ถือ BTC มานาน กําไรเยอะ แต่ทําไมไม่เห็นเปลี่ยนชีวิตสักที? - sats and sound EP27
อย่างที่เรารู้กันดีว่าบิทคอยนั่นคือ
- สินทรัพย์ที่มาเปลี่ยนระบบการเงินโลก
- ต่อต้านเงินเฟ้อ
- ใช้แก้ปัญหาระบบการเงินเฟียตที่เงินเสื่อมค่า ใครทนถือจะจนลงไปเรื่อยๆ
ถ้าไปดูอัตราผลตอบแทนต่อปี ตลอดเวลา 16 ปี
บิทคอยก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม 50%ต่อปี ทุกอย่างดีหมด
แต่จะมีคนบางกลุ่มที่ถือบิทคอยมาแต่รู้สึกว่าไม่เห็นมันจะเปลี่ยนชีวิตสักที ไม่รวยเหมือนที่หวัง
วันนี้มี 4 สาเหตุมาบอก ถ้าแก้ไขถูกจุด มันอาจจะตอบคําถามเรื่องนี้ของคุณได้
1 ไม่เข้าใจหลักการของบิทคอยที่แท้จริง
ข้อนี้สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้จากบิทคอย
คนส่วนใหญ่ที่ถือบิทคอยมานานแล้วยังไม่มั่นคง
เกิดจากมายเซ็ตและไม่รู้จักบิทคอยครับ อาจจะเข้ามาถือเพราะเห็นกําไรดี หรือ FOMO ถือแล้วไม่ศึกษา
แต่ถ้ามาถือแต่ยังติดระบบความคิดแบบ เงินเฟียตจะไปต่อไม่ได้เลย เช่น คิดว่าบิทคอยคือสินทรัพย์ทําไร ต้องคอยดูกราฟ ซื้อตํ่า ขายสูง หรือการเทรด leverageที่มีความเสี่ยงสูง
ถึงจะมีบิทคอยแต่ยังมีความคิดแบบ high time preference โดยขาดระบบจัดการที่ดี
มีบิทคอยเท่าไหร่ ชีวิตก็ไม่เปลี่ยน
แนะนํา
- ศึกษาบิทคอยเพิ่มขึ้น ดูคลิปช่องผม หรือ คลิป right shift ก็ได้
- ถ้าเข้าใจระดับหนึ่ง คุณจะกําจัดมายเซ็ตแบบเฟียตไปได้เองอัตโนมัติ
- ไม่ต้องรู้ละเอียดทุกเรื่อง ขอแค่ รู้ว่าเราจะแก้ปัญหาให้ตัวเองได้ยังไงบ้าง แค่นี้พอ
2 ไม่แยกพอร์ตเก็บออมออกจากพอร์ตลงทุน และไม่ติดตามบันทึกการลงทุน
บางคนยังไม่ได้แยกพอร์ตเก็บออมและพอร์ตลงทุน ร่วมกับการจัดพอร์ตอย่างไม่มีระบบและวินัยก้อนนี้ออมซื้อ spot ก้อนนี้สัญญาณมาแบ่งเล่น future ตอนนี้สัญญาณให้ขาย กดขาย โยกไป spot ตอนนี้ราคาถูก buy the dip
กดซื้อ ทําทุกอย่างตามใจ มั่วกันในพอร์ตเดียว ซื้อๆขายๆ ไม่รู้กำไรขาดทุนเท่าไหร่ แต่ที่เสียแน่ๆคือค่า fee ต่างๆ
ยิ่งไม่มีระบบจัดการที่ชัดเจน เทรดเข้าออกมั่วๆ จะยิ่งติดตามผลของพอร์ตยาก
ขออนุญาตเอาคําพูดจากคลิปพี่ปลาส้มแมนมานะครับ การเทรด มีทั้งคนได้และคนเสีย ซึ่งกว่า 90% คือเสีย
แต่การเก็บออมไว้เฉยๆ ถ้านานพอเราได้กําไร 100% เลยนะ
แนะนําคือ
- ให้แยกพอร์ตออม และ พอร์ตเทรดแยกจากกัน
- พอร์ตออมก็เก็บเรื่อยๆอย่างมีระบบ แล้วไว้ใน HW ที่ปลอดภัย
- พอร์ตเทรด แล้วแต่จะจัดการเลย แต่แนะนําให้เสี่ยงเฉพาะกับเงินที่เราเสียได้ทั้งหมด
ออม 90% ลงทุน 10% กําลังดี
- บันทึกการลงทุน ติดตามผล จากการทําข้อนี้ ตัวผมจึงเลิกเทรดเลยครับ ออมอย่างเดียว
3 จํานวน BTC ที่ถือน้อยไป
ข้อนี้ตรงไปตรงมา แต่สําคัญที่สุดครับ การเริ่มต้นออมในบิทคอยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คุณเดินมาถูกทางแล้ว
แต่ต้องยอมรับก่อนว่า ถ้าหากต้นทุนเราน้อย อิมแพคก็น้อยเหมือนกัน
ยกตัวอย่าง ทุนบิทคอยทั้งปี รวมกัน 1,200 บาท บิทคอยขึ้นไปเท่านึง มูลค่าพอร์ตของคุณจะเพิ่มเป็น 2,400 บาท ถึงพอร์ตจะบวก 100% แต่ในเมื่อจํานวนไม่มากพอ ก็จะอิมแพคไม่มากพอ ถ้าเปลี่ยนจาก 1,200 เป็น 1,200,000 ดู
คุณจะเริ่มเห็นอิมแพค
แนะนํา
- เป้าหมายเริ่มต้นควรมี BTC อย่างน้อย 0.01 BTC ครับ มันก็ไม่ได้ทำให้มั่งคั่งในวันนี้ แต่มันจะทําให้เราเริ่มต้นศึกษาบิทคอย
- ยิ่งเข้าใจจะยิ่งรู้ว่า บิทคอยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดังนั้น หาเงินเพิ่ม เพื่อซื้อบิทคอยให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้
- ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตเร็ว ก็ต้องเริ่มวางแผนและทําตั้งแต่วันนี้
- เงินจะเฟ้อขึ้นไปเรื่อยๆ คนมาช้าซื้อแพงกว่าเสมอ
4 ถือ BTC ไม่นานพอ
ข้อนี้ก็สำคัญเพราะว่า ถ้าเรามาถูกทาง เราออมบิทคอยแล้ว แต่ถ้าเราถือได้ไม่นานพอ มันก็จะไม่ได้สร้างอิมแพคเปลี่ยนชีวิตเราเหมือนกันครับ เหตุผลของคนที่ถือไม่นานพอมีหลายอย่างเช่น ต้องใช้เงินฉุกเฉินเลยต้องขายบิทคอยออกมา
หรืออาจจะโลภ ขายทํากําไร หรือใจร้อนอยากเทรด อยากได้กําไรเร็วๆจาก future ทุกเหตุผลที่กล่าวมาแก้ได้จากการจัดการเงินและมายเซ็ตที่ถูกต้องครับ มันจะทําให้คุณถือได้ยาวนานมากขึ้น
แนะนํา
- ทําบัญชีรายรับ รายจ่าย ต้องรู้ว่าแต่ละเดือน เราจ่ายเงินเท่าไหร่
- ต้องมีเงินสํารองฉุกเฉินในบัญชีที่ใช้ได้ทันที 3-12 เท่าของรายจ่ายรายเดือน
ค่อยๆเก็บไป โดยถ้าหากเรามีเงินก้อนนี้ ถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะได้ไม่ต้องขายบิทคอยมาใช้
- ถ้าทํา 2 ข้อบนได้ เราก็จะเก็บบิทคอยได้นานเท่าที่ทําได้ ลองถือไปสัก 1 cycle halving
คุณจะเริ่มเข้าใจว่าทําไมต้องถือให้นานพอ
- เก็บบิทคอยด้วยตัวเอง ใน HW ที่ปลอดภัย เก็บ seed เป็นความลับ
- การฝากไว้ใน Exchange มีความเสี่ยงเรื่องบิทคอยจะสูญหายได้ ดังนั้นเก็บเอง self custody ดีที่สุด
สรุป
1 เข้าใจและศึกษาบิทคอย
2 ออมบิทคอยสม่ำเสมอและจัดการและติดตามพอร์ตอย่างมีระบบ
3 Stack Sats มากขึ้น ยิ่งมีมากยิ่งเปลี่ยนชีวิตได้มาก
เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นว่า มายเซ็ตที่ถูกต้องสําคัญที่สุด
ค่อยๆเดินไปในทางที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าบิทคอยจะสร้างความมั่นคงให้กับคุณในหลายๆมิติในระยะยาว
#siamstr #btc #bitcoin #satsandsound
รับมือ Unproductive Day ทําสิ่งดีให้ตัวเอง 1 อย่างอาจเปลี่ยนวันแย่ให้ดีขึ้นได้ - sats and sound EP26
เคยรู้สึกมั้ยว่ามันจะมีบางวันที่เราปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆโดยที่ไม่ได้ทําอะไรเลย
บางคนวันหยุดนอนทั้งวัน บางคนดูหนัง เล่นเกมทั้งคืน นอนเช้า ตื่นอีกที่ เย็นของอีกวันแล้ว
บางครั้งก็หายเหนื่อย แต่บางครั้งก็อาจจะทำให้เรารู้สึกผิดที่ปล่อยเวลาให้เสียไปทั้งวันโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นวันที่ไม่ค่อย Productive
ตัวผมเองเคยไปขายของที่ตลาดนัด เคยไปเปิดตั้งแต่เที่ยงจนถึง สี่ทุ่ม
เชื่อมั้ยผมขายของได้แค่ 3 คน แน่นอนว่าวันนั้น ผิดหวัง ขาดทุน ค่าเช่า ค่าของ ไหนค่ากินเราอีก
เป็นวันที่ถือว่าเสียเวลาไปเปล่าๆก็ว่าได้ บางคนอาจจะเซ็งกลับมานอน พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่
ผมคิดต่างนิดหน่อยครับ
- พรุ่งนี้กลับมาสู้ใหม่ มันต้องทําอยู่แล้ว
- แต่เวลาที่เหลือในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่เหมือนจะไร้ค่า Unproductive ไปแล้ว ผมจะทําให้มันเป็นวันที่ดีขึ้น
โดยเราต้องทําสิ่งดีๆ ทําประโยชน์ให้ตัวเราสัก 1 อย่างในวันนี้
สิ่งดีๆหนึ่งอย่างที่ผมเลือกทําในวันที่ไม่ Productiveแบบนี้คือ
ออกกำลังกาย (หาเวลาออกให้ได้ อย่ามีข้ออ้าง)
เป็นการสร้างวินัย สุขภาพแข็งแรง อารมณ์แจ่มใส ฝืนตัวเองแค่ช่วงแรกหลังจากนั้นมันจะง่ายมาก ทําได้ทุกวัน เอาเป็นว่าถ้าวันไหนเราได้ออกกำลังกาย ก็ถือว่าเป็นวันที่ไม่เสียเปล่าแล้ว
- ผมมีเป้าหมายการคาร์ดิโอ สัปดาห์ละ อย่างน้อย 150 นาที
- ผมคาร์ดิโอติดต่อกันอย่างน้อย 30 นาทีเป็นอย่างน้อย
- เรากลับบ้านมาดึก ซื้ออุปกรณ์ออกำลังกาย คาร์ดิโอ เล็กๆไม่แพง และลูกกลิ้ง มาใช้ออกที่ห้องเลย
สะดวกไม่ต้องเสียเวลาไปยิม หรือถ้าไม่มีอุปกรณ์ ออกกำลังกาย ตามยูทูปก็ได้นะครับ
- การคาร์ดิโอเป็นประจํา ร่างกายจะหลั่ง สารแห่งความสุข ที่ทําให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียดลง
เห็นมั้ยครับ ถึงแม้วันนี้จะ BAD Day ขายของไม่ได้ อย่างน้อยผมก็ได้ทำประโยชน์ให้ตัวเองแล้ว 1 อย่าง สร้างวินัย ร่างกายแข็งแรงด้วย
พอทําไปสัก 3 เดือนเราจะเริ่มชินและร่างกายจะเริ่มแข็งแรงขึ้น อารมณ์แจ่มใสขึ้น
ทั้งๆที่ขายของก็เรื่อยๆ ไม่ได้ดีมาก แต่ผมมีความสุขมากขึ้นเพราะตั้งเป้าออกกําลังกายไว้แล้วทำได้สำเร็จ
สิ่งดีๆที่เราทำให้ชีวิตหนึ่งอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นก็ได้เช่น
- หาความรู้เรื่องการพัฒนาตัวเอง พัฒนาชีวิต การเงิน การลงทุน แนะนําฟัง Podcast ผมเองชอบฟังเวลาออกกำลังกาย
เท่ากับว่าเราได้ทําสิ่งมีประโยชน์สองอย่างพร้อมๆกัน ฟังไประดับหนึ่ง เราจะค่อยซึมซับและเก่งขึ้นเอง
- คิดกลยุทธ์การหาเงิน ทํางาน หรือ ขายของให้ดีขึ้น
- ทํารายรับรายจ่าย ประจำเดือน วางแผนการเงิน ติดตามผลการออม การลงทุน
- วางแผนชีวิตในเรื่องต่างๆ เช่นแผนระยะยาว หรือ แผนระยะสั้น หรือแม้แต่เรื่องทั่วไป
จัดลำดับความสำคัญเช่น พรุ่งนี้ต้องไปทำธุรที่ห้าง มีอะไรที่เราจะทําได้บ้างเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว
หรือ ต้องเดินทางกลับบ้าน ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง
- จัดตารางสิ่งที่ต้องทําในวีคนี้ หรือเดือนนี้
- อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ
- ใช้เวลากับคนที่เรารัก ครอบครัว แฟน ลูก
วัน Unproductive ที่ทําให้เราเครียด มีพลังงานลบ เราอาจจะรู้สึกเสียเวลาเปล่า ดังนั้นการทําสิ่งมีประโยชน์ อย่างน้อย 1
อย่าง มันเหมือนจิตวิทยาที่เราใช้เพื่อบอกตัวเองเหมือนกันนะครับว่า ถึงวันนี้จะผิดหวัง
แต่ฉันก็เลือกทําสิ่งดีๆให้ตัวเองไว้แล้วเหมือนกันนะ ดังนั้น วันนี้ก็ไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆเลย
สิ่งดีๆที่ผมยกตัวอย่างมา เราสามารถทําได้ประจํา
- การออกกําลังกาย พัฒนาตัวเอง สร้างวินัย สุขภาพดีขึ้น
- การวางแผนสิ่งต่างๆในชีวิตก็จะทําให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ไม่เครียด
ลดพลังงานลบในแต่ละวัน
- การใช้เวลากับคนที่เรารักก็เป็นการสร้างพลังงานบวกแก่กันก็เป็นสิ่งดี
เราไม่รู้อนาคตว่าวันไหนจะเป็นวัน Unproductive Day และห้ามมันไม่ได้
แต่เราสามารถเพิ่ม Productivity เปลี่ยนให้กลายเป็นวันที่ไม่เสียเปล่าได้
เรื่องแย่ๆในชีวิต วันที่เสียเวลาไปเปล่าๆ พวกนี้ เราไม่รู้และควบคุมมันไม่ได้
ดังนั้นสิ่งสําคัญในคลิปนี้ก็คือ เราจะต้องจัดการวัน Unproductive ในชีวิต
เพิ่มการทําสิ่งดี เพิ่มพลังงานบวกให้ตัวเอง เพื่อให้พัฒนาเป็นคนที่ดีขึ้น
ทั้งมายเซ็ต สุขภาพกาย และสุขภาพจิต ทําไปสักพักมันก็ไม่เครียด และไม่ยากเลยครับ ลองดู
#siamstr #ออกกำลังกาย #พัฒนาตัวเอง
ทํางาน Part Time 1 ปี กับคน Toxic ที่ไม่ชอบเรา เรียนรู้อะไรมาบ้าง แชร์ให้ฟัง - sats and sound EP25
การทำงานกับคนอื่นๆ ร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งคนที่ดีกับเราและคนที่ toxic กับเรา เลี่ยงไม่ได้
บางคนแบกรับความรู้สึกไม่ไหว ไม่อยากไปทำงานแล้ว แต่เงินก็ต้องหา ออกก็ไม่ได้
ทำให้มาจบด้วยการทนๆๆต่อไป
ยิ่งใครไปดูคลิปที่เขาแนะนำวิธีแก้ไข ก็จะบอกว่า
การลาออกเพราะที่ทำงาน toxic นั้น เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ไปที่ใหม่ก็เจอคน toxic อยู่ดี ไม่ควรลาออกเพราะเหตุผลนี้
ดังนั้นต้องแก้ที่ตัวเราเอง ปรับตัว และอดทน
ซึ่งสิ่งนี้เราจะต้องมาดูละเอียดเลยว่า สังคมการทำงานที่โคตร toxic มันเกิดจากอะไร
และเราต้องไม่หลอกตัวเองว่า ความ toxic ไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง
มีแค่เราหรือเปล่าที่ไม่แฮปปี้ หรือ คนอื่นๆก็เจอเหตุการณ์เดียวกัน
ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวมาแชร์ ฟังกันสนุกๆนะครับ
ผมก็เป็นคนทํางานที่ต้องการหารายได้เสริม ก็เลยไปสมัครงาน part time ร้านค้าแห่งหนึ่งที่เปิดรับสมัคร
เป็นร้านขายของชําที่ใหญ่ มีพนักงานกะละหลายคน มีระบบคอมพิวเตอร์จัดการสินค้า และลูกค้า
งานมีหน้าที่และระบบพอสมควร
อาทิตย์แรกที่เข้าไปทํางาน ผมก็เรียนรู้ทุกอย่าง มีเก้ๆกังๆ งงๆ ตามภาษาคนไม่เคยทํา ผมก็ทําด้วยความไม่ค่อยมั่นใจ
มีอะไรสงสัยผมก็จะถามเพื่อนร่วมงาน ว่าต้องทํายังไง ระบบคอมต้องคีย์ข้อมูลยังไง (ระบบคอมต้องเรียนรู้เยอะเลย)
เขาก็คาดหวังให้เรามาช่วยงานได้เหมือนพนักงานประจําคนนึงเลย เพราะหน้างานจริงยุ่งมาก ลูกค้าหน้าร้านก็เยอะ
สินค้าสต๊อกที่ต้องจัดการก็เยอะ ผมเรียนรู้งานเต็มที่กะว่าจะไม่ทําตัวเป็นภาระกับพนักงานคนอื่นเกินไป
แต่ด้วยความใหม่ บางครั้งเราก็ยังเป็นภาระ เรายังจัดการปัญหา หรือ รับมือลูกค้าไม่ได้ ก็ต้องให้เขาช่วยอยู่ดี
พอทําไปสัก 1 เดือน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า มีพนักงานคนหนึ่งดูไม่ค่อยชอบเราเท่าไหร่
พี่คนนี้เป็นพนักงานที่ทํามาเกิน 10 ปี เป็นรองผู้จัดการร้าน เขาเก่ง ขยัน ทําได้ทุกอย่างไม่ต่างจากผู้จัดการร้านเลย
พี่เขาไม่คุยกับผมเลยครับ ผมก็จะพยายามสวัสดีทุกครั้งที่เจอ และ พยายามถามเรื่องงาน
แต่เขาก็เหมือนไม่ได้อยากคุยกับเราจนเรารู้สึกได้ ไม่สอนงานเลยด้วย
เขาจะคุยกับเฉพาะคนที่เขาสนิท แถมคุยเล่นเรื่องอื่นในเวลางานบ้าง ตามภาษาเพื่อน
เขาไม่ชอบเรา ไม่คุยกับเรา ผมก็โอเคนะ เราไปบังคับเขาไม่ได้
แต่ปัญหาจะเกิดตอนต้องประสานงานครับ ผมต้องตามงานในสิ่งที่พี่เขาทําค้างไว้ หรือ พี่เขารับเรื่องลูกค้าไว้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง
ทุกอย่างมันจะยุ่งยาก และ นานไปอีก 10 เท่า ถ้าเทียบกับการประสานงาน หรือ ทำงานกับพนักงานคนอื่นๆ รวมถึงผู้จัดการด้วย
พอทำงานกะเดียวกัน มันก็เลี่ยงที่จะไม่เจอไม่ได้ถูกมั้ย
แล้วเวลาที่ผมเครียดที่สุดอยู่กับพี่เขาแล้วเกิดปัญหา หรือ ติดเคสปัญหาลูกค้าบางอย่าง
ผมพยายามเข้าหา เข้าไปคุย ให้เขาช่วยสอนวิธีแก้ปัญหาหรือสอนงาน
แต่ทุกครั้ง ก็จะแสดงสีหน้าแบบไม่พอใจ พูดห้วนๆเซ็งๆ
ความเครียดยิ่งหนักไปอีก เวลาลูกค้ามีปัญหา แล้วต้องให้เขาต้องช่วย สีหน้าจะออกเลยว่าเขาไม่พอใจมาก
ในร้านกะนึงประมาณ 4-5 คนถ้าเกิดปัญหาผมเลี่ยงพี่เขา ไปถามพนักงานคนอื่นที่อยู่ด้วยกัน
ทุกคนก็ช่วยเป็นอย่างดี และสอนอย่างดีเลยครับ
ผมจดทุกอย่าง เพื่อที่จะทําให้เป็น จะได้ลดภาระงานในร้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ผม
(ผมเป็นพาร์ททามที่ต้องทําหน้าที่ได้ทุกตําแหน่งในร้าน เพราะถ้าใครขาดหรือลา เราต้องไปเติมส่วนนั้นได้)
เวลาตารางงานออก ต้องอยู่กะเดียวกับพี่คนนี้มั้ย วันไหนเขาไม่มา ผมก็ทํางานได้อย่างสบายใจมาก ไม่เครียดเลย
พอเจอแบบนี้ในที่ทํางานเราก็จะรู้สึก Toxic หลายคนๆอาจจะคิดว่า ไม่เห็นต้องทนอยู่ ลาออกไปเลย เราเป็นแค่พาททามเอง
ผมคิดว่าที่พี่เขาไม่ชอบเรา เพราะเราไปเป็นภาระให้พี่เขา แต่ด้วยอยากได้เงิน ประสบการณ์ และงานก็ไม่แย่
แค่คนที่ไม่ชอบเราคนเดียวไม่เห็นต้องออกเลย คนในร้านที่เหลือน่ารักทุกคน ผมก็เลยทํางานนี้ต่อครับ
จนผ่านไป 3 เดือน ผมกลายเป็นพาททามที่มีตารางงานเยอะที่สุด
ใครป่วย ใครลาฉุกเฉิน ผมก็ไปให้ และในตอนนี้ผมทํางานได้คล่องตัวแล้ว ความรับผิดชอบหน้างานประมาณ 70%
ผมทําได้แล้ว งานมันโฟลว์มาก งานแทบจะไม่มีปัญหาเลย ผมก็ยังพยายามคุยกับพี่เขานะ แต่สรุปพี่เขาก็ยังไม่คุยกับผมเหมือนเดิม เป็นบรรยากาศในที่ทำงานที่อึมครึมเหมือนดิม แต่กับคนอื่นผมก็แฮปปี้ คุยดี เฮฮา ปกตินะ
ผมก็ได้มาทบทวนอีกครั้งว่า ที่พี่เขา Toxic กับเรา เพราะตัวเราเองหรือเปล่า
มีวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆแบบไม่หลอกตัวเองนะ
- ถ้าเรา toxic คนอื่นในร้านก็ต้องไม่ชอบเราด้วยสิ แต่นีไม่ใช่นะ ผมไม่ได้มีปัญหากับคนอื่นเลย ทำงาน คุยกันได้ปกติดี
- จะว่าเป็นเรื่องงาน ผมก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกมากนะ งานกว่า 70% ในร้านผมทําได้หมดแล้ว ทํางานชิลขึ้น
- ถ้ามีคนป่วยผมจะเป็นพาททามคนแรกที่ถูกเรียก คนในร้านและผู้จัดการไว้ใจให้ทํางานมากกว่า พาททามคนอื่นๆ
- พี่รองผู้จัดการมีปัญหากับคนอื่นๆในร้านทํานองเดียวกัน
จากที่วิเคราะห์มา ผมคิดว่า พี่เขาคงไม่ชอบเราจริงๆ ด้วยเหตุผลอื่นๆละ ซึ่งคนในร้านคนอื่นผมสนิทและทํางานได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผมก็ปล่อยพี่เขาไปครับ ต่างคนต่างทํางาน ผมคุยกับแกแค่สวัสดีตอนมาและสวัสดีตอนกลับบ้านเท่านั้น
พลังงานลบที่เขาส่งมาก็ยังถึงผมอยู่ดีนะ แต่ผมจะไม่ลาออกเพราะสาเหตุแค่มีคนไม่ชอบเราอ่ะ คนอื่นดีๆทั้งนั้น
จากนั้น 1 ปีผ่านไป ผมก็ยังทํางานในร้านนี้เป็น พาททามต่อไป
ผมปรับตัวได้และเริ่มชินกับการทํงานแล้ว ตอนนี้ผมทํางานได้เหมือนกับ full time ทุกอย่างเลยครับ และ ความสัมพันธ์กับพนักงานคนอื่นๆก็สนิทกันมากขึ้น ทํางานได้อย่างสบายใจ งานก็ราบรื่นผ่านไปได้ด้วยดี
บางครั้งก็มีพนักงานลาออก และเข้าใหม่มาเรื่อยๆ
ซึ่งผมก็มีหน้าที่ในการสอนงานง่ายๆที่เรารู้ให้พนักงานใหม่ กับ พาททามเข้าใหม่ไปด้วยครับ
แล้วตัดไปที่พี่คนนั้น เขาเงียบลงกว่าเดิม ยิ่ง toxic มากขึ้น อารมณ์ฉุนเฉียว
เขาไม่ค่อยคุยหรือสอนงานพนักงานใหม่คนไหนเลยเหมือนที่ผมเจอตอนแรก
กลายเป็นว่าตอนนี้ พี่เขากลายเป็นคนที่อึดอัดเอง เพราะเวลาเข้ากะไม่มีใครกล้าคุยกับแกเลย
แล้วพอวันที่พี่เขาหยุด หรือลา ในร้านคือ งานก็เยอะแต่จะมีความ เฮฮา สนุกสนาน ผ่อนคลาย มากกว่านี้
เหตุการณ์มันจบตรง พี่เขาลาออกไปเอง ครับ แน่นอนว่าการลาออกของเขา ไม่มีการเลี้ยงส่ง ไม่มีของขวัญใดๆจากคนในร้าน
มีแค่คําพูดลากันแบบมารยาท เท่านั้น
สรุป
- การเข้าไปทํางานใหม่ ต้องตั้งใจ เรียนรู้และรับผิดชอบหน้าที่เราให้ดีที่สุด อย่าไปทําตัวเป็นภาระให้คนอื่นนานนัก
- ถ้าเขาไม่ชอบเรา เพราะเราทํางานไม่ดี ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าไม่ชอบแล้ว toxic ด้วยสาเหตุอื่นปล่อยเขาไป
เราปรับปรุงตัวเองได้ แต่เปลี่ยนใจคนอื่นไม่ได้
ผมไม่ได้จะทําดีเพื่อชนะใจพี่เขาให้ได้ เหมือนในละคร ผมแค่เทสว่า ให้แน่ใจว่า เราไม่ได้สร้างปัญหาเรื่องงาน หรือ นิสัยส่วนตัวจนคนรอบตัวไม่ชอบ ฟิลปรับปรุงตัวเองอ่ะ
- สังคมที่ทํางานที่บอกว่า Toxic เราต้องแน่ใจและไม่หลอกตัวเองว่า ไม่ได้เกิดจากตัวเรา วิธีการทดสอบง่ายๆ ถ้าเรา มีปัญหากับคนรอบตัวมากกว่า 3 คนพร้อมกัน ต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าเราหรือเปล่าที่ toxic
เหมือนเคสผม ใช้เวลา 1 ปี ในการทดสอบว่าผมไม่ได้เป็นคน Toxic ซะเอง
- ทํางานกับคนที่ปล่อยพลังงานลบ หรือ สถานการณ์ที่อึดอัด ไม่คุยกันไม่เป็นไร แต่ไม่คุยกันเรื่องงาน การประสานงานที่ยาก มันทําให้ทุกอย่างยากขึ้นอีก เกิดผลเสียมากมาย
- คน Toxic สุดท้าย เขาก็จะอยู่ไม่ได้เอง เค้าไม่ชอบเรา ทำไม่ดีกับเรา เราไม่ต้องทําตอบ ไม่ต้องไปเกลียดเขาให้เปลืองพลังงานด้วย เพราะ พลังงานลบที่ให้คนอื่นทุกวัน มันสะท้อนกลับไปที่ตัวเอง
#siamstr #คนtoxic #toxic
ความจริงของเงินเฟียต และ ระบบการเงินโลกที่กลุ่มนายทุน "ไม่อยากให้พวกเรารู้" - sats and sound EP24
เฮนรี่ ฟอร์ด เคยกล่าวไว้ว่า "เป็นเรื่องดีที่ประชาชนในประเทศไม่เข้าใจระบบการธนาคารและการเงินของเรา
เพราะถ้าพวกเขาเข้าใจ ฉันเชื่อว่าจะเกิดการปฏิวัติก่อนเช้าวันพรุ่งนี้"
ประเด็นหลักของคำพูดนี้ คือ
- ระบบการเงินที่ไม่โปร่งใส ตั้งใจทำให้มันซับซ้อนให้ประชาชนไม่เข้าใจ
- เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มๆ จากประชาชนทุกคนในระบบ
- แลกด้วยผลตอบแทนอันน้อยนิด ที่พวกเขาล้างสมองเราว่ามันสมควรแล้ว
สิ่งนี้คือความจริงของเงินเฟียตและระบบการเงินโลก ที่พวกกลุ่มนายทุนไม่อยากให้พวกเรารู้
เคยตั้งคำถามมั้ย?
- ทําไมข้าวของแพงขึ้นตลอดเวลา
- ทําไมยิ่งทํางาน ขยัน อดออมแต่ก็เงินไม่พอใช้ หรือคุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ดี
- หมดหวังกับชีวิต รู้สึกไม่มั่นคงในอนาคต
- การสร้างครอบครัว ต้องใช้เงินมหาศาล ต่างจากรุ่นพ่อแม่ปู่ย่า ที่มีลูกหลายๆคนได้
- ทําไมตัวเราแก้ไขอะไรไม่ได้เลย
สาเหตุหลักมาจากเงินเฟ้อ
- การสร้างเงินจากอากาศ เพิ่มปริมาณเงินเข้ามาในระบบ ทําให้คนทั่วโลกจนลงทันที
- เหล่าคนรวยที่อยู่ใกล้แหล่งพิมเงิน เขาไม่ได้จนลงเหมือนพวกเรา เขาเข้าถึงเงินใหม่ได้ก่อน และนำไปใช้จ่าย ลงทุน สร้างทรัพย์สินก่อนที่ทุกอย่างจะแพงขึ้น
คนรวยยิ่งรวยคนจนยิ่งจน
สิ่งไม่แฟร์ทางการเงินเหล่านี้ ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเพราะประชาชนแบบเราถูกล้างสมองให้เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันถูกต้องแล้ว
-- เงินเฟ้อตํ่าๆเป็นสิ่งดีกระตุ้นการใช้จ่าย
-- การพิมเงิน อัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นสิ่งที่ต้องทำเพราะ รัฐต้องกู้เงินมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนและพยุงเศรษฐกิจเอาไว้
-- เงินต้องเฟ้อขึ้นเป็นเรื่องปกติ และขึ้นแค่ปีละ 2-3% มาตลอด
-- CPI ที่ประกาศออกมาก็ชี้ชัดว่า ข้าวของต่างๆไม่ได้แพงมาก แต่ขึ้นตามเงินเฟ้อที่ประกาศออกมา
-- ประชาชนทุกคนต้องหาเงินเพิ่ม ขยัน ประหยัด อดออม เพื่ออนาคต
-- ทุกคนที่อยากรวย จะต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อต้านเงินเฟ้อ เช่น หุ้น ผลตอบแทนเฉลี่ย 8%ทบต้น ชนะเงินเฟ้ออยู่ได้สบายๆแล้ว
-- ใครรับความเสี่ยงสูงกว่านั้นก็ลงทุนใน ตราสารอนุพันธ์
-- คนที่คุณภาพชีวิตไม่ดี เกิดจากเราไม่เก่งเอง เราไม่ขยันพอ ทําให้หาเงินมาใช้ไม่พอจ่าย ไม่พอสร้างคุณภาพชีวิตดีๆ
มีคนจงใจให้เราโทษแต่ตัวเอง และไม่ได้มองถึง "ปัญหาจากระบบ" ที่เกิดเงินเฟ้อ จนกระทบทุกคนในโลก
จากคำพูดของ ฟอร์ด เรื่องเกี่ยวกับระบบธนาคารและการเงินโลกนั้น ยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้
ดูคุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณทุกวันนี้ก็ได้ เงินที่มากขึ้นแต่ทําไมยังรู้สึกไม่มั่นคง และซื้อของได้น้อยลงตลอดเวลา ลองตอบคําถามดู
คนพวกนี้จะให้ประชาชนโทษตัวเองที่จน ทั้งๆที่ประชาชนตัวเล็กๆโดนเอาเปรียบ โดนสูบเงินโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
แล้วเงินเฟ้อเกิดจากอะไร?
คําตอบคือ เกิดจากธนาคารที่สร้างเงินจากอากาศได้ตลอดเวลา
1. ธนาคารกลางสหรัฐ FED ผู้ควบคุมเกมการเงินของคนทั้งโลก
ธนาคารกลางคือผู้เล่นหลักที่สามารถสร้างเงินจากอากาศธาตุได้อย่างแท้จริง พวกเขาสร้างเงินผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Quantitative Easing (QE) ด้วยการพิมพ์เงินดิจิทัลขึ้นมาแล้วนำไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์ การพิมพ์เงินใหม่นี้ส่งผลให้เกิด "เงินเฟ้อ" ซึ่งเป็นการลดทอนอำนาจซื้อของเงินในกระเป๋าของทุกคนอย่างเงียบๆ
วงจรนรกของการพิมเงิน
1 เมื่อเศรษฐกิจแย่ ค่าใช้จ่ายไม่พอ
2 FED พิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล
จากแบงค์พาณิชย์
3 แบงค์พาณิชย์เอาเงินไปปล่อยกู้ต่อ อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ
4 เงินเฟ้อ เศรษฐกิจแย่ วนไปเป็นวงจรนรก กลับไปข้อ 1
2. ธนาคารพาณิชย์ Fractional Reserve Banking
ไม่ใช่แค่ Last Boss อย่าง FED แม้แต่ธนาคารพาณิชย์ก็มีความสามารถในการ "สร้างเงิน" ขึ้นมาได้จากอากาศเหมือนกันผ่านระบบ Fractional Reserve Banking
โดยธนาคารจะสำรองเงินฝากไว้เพียงส่วนน้อย (เช่น 10%) และนำเงินส่วนที่เหลือไปปล่อยกู้
ยกตัวอย่าง
นาย A เอาเงินไปฝากแบงค์ 100 บาท แบ้งเก็บไว้จริง 10 บาทและปล่อยกู้ต่อนาง B 90 บาท
นาง B เอาเงินนั้นไปคืนเจ้าหนี้ 70 บาท เก็บไว้ 20 บาท
เจ้าหนี้ของนาง B เอา 70 บาทไปฝากแบงค์ แล้วแบงค์ทำเหมือนเดิม เก็บไว้จริง 7 บาท ปล่อยกู้ต่อ 63 บาท
อัตราดอกเบี้ยที่นาย A และ เจ้าหนี้นาง B ได้ แค่ 0.25% แต่แบงค์เอาไปปล่อยกู้ได้ดอกสมมติ 3-25% ขึ้นกับชนิดของสินเชื่อถ้าลูกหนี้แบงค์ไม่มีเงินจ่ายแบ้งค์ปรับดอกเบี้ยอีก
เห็นอะไรมั้ยครับ
ต้นทางเงินจริงๆมีแค่ 100 บาท แต่แบงค์สามารถไปสร้างเงินจากอากาศผ่านการปล่อยกู้ และการ สำรองเงินฝากแค่บางส่วน
อีกหลายทอดต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เกิดการสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินส่วนใหญ่ที่เราเห็นในบัญชีธนาคารจึงเป็นเพียงตัวเลขดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อมีการปล่อยกู้ พอเงินในระบบมันเฟ้อมากขึ้น
เคสนาง B ที่เก็บเงินเฟียตไว้กับตัว 20 บาท
ดูจากปริมาณ M2 ทําให้รู้ปริมาณเงินที่เพิ่มเข้ามาในระบบ จะเห็นว่าเงินเฟ้อจริง 6-8% ต่อปี
ผ่านไป7-10 ปี ของแพงขึ้น เงิน 20 บาทในวันนั้น ใช้จ่ายได้เท่ากับ 10 บาทในวันนี้
ด้วยความเป็น Fractional Reserve Banking
ที่ธนาคารต้องการนำเงินฝากถึง 90% ไปปล่อยกู้ทํากําไรต่อ ตอนสถานการณ์ปกติ ธนาคารเขาควบคุมได้
แต่ถ้าเกิดวิกฤต คนไปแห่ถอนเงินพร้อมกัน แบงค์จะไม่มีเงินพอสําหรับทุกคน จนเกิดภาวะ "Bank Run" หรือแบงค์ล้มนั่นเอง
เหตุการแบบนี้จะไม่เกิดถ้า ธนาคารเก็บเงินฝากของลูกค้าทุกคน 100%
จะเห็นได้ว่าต้นตอของ เงินเฟ้อคือการพิมพ์เงินทั้งในรายใหญ่อย่าง FED หรือ รายย่อย แบงค์เอกชน
วงจรการกู้ และเงินเฟ้อแบบนี้ไม่มีใครหยุดมันได้แล้ว เราต้องเตรียมตัวรับมือ และอยู่กับมันให้ได้
3. เงินเฟียต (Fiat Money) ธนบัตรในมือเราที่เสื่อมค่าลงเรื่อยๆ
หลังจากปี 1971 มีรัฐบาลสหรัฐยกเลิกการมูลค่าดอลล่ากับทองคํา และใช้เงินดอลล่าเป็น เงินสำรองระหว่างประเทศ
เกิด Fiat Standard
ที่นี้ครับการปล่อยกู้ และการพิมเงินเกิดขึ้นง่ายกว่าเดิมมาก
เงินในระบบมากขึ้นจนทำให้เงินเฟียตในมือของทุกคนเสื่อมค่าลง
นับจากปี 1971 ถึง 2025 เงินเฟียสเสื่อมไปแล้ว 99% เท่ากับว่า ในหน่วยเงินเฟียต สินค้าและบ้านแพงขึ้นมหาศาล
ไม่ใช่เพราะของแพงขึ้นนะ แต่เงินในมือเรา มันเสื่อมค่าลงตังหาก
4. มูลค่าของธนบัตรขึ้นอยู่กับความเชื่อ
เงินเฟียตที่เราใช้กันอยู่ในตอนนี้ มันมีค่าได้เพราะ อำนาจรัฐและธนาคารกลางสั่งให้มีค่า
กฏหมาย legal tender จะไม่จำเป็นเลยถ้าหากเงินเฟียตในมือเรามันมีค่าในตัวเอง เป็นสากล เป็นที่ต้องการของทุกที่
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราจะเอาเงินบาท ไปใช้ในอเมกาไม่ได้เพราะ
ผู้คนที่นั่นไม่ต้องการเงินบาท แต่กลับกัน ถ้าหากเราใช้ทอง หรือ บิทคอย ที่มีมูลค่าในตัวเอง และมีความเป็นสากล
เราจะใช้สิ่งนี้จ่ายเป็นเงินเพื่อแลกสินค้าและบริการได้
มูลค่าของเงินเฟียตขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจ หากความเชื่อมั่นนี้สั่นคลอน เงินก็อาจกลายเป็นเพียงเศษกระดาษได้ เหมือนที่เวเนซุเอล่า เลบานอน ที่เงินเฟียตสกุลท้องถิ่นเฟ้อจนไร้ค่าไปแล้ว
5 ทางออกของเรื่องนี้คือเราจะต้องเปลี่ยนเงินเฟียตที่เสื่อมค่าลงให้กลายเป็น สินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้
เพื่อปกป้องสินทรัพย์ของตัวเอง เช่น อสังหาฯ ทองคํา หรือ บิทคอย
สิ่งที่ยากกว่าทางออกคือความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาของระบบเงินเฟียตและเงินเฟ้อในปัจจุบัน
มันยังมีคนบางกลุ่มที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือปัญหา ถ้ามายเซ็ตถูกต้องเราจะหาทางออกเจอ
สรุป
1 ธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์ จะยังคงพิมเงินมหาศาลแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีใครหยุดได้
ในอนาคตจะเกิดเงินเฟ้อมากกว่านี้อีก คนทั่วโลกจนลงทันที
2 กลุ่มนายทุนเขาไม่ได้แคร์ประชาชนตัวเล็กๆอย่างพวกเราว่า จะลำบากขนาดไหน
3 เงินเฟียตที่เราใช้จะเสื่อมค่าลงทุกวันจากเงินเฟ้อ แต่ด้วยการล้างสมองของกลุ่มทุน
บางคนก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อสิ่งนั้น และจงใจใช้เงินเฟียตนี้ต่อไป ถ้าคนยิ่งรู้เยอะพวกเขาก็จะเอาเปรียบประชาชนไม่ได้
4 สำหรับคนที่ต้องการหนีออกจาก Matrix ของเงินเฟียต จะต้องเปลี่ยนเงินในมือเป็น
สินทรัพย์ที่ต่อต้านเงินเฟ้อ มีมูลค่าและมีความเป็นสากลอย่างแท้จริง ซึ่งของตอบของผมคือ บิทคอย
#siamstr #เงินเฟ้อ #btc #bitcoin
Fiat Food / Ultra-Procesed Food มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด - sats and sound EP23
Fiat Food / Ultra-Procesed Food
มันแย่กว่าที่เราคิดนะ ลดได้ลด
Fiat Food เป็นคําเปรียบเปรยถึงอาหารที่ผ่านการแปรรูปและผลิตจำนวนมาก แสดงถึงความ high time preference โดยไม่คํานึงถึงผลเสียต่อร่างกายระยะยาว
Ultra-Procesed Food คือ อาหารแปรรูป ผลผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ที่เต็มไปด้วย สารเคมี สารกันบูด สารแต่งรสแต่งกลิ่นสังเคราะห์
Fiat Food / Ultra Process Food 2 สิ่งนี้มันเป็นซับเซ็ทกันอยู่ ที่บอกว่ามันแย่กว่าที่คิด ลดได้ลดเพราะว่าอาหารเหล่านี้ มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ
ทํากําไรให้แก่นายทุน
คิดง่ายๆนะ อาหารที่ต้องผลิตจํานวนมาก ต้องหาต้นทุนการผลิตที่น้อยที่สุด ต้องเก็บได้นานๆ และรสชาติเข้มข้น
ในตอนนี้อาหารแปรรูปราคาถูกและหาซื้อง่ายกว่า อาหารทั่วไปไปแล้ว
แต่ภาพลวงตาของความง่ายและสะดวกนี้เต็มไปด้วยผลเสียต่อสุขภาพระยะยาวมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรัง ความดัน เบาหวาน ไขมัน หรือแม้แต่มะเร็ง
ย้อนไปในอดีต มนุษย์อยู่ได้มาตั้งนาน จนมาถึงยุคการมาถึงของเงินเฟียต ที่ทุกอย่างต้องเร็ว รวมไปถึงการสร้างกําไรของภาคธุรกิจ
ในภาคเกษตรกรรม ต้องปลูกพืชที่โตเร็วเท่านั้น เพื่อสร้างผลผลิตได้เร็ว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมื่อดินฟื้นฟูตัวเองไม่ทัน ก็เผาป่าสิ แล้วปลูกใหม่ pm มลพิษฉ่ำ
แล้วผลผลิตที่มากแบบนี้มันต้องแปรรูปทุกอย่างให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น
- แป้ง ทําขนมปังได้ง่าย
- มาการีน ทําได้เร็ว ถูกกว่าเนยแท้
- นํ้ามันพืช ปรับแต่งโครงสร้างไม่ให้เหม็นหืนเร็ว
- High Fructose Corn Syrup ลดการใช้นํ้าตาลจริงๆ น่ากลัวมาก อยู่ในขนม ซอส แยมต่างๆ
แล้วมันก็ไปอยู่ในพวกอาหารแปรรูปต่างๆที่เรากินกันจนถึงทุกวันนี้เพราะมีผลิตง่าย ผลิตได้เยอะๆ
สิ่งที่เลวร้ายต่อมาคือ การแทรกแซงโดยรัฐบาล
การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและการกำหนดนโยบาย อำนาจนี้สามารถถูกใช้โดยกลุ่มผลประโยชน์พิเศษและนักการเมืองเพื่อกำหนดบรรทัดฐานทางสังคม รวมถึงแนวทางการบริโภคอาหาร
งานวิจัยพวกนี้มีผลสนับสนุนว่าการใช้สารเคมีในอาหารอุตสาหกรรมนั้นปลอดภัย สปอนเซอร์เงินทุนงานวิจัยก็พวกบริษัทผลิตอาหารพวกนี้นั่นแหละที่ให้มา ลองผลไม่ดีสิ ได้ถอนสปอนเซอร์ เริ่มเห็นความเน่ายัง
ใครเคยเห็น ปิรมิดอาหารบ้าง แบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางภาครัฐแนะนําสัดส่วนในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน เรียนในโรงเรียนด้วยถูกมั้ย
ดูดิ เขาให้เรากินแป้ง และ ผักผลไม้ที่ปลูกได้ง่าย ขายเร็ว สัดส่วนรวมกันถึง 75% แล้วให้กินโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต หรือซ่อมแซมร่างกายแค่ 20%
มันแปลกมั้ย เพราะโปรตีนจากสัตว์นั้น ผลิตยากและแพงกว่า และกลุ่มนายทุนได้กําไรน้อยกว่า ส่งผลให้เขาพยายามรณรงค์ให้กินของที่ถูก ผลิตง่ายแทน เริ่มเห็นภาพแล้วยัง
นี่ยังไม่รวมงานวิจัยที่แนะนําให้ลดการกินเนื้อสัตว์เพราะเสี่ยงมะเร็งอีก
ทุกคนก็ใช้ชีวิตในการกินแป้ง น้ำตาล อาหารแปรรูป แบบนี้กันมา 30-40ปี อเมกาที่ดังคือพวก fast food ที่ทุกอย่างคืออาหารแปรรูป ที่เอามาทอดอีก มันโคตรอร่อย แต่มันน่ากลัวมาก
จากสถิติคนอเมริกัน อ้วนขึ้นจํานวนมาก และมาพร้อมกับโรคหลอดเลือดหัวใจ
ไม่ว่าจะเป็น ความดัน เบาหวาน ไขมัน ซึ่งโรคพวกนี้มันเกิดจากพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตเป็นหลักเลย พันธุกรรมก็มีส่วน แต่พฤติกรรมมีผลมากกว่า
พอเราเป็นโรค ก็ต้องใช้ยา บริษัทผลิตยา ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีก อยากให้ไปคิดต่อกันเอง
สงสัยมั้ยว่าพอเราเป็นโรค NCD มีคนบอกเราตรงๆว่า กินแค่ยารักษาโรคไปตลอดชีวิต
แต่กลับ ไม่มีใครมาบอกเราตรงๆว่า อาหารที่เรากินมันแย่ และเป็นสาเหตุของโรคเหล่านั้น?
วิธีที่ผมใช้จริงในการ ลด ละ เลิก Fiat Food / Ultra-Processed Food
สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องเลือกการกินมากขึ้น
you are what you eat
- ลดการกิน fiat food หรือ Ultra Process Food อาหารแปรรูปให้มากที่สุด พวกขนมปัง ขนมขบเคี้ยว น้ำหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก หมูยอ อาหารกระป๋อง
พวกนี้เต็มไปด้วยสารเคมี สารกันบูดและ สารแต่งรสสังเคราะห์ ตระกูล high fructose corn syrup
- กินอาหารสด ปรุงสุกใหม่ เท่านั้น
- กินอาหารให้หมดเป็นมื้อๆ
- ไม่กินอาหารค้างคืน หรือของเหลือในตู้เย็น อาหารพวกนี้จะเกิดแบคทีเรียสะสมได้
ผมเคยกินแล้วปวดท้อง เคยมีปัญหา IBS ปวดท้องแก้ไม่หาย หาหมอก็ไม่หาย สรุปคือ ผมกินแต่อาหารย่อยยาก และน้ำเต้าหู้แช่เย็นที่เก็บไว้เป็นสัปดาห์ พอเปลี่ยนการกิน อาการก็ค่อยๆดีขึ้น
- ไม่กินน้ำหวาน หรือ ของหวาน ของกินจุกจิก ถ้าอยากกินของกินเล่นก็กินหลังมื้ออาหาร น้อยครั้ง ไม่ใช่กินทุกวัน ไม่ได้นะ
- เลิกความเชื่อผิดๆว่า ถ้าอยากอิ่มท้องให้กินข้าวเยอะๆ เปลี่ยนเป็นกินโปรตีนเยอะ โปรตีนจากสัตว์ จากไข่ นมนะ ไม่เอาพวกโปรตีนผง
- เน้นการกินโปรตีนมากขึ้น ไม่กลัวการกินไขมันจากสัตว์ ผมไม่ใช่สายกินเนื้อล้วน แต่มีการ balance สิ่งที่กินต่อวัน
- ลดแป้ง คาร์โบไฮเดรตลง กินผัก ไฟเบอร์ มากขึ้น
- กินนํ้าเปล่าวันละ 1.5 - 2 ลิตร
- ผลไม้กินเป็นลูกๆ ไม่กินน้ำปั่น เพราะจะทําให้การดูดซึมนํ้าตาลเร็วเกินไป
- วิธีที่ดีที่สุดคือทำอาหารกินเอง แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นก็จะพยายามเลือกกิน แต่สิ่งที่มีประโยชน์ และ สดใหม่ปรุงสุก
- เรื่องน้ำมันพืช เราสั่งข้าวกิน ลดยากมาก ผมก็พยายามสั่งร้านว่าใส่น้ำมันน้อยๆ
- ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่
- บางครั้งก็มีกินสิ่งที่อยากกินบ้าง อัตราส่วนไม่เกิน 5-10% ของทั้งหมด
- การกินคลีน สำหรับผมไม่ใช่คำตอบ เพราะทำให้สัดส่วนโปรตีนที่เราได้รับไม่สมดุล แถมถ้าเป็นคลีนที่ไม่อร่อย เราจะทำได้ไม่นาน พอหลุด cheat day ก็กินยับเลย
แนะนํากินแบบมีความสุขบ้าง จะได้ทําได้นานๆ
อาหารที่ดี ไร้ Fiat Food / UPF 90% ของอร่อย 10 %
สรุป
Fiat Food / Ultra-Procesed Food
เป็นอาหารที่เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่น่ากลัวคือ มีคนมากมายยังไม่รู้ว่ามันส่งผลต่อเราในระยะยาวมากแค่ไหน
ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ไม่ใช่มันไม่มีใครรู้ แต่มันมีกลุ่มนายทุนที่ได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง
หน้าที่ของเราคือการรู้เท่าทัน และดูแลอาหาร สุขภาพของเราให้ดีในระยะยาว
ถ้าคุณลดการกินอาหารแย่ๆพวกนี้ได้ ชีวิตคุณจะดีขึ้น
You Are What You Eat
#siamstr #fiatfood #upf #อาหาร #อาหารแปรรูป
รู้จัก บิทคอย และ เป็น Bitcoiner ได้ยังไง แชร์ ปสก จาก คนในชุมชนบิทคอยในไทย - Sats and Sound EP 22
ผมไปเจอคําถามในกลุ่ม Siamese Bitcoiners น่าสนใจมากผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า
คนในคอมมินิตี้ รู้จักบิทคอยได้ยังไงและทําไมถึงเลือกที่จะเป็น bitcoiner
ผมได้รวบรวม วิเคราะห์และสรุปคําตอบออกมาได้ดังนี้
1 รู้จักบิทคอยได้ยังไง : จากความบังเอิญ สู่การศึกษาจริงจัง
การที่ผู้คนมารู้จัก Bitcoin นั้นมีที่มาหลากหลาย บางครั้งก็เป็นเรื่องของความบังเอิญหรือคำบอกเล่า
1 จากสื่อและโซเชียลมีเดีย (13 คําตอบ)
- บางคนเห็นข่าวจาก Blognone
- กระทู้ใน Pantip
- จากช่อง YouTube ของผู้มีอิทธิพลต่างๆ เช่น นายอาร์ม , อาจารย์ตั๊ม , Coinman , Right Shift , หรือแม้กระทั่งฟังลุงนิคที่เคยด่า Bitcoin
2 จากเพื่อนและคนรอบข้าง (6 คําตอบ)
- หลายคนเริ่มรู้จักจากคำแนะนำของเพื่อน
- คนใกล้ตัวที่อยู่ในแวดวง
- บางคนถึงขนาดถูกเพื่อนชวนทำ Survey รับ Bitcoin ฟรีตั้งแต่อยู่ ม.ต้นในปี 2013
3 จากความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว (4 คําตอบ)
- บางคนเริ่มต้นจากการเห็น Bitcoin เป็นช่องทางลงทุนทำกำไร
- อยากหาอาชีพเสริม
- สงสัยว่าไอคอน Bitcoin ใน Steam คืออะไร
4 จากประสบการณ์ที่เจ็บปวด (3 คําตอบ)
- หลายคนเข้ามาสู่ Bitcoin อย่างจริงจังหลังเจอวิกฤต หรือความผิดหวัง เช่น พอร์ตพังจาก GameFi หรือขาดทุนหนัก
- รู้สึกว่าอาชีพที่มั่นคงกลับไม่มั่นคงอีกต่อไป
ปสก ผม ร้จักจากทั้ง 4 ข้อนี้รวมกันเลยครับ
- ตอนแรกรู้จักบิทคอยผ่านสื่อและโชเชียลมีเดีย ข่าวซื้อพิชช่า
- ข่าวการใช้บิทคอยซื้อสิ่งผิดกฏหมาย
- การปิดเว็บ silk road Mt Gox
แน่นอนว่า ผมมองว่าบิทคอยคือเงินในอากาศ มีความเสี่ยง จับต้องไม่ได้ และ scam หลอกลวง น่ากลัว อย่าไปยุ่งกับมัน
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเพื่อนพูดถึงบิทคอย - มีทั้งคนที่บอกให้ซื้อ
- มีคนบอกว่าคนรู้จักได้กำไรจากบิทคอย
- บอกว่าบิทคอยราคาหลักล้านแล้ว
แน่นอนครับด้วยความที่คิดว่าเป็น scam ผมก็ยังไม่สนใจ ไม่ศึกษาอะไรมันทั้งนั้น
และท้ายที่สุดจาก ประสบการณ์เจ็บปวดเรื่องเงินเฟ้อ ความไม่มั่นคง ไม่รวยสักที ขาดทุนจาก shit coin
- ผมก็ได้เข้ามาศึกษาบิทคอย รู้จัก right shift อาจารย์พิริยะ และคนในชุมชนอื่น รวมถึงความอยากรู้ส่วนตัว
- ในช่วงแรกผมแค่คนที่เข้ามาศึกษาในบิทคอยนะครับ ยังไม่ใช่บิทคอยเนอร์ซะทีเดียว
2. ทำไมถึงเลือกเป็น Bitcoiner: ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่อง "ความเข้าใจ"
การตัดสินใจเป็น Bitcoiner นั้นลึกซึ้งกว่าแค่การเห็นโอกาสทำกำไร และมักจะมาจาก "ความตระหนักรู้" และการตั้งคำถามต่อระบบเดิม
1 ความเบื่อหน่ายต่อระบบการเงินแบบ Fiat: นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า (7 คําตอบ)
- หลายคนเริ่มสงสัยว่าทำไมเงินถึงเฟ้อ
- ทำไมต้องทำงานอย่างไร้สิ้นสุด
- ทำไมระบบดูเหมือนไม่ถูกต้อง
- พบว่า Bitcoin เสนอทางเลือกที่ดีกว่าการเป็น "ทาสในระบบ Fiat"
2 การเก็บรักษามูลค่าที่แท้จริง (Store of Value) (4 คําตอบ)
- เมื่อได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ผู้คนจำนวนมากตระหนักว่า Bitcoin สามารถ "เก็บรักษามูลค่า"
- ทำให้บางคนเลิกเป็นนักเทรดและหันมา "สะสม" (HODL) แทน
3 ตรรกะที่สมเหตุสมผลกับยุคสมัย (3 คําตอบ)
- Bitcoin มี Logic ที่ Make Sense กับยุคสมัยปัจจุบันมากกว่าระบบการเงินแบบเก่า
- โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่นๆ
4 แนวคิดเรื่องอิสรภาพ (Libertarianism) (2 คําตอบ)
- สำหรับหลายคน Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Libertarianism หรือการใฝ่หาอิสรภาพและอธิปไตยส่วนบุคคล
- การได้ศึกษา Bitcoin ทำให้เลือดลิเบอร์ทาเรี่ยนเดือดพล่าน และรู้สึกว่า Bitcoin ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างแท้จริง
5 ไม่ต้องการพลาดโอกาสครั้งที่สอง (2 คําตอบ)
- บางคนเคยพลาดโอกาส Bitcoin ในช่วงราคาถูก
- เมื่อได้ศึกษาและเข้าใจถึงแก่นแท้ จึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้อีกต่อไป
6การค้นหาคำตอบที่ค้างคาใจ (2 คําตอบ)
- หลายคนใช้เวลาในการค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ผู้ใหญ่พูดวกวนมาทั้งชีวิต
- ความสงสัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ติดลบ
- พบว่า Bitcoin หรือแนวคิดเบื้องหลัง Bitcoin สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้
ปสก ส่วนตัว ผมคือทั้ง 6 ข้อนี้เลยครับ
หลังจากปี 2021 ขาดทุน defi มาหลักแสนบาท - ตอนนั้นผมก็เริ่มซื้อบิทคอยแล้วด้วยเงินหลักพันบาทรู้ว่ามันดีแต่ก็ยังไม่ได้ศึกษามาก
- ผมใช้เวลาศึกษา 1 ปีร่วมกับการเข้ามาอยู่ในชุมชนบิทคอยในประเทศไทย
- เป็นช่วงที่เปิดโลกมากครับ
- ผมเปลี่ยนวิธีการคิดเกี่ยวกับ ระบบการเงิน การจัดการเงินส่วนบุคคล การพัฒนาตัวเอง
การดูแลสุขภาพ อาหารที่กิน เหมือนการีเซ็ตชีวิตใหม่
- ตอนนี้ผมเป็นคนใหม่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจมากครับ
- ส่วนการเงินก็มีความมั่นคงมากขึ้นหลังจากได้ออมในบิทคอย
ถึงตอนนี้ยังลำบากแต่ผมก็สู้และรู้แล้วว่าทางที่เดินมาถูกต้อง
จากคำตอบนี้ คนในชุมชน "รู้จัก Bitcoin ในช่วงปีต่างๆ กันไป" โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาหลักๆ ที่มีการกล่าวถึงได้ดังนี้
1 ช่วงปี 2013-2015: ยุคแรกเริ่มของการรับรู้ (3 คําตอบ)
เป็นช่วงที่ Bitcoin ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เริ่มได้ยินและสนใจ
- ปี 2013: มีคนรู้จัก Bitcoin ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้น หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่ Bitcoin เริ่มมีการพูดถึงบ้าง
- ปี 2015: มีผู้ที่ได้ยินคำว่า Bitcoin แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่สนใจเรื่องการเงิน
2 ช่วงปี 2017-2018: กระแสแรกและตลาดขาขึ้น (4 คําตอบ)
เป็นช่วงที่ Bitcoin เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีคนจำนวนมากเข้ามาในตลาด ซึ่งหลายคนเข้ามาเพราะ "การลงทุนทำกำไร"
- ปี 2017: มีคนรู้จักจาก นายอาร์ม (ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจ) และจำได้ว่าราคาประมาณ 20,000 บาท
- ปี 2018: เริ่มมีการตามหาอาชีพที่สองผ่านคริปโต และมองว่าน่าเทรดกว่าหุ้น หรือเจอกระทู้ในพันทิปเมื่อ 8 ปีก่อน (เทียบจากปี 2024 คือ 2016)
3 ช่วงปี 2021: ตลาดขาขึ้นครั้งใหญ่ (Bull Run) (1 คําตอบ)
เป็นช่วงที่ Bitcoin ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และมีคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก
- ปี 2021: มีคนเริ่มดูอาจารย์ตั๊ม หรือได้ยินเรื่อง DCA และตามฟังอาจารย์ เป็นช่วงที่คนจำนวนมากเข้ามาลงทุน
เพราะกระแสและเห็นโอกาส
4 ช่วงปี 2024: การตระหนักรู้และเข้าใจแก่นแท้ (4 คําตอบ)
แม้ Bitcoin จะถูกพูดถึงมานาน แต่หลายคนเพิ่งมา "เข้าใจอย่างลึกซึ้ง" และเลือกเป็น Bitcoiner ในช่วงนี้
- ปี 2024: มีผู้ที่เพิ่งมาสนใจจริงๆ และเริ่มวิวัฒนาการเป็น Bitcoiner ในช่วงปลายปี 2024
- เพิ่งมาศึกษาลึกซึ้งช่วงปีที่แล้ว (2023-2024) มีคนที่เพิ่งมาศึกษาจริงจังช่วงปีที่แล้ว (2023) หลังจากการศึกษา Traditional Finance หรือจากการแนะนำของเพื่อน รวมถึงการไปงาน TBC 2024 แล้วได้ตระหนักรู้
- รู้จักมานานแต่เพิ่งเข้าใจ หลายคนรู้จัก Bitcoin มานานในฐานะสินทรัพย์ผันผวนหรือสแกมเมอร์ แต่เพิ่งมาศึกษาลึกซึ้งและเข้าใจแก่นแท้ในช่วงหลังๆ
สรุป
การเป็น Bitcoiner จึงไม่ใช่แค่การ "เลือก" สินทรัพย์เพื่อลงทุน แต่เป็นการเดินทางแห่ง "การค้นพบ" และ "ความเข้าใจ"
ตั้งแต่การรู้จัก Bitcoin ผ่านความบังเอิญ ไปจนถึงการตั้งคำถามต่อระบบ การศึกษาอย่างลึกซึ้ง และการตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของมันในฐานะสินทรัพย์ที่ขาดแคลน ปลอดจากการควบคุมของรัฐบาล และเป็นทางเลือกเพื่ออิสรภาพทางการเงินในโลกที่ไม่แน่นอน
หลายคนเริ่มต้นด้วยความอยากรวย หรือแค่สนใจเทคโนโลยี แต่สุดท้ายกลับค้นพบปรัชญาที่ลึกซึ้งกว่านั้น กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อเงิน ความมั่งคั่ง และชีวิตไปโดยสิ้นเชิง
ดังที่บางคนกล่าวว่า "เหมือนได้กินยาเม็ดสีส้ม" และพบว่า "โพรงกระต่ายก็กว้างใหญ่กว่าที่คิด"
การเดินทางสู่การเป็น Bitcoiner มักไม่ใช่การตัดสินใจในทันที แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้และตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของ Bitcoin ที่อาจใช้เวลาหลายปีสำหรับบางคนรวมถึงผมด้วย
#siamstr #btc #bitcoin
เทรดเดอร์ นักเก็งกำไร ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้โลกเลย จริงเหรอ? - sats and sound EP21
เป็นคำถาม สงสัยจากกลุ่ม bitcoin community ที่หลายๆคนอาจจะมีความอินกับเศรษฐศาสตร์ออสเตียน หรือ การสร้าง Productivityจริงๆ
ถึงจะเป็นคําถามดูแรง สะท้อนความสงสัยของหลายคน และนำไปสู่การถกเถียงที่น่าสนใจถึงบทบาทของนักลงทุนในระบบเศรษฐกิจ ผมได้รวบรวมประเด็นแยกเป็นมุมมองต่างๆของคนในคอมมูนิตี้ มาให้ฟังกันครับ
คำถามที่ว่า "เทรดเดอร์ (นักเก็งกำไร) สร้าง Productivity ให้กับโลกใบนี้ยังไงเหรอครับ? ส่วนตัวผมมองว่าไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับโลกตรงไหนเลย"
มุมมองที่ 1: "นักเทรดไม่ได้สร้าง Productivity โดยตรง" (แต่นั่นอาจไม่ใช่ปัญหา)
ก่อนอื่น หลายคนยอมรับว่าในมุมมองดั้งเดิมของการผลิตสินค้าหรือบริการ เทรดเดอร์อาจไม่ได้ "สร้าง" ผลผลิตทางกายภาพโดยตรง (เช่น ไม่ได้สร้างบ้าน ไม่ได้ผลิตอาหาร)
1 เน้นการแลกเปลี่ยน: บางความเห็นชี้ว่าในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม โลกนี้มีแต่การ "แลกเปลี่ยน" (Exchange) ไม่ใช่แค่การผลิต ทุกคนล้วนมีการแลกเปลี่ยนสินค้า สกุลเงิน แรงงาน หรือทักษะ การค้าขายก็เป็นการแลกเปลี่ยนรูปแบบหนึ่งที่ตอบสนองความต้องการที่ต่างกัน และราคาก็ขึ้นลงตาม Demand-Supply
นิยามของ Productivity: คำว่า Productivity มักถูกใช้ในเชิงเชิดชูการทำงานผลิต แต่ในความเป็นจริงมันเป็นตัวชี้วัดภายหลังการแลกเปลี่ยน หากยึดติดกับ Productivity มากเกินไปโดยไม่เข้าใจหัวใจของการแลกเปลี่ยน อาจนำไปสู่ความคิดแบบสังคมนิยม ซึ่งประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าประเทศที่เชิดชู Productivity สุดโต่ง (เช่น คอมมิวนิสต์) กลับมีปัญหาเรื่อง Over-Supply และไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควรหากปราศจากการแลกเปลี่ยนที่เสรี
มมองที่ 2: เทรดเดอร์มีบทบาทสำคัญในการสร้าง "สภาพคล่อง" (Liquidity)
นี่คือประเด็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดและถือเป็นประโยชน์หลักของนักเทรด
1 สร้างสภาพคล่องในตลาด: เทรดเดอร์คือผู้ที่สร้าง สภาพคล่อง (Liquidity) ในตลาด การมีนักซื้อและนักขายจำนวนมาก ทำให้ราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) อยู่ใกล้กัน
2 ลดช่องว่างราคา: หากไม่มีนักเทรด ราคาซื้อขายจะห่างกันมาก ทำให้การทำธุรกรรมหรือการดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องยากขึ้น
3 อำนวยความสะดวกการลงทุน: หากไม่มีตลาดรอง (Secondary Market) ที่มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนคงไม่มีใครอยากลงทุนในตลาดแรก (Primary Market) เพราะไม่รู้จะถอนเงินออกอย่างไร การมีเทรดเดอร์ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินระดับพันล้าน หมื่นล้านทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ Network ของตลาดทุน (รวมถึง Bitcoin) ใหญ่ขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น
4 พ่อค้าคนกลางในระบบทุนนิยม: นักเทรดก็เหมือนพ่อค้าคนกลาง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการไหลเวียนของสินค้าและบริการในระบบทุนนิยม และช่วยให้คนทำงานสร้าง Productivity สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ได้ง่ายขึ้น
มุมมองที่ 3: กระตุ้นการหมุนเวียนของเงินและการเติบโตของตลาด
นอกจากสภาพคล่องแล้ว เทรดเดอร์ยังมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเติบโตของตลาดทุน:
1 การหมุนเวียนเงิน: เทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้ก็จะนำเงินไปใช้จ่าย สร้างกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เทรดเดอร์ไม่ได้อิ่มทิพย์ พวกเขาก็ใช้จ่ายในห่วงโซ่อุปทานเหมือนคนทั่วไป
2 การอัดฉีดเงินสู่ตลาด (โดยไม่ตั้งใจ): ความเห็นที่น่าสนใจคือ "เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุน" เงินที่เทรดเดอร์ที่ขาดทุนเสียไป ก็เหมือนการเติมเงินให้กับตลาด ทำให้ผู้ที่คู่ควร (เช่น บริษัทที่เข้มแข็ง หรือโปรเจกต์ที่น่าลงทุน) มีเงินทุนนำไปสร้างประโยชน์ต่อ
3 ขยาย Market Cap: ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ Bitcoin การมีเทรดเดอร์และผู้ถือ (Holder) ช่วยขยาย Market Cap ของสินทรัพย์ ทำให้ Network ของ Bitcoin ใหญ่ขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น
มุมมองที่ 4: นักเทรดเปรียบเสมือน "เสียงของตลาด"
ตลาดคือสถานที่ที่ผู้คนใช้เงินสื่อสารกัน ยิ่งโวลลุ่ม (ปริมาณการซื้อขาย) เยอะ เสียงพูดในตลาดก็ยิ่งดัง ซึ่งสะท้อนถึงข้อมูลและความเชื่อของผู้คนในตลาดนั้นๆ
บทสรุป
เทรดเดอร์ เป็นบทบาทที่ซับซ้อนและจำเป็นในระบบทุนนิยม แม้ว่านักเทรดและนักเก็งกำไรอาจไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรมโดยตรง แต่บทบาทของพวกเขาในระบบเศรษฐกิจนั้นซับซ้อนและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการ "สร้างสภาพคล่อง" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ตลาดทุนและตลาดสินค้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#siamstr #btc #bitcoin #เกร็งกำไร #เทรดเดอร์
นักเทรดเปรียบเสมือน "ผึ้งที่ช่วยผสมเกสรดอกไม้" ทำให้ตลาดทุนมีชีวิตชีวา ดึงดูดเงินทุนให้เข้ามารวมกัน และขับเคลื่อนการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจโลก
ดังนั้น แม้ความตั้งใจแรกของเทรดเดอร์อาจเป็นเพียงการทำกำไรส่วนตัว แต่โดยกลไกของตลาด บทบาทของพวกเขากลับสร้างประโยชน์และ Productivity ในมิติที่แตกต่างออกไปจากที่หลายคนเคยเข้าใจ
0.01 BTC เป้าขั้นต่ำที่อยากทุกคนมีไว้ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในวันหน้า - Sats and Sound EP 20
คลิปนี้ไม่ใช่การอวย แต่เป็นการคิดไปถึงอนาคต จากสถานะการณ์ปัจจุบัน ทั้งเศรษฐกิจ สภาพสังคมที่แย่ลงจากเงินเฟียตที่เสื่อมค่า จากการพิมเงินมหาศาล
วงจรนรกที่แย่ต่อคนส่วนใหญ่ แต่ความตลกร้ายคือมันจะยังดําเนินต่อไปแบบนี้โดยไม่มีใครหยุดได้
นับตั้งแต่ปี 1971 ที่มีการใช้ระบบ Fiat Standard เงินกระดาษมูลค่าของมันก็ลดลงไปแล้วกว่า 99%
นี่แหละคือสาเหตุที่ของทุกอย่างแพงขึ้นตามเวลา โดยที่พวกเราโดนปลูกฝังว่า มันเป็นเรื่องปกตินะ เงินก็ต้องเฟ้อขึ้นแต่ที่จริงมันไม่ใช่โว้ยย พวกเราถูกทําให้เชื่อแบบนี้เพราะมันมีกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากการพิมเงินไง
ถ้าศึกษาเทียบไปในยุค Gold Standard ที่โลกยังเทียบมูลค่ากับทองคํา ยุคนั้นเงินกระดาษคือตั๋วใช้แลกทองคําได้นั้น ราคาสินค้าหรือแม้แต่บ้าน จะมีมูลค่าคงที่หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นจนซื้อบ้านกันไม่ได้เหมือนตอนนี้
ลองคิดง่ายๆดู 10 ปีก่อน บอกว่ามีเงิน 10 ล้านบาทเกษียณได้
แต่ตอนนี้ปี 2025 เป้าหมายบางคนคือ 50 ล้านบาทกันแล้ว ก็เพราะเงินเฟ้อไงหล่ะ
คนที่ตระหนักถึงภัยเงียบอย่างเงินเฟ้อ จะพยายามหาทางออกโดยการเปลี่ยนเงินเฟียตที่เสื่อมค่าของตัวเองให้เป็นสินทรัพย์ที่ต้านเงินเฟ้อ ซึ่งมีหลายอย่างและมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดังนี้
1 พันธบัตรรัฐบาล 1-3% ต่อปี
2 หุ้น 7-10% ต่อปี
3 อสังหาฯ 3-10% ต่อปี
4 ทองคํา 6-10% ต่อปี
5 บิทคอย 80-100% ต่อปี
บิทคอยดูดีสุดแต่ต้องบอกก่อนว่า บิทคอยผันผวนมากที่สุด เพราะเพิ่งเป็นสินทรัพย์ใหม่
และในระยะยาวผลตอบแทนจะน้อยลงเรื่อยๆ
นี่คือเหตุผลแรกที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย
อีกอย่างที่สําคัญเหมือนกันคือ อัตราเงินเฟ้อ ที่ตัวเลขบอกว่า ไม่เกิน 2-3% ต่อปี “เป็นเรื่องไม่จริง”
ถ้าอัตราเงินเฟ้อเท่านี้จริง ทําไมของต่างๆ ราคาบ้านแพงขึ้นเกือบ 50-80% ใน 10 ปีหล่ะ
คําตอบคือเพราะเงินมันเฟ้อมากกว่า นั้นไง
ถ้าไปดูปริมาณเงินในระบบที่เรียกว่า M2 ทั้งในโลก หรือในไทย จะพบว่ามันเฟ้อขึ้น 7-8% ต่อปี ดังนั้นสินทรัพย์ที่เราต้องถือเพื่อต้านเงินเฟ้อ มันต้องให้ผลตอบแทนมากกว่า 7-8%
ไม่งั้นเงินเราจะเสื่อมค่าถูกมั้ย
นี่คือเหตุผลที่สองที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย แล้วการออมในบิทคอยเราไม่ต้องเล่นท่ายากอะไรเลย แค่ออมสม่ำเสมอและเก็บอย่างปลอดภัยใน HW เอาเวลา พลังชีวิตเราไปทําอย่างอื่นที่สนใจได้อีก
อย่างที่บอกว่าวงจรนรกของการพิมเงินในโลกนี้ ไม่มีใครหยุดมันได้ ดังนั้น เราจะอยู่ในโลกที่ของแพงขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
โดยบางคนคิดแค่ว่าตัวเองไม่เก่ง หาเงินไม่มากพอ ก็เลยลําบาก รู้สึกไม่มั่นคงสักที คุณภาพชีวิตแย่ แต่ที่จริงมันมีสาเหตุจากเงินเฟ้อที่ไม่คนไม่อยากให้คนส่วนใหญ่อย่างเรารู้
คนที่เจอคําตอบไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือ แม้แต่บริษัท เขารู้ไงว่าบิทคอยคือทางออก
ทําให้พวกเขาเก็บสะสมบิทคอยจนทําให้ทุกวันนี้ บิทคอย 1 บิทคอยมีมูลค่าประมาณ 3.5ล้านบาท
ในอนาคตบิทคอยจะมีมูลค่ามากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะมาจากการพิมเงิน การแย่งกันสะสมจากคนทั้งโลก นี่คือเหตุผลที่สามที่ทําไมผมถึงแนะนําให้ทุกคนควรมีบิทคอย 0.01 BTC
ใครยังรู้สึกว่าตัวเองช้า อย่ามัวแต่ท้อครับ แนะนําว่าให้ศึกษา และเริ่มจัดสรรเงินมาออมในบิทคอยตั้งแต่วันนี้
แล้วทําไมผมถึงแนะนํา จํานวน 0.01 BTC หรือ 1ล้าน Sats
- ผมคิดว่า นี่คือจํานวนที่ทุกคนควรมีไว้ 0.01BTC ในวันนี้มูลค่าประมาณ 35,000 บาท
มันไม่ได้ทําให้คุณรวยในวันนี้ แต่จะเป็นสิ่งที่ทําให้คุณศึกษาบิทคอยมากขึ้น ซึ่งมันจะทําให้คุณได้ทบทวนและปรับปรุงทักษะทางการเงิน พัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว
- Bitcoin จะมีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้นในโลก ผลิตเพิ่มไม่ได้ แล้วสูญหายหรืออยู่ในกระเป๋าที่เก็บยาวหรือไม่เคลี่ยนไหวอีก 4 ล้านเท่ากับว่าตอนนี้ทุกคนต้องแย่งกันสะสม 17 ล้านเหรียญที่เหลือ
- การเป็นเจ้าของ 0.01 BTC เท่ากับว่า คุณอยู่ในกลุ่มประมาณ 2% แรกของประชากรโลกที่มีศักยภาพในการถือครอง Bitcoin
- ที่สำคัญกว่านั้นถ้าคุณได้ตามข่าวบริษัทที่เก็บบิทคอยกันแบบ ซื้อทุกราคา ซื้อกระหน่ำ การถือบิทคอยไม่ใช่แค่ทางรอดของคนทุนใหญ่อย่างเดียว มันก็เป็นทางรอดสําหรับพวกเราคนตัวเล็กๆเหมือนกัน
สรุป
1 บิทคอยคือทางรอดที่ make sense ที่สุดแล้วในโลกที่เงินเฟ้อมากขึ้นตลอดเวลาแบบนี้
2 ปริมาณ 0.01 BTC ที่แนะนําให้ทุกคนถือนั้น อาจจะดูเหมือนไม่มากในวันนี้ แต่ก็เป็นก้าวสําคัญในการศึกษาระบบการเงิน ปรับปรุงและพัฒนาตัวเราเองให้รอดจากสถานการณ์โหดร้ายจากเงินเฟียตที่กัดกินเราไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด
3 ในอนาคตเมื่อผู้คนตื่นรู้เรื่องเงินเฟ้อมากขึ้น บิทคอยจะยิ่งหายากขึ้นและมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ 0.01 BTC ในอนาคต ทําให้ชีวิตคุณหลุดพ้นจากวงจรเฟียตที่น่ากลัวได้
4 ถ้าใครสะสมบิทคอยจะเข้าใจดีว่า มีเท่าไหร่มันก็ไม่พอ แต่ถ้าไม่เริ่มต้น เราก็จะไม่มีสักที
วันที่ดีที่สุดในการออมบิทคอยก็คือวันนี้
5 อย่าติดกับดับราคาว่า บิทคอยแพงแล้ว ให้มองถึงการรักษามูลค่าว่าเงินที่เราซื้อไป มันจะไม่เสื่อมลงต่างจากการเก็บไว้ในเงินเฟียต
“คนที่รู้ช้าซื้อแพงกว่าเสมอ”
#siamstr #btc #bitcoin