จัดการเรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน คีย์สำคัญที่ทำให้ชีวิตคุณชิลมาก คำพูดสุดฮิตในโซเชียลที่ว่า "หนึ่งวันพันกว่าเรื่อง" อาจจะเป็นคำพูดติดตลก และ แฝงไปด้วยการเล่าประเด็นว่าในแต่ละวัน คนเรามักพบกับปัญหาที่รุมเร้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่าง ลืมของ ข้าวเที่ยงไม่อร่อย หรือ เรื่องใหญ่ๆเช่น ภาระงาน ติดหนี้บัตรเครดิต ปัญหาสุขภาพ เงินไม่พอใช้ ปัญหาพวกนี้เมื่อพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้เรามีความเครียดสะสม และรู้สึกว่าเวลาไม่เคยพอ ปัญหาเก่ายังแก้ไม่ได้ เรื่องใหม่มาอีกแล้ว เหนื่อยมาก จัดการอะไรไม่ได้เลย จากประสบการณ์ตัวเองและเพื่อนๆ ผมเคยเจอเพื่อนประเภทที่ มีปัญหากับทุกอย่าง มรสุมชีวิต เครียดมาก และเพื่อนอีกกลุ่มที่เจอปัญหาเหมือนกัน แต่จัดการได้อย่างดี มันก็เลยทำให้ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้เราสามารถจัดการและลดความเสี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้นะ พอลองเข้าไปดูชีวิตเพื่อนคนที่วันๆมีแต่ปัญหา เขาจะใช้ชีวิตแบบจัดลำดับความสำคัญไม่ค่อยเป็นเน้น "แก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ตลอดเวลา มองภาพทุกอย่างเป็นระยะสั้นๆกับทุกอย่าง โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ "สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน" พูดแบบ เว่อไปป่ะ เออๆ เรื่องเล็ก ค่อยแก้ๆ ยกตัวอย่างง่าย - ท่อน้ำซึมเล็กๆ ปล่อยไปก่อน จนวันหนึ่งท่อน้ำแตก น้ำท่วมบ้าน - ค้าขายเงินเริ่มไม่พอใช้ เดือนชนเดือน แต่ไม่คิดที่จะบริหารเงิน ตัดสิ่งไม่จำเป็นและหารายได้เพิ่ม สุดท้ายถ้าเงินหมดแล้วต้องไปกู้เงินมาใช้จ่าย ลำบากในระยะยาวอีก - ไม่ดูแลสุขภาพเท่าที่ควร ไม่ออกกำลังกาย เมื่อละเลยไปนานวัน ปัญหาสุขภาพเช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน ก็แก้ยากแล้ว คนกลุ่มที่มีปัญหาชีวิตรุมเร้า ไม่ได้มาจากเรื่องใหญ่โตที่ไม่คาดฝันเสมอไป แต่มาจากการละเลย "เรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน" ซ้ำๆ จนมันกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนและใหญ่โตในที่สุด ส่วนเพื่อนกลุ่มที่จัดการปัญหาพวกนี้ได้ดี เขาจะเป็นพวกมองภาพระยะยาว จัดการปัญหาแต่เนิ่นๆ เหมือนคำว่ากันไว้ดีกว่าแก้นั่นเอง การจัดการชีวิตให้มีประสิทธิภาพ แบ่ง เรื่องเร่งด่วน 4 แบบ โดยพิจารณาจาก "ความสำคัญ" และ "ความเร่งด่วน" 1. สำคัญและเร่งด่วน (Urgent & Important) 2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Important) 3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Urgent & Not Important) 4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Not Important) 1. สำคัญและเร่งด่วน (Urgent & Important) เป็นเรื่องวิกฤตที่ต้องจัดการทันที มีผลกระทบสูงหากไม่ทำ เช่น ไฟไหม้บ้าน งานด่วนที่ส่งผลต่ออนาคตอาชีพ ปัญหาสุขภาพฉุกเฉิน พอต้องลงมือทำทันที ก็เป็นสิ่งที่ยาก เครียดและส่งผลต่อชีวิตเราที่สุด สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องลด เรื่องประเภทนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลุ่มคนที่มีปัญหาเยอะๆจะเป็นกลุ่มที่จัดการเรื่องสำคัญได้แย่ ละเลย ปล่อยสะสม จนต้อง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยู่ตลอดเวลา 2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Important) นี่คือสิ่งที่เป็นคีย์สำคัญสู่ชีวิตที่ "ชิล" ที่มีความสำคัญต่อเป้าหมายระยะยาวของเรา แต่ไม่ได้มีเส้นตายที่กดดัน เราต้องจัดสรรเวลาให้ทำเป็นประจำ เรื่อง"สำคัญแต่ไม่ด่วน" คือการ "ป้องกัน" ไม่ให้ปัญหากลายเป็นเรื่อง "สำคัญและเร่งด่วน" ในอนาคต การให้เวลากับสิ่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเครียด สร้างโอกาส และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่าง สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนที่ผมทำในชีวิตจริง 1 สุขภาพกายและสุขภาพจิต - ออกกำลังกาย โดยมีเป้าหมาย cardio สัปดาห์ละ 150 นาที - ลดอาหารกลุ่ม ultra processed food กินอาหารอย่างสมดุล ไม่ได้คลีน 100% เพราะเคยทำแล้ว ทำได้ไม่นานเพราะไม่มีความสุขในการกินเลย - คิดดี พูดดี กับตัวเองและคนอื่น ผมพบว่า การสร้างรอยยิ้ม หรือ พลังงานบวก ส่งต่อไปให้คนอื่นได้นั้น มันมีความสุขมากนะ - ฝึกจิตใจให้มั่นคง เมื่อเรานิ่ง เราจะคิดก่อนทำ โกรธยากขึ้นมาก 2 การเงิน - ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน หาวิธีที่เหมาะสมกับเรา ให้ความสำคัญกับข้อนี้ให้มาก ถ้ามาถูกทาง เราจะสบายในระยะยาว - วางแผนการเงิน ทำรายรับรายจ่าย บันทึกการออม อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทำประจำนอกจากสร้างวินัยแล้ว ยังวัดผลได้ง่ายด้วย - หารายได้เสริม หางานที่เราทำครั้งเดียว สร้างเงินได้เรื่อยๆ แน่นอนงานพวกนี้ก็ต้องใช้เวลาสะสม proof of work กว่าจะเห็นผลลัพท์ 3 พัฒนาตัวเอง - ศึกษาเรื่องต่างๆที่สนใจเพื่อพัฒนาตัวเอง - ลดการเสพคอนเท้นดราม่าที่ไม่มีประโยชน์ - เรียนรู้ทักษะหรือประสบการณ์ใหม่ๆ ตามโอกาส 4 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี - คุยและให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว เพื่อนและคนที่เรารัก สิ่งเหล่านี้ ผมก็ทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวในหลายๆด้าน ถ้าใครยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเก็ต ไม่เห็นภาพมากพอ ผมมีตัวอย่างการงานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แบบระยะสั้นมาให้ดู ผมจะมีลิส ว่า มีอะไรบ้างที่เราจะต้องทำภายในวันไหน - การจ่ายบิลต่างๆ ค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต ประกัน (การมีระบบจัดการค่าใช้จ่าย ทําให้เรามีโอกาศลืมโอน น้อยมากครับ) สิ่งที่ทำคือ - เงินในบัญชีใช้จ่ายผมจะมีอยู่ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนเป็น buffer เสมอ เผื่อฉุกเฉินได้จ่ายบิลทันที - บิลที่ตัดบัญชีอัตโนมัติได้ผมเลือกทำเลยเพราะลดการลืมจ่ายไปได้ - ส่วนอะไรที่ต้องโอนมือ ผมจะเลือกตั้งเวลาโอนก่อนเช่น ค่าเช่าบ้านจ่ายไม่เกินทุกวันที่ 5 ผมก็จะจัดการโอนล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนก่อน เพื่อลดการลืมโอน หรือ แอฟมีปัญหาในช่วงต้นเดือน - ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ต้องจ่ายรายปี เช่น ต้องจ่ายปีละ 12000 บาท ผมก็จะใช้ระบบโอนอัตโนมัติเดือนละ 1000 บาท เข้าไปในบัญชีแยก พอครบกำหนด ผมก็จะตั้งโอนล่วงหน้าหรือโอนมืออีกที - บิลอื่นๆเช่น ภาษี หรืออะไรที่จ่ายครั้งเดียว ผมจะจ่ายทันที เมื่อมีบิล หรือ อีเมลล์แจ้งมา ป้องกันการลืมจ่าย - อะไรที่ทำเสร็จได้ภายใน 5 นาที เราทำเลย จะได้ไม่ลืม สิ่งที่ไม่ต้องรีบทำอื่นๆ - ตัวอย่างอีก 1 สัปดาห์ผมต้องไป ทำธุระที่ห้างหรือพื้นที่ใกล้เคียง ผมก็จะลิสก่อนว่า มีอะไรที่ทำที่ห้างนั้นได้บ้าง เราก็จัดลำดับความสำคัญ และ เอาไปจัดการได้ - ยกเลิกบัตรเดบิทที่ไม่ได้ใช้มานาน เปลี่ยนหน้าสมุดบช - ไปล้างรถ - ไปตัดผม - ถ่ายเอกสาร - ซื้อของที่ขาด เล็กๆน้อยๆ เพราะส่วนใหญ่ถ้าซื้อเยอะ ผมซื้อออนไลน์หมดแล้ว - ไปกินข้าวร้านที่เราชอบ แล้วจัดลำดับความสำคัญเช่น อะไรสำคัญสุด รอนาน ทำก่อน เช่น กดบัตรคิวแบงค์ ล้างรถ คิวตัดผม อะไรชิลๆได้ ก็ค่อยทำทีหลัง จะเห็นได้ว่าการจัดลำดับความสำคัญ เราทำได้กับทุกเรื่องเลย เพื่อใช้เวลาเราให้คุ้มค่าขึ้นอีก 3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Urgent & Not Important) เป็นงานที่ต้องทำทันที แต่ผลกระทบต่อเป้าหมายหลักของเราไม่สูงนัก มักจะเป็นงานที่ผู้อื่นโยนมาให้ หรือเป็นสิ่งรบกวน เช่น การตอบอีเมลที่ไม่สำคัญ โทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น การประชุมที่ไม่มีสาระ การจัดการธุระเล็กน้อย ถ้าเป็นสิ่งง่ายๆเร็วๆก็ทำให้เสร็จ หรือ ถ้ายากก็แบ่งงานเป็นส่วนๆหรือให้คนอื่นช่วยๆถ้าทำได้ รีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญของเรา 4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Not Urgent & Not Important) คือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลกระทบ และไม่จำเป็นต้องทำ เช่น การไถโซเชียลมีเดียอย่างไร้จุดหมาย เสพคอนเท้นไม่สร้างสรรค์ สร้างพลังงานลบ หรือ การทะเลาะกับคนอื่นทั้งโลกจริง โลกออนไลน์ ลดให้น้อยที่สุด งานกลุ่มนี้คือตัวฉกเวลาและพลังงานของคุณไปอย่างสิ้นเปลือง สรุป 1. จัดการ สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ไม่ว่าเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ในชีวิตให้เป็น ลดความเสี่ยงในการปัญหาในระยะยาว คุณภาพชีวิตคุณจะดีขึ้น 2.ฝึกจัดการชีวิตอย่างมีระบบ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ดี เราก็จะชิลมากครับ บางคนอาจจะคิดว่าเครียดเกิน แต่ลองคิดดูว่า อยากจะเครียดแล้วชิล หรือ ชิลแล้วเครียดสะสมไม่จบกันแน่ #siamstr #พัฒนาตัวเอง #จัดการชีวิต #จัดการเงิน #บริหารเงิน
กำลังใจที่มาจากตัวเราเอง สำคัญที่สุดในโลก สังคมตอนนี้ มีแต่ความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระดับชาติ ระดับโลก สภาพสังคมและเศรษฐกิจก็แย่มากๆ ความแย่ระดับนี้ หลายๆคนคอนเฟิร์มว่า แย่กว่าโควิดอีก สังคมไทยในตอนนี้ผมว่า ทุกคนมีความเครียด และความสุขน้อยลง ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก ทำให้คำว่า กำลังใจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการและใฝ่หา เพื่อมาเติมพลังชีวิตในการเดินหน้าในวันที่ยากขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ ดิสเคลมเมอร์ก่อนว่า สิ่งที่เขียนเป็นความคิดเห็นของผมเท่านั้นนะครับ ทำไมผมถึงบอกว่ากำลังใจจากตัวเราเองนั้นสำคัญที่สุดในโลก มันมาจากความรู้สึก และ สิ่งที่ผมพบเจอมาเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ทุก ไม่สุขอยู่นาน จนไปเจอจดเปลี่ยนชีวิต ที่ทำให้เรา รู้สึกไม่มั่นคงเลย ทั้งความรู้สึก สถานะการเงิน ความสัมพัน โดยเฉพาะความไม่มั่นคงทางการเงิน ผมน่าจะรู้สึกมา 2-3 ปี หลังโควิด ความรู้สึกนี้มันติดอยู่ในใจ ที่เรายังหาทางแก้ไม่ได้ ตัวผมเองก็เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน และ ครอบครัวฟัง สิ่งที่เขาทำคือก็ การให้กำลังใจ ซึ่งกำลังใจจากคนรอบตัวแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีมากๆนะครับ ไม่ใช่ว่ามันเป็นสิ่งไม่มีค่า มันมีค่าที่สุดและทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ แม่บอกตลอดว่า ทุกปัญหามีทางออกนะ เพื่อนผมบอกตลอดว่า ปัญหามันเยอะ มึงเครียดได้ แต่มึงต้องแบ่งปัญหาแล้วแก้ทีละขั้นไปจนหมด ผมก็จำและเอามาใช้ตลอด แต่ยังไงก็ตามในใจลึกๆผมมันก็ รู้สึกว่า เรายังไม่มันคง อยู่ดี คิดว่าเราไม่เก่งพอที่จะหาเงินมาให้ได้มากพอ เพื่อนที่เขาเก่งพอ เขาสบายขึ้นเรือยๆ แต่เราอยู่ที่เดิม เราทำทุกอย่าง เราขยัน เราประหยัด แต่เราก็ยังลำบาก จนวันที่ผม ได้เข้ามาศึกษาบิทคอย และ ได้รับคำตอบแล้ว่า ความรู้สึกที่ผมเจอเรื่องความไม่มั่นคง ไม่ใช่แค่เราหาเงินไม่ได้มากพอ แต่ส่วนสำคัญคือ เงินที่เรามีมันเสื่อมค่า อำนาจการจับจ่ายเรามันลดลงอยู่ตลอด โดยการพิมเงินและเงินเฟ้อ สิ่งนี้มีคนพยายามไม่บอกให้คนทั่วไปรู้ ทำให้หลายๆคนรวมถึงผม ยังคงติดอยู่ใน วงเวียนหนูถีบจักร ที่จะเหนื่อยๆต่อไปเรื่อยๆ และจะหนักมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการพิมเงินมันมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาเรื่องเงินเสื่อมค่ามันโยงกลับไปได้หลายๆอย่างในชีวิตเอาเป็นว่าตั้งแต่เกิดจนตาย เราเหมือนถูกควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว พอเข้าใจคำตอบ และเห็นหนทางในการแก้ไข เรื่องความไม่มั่นคงทางการเงิน ผมเหมือนปลดล็อคตัวเองเลยครับ ผมเริ่มให้กำลังใจตัวเอง พูดกับตัวเองทุกวัน ผมเริ่มศึกษาบิทคอยมากขึ้น ผมทยอยแปลงสินทรัพย์ที่มีมาเป็นบิทคอย ผมมีเป้าหมายในการออมบิทคอย และ เป้าหมายเกษียณด้วยบิทคอย ผมเริ่มดูคอนเท้นพัฒนาตัวเอง ทั้งความคิด การพูดจาดีกับตัวเอง และผู้อื่น ออกกำลังกาย ทุกเป้าหมายมีการบันทึกและติดตามผล proof of work ในท้ายที่สุด กำลังใจจากตัวเอง มันบอกผมว่า ปัญหาในอดีตของผมกำลังถูกแก้ไข ผมกำลังเดินทางมาถูกทางแล้ว ที่เหลือ แค่ทำตามระบบ ชีวิตเราจะดีขึ้นในระยะยาว จัดการสิ่งที่เราทำได้ไปหมดแล้ว โดยไม่สนใจอดีต เราจะมองไปข้างหน้าเท่านั้น กำลังใจที่ผมได้จากตัวเอง ทำให้ผมมีจิตใจที่มั่นคง จิตใจที่สงบและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรบกวนชั่วคราว ในความจริง ตอนนี้ผมได้เงินน้อยลง คุณภาพชีวิตแย่กว่าตอนที่เครียดอีก แต่ผมไม่มีความกังวลเรื่องความไม่มั่นคงแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว จากกำลังใจที่ผมให้ตัวเอง ซึ่งกำลังใจนี้เกิดจาก บิทคอยที่เป็นคำตอบของผม มันเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจผมไปแล้ว ใครจะคิดว่าผมกวา ผมเพ้อฝัน ก็คิดได้แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ #btc #bitcoin #siamstr #nostr
อีก 10 ปีเกษียณมี 1 BTC พอไหม? คำนวณเคสจริงให้ดู - Sats and Sound มีคลิปและบทความเลยครับ อีก 10 ปีเกษียณมี 1 BTC พอไหม? บิทคอยกับการเกษียณเป็นหนึ่งในหัวข้อยอดฮิตที่มีผู้คนสนใจ คำถามที่สะท้อนความคาดหวังและความกังวลของนักลงทุนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี คำถามนี้ผมเอามาจากกลุ่ม Bitcoin Thai Community และได้เอาคำตอบที่น่าสนใจมา มาวิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคัญ เพื่อให้ทุกคนได้ฉุกคิดและเป็นหนึ่งในไอเดียการวางแผนอนาคตทางการเงินของตัวเอง ภาพรวมคำตอบ คือไม่มีคำตอบตายตัว และมีหลากหลายมุมมอง สรุปคือเน้นที่ "จะเกษียณได้มั้ยอยู่ที่ตัวคุณ" มันก็ตอบยากนะว่า "พอ" หรือ "ไม่พอ" ถึงจะมีข้อมูลให้มา แต่แต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน - บางคนมองโลกในแง่ดีว่าอีก 10 ปี Bitcoin น่าจะราคาสูงพอ น่าจะทัน - บางคนก็มองว่าเกษียณได้ แต่ลำบากหน่อย อย่างน้อยวันนี้ต้องมีสัก 5 BTC - แต่บางคนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินรอบด้าน และการไม่ยึดติดกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป เก็บในหลายๆอย่างรวมกันไป เพื่อความคล่องตัว ประเด็นหลักที่ จะตอบได้ว่าเกษียณได้มั้ยมี 3 ข้อคือ 1. เรื่องปัจเจกบุคคล การใช้เงินหลังเกษียณ ไลฟ์สไตล์ 2. ศักยภาพของ Bitcoin ในอนาคต ราคาจะโตไปเท่าไหร่ 3. วิธีการใช้ Bitcoin ในการเกษียณ 1. เรื่องปัจเจกบุคคล การใช้เงินหลังเกษียณ ไลฟ์สไตล์ - Lifestyle และค่าใช้จ่าย: คุณต้องการใช้เงินเท่าไหร่ต่อเดือนหลังเกษียณ? ไลฟ์สไตล์เรียบง่าย หรือฟุ้งเฟ้อ? อยู่จังหวัดไหน บางคน 10ล้านพอ บางคน 50ก็ไม่พอ - อายุขัยที่คาดการณ์: อย่าลืมว่าคนยุคนี้อายุยืนขึ้น การวางแผนแค่ 10 ปีอาจไม่พอ ต้องเผื่อถึง 85 ปีหรือมากกว่านั้น อันนี้จริงมากเพราะคนอายุยืนขึ้นจากการพัฒนาการทางการแพทย์และดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ความน่ากลัวกว่าคือเงินหมดก่อนตาย - Cashflow : BTC มันดูมั่นคงในระยะยาว แต่มันไม่มียีล คุณต้องมีแผนการสร้างกระแสเงินสด (Cashflow) ในรูปเงิน Fiat (เงินกระดาษ) เพราะปัจจุบัน BTC ยังไม่ได้ใช้จ่ายสะดวกขนาดนั้น 2. ศักยภาพของ Bitcoin ในอนาคต หลายคนมองโลกในแง่ดีต่อราคา Bitcoin ที่จะพุ่งสูงขึ้น - เป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ : BTC ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์แห่งการออมและต้านทานเงินเฟ้อที่ดีกว่าทองคำหรือหุ้นในปัจจุบัน ออมในบิทคอยน่าจะเกษียณได้ง่ายที่สุด - บางคนเชื่อว่าในอีก 8 ปี ราคา BTC อาจไปถึง 10 ล้านดอลลาร์ หรือ 33 ล้านบาทไทย - จากสถิติ 10 กว่าปีที่ผ่านมาที่ขึ้นมา 500 กว่าเท่า (เฉลี่ยปีละ 47 เท่า) หากหลังจากนี้โตเฉลี่ยแค่ปีละ 4-5 เท่า ก็ยังดีกว่าสินทรัพย์อื่นที่ลดค่าจากเงินเฟ้อ - บางคนมองว่า 1 BTC เทียบเท่ากับการทำงาน 30 ปี ซึ่งสะท้อนมูลค่าที่สูง 3. การใช้ Bitcoin ในการเกษียณ คำนวณจริงให้ดู เครื่องมือที่ผมใช้คือ Bitcoin retirement calculator ค้นหาทำตามได้เองเลย - คำนวณก่อนว่าตอนเกษียณเราจะต้องใช้เงินต่อปีเท่าไหร่ และ มีเงินทั้งหมดเท่าไหร่ ใครจะคำนวณเป็นเฟียต หรือ คำนวณเป็นบิทคอยก็ได้ - ผมใส่ค่าของพี่ที่ถามเลย อายุ 50 ปี จะใช้ชีวิตไปถึง 86 ปี ตอนนี้มีอยู่ 1 บิทคอย จะไม่ซื้อบิทคอยเพิ่มอีกหลังเกษียณ อัตราเติบโตทบต้นของบิทคอยคือ 30 เปอร์เซน เงินเฟ้อโตปีละ 8 เปอร์เซน ต่อปีต้องการใช้เงิน 50,000เหรียญ เท่ากับประมาณ 1.6 ล้านบาทไทย เดือนนึง 130,000 บาทไทย ก็น่าจะโอเค - พอคำนวณออกมา ในเรทนี้ เขาเกษียณได้ทันนะ 1 BTC เพียงพอ ตอนอายุ 56 - นี้เป็นเพียงหนึ่งเครื่องมือใช้คาดการณ์อนาคตเป็นไอเดียนะ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ - สมมติรู้แล้วว่าพอ แล้วยังไงต่อ เราก็แค่ทยอยขายบิทคอย รายปีตามแผนครับ เอาเงินมาใช้จ่าย - เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของบิทคอยจะมากขึ้นเท่ากับว่า เราจะใช้บิทคอยหรือsat น้อยลงทุกๆปีในการใช้จ่ายเท่าเดิม - ถ้าคำนวณดีๆ ตอนเราเสียชีวิตก็จะเหลือบิทคอยน้อยมากๆ ประมาณนี้เลยครับ ข้อดีคือง่าย จัดการได้เอง ไม่เสี่ยง ข้อเสียคือบิทคอยเราจะลดลงไปเรื่อยๆเพราะต้องขายออก และในช่วงบิทคอยราคาตกก็ต้องระวังให้มากด้วย - นอกจากนั้นยังมีอีกวิธี เพราะบางคนไม่ได้อยากขายบิทคอยออกไป ต้องการเก็บไว้ให้ลูกหลาน ดังนั้น วิธีที่จะได้แคชโฟวก็คือ การใช้ BTC เป็นหลักค้ำประกันเพื่อกู้เงิน Fiat มาใช้จ่าย โดยพยายามรักษา LTV (Loan-to-Value) ไม่ให้สูงเกินไป - ไอเดียคร่าวๆคือการเอาบิทคอยเช่น 10%-20%ของที่มี ไปปล่อยกู้ เอาเงินเฟียตนั้นออกมาใช้จ่าย และจ่ายดอกเบี้ยรายปี แล้วกู้วนไปเรื่อยๆทุกปี ข้อดีของวิธีนี้คือ ถ้าเราจ่ายดอกเบี้ยและบริหารเงินได้ดี เราจะไม่ต้องขายบิทคอยเลย สามารถเก็บไว้เป็นมรดกได้ ข้อเสีย ซับซ้อนและเสี่ยงกว่าวิธีแรกเราต้องมีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงหาแหล่งค้ำประกันบิทคอยที่น่าเชื่อถือในปัจจุบันยังมีน้อยมาก ไม่งั้นเอาไปฝากเขา บริษัทเจ๊งบิทคอยหาย ซวยอีก ถ้าให้ผมสรุปเคสพี่คนนี้ สามารถเกษียณได้ด้วย 1 BTC ครับ แต่ด้วยระยะเวลาแค่ 10 ปี ถ้าพี่เขาไม่มีกระแสเงินสดจากทางอื่นเลย การขายบิทคอยรายปีมาใช้ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องราคาเหมือนกัน อาจจะเกษียณแบบไม่ได้สบายมากนัก และถ้าจะใช้วิธีค้ำประกันบิทคอยเอาเฟียตมาใช้ ถ้าไม่มีความรู้ ไม่แนะนำให้ทำครับเสี่ยงกว่าวิธีแรกมากๆ จ่ายดอกไม่หมด หมุนเงินไม่ทัน เขายืดบิทคอยไปนะ ข้อควรระวัง - Bitcoin เป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกเท่านั้น : ควรมีแผนสำรอง (แผน 2, 3, 4) เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่า Bitcoin จะรักษามูลค่าไว้ได้เสมอไป - ย้ำว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตได้ 100% - ควรใช้ความคิดของตัวเอง หาข้อมูล และพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้หากเกิดข้อผิดพลาด บทสรุป: กุญแจสำคัญคือ "แผนของคุณ" คำตอบ ผม ชี้ให้เห็นว่า 1 BTC เคสนี้ อาจเพียงพอต่อการเกษียณได้ หากมี "แผนการที่ชัดเจน" และ "ความเข้าใจที่ถ่องแท้" ไม่ใช่แค่การคาดหวังราคาที่พุ่งสูงลิ่วเพียงอย่างเดียว มันต้องมีการจัดการหลังเกษียณที่ถูกต้องด้วย คนที่ดูสามารถใช้ข้อมูลในคลิป ไปหาคำตอบของตัวเองได้ ว่า สำหรับคุณ 1 BTC พอสำหรับเกษียณมั้ย? #siamstr #btc #bitcoin
image เปิดผลสำรวจของ SET พบคนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บ และอีก 60% มีเงินเก็บไม่ถึง 200,000 บาท เท่ากับมีคน 10% เท่านั้น ที่จะมีกินตอนแก่.. ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมจะพยายามบอกว่า ก็คนพวกนั้นใช้จ่ายเงินเกินตัว และไม่มีความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง ก่อภาระหนี้สินเอง วนเป็นลูปนรก ก็จะลืมตาอ้าปากได้ยากแบบนี้แหละ ถ้าหากเราขยัน ประหยัด ยังไงก็มีชีวิตที่ดีในอนาคตได้ ประสบการณ์จริง 10 ปีผ่านไป ผมที่คิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ตั้งคำถามว่า ทำไมชีวิตเราไม่เห็นดีขึ้นเหมือนที่ฝันไว้เลย จนได้ลงหลุมกระต่าย พอคำถามเก่าๆแบบนี้กลับมา มุมมอง ความคิดและคำตอบของผมเปลี่ยนแปลงไป - บางคนมีภาระหนี้บังคับโดยตัวเองไม่ได้ก่อด้วยซ้ำ - บางคนหมดหนทางจากการผิดพลาดในอดีต - บางคนก็ใช้เงินเกินตัวจริงๆ ไม่มีวินัย ไม่มีความรู้จริงๆ และที่สำคัญที่คนที่กล่าวมา ไม่รู้ถึง 5% มั้ยที่รู้ว่า การพิมพ์เงินมหาศาลโดยเฉพาะหลังโควิด ทำให้ของทุกอย่างแพงขึ้นมาก การใช้จ่ายแบบเดิมจะต้องใช้เงินมากขึ้น นี่ยังไม่นับถึงคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เดอะแบกของบ้าน ที่ดูแลรับผิดชอบครอบครัวหลายคน หลายๆคนต่างก้มหน้าก้มตา ทำงานหนักต่อไปเพื่อแลกกับเงินที่เสื่อมค่าลงทุกวัน ความเหนื่อย ความเครียด ภาระที่รอไม่ได้ มันอาจจะทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะศึกษาเรื่องการเงิน ที่จะทำให้ชีวิตเขาและครอบครัวดีขึ้นด้วยซ้ำ โลกแห่งการพิมเงินมันโหดร้าย ถ้าใครรู้ช้า คนนั้นจะยิ่งลำบาก เพราะกลุ่มคนมีอำนาจเขาไม่อยากให้คนทั่วไปรู้ เพราะมันจะทำให้เขาควบคุมการเงินยากขึ้น ดูหนี้สหรัฐที่เพิ่มทุกวินาที ทำให้ผมคิดว่าพวกเขาคงหยุดพิมเงินไม่ได้ และจะพิมจำนวนมากขึ้นอีก บิคคอยมาแก้ปัญหา เงินเฟ้อที่เรื้อรัง และ ปัญหาชองเงินในอดีตที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลอีกด้วย บิทคอย ที่จะทำให้เงินของคุณไม่เสื่อมค่าลง ไม่ต้องเหนื่อยๆกับคุณภาพชีวิตที่คอยกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และ อำนาจการใช้จ่ายลดลงไปเรื่อยๆ เวลามีค่า ศึกษาบิทคอย #siamstr #btc #bitcoin
image การจดบันทึก Proof of Work ของตัวเอง สิ่งที่ไม่สำคัญแต่ทำแล้วใจฟู Proof of Work ผมได้ยินครั้งแรกก็จากการศึกษาบิทคอยนี่แหละ แต่ Proof of Work ในมุมมองของผมในวันนี้ หมายถึง ผลของการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างช้ำๆ และนานพอ จนมีความชำนาญ ส่งผลทำให้เราทำมันได้ดี เร็วขึ้นกว่าเดิม และพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต หลายๆคนอาจจะรู้สึกเหมือนกันว่า ทำไมฉันไม่พัฒนาเลย ทำไมฉันย่ำอยู่กับที่ คนอื่นเขาไปไหนต่อไหนแล้ว สิ่งนี้ผมก็รู้สึกและพยายามพัฒนาตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเราไม่ไปไหนอยู่ดี บางทีก็สู้ บางทีก็ท้อ จนวันนึงผมมานั่งดูสมุดบันทึก Proof of Work ของตัวเอง ปีที่แล้วเราเคยเขียนเป้าหมาย แผนการ และผลอะไรไว้บ้างหรือการหาเงิน การบริหารเงิน เป้าหมายทางการเงิน สำเร็จหรือไม่สำเร็จยังไง ผมก็รู้สึกปลดล็อคว่า เออ จริงๆแล้ว ตัวเราเองในวันนี้ก็เป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าปีที่แล้วนี่นา ถ้าหากใครยังรู้สึกว่าตัวเองตามคนอื่นไม่ทัน คุณภาพชีวิตแย่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เราต้องศึกษาหาวิธีในการพัฒนาตัวเองในเรื่องนั้นๆ แล้ว "ทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ" ยกตัวอย่างเช่น - การหารายได้เสริม เช่น ทำคลิป affiliate ลงคลิปสม่ำเสมอ - การออมเงินในบิทคอยอย่างน้อย 1k บาท ทุกเดือน ไม่ขายเด็ดขาด - มีเป้าหมายออมบิทคอยเพื่อเกษียณ - ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และ บันทึกการออม ทุกเดือน - ลดการกิน Ultra-process food - การออกกำลังกาย ตั้งเป้า cardio ให้ได้วีคละ 150 นาที - ใจดี พูดดี และไม่คิดลบกับตัวเอง และ ผู้อื่น (สุขภาพจิตสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย และ เงิน) - ศึกษาเพิ่มเติมและส่งต่อความรู้เกี่ยวกับการเงิน บิทคอย เงินเฟ้อ ให้กับคนรอบตัวที่สนใจ (บิทคอยศึกษาเรื่องเดียวคุ้มนะ เพราะมันจะเชื่อมโยงถึงปัญหาต่างๆในชีวิตเราในหลายๆมิติได้อีก) ลองค่อยๆพัฒนา ทำในสิ่งเล็กๆแค่วันละนิด พร้อมกับการจดบันทึกไปด้วย พอกลับมาดู เราสามารถเทียบได้ว่า ตัวเราวันนี้กับวันนั้นดีขึ้นอย่างไร พอทำไปสักพักสิ่งที่เคยยากในวันนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ง่ายในวันนี้ นี่แหละคือผลของ Proof of Work ที่เราตั้งใจทำมาอย่างสม่ำเสมอ พอมันวัดผมได้ ทำให้เรามีกำลังใจในการพัฒนา หรือ ทำต่อไป เมื่อก่อนผมชอบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่ตอนนี้ถึงบางครั้งจะยังคิดแบบนั้น แต่ผมพยายามเปลี่ยนวิธีคิดเป็นเทียบกับตัวเราเองในอดีตแทน ถ้ามันดีขึ้น ถือว่า สำเร็จ แล้วอาจจะค่อยขยับเป้า challenge ตัวเองไปด้วย สรุป 1 อยากพัฒนาอะไร ก็ต้องศึกษาและต้องเลือกทางเดินให้ถูกทาง 2 จากนั้นตั้งเป้าหมายให้วัดผลได้ และทำมันซ้ำๆจนชำนาญ (ข้อนี้สำคัญที่สุด) 3 บันทึก Proof of Work ที่เกิดขึ้น จะทำให้เราเทียบได้ง่ายขึ้นว่าเราพัฒนาขึ้นจริงมั้ย (ทำแล้วใจฟู) 4 ไม่ต้องเทียบกับคนอื่น เทียบกับตัวเราเองก็พอ #siamstr #btc #bitcoin