จัดการเรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน
คีย์สำคัญที่ทำให้ชีวิตคุณชิลมาก
คำพูดสุดฮิตในโซเชียลที่ว่า "หนึ่งวันพันกว่าเรื่อง" อาจจะเป็นคำพูดติดตลก และ แฝงไปด้วยการเล่าประเด็นว่าในแต่ละวัน
คนเรามักพบกับปัญหาที่รุมเร้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่าง ลืมของ ข้าวเที่ยงไม่อร่อย หรือ เรื่องใหญ่ๆเช่น
ภาระงาน ติดหนี้บัตรเครดิต ปัญหาสุขภาพ เงินไม่พอใช้
ปัญหาพวกนี้เมื่อพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้เรามีความเครียดสะสม และรู้สึกว่าเวลาไม่เคยพอ ปัญหาเก่ายังแก้ไม่ได้
เรื่องใหม่มาอีกแล้ว เหนื่อยมาก จัดการอะไรไม่ได้เลย
จากประสบการณ์ตัวเองและเพื่อนๆ ผมเคยเจอเพื่อนประเภทที่ มีปัญหากับทุกอย่าง มรสุมชีวิต เครียดมาก และเพื่อนอีกกลุ่มที่เจอปัญหาเหมือนกัน แต่จัดการได้อย่างดี มันก็เลยทำให้ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้เราสามารถจัดการและลดความเสี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้นะ
พอลองเข้าไปดูชีวิตเพื่อนคนที่วันๆมีแต่ปัญหา เขาจะใช้ชีวิตแบบจัดลำดับความสำคัญไม่ค่อยเป็นเน้น "แก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ตลอดเวลา มองภาพทุกอย่างเป็นระยะสั้นๆกับทุกอย่าง
โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ "สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน" พูดแบบ เว่อไปป่ะ เออๆ เรื่องเล็ก ค่อยแก้ๆ
ยกตัวอย่างง่าย
- ท่อน้ำซึมเล็กๆ ปล่อยไปก่อน จนวันหนึ่งท่อน้ำแตก น้ำท่วมบ้าน
- ค้าขายเงินเริ่มไม่พอใช้ เดือนชนเดือน แต่ไม่คิดที่จะบริหารเงิน ตัดสิ่งไม่จำเป็นและหารายได้เพิ่ม สุดท้ายถ้าเงินหมดแล้วต้องไปกู้เงินมาใช้จ่าย ลำบากในระยะยาวอีก
- ไม่ดูแลสุขภาพเท่าที่ควร ไม่ออกกำลังกาย เมื่อละเลยไปนานวัน ปัญหาสุขภาพเช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน ก็แก้ยากแล้ว
คนกลุ่มที่มีปัญหาชีวิตรุมเร้า ไม่ได้มาจากเรื่องใหญ่โตที่ไม่คาดฝันเสมอไป แต่มาจากการละเลย "เรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน" ซ้ำๆ จนมันกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนและใหญ่โตในที่สุด
ส่วนเพื่อนกลุ่มที่จัดการปัญหาพวกนี้ได้ดี เขาจะเป็นพวกมองภาพระยะยาว จัดการปัญหาแต่เนิ่นๆ เหมือนคำว่ากันไว้ดีกว่าแก้นั่นเอง
การจัดการชีวิตให้มีประสิทธิภาพ
แบ่ง เรื่องเร่งด่วน 4 แบบ โดยพิจารณาจาก "ความสำคัญ" และ "ความเร่งด่วน"
1. สำคัญและเร่งด่วน (Urgent & Important)
2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Important)
3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Urgent & Not Important)
4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Not Important)
1. สำคัญและเร่งด่วน (Urgent & Important)
เป็นเรื่องวิกฤตที่ต้องจัดการทันที มีผลกระทบสูงหากไม่ทำ เช่น ไฟไหม้บ้าน งานด่วนที่ส่งผลต่ออนาคตอาชีพ ปัญหาสุขภาพฉุกเฉิน พอต้องลงมือทำทันที ก็เป็นสิ่งที่ยาก เครียดและส่งผลต่อชีวิตเราที่สุด
สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องลด เรื่องประเภทนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลุ่มคนที่มีปัญหาเยอะๆจะเป็นกลุ่มที่จัดการเรื่องสำคัญได้แย่ ละเลย ปล่อยสะสม จนต้อง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยู่ตลอดเวลา
2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Important)
นี่คือสิ่งที่เป็นคีย์สำคัญสู่ชีวิตที่ "ชิล" ที่มีความสำคัญต่อเป้าหมายระยะยาวของเรา แต่ไม่ได้มีเส้นตายที่กดดัน
เราต้องจัดสรรเวลาให้ทำเป็นประจำ เรื่อง"สำคัญแต่ไม่ด่วน" คือการ "ป้องกัน" ไม่ให้ปัญหากลายเป็นเรื่อง "สำคัญและเร่งด่วน" ในอนาคต การให้เวลากับสิ่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเครียด สร้างโอกาส และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ยกตัวอย่าง สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนที่ผมทำในชีวิตจริง
1 สุขภาพกายและสุขภาพจิต
- ออกกำลังกาย โดยมีเป้าหมาย cardio สัปดาห์ละ 150 นาที
- ลดอาหารกลุ่ม ultra processed food กินอาหารอย่างสมดุล ไม่ได้คลีน 100% เพราะเคยทำแล้ว ทำได้ไม่นานเพราะไม่มีความสุขในการกินเลย
- คิดดี พูดดี กับตัวเองและคนอื่น ผมพบว่า การสร้างรอยยิ้ม หรือ พลังงานบวก ส่งต่อไปให้คนอื่นได้นั้น มันมีความสุขมากนะ
- ฝึกจิตใจให้มั่นคง เมื่อเรานิ่ง เราจะคิดก่อนทำ โกรธยากขึ้นมาก
2 การเงิน
- ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน หาวิธีที่เหมาะสมกับเรา ให้ความสำคัญกับข้อนี้ให้มาก ถ้ามาถูกทาง เราจะสบายในระยะยาว
- วางแผนการเงิน ทำรายรับรายจ่าย บันทึกการออม อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทำประจำนอกจากสร้างวินัยแล้ว ยังวัดผลได้ง่ายด้วย
- หารายได้เสริม หางานที่เราทำครั้งเดียว สร้างเงินได้เรื่อยๆ แน่นอนงานพวกนี้ก็ต้องใช้เวลาสะสม proof of work กว่าจะเห็นผลลัพท์
3 พัฒนาตัวเอง
- ศึกษาเรื่องต่างๆที่สนใจเพื่อพัฒนาตัวเอง
- ลดการเสพคอนเท้นดราม่าที่ไม่มีประโยชน์
- เรียนรู้ทักษะหรือประสบการณ์ใหม่ๆ ตามโอกาส
4 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- คุยและให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว เพื่อนและคนที่เรารัก
สิ่งเหล่านี้ ผมก็ทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวในหลายๆด้าน
ถ้าใครยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเก็ต ไม่เห็นภาพมากพอ
ผมมีตัวอย่างการงานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แบบระยะสั้นมาให้ดู
ผมจะมีลิส ว่า มีอะไรบ้างที่เราจะต้องทำภายในวันไหน
- การจ่ายบิลต่างๆ ค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต ประกัน
(การมีระบบจัดการค่าใช้จ่าย ทําให้เรามีโอกาศลืมโอน น้อยมากครับ)
สิ่งที่ทำคือ
- เงินในบัญชีใช้จ่ายผมจะมีอยู่ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนเป็น buffer เสมอ เผื่อฉุกเฉินได้จ่ายบิลทันที
- บิลที่ตัดบัญชีอัตโนมัติได้ผมเลือกทำเลยเพราะลดการลืมจ่ายไปได้
- ส่วนอะไรที่ต้องโอนมือ ผมจะเลือกตั้งเวลาโอนก่อนเช่น ค่าเช่าบ้านจ่ายไม่เกินทุกวันที่ 5 ผมก็จะจัดการโอนล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนก่อน เพื่อลดการลืมโอน หรือ แอฟมีปัญหาในช่วงต้นเดือน
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ต้องจ่ายรายปี เช่น ต้องจ่ายปีละ 12000 บาท ผมก็จะใช้ระบบโอนอัตโนมัติเดือนละ 1000 บาท เข้าไปในบัญชีแยก พอครบกำหนด ผมก็จะตั้งโอนล่วงหน้าหรือโอนมืออีกที
- บิลอื่นๆเช่น ภาษี หรืออะไรที่จ่ายครั้งเดียว ผมจะจ่ายทันที เมื่อมีบิล หรือ อีเมลล์แจ้งมา ป้องกันการลืมจ่าย
- อะไรที่ทำเสร็จได้ภายใน 5 นาที เราทำเลย จะได้ไม่ลืม
สิ่งที่ไม่ต้องรีบทำอื่นๆ
- ตัวอย่างอีก 1 สัปดาห์ผมต้องไป ทำธุระที่ห้างหรือพื้นที่ใกล้เคียง ผมก็จะลิสก่อนว่า มีอะไรที่ทำที่ห้างนั้นได้บ้าง
เราก็จัดลำดับความสำคัญ และ เอาไปจัดการได้
- ยกเลิกบัตรเดบิทที่ไม่ได้ใช้มานาน เปลี่ยนหน้าสมุดบช
- ไปล้างรถ
- ไปตัดผม
- ถ่ายเอกสาร
- ซื้อของที่ขาด เล็กๆน้อยๆ เพราะส่วนใหญ่ถ้าซื้อเยอะ ผมซื้อออนไลน์หมดแล้ว
- ไปกินข้าวร้านที่เราชอบ
แล้วจัดลำดับความสำคัญเช่น อะไรสำคัญสุด รอนาน ทำก่อน เช่น กดบัตรคิวแบงค์ ล้างรถ คิวตัดผม อะไรชิลๆได้ ก็ค่อยทำทีหลัง จะเห็นได้ว่าการจัดลำดับความสำคัญ เราทำได้กับทุกเรื่องเลย เพื่อใช้เวลาเราให้คุ้มค่าขึ้นอีก
3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Urgent & Not Important)
เป็นงานที่ต้องทำทันที แต่ผลกระทบต่อเป้าหมายหลักของเราไม่สูงนัก มักจะเป็นงานที่ผู้อื่นโยนมาให้ หรือเป็นสิ่งรบกวน เช่น การตอบอีเมลที่ไม่สำคัญ โทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น การประชุมที่ไม่มีสาระ การจัดการธุระเล็กน้อย
ถ้าเป็นสิ่งง่ายๆเร็วๆก็ทำให้เสร็จ หรือ ถ้ายากก็แบ่งงานเป็นส่วนๆหรือให้คนอื่นช่วยๆถ้าทำได้
รีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญของเรา
4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Not Important)
คือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลกระทบ และไม่จำเป็นต้องทำ เช่น การไถโซเชียลมีเดียอย่างไร้จุดหมาย เสพคอนเท้นไม่สร้างสรรค์ สร้างพลังงานลบ หรือ การทะเลาะกับคนอื่นทั้งโลกจริง โลกออนไลน์
ลดให้น้อยที่สุด งานกลุ่มนี้คือตัวฉกเวลาและพลังงานของคุณไปอย่างสิ้นเปลือง
สรุป
1. จัดการ สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ไม่ว่าเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ในชีวิตให้เป็น ลดความเสี่ยงในการปัญหาในระยะยาว คุณภาพชีวิตคุณจะดีขึ้น
2.ฝึกจัดการชีวิตอย่างมีระบบ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ดี เราก็จะชิลมากครับ
บางคนอาจจะคิดว่าเครียดเกิน แต่ลองคิดดูว่า อยากจะเครียดแล้วชิล หรือ ชิลแล้วเครียดสะสมไม่จบกันแน่
#siamstr #พัฒนาตัวเอง #จัดการชีวิต #จัดการเงิน #บริหารเงิน
เปิดผลสำรวจของ SET
พบคนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บ และอีก 60% มีเงินเก็บไม่ถึง 200,000 บาท
เท่ากับมีคน 10% เท่านั้น ที่จะมีกินตอนแก่..
ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมจะพยายามบอกว่า ก็คนพวกนั้นใช้จ่ายเงินเกินตัว และไม่มีความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง
ก่อภาระหนี้สินเอง วนเป็นลูปนรก ก็จะลืมตาอ้าปากได้ยากแบบนี้แหละ
ถ้าหากเราขยัน ประหยัด ยังไงก็มีชีวิตที่ดีในอนาคตได้ ประสบการณ์จริง 10 ปีผ่านไป ผมที่คิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว
ตั้งคำถามว่า ทำไมชีวิตเราไม่เห็นดีขึ้นเหมือนที่ฝันไว้เลย
จนได้ลงหลุมกระต่าย พอคำถามเก่าๆแบบนี้กลับมา มุมมอง ความคิดและคำตอบของผมเปลี่ยนแปลงไป
- บางคนมีภาระหนี้บังคับโดยตัวเองไม่ได้ก่อด้วยซ้ำ
- บางคนหมดหนทางจากการผิดพลาดในอดีต
- บางคนก็ใช้เงินเกินตัวจริงๆ ไม่มีวินัย ไม่มีความรู้จริงๆ
และที่สำคัญที่คนที่กล่าวมา ไม่รู้ถึง 5% มั้ยที่รู้ว่า การพิมพ์เงินมหาศาลโดยเฉพาะหลังโควิด
ทำให้ของทุกอย่างแพงขึ้นมาก การใช้จ่ายแบบเดิมจะต้องใช้เงินมากขึ้น นี่ยังไม่นับถึงคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว
เดอะแบกของบ้าน ที่ดูแลรับผิดชอบครอบครัวหลายคน
หลายๆคนต่างก้มหน้าก้มตา ทำงานหนักต่อไปเพื่อแลกกับเงินที่เสื่อมค่าลงทุกวัน
ความเหนื่อย ความเครียด ภาระที่รอไม่ได้ มันอาจจะทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะศึกษาเรื่องการเงิน
ที่จะทำให้ชีวิตเขาและครอบครัวดีขึ้นด้วยซ้ำ โลกแห่งการพิมเงินมันโหดร้าย ถ้าใครรู้ช้า คนนั้นจะยิ่งลำบาก
เพราะกลุ่มคนมีอำนาจเขาไม่อยากให้คนทั่วไปรู้ เพราะมันจะทำให้เขาควบคุมการเงินยากขึ้น
ดูหนี้สหรัฐที่เพิ่มทุกวินาที ทำให้ผมคิดว่าพวกเขาคงหยุดพิมเงินไม่ได้ และจะพิมจำนวนมากขึ้นอีก
บิคคอยมาแก้ปัญหา เงินเฟ้อที่เรื้อรัง และ ปัญหาชองเงินในอดีตที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลอีกด้วย
บิทคอย ที่จะทำให้เงินของคุณไม่เสื่อมค่าลง
ไม่ต้องเหนื่อยๆกับคุณภาพชีวิตที่คอยกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และ อำนาจการใช้จ่ายลดลงไปเรื่อยๆ
เวลามีค่า ศึกษาบิทคอย
#siamstr #btc #bitcoin
การจดบันทึก Proof of Work ของตัวเอง
สิ่งที่ไม่สำคัญแต่ทำแล้วใจฟู
Proof of Work ผมได้ยินครั้งแรกก็จากการศึกษาบิทคอยนี่แหละ
แต่ Proof of Work ในมุมมองของผมในวันนี้ หมายถึง ผลของการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างช้ำๆ และนานพอ จนมีความชำนาญ ส่งผลทำให้เราทำมันได้ดี เร็วขึ้นกว่าเดิม และพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต
หลายๆคนอาจจะรู้สึกเหมือนกันว่า ทำไมฉันไม่พัฒนาเลย ทำไมฉันย่ำอยู่กับที่ คนอื่นเขาไปไหนต่อไหนแล้ว
สิ่งนี้ผมก็รู้สึกและพยายามพัฒนาตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเราไม่ไปไหนอยู่ดี บางทีก็สู้ บางทีก็ท้อ
จนวันนึงผมมานั่งดูสมุดบันทึก Proof of Work ของตัวเอง ปีที่แล้วเราเคยเขียนเป้าหมาย แผนการ และผลอะไรไว้บ้างหรือการหาเงิน การบริหารเงิน เป้าหมายทางการเงิน สำเร็จหรือไม่สำเร็จยังไง
ผมก็รู้สึกปลดล็อคว่า เออ จริงๆแล้ว ตัวเราเองในวันนี้ก็เป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าปีที่แล้วนี่นา
ถ้าหากใครยังรู้สึกว่าตัวเองตามคนอื่นไม่ทัน คุณภาพชีวิตแย่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เราต้องศึกษาหาวิธีในการพัฒนาตัวเองในเรื่องนั้นๆ แล้ว "ทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ"
ยกตัวอย่างเช่น
- การหารายได้เสริม เช่น ทำคลิป affiliate ลงคลิปสม่ำเสมอ
- การออมเงินในบิทคอยอย่างน้อย 1k บาท ทุกเดือน ไม่ขายเด็ดขาด
- มีเป้าหมายออมบิทคอยเพื่อเกษียณ
- ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และ บันทึกการออม ทุกเดือน
- ลดการกิน Ultra-process food
- การออกกำลังกาย ตั้งเป้า cardio ให้ได้วีคละ 150 นาที
- ใจดี พูดดี และไม่คิดลบกับตัวเอง และ ผู้อื่น (สุขภาพจิตสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย และ เงิน)
- ศึกษาเพิ่มเติมและส่งต่อความรู้เกี่ยวกับการเงิน บิทคอย เงินเฟ้อ ให้กับคนรอบตัวที่สนใจ (บิทคอยศึกษาเรื่องเดียวคุ้มนะ เพราะมันจะเชื่อมโยงถึงปัญหาต่างๆในชีวิตเราในหลายๆมิติได้อีก)
ลองค่อยๆพัฒนา ทำในสิ่งเล็กๆแค่วันละนิด พร้อมกับการจดบันทึกไปด้วย
พอกลับมาดู เราสามารถเทียบได้ว่า ตัวเราวันนี้กับวันนั้นดีขึ้นอย่างไร พอทำไปสักพักสิ่งที่เคยยากในวันนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ง่ายในวันนี้ นี่แหละคือผลของ Proof of Work ที่เราตั้งใจทำมาอย่างสม่ำเสมอ
พอมันวัดผมได้ ทำให้เรามีกำลังใจในการพัฒนา หรือ ทำต่อไป
เมื่อก่อนผมชอบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่ตอนนี้ถึงบางครั้งจะยังคิดแบบนั้น แต่ผมพยายามเปลี่ยนวิธีคิดเป็นเทียบกับตัวเราเองในอดีตแทน ถ้ามันดีขึ้น ถือว่า สำเร็จ แล้วอาจจะค่อยขยับเป้า challenge ตัวเองไปด้วย
สรุป
1 อยากพัฒนาอะไร ก็ต้องศึกษาและต้องเลือกทางเดินให้ถูกทาง
2 จากนั้นตั้งเป้าหมายให้วัดผลได้ และทำมันซ้ำๆจนชำนาญ (ข้อนี้สำคัญที่สุด)
3 บันทึก Proof of Work ที่เกิดขึ้น จะทำให้เราเทียบได้ง่ายขึ้นว่าเราพัฒนาขึ้นจริงมั้ย (ทำแล้วใจฟู)
4 ไม่ต้องเทียบกับคนอื่น เทียบกับตัวเราเองก็พอ
#siamstr #btc #bitcoin