของเหลือในตู้เย็น อาหารพวกนี้จะเกิดแบคทีเรียสะสมได้ ผมเคยกินแล้วปวดท้อง เคยมีปัญหา IBS ปวดท้องแก้ไม่หาย หาหมอก็ไม่หาย สรุปคือ ผมกินแต่อาหารย่อยยาก และน้ำเต้าหู้แช่เย็นที่เก็บไว้เป็นสัปดาห์ พอเปลี่ยนการกิน อาการก็ค่อยๆดีขึ้น - ไม่กินน้ำหวาน หรือ ของหวาน ของกินจุกจิก ถ้าอยากกินของกินเล่นก็กินหลังมื้ออาหาร น้อยครั้ง ไม่ใช่กินทุกวัน ไม่ได้นะ - เลิกความเชื่อผิดๆว่า ถ้าอยากอิ่มท้องให้กินข้าวเยอะๆ เปลี่ยนเป็นกินโปรตีนเยอะ โปรตีนจากสัตว์ จากไข่ นมนะ ไม่เอาพวกโปรตีนผง - เน้นการกินโปรตีนมากขึ้น ไม่กลัวการกินไขมันจากสัตว์ ผมไม่ใช่สายกินเนื้อล้วน แต่มีการ balance สิ่งที่กินต่อวัน - ลดแป้ง คาร์โบไฮเดรตลง กินผัก ไฟเบอร์ มากขึ้น - กินนํ้าเปล่าวันละ 1.5 - 2 ลิตร - ผลไม้กินเป็นลูกๆ ไม่กินน้ำปั่น เพราะจะทําให้การดูดซึมนํ้าตาลเร็วเกินไป - วิธีที่ดีที่สุดคือทำอาหารกินเอง แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นก็จะพยายามเลือกกิน แต่สิ่งที่มีประโยชน์ และ สดใหม่ปรุงสุก - เรื่องน้ำมันพืช เราสั่งข้าวกิน ลดยากมาก ผมก็พยายามสั่งร้านว่าใส่น้ำมันน้อยๆ - ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ - บางครั้งก็มีกินสิ่งที่อยากกินบ้าง อัตราส่วนไม่เกิน 5-10% ของทั้งหมด - การกินคลีน สำหรับผมไม่ใช่คำตอบ เพราะทำให้สัดส่วนโปรตีนที่เราได้รับไม่สมดุล แถมถ้าเป็นคลีนที่ไม่อร่อย เราจะทำได้ไม่นาน พอหลุด cheat day ก็กินยับเลย แนะนํากินแบบมีความสุขบ้าง จะได้ทําได้นานๆ อาหารที่ดี ไร้ Fiat Food / UPF 90% ของอร่อย 10 % สรุป Fiat Food / Ultra-Procesed Food เป็นอาหารที่เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่น่ากลัวคือ มีคนมากมายยังไม่รู้ว่ามันส่งผลต่อเราในระยะยาวมากแค่ไหน ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ไม่ใช่มันไม่มีใครรู้ แต่มันมีกลุ่มนายทุนที่ได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง หน้าที่ของเราคือการรู้เท่าทัน และดูแลอาหาร สุขภาพของเราให้ดีในระยะยาว ถ้าคุณลดการกินอาหารแย่ๆพวกนี้ได้ ชีวิตคุณจะดีขึ้น You Are What You Eat #siamstr #fiatfood #upf #อาหาร #อาหารแปรรูป