image ถ้าพรุ่งนี้เงินทุกบาทที่คุณถืออยู่ สามารถถูกระงับ ถูกล็อค หรือลบ หรือถูกโปรแกรม บังคับให้คุณซื้ออะไรได้ ซื้ออะไรไม่ได้ ในคลิกเดียว คุณคิดว่าคุณยังมีเสรีภาพอยู่หรือไม่ ? บางท่านเห็นชื่อบทความผมแล้วคงคิดว่าผมบ้า มึงไปโดนตัวใหนมาวะ ? ใครมันจะไปทำอย่างนั้นวะ ? ระแวงไปเอง งี้เง้า ไร้สาระ แล้วแต่ท่านจะคิดครับ เพราะมันคือเสรีภาพของท่าน แต่ผมขอยืนยันไว้ว่า ภายใน 5 ปี อย่างเร็ว 10 เป็นอย่างช้า ประเทศไทยจะได้ใช้เงินรูปแบบนั้น และเมื่อถึงเวลานั้นเสรีภาพที่ท่านมีอยู่จะสูญสลาย เหมือนกับผงฝุ่นที่โดนลมพัด เงินชนิดใหม่นี้ พวกเขาจะให้ชื่อมันว่า “Thai Bath Digital” แต่ผมขอเรียกมันว่า “ว่าที่เงินอุบาทว์ในอนาคต” ผมขอให้สิ่งที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่เกิดขึ้น ผมอยากจะภาวนาว่าจริง ๆ แล้วผมโง่ที่คาดการณ์ว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้น แต่ดูจากแนวโน้มในปัจจุบันแล้วมีความเป็นไปได้ที่สิ่งนี้จะเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น เงินก็จะแปลงร่างเป็น “แส้” และ “ตรวน” ในสิ่งอันเดียวกัน มันทำได้ทั้ง ตรึงท่านไว้ให้อยู่กับที่ ที่ใดที่หนึ่ง และขณะเดียวกันมันก็เฆี่ยนหลังของท่าน อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าท่านจะหลับ หรือตื่น และเมื่อไหร่ท่านไม่ทำตัวเป็นเด็กที่น่ารักของ “รัฐ” ท่านก็จะยิ่งโดนลงโทษหนักขึ้น เด็กดื้อต้องโดนลงโทษ พวกเขา (รัฐ) จะอ้างว่าพวกเขาต้องสร้าง “เงินอุบาทว์” ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อไว้สำหรับควบคุมเด็กดื้อ (พวกรับเปิดบัญชีม้า อาชญากรทั้งหลาย พวกscammer พวกคนไม่ยอมจ่ายภาษี) หรือลงโทษพวกเด็กดื้อพวกนี้ พวกเขาจะอ้างว่าเพื่อที่จะป้องกันความเสียหาย เหตุผลนี้มันฟังดูสวยหรู ผมขอยอมรับว่าเหตุผลข้อนี้เป็นเหตุผลที่ดี ที่ทำให้ “รัฐ” สมควรที่จะสร้างเงินประเภทนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นบทความจะมาถึงย่อหน้านี้ ผมด่า ผมต่อว่า สาปส่ง เจ้า “CBDC” อยู่ฝ่ายเดียวก็จะดูไม่เป็นธรรมและดูมีอคติ ผมขอเล่าถึงข้อดีของมันก่อน และจะยกตัวอย่างข้อเสียให้พวกท่านฟัง เพื่อพวกท่านจะได้ชั่งน้ำหนักได้ด้วยตัวพวกท่านเอง ว่าเจ้า “CBDC” มันดีหรือร้าย ข้อดี 1.ความโปร่งใส เงินทุกบาททุกสตางค์สามารถติดตามได้ ลดการฟอกเงิน หลีกเลี่ยงภาษี 2.ลดต้นทุนระบบธนาคาร โอนเงินรวดเร็ว ไม่มีคนกลาง 3.ประชาชนเข้าถึงการเงินอย่างทั่วถึง คนไม่มีบัญชีธนาคารก็มี เงินดิจิม่อน เฮ้ย ! เงินดิจิทัล ได้ 4.ควบคุมเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูดเงิน-ปล่อยเงิน ได้แบบ realtime ทั้งหมดนี้ สวยหรูในทางทฤษฎี ย้ำ ทางทฤษฎีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าอยู่ในมือ “รัฐ” ที่ยึดหลักนิติธรรม และเคารพสิทธิเสรีภาพ แต่ความจริงมันน่าเศร้า โลกความเป็นจริงกับโลกทางทฤษฎีมักจะต่างกันอยู่เสมอ ข้อเสีย 1.ควบคุมพฤติกรรมผ่านเงิน รัฐสามารถกำหนด เงินของคุณ ให้ใช้ได้เฉพาะบางอย่าง เช่นใช้ได้เฉพาะซื้ออาหาร หรือกำหนด ว่าช่วงเวลาตั้งแต่ 12.00-17.00 ห้ามซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามซื้อหนังสือที่มีหลักคิดทางการเมืองเป็นภัยกับรัฐนั้น เป็นต้น 2.ตั้งวันหมดอายุของเงิน เช่นเงินที่แจกอาจมีเวลาหมดอายุ ต้องใช้ภายใน 30 วันมิฉะนั้นจะถูกลบทิ้ง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ บังคับข่มขืนใจให้การะทำการซื้ออะไร หรือไม่ซื้ออะไร ! (WTF) 3.รัฐรู้หมดว่าเงินของคุณอยู่ที่ใหน CBDC ทุกหน่วย (อาจจะเป็น บาท หยวน ดอลล่าร์) จะมีข้อมูลว่า ใครครอบครอง ซื้ออะไร ที่ใหน เมื่อไหร่ ซื้อเท่าไหร่ ไม่มีความลับ ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย จินตนาการสมมุติคุณเป็นผู้นำฝ่ายค้านของรัฐที่เป็นเผด็จการและรัฐนั้นใช้ CBDC เป็นระบบการชำระเงินที่แพร่หลายภายในประเทศ (WTF) 4.รัฐสามารถ ลบเงินของใครทิ้งก็ได้ ถ้ารัฐบอกว่าคุณ ทำตัวไม่น่ารักต้องจับไปตีก้น เงินของคุณ ก็จะอันตรธานหายไปในพริบตาเพียง 1 click ต่อให้เงินนั้นจะเป็นเงินที่คุณได้รับมาจาก โคตรพ่อ โคตรแม่ จากกองมรดกก็ตาม 5.ใช้ร่วมกับ AI และ Big Data เพื่อจัดการมวลชน หากดัน “รัฐ” มีความคิดสร้างสรรค์ ผูกข้อมูล CBDC กับระบบ AI วิเคราะห์ พฤติกรรมของประชากรทุกคน คุณอาจจะถูกจำแนกว่าเป็น “ภัยทางความคิด” โดยที่กระผมยังไม่ได้คิดHearอะไรเลย โดยที่ยังไม่ทำอะไรเลยผิดเลย คล้ายกับในหนัง เรื่อง Minority Report เท่ากับว่าคุณจะถูกจับก่อนกระทำความผิด สรุป ถ้า รัฐธรรมนูญ แข็งแกร่ง ผลลัพธ์ CBDC อาจเป็นเครื่องมือที่ดี แต่ถ้า “รัฐ” ไม่โปร่งใส CBDC จะกลายเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมประชาชนที่ดีที่สุด เท่าที่มนุษยชาติเคยคิดค้นขึ้นมา ดีกว่า ศาสนา ดีกว่า กฎหมาย ดีกว่า ศีลธรรม และถ้าคุณฝืนหัวจิตหัวใจอ่านบทความนี้จนจบ โดยที่คุณไม่ใช่ bitcoiner คุณจะอุทานว่า “นี่กูอ่านเหี้ยไรวะเนี่ย !” และถ้าคุณอยากรู้ว่าผมไปโดนตัวใหนมา ผมก็จะบอกว่า ผมไปโดน คนใส่แว่นคนหนึ่งที่เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย พร้อมกับพรรคพวกของเขา กับ ข้าราชการท่านหนึ่ง ที่ดองเบียร์เป็นงานอดิเรก พ่นพิษใส่ 5555555LOL รักเธอนะ BOT อย่าโกรธเค้านะ เค้าพูดแรงไปหน่อย. เธออย่าอคติกับ BTC ได้มั้ยอ่ะ? เดี๋ยวนี้มีทั้ง Lightning network ใหน จะ leyer 3 cashu เธอจะสู้ไหวเหรอ ? ฉันลืมไปเธอชอบที่จะควบคุมอยู่แล้ว เธอคงไม่ยอมปล่อยให้ใครๆ มีอำนาจเหนือเธอหรอก แต่ที่กับ FED แล้วยอมเขาจังเลยนะ #BTC #bitcoin #siamstr #SIAMSTR #CBDC #rightshift #BOT #BankOfThailand #อุ๋ยลืมไปBOTเขาไม่รู้จักnostr #เงินอุบาทว์
คนที่แค่มองตาก็รู้ใจ ในชีวิตคุณนึกถึงแววตาที่ผมกล่าวมาได้กี่คู่ ? ปัจจุบันคุณยังได้ติดต่อเขาอีกมั้ย ? ติดต่อครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ? สำหรับผมแล้วความแปลกประหลาดของผมคือ ผู้ที่เป็นเจ้าของแววตาที่ผมมองแล้วรู้ใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ ภรรยา แม่ พ่อ พี่ น้อง น้า ป้า บุคคลเหล่านี้เขามีความสำคัญที่ไม่ต่างกับเจ้าของดวงตาคู่ที่มองแล้วรู้ใจซึ่งกันและกัน แต่เรามักจะไม่บอกทุกเรื่องให้บุคคลเหล่านี้ เรื่อง ความมืดมนในจิตใจของเรา เรื่องความทุกข์ ของเรา เราไม่อยากให้พวกเขารู้ว่า เราเลวได้แค่ใหน ? ชั่วได้ขนาดใหน ? และเราตรอมตรมอยู่กับความทุกข์ขนาดใหน ? สำหรับผมแล้วคนที่ผมแล้วคนที่ผม มองตาแล้วรู้ใจซึ่งกันและกันว่าต่างฝ่ายต่างคิดอะไร คือเพื่อน เพื่อนที่เห็นผมล้มลุกคลุกคลาน กันมาตลอด เพื่อนที่คบกับผมมาตั้งแต่วันที่ผมยังเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีศักยภาพ หรือความสำคัญอะไร เพื่อนผมเหล่านี้มักจะติดต่อหาตัวอยาก นัดพบเจอยาก โทรไปก็รับคุยกันคำ สองคำก็วางสาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เมื่อไหร่เพื่อนผมเหล่านี้รับรู้ว่าผมมีปัญหาพวกเขามักจะติดต่อมาเอง บางครั้งเราก็คิดถึงแววตาเหล่านั้น แววตาที่เราพูดอะไรที่ทุกข์ใจออกไป แล้วรับฟัง สบตา มีสมาธิรับฟังอยู่กับสิ่งที่เราพูด และรู้คำตอบของคนฟังทันทีที่เห็นแววตาตอนนั้น เป็นอะไรที่ ฟิน อิ่มเอม ตื่นตัน ไม่ต่างกับการที่รู้ว่า คนที่เราแอบรักเขาก็รักเรา ช่วงนี้ผมคงทุกข์ใจมาก เฝ้านึกถึงแววตาเหล่านั้นอยู่ทุกคืน แต่เจ้าของแววตาเหล่านั้นต่างก็แยกย้ายกันไปเติบโต มีหน้าที่ที่รับผิดชอบ ผมอาจจะเป็นคนแปลก ประหลาด ไม่ระบายเรื่องทุกข์ใจ ให้คนในครอบครัวฟัง ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน ผมขอบังอาจใช้คำว่า "เรา" ในบทความนี้แทนตัวผมและพวกท่านทั้งหลายที่สละเวลาอ่านบทความนี้ ผมตระหนักดีว่าบางท่านก็ไม่ได้มีแนวคิดเหมือนผมที่ต้องระบายเรื่องทุกข์ใจ เรื่องที่เราทำไม่ดีไว้ให้เพื่อนสนิทฟังเท่านั้น บางท่านอาจสามารถระบายให้คนใกล้ตัวฟังได้ ซึ่งผมเองก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น #siamstr #SIAMSTR #nostr #มองตาก็รู้ใจ