พับกบ #JAKKSUNDAY #Siamstr image
ยามเย็นที่แดดเริ่มร่มลมตก บรรยากาศรอบอ่างเก็บน้ำจะเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนทยอยเดินออกจากบ้านมาใช้เวลาส่วนตัว บ้างก้าวยาวๆ อย่างกระฉับกระเฉงพร้อมขวดน้ำในมือ image บ้างวิ่งเหยาะๆ จนเหงื่อซึมเสื้อ และบ้างก็สวมรองเท้าแตะเดินทอดน่องคุยโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่พาตัวเองมาวนเวียนอยู่รอบผืนน้ำแห่งนี้ (โดยบังเอิญ) จำได้ว่าสมัยเริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ สายตาของผมมักจะพุ่งตรงไปจับจ้องอยู่ที่ปลายทางเสมอ พอมองข้ามฝั่งไปเห็นระยะทางที่ทอดยาว ก็พาลให้ใจฝ่อตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มก้าวขา รู้สึกเหมือนหนทางมันช่างไกลแสนไกล การวิ่งในตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความกดดัน เหมือนมีเสียงนาฬิกาเร่งรัดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่จะถึง... เมื่อไหร่จะจบภารกิจนี้เสียที จนวันหนึ่ง ผมลองเปลี่ยนวิธีวางสายตาดูใหม่ แทนที่จะมองไปไกลจนสุดขอบฟ้า ผมลองดึงความรู้สึกกลับมาอยู่กับลมหายใจใกล้ๆ ตัว จดจ่ออยู่กับจังหวะเท้าที่กระทบพื้น ฟังเสียงน้ำกระฉอกกระทบตั่ง มองดูดอกหญ้าข้างทาง หรือยิ้มให้เด็กน้อยที่ปั่นจักรยานสวนมา จู่ๆ โลกที่เคยกว้างใหญ่และน่าเหนื่อยหน่าย ก็ย่อส่วนลงมาเหลือเพียงแค่ระยะหนึ่งก้าวตรงหน้า ปลายทางยังคงอยู่ที่เดิม ระยะทางก็ไม่ได้สั้นลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คือความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ผืนน้ำกว้างใหญ่นี้สอนบทเรียนสุขภาพให้ผมโดยไม่ต้องมีป้ายคำคมแปะบอก มันสอนว่า หากเราโหมวิ่งเร็วเกินกำลังเพื่อหวังผลลัพธ์ทันตา รอบแรกเราอาจจะเข้าเส้นชัยได้อย่างสวยงาม แต่วันรุ่งขึ้น ร่างกายและหัวใจอาจจะประท้วงจนไม่อยากลุกออกมาอีกเลย กลับกัน หากเรารักษาจังหวะก้าวให้พอดีกับที่ร่างกายรับไหว วันพรุ่งนี้เราจะยังมีแรงเหลือพอที่จะก้าวออกจากบ้านได้ใหม่ หัวใจจะค่อยๆ จดจำว่า การดูแลตัวเองคือวิถีชีวิตปกติที่ทำได้เรื่อยๆ ไม่ใช่ภารกิจพิเศษแสนสาหัสที่ต้องใช้แรงฮึดเป็นครั้งคราว เรื่องของจิตใจก็ใช้หลักการเดียวกันครับ ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างจำเป็นต้องอาศัยกาลเวลาบ่มเพาะ บาดแผลบางเรื่องไม่อาจสมานได้สนิทเพียงชั่วข้ามคืน ทางวิ่งรอบอ่างเตือนสติผมเสมอว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ มากกว่าการเร่งรีบพาตัวเองไปให้ถึงเส้นชัย ทุกเย็นที่ได้มาเดินทอดน่องริมน้ำ ผมเหมือนได้กลับมาทบทวนกับตัวเองซ้ำๆ ว่าเราอยากจะดูแลกายและใจนี้ในระยะยาวแบบไหน คำตอบคือ... ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ หายใจ รักษาความรู้สึกดีๆ เอาไว้ ให้พรุ่งนี้เรายังมีเหตุผลที่อยากจะกลับมาหาความสุขรอบอ่างน้ำแห่งนี้ได้อีกครั้ง... ก็พอแล้วครับ "ความยั่งยืนของการดูแลสุขภาพ ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วในการเข้าเส้นชัยในวันเดียว มันวัดกันที่ว่า... พรุ่งนี้เรายังมีความสุขที่จะลุกออกมาวิ่งอีกไหม" #JakkDiary #Siamstr #Running
#Boredom บางวันผมนั่งนิ่ง ๆ อยู่หน้าจอ ปัดนิ้วเลื่อนฟีดไปเรื่อย ๆ ตาอ่านอะไรสักอย่าง แต่ใจกลับไม่ได้อยู่กับคำตรงหน้าเลย image มันคงไม่ใช่เพราะโลกขาดสีสัน ร้านกาแฟก็ยังมีเพลงเบา ๆ งานบนโต๊ะยังเด้งแจ้งเตือน บทสนทนาในห้องแชตก็ยังคงไหลไม่หยุด ทว่าในอกกลับรู้สึกว่ามันโล่งแปลก ๆ คล้ายห้องที่คนทยอยออกไปทีละคน เหลือเพียงเสียงแอร์เบา ๆ กับเก้าอี้ว่าง คำสั้น ๆ ที่โผล่ขึ้นมากลางอกคือ... เบื่อ เบื่อทั้งที่ไม่มีเรื่องร้ายอะไร เบื่อทั้งที่ชีวิตก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง ความรู้สึกแบบนี้แหละที่เรามักเผลอโยนให้โลกภายนอกรับผิดชอบ ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้นตอมักจะมาจากข้างในตัวเองเต็ม ๆ ... ผมลองเปลี่ยนมุมมองกับความเบื่อใหม่ เริ่มหันมามองมันเป็นกระดาษโพสต์อิทจากใจ ทุกครั้งที่ความเบื่อโผล่ขึ้นมา มันก็เหมือนมีใครสักคนในใจแอบเขียนโน้ตใบเล็ก ๆ แปะไว้ว่า... ตรงนี้มันไม่ได้หล่อเลี้ยงหัวใจเราแล้วนะ ตารางวันนี้เต็มตึง เหนื่อยมากก็จริง แต่ด้านในกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตเท่าไรเลย เราเลยเริ่มงอแงกับทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่... อะไร ๆ รอบตัวก็ไม่ได้ผิดรูปไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ลองมองให้ลึกลงอีกชั้น.. ความเบื่อยังสื่ออีกอย่างหนึ่ง ว่าเราคงจะแสดงบทเดิมซ้ำ ๆ นานเกินไป บทคนเก่งในที่ทำงาน บทลูกที่เข้าใจทุกคน บทเพื่อนที่ต้องตลกตลอดเวลา บทคนรักที่ห้ามเปราะบาง เมื่อรับบทเหล่านี้อย่างมืออาชีพต่อเนื่องมาหลายปี ตัวจริงด้านในก็ย่อมเริ่มเบียดตัวเองให้ไปยืนแอบอยู่มุมเวที ไปยืนดู ตัวตนเวอร์ชันที่โอเคตลอดเวลา... เล่นเต็มทุกซีน อยู่ไปอยู่มา ความเบื่อเลยผุดขึ้นกลางฉากชีวิต ซึ่งอาจไม่ใช่เพราะโลกมันน่าเบื่อนักหรอก มากกว่านั้นมันคือ ตัวจริงในใจไม่มีที่ให้หายใจ หากมองในอีกรูป ความเบื่อก็คล้ายชั้นแรกของความว่าง เราต่างก็คุ้นเคยกับชีวิตที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า หน้าจอ เสียงแจ้งเตือน งานไม่จบสักที พออยู่เฉย ๆ ไม่หยิบอะไรขึ้นมากลบ สมองก็เริ่มกระสับกระส่าย ความเบื่อพลันโผล่ขึ้นมาทัก ตรงนี้เองที่คนจำนวนมากมักทนกันไม่ค่อยไหว รีบหาอะไรยัดเข้าไปเพื่อฆ่าเวลา ทั้งที่จริง ๆ แล้ว... ถ้าเราอดทนผ่านชั้นแรกไปได้อีกสักหน่อย ข้างในก็จะเริ่มนิ่งขึ้นได้อย่างน่าประหลาด เสียงในหัวจะค่อย ๆ เบาลง ตาจะเริ่มเห็นรายละเอียดรอบตัวชัดขึ้น ความคิดบางอย่างที่เคยจมอยู่ข้างใต้ เริ่มลอยขึ้นมาให้ทบทวน ความว่างที่เคยถูกตีตราว่าน่าเบื่อ กลับกลายเป็นพื้นที่ใสให้ใจเราได้พักลงจริง ๆ ผมเลยเริ่มมองความเบื่อด้วยสายตาแบบใหม่ แทนที่จะถามว่า จะทำอะไรดีให้หายเบื่อ? เลยลองถามกลับว่า ความเบื่อกำลังเล่าอะไรให้เราฟัง? บางครั้งมันบอกว่าเรากำลังล้าเกินไป บางครั้งมันชี้ไปที่บทบาทหนึ่งที่ไม่ตรงกับตัวเองแล้ว บางครั้งมันเพียงพาเราให้กลับมาอยู่กับความว่างอีกสักพัก เพื่อจะเห็นภาพชีวิตตัวเองชัดกว่าเดิม ความเบื่อจึงไม่ใช่มีดมาฟาดเวลาให้เสียเปล่า บ่อยครั้งที่มันเหมือนกับมือเบา ๆ ที่มาคอยเขย่าไหล่ เตือนว่าเรากำลังใช้หัวใจแบบอยู่รอดมากกว่ามีชีวิต ในวันที่ความเบื่อแวะเวียนมาหา ลองวางโทรศัพท์ลงสักครู่ นั่งนิ่งฟังโพสต์อิทใบเล็ก ๆ จากข้างในให้จบประโยค เราอาจพบว่าเราไม่ได้เบื่อโลกสักเท่าไร สิ่งที่โหยหาลึก ๆ คือการได้กลับมาอยู่ใกล้ตัวจริงของเราเอง อีกเพียงไม่กี่ก้าวจากชั้นแรกของความว่างตรงนี้เท่านั้นเอง “ความเบื่อไม่เคยมาปล้นเวลา มันแค่ผ่านมาเตือนแผ่ว ๆ ว่า… ถึงเวลาที่เราจะพาใจตัวเองกลับบ้านแล้วหรือยัง” #JakkDiary #Siamstr
no rush. just growth. "ในวันที่โลกตะโกนบอกให้เราวิ่งให้เร็วที่สุด... ความกล้าหาญที่แท้จริง อาจเป็นการยืนยันเงียบๆ ว่า... ฉันจะเดินในจังหวะของฉันเอง'" image หลายปีมานี้ ผมเริ่มคุ้นชินและโอบกอดจังหวะชีวิตใหม่ของตัวเอง เป็นจังหวะที่ไม่ต้องคอยเร่งฝีเท้าเพื่อแซงหน้าใคร และหมดความรู้สึกที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้โลกยอมรับ ในสายตาคนภายนอก ผมอาจดูเหมือนคนเงียบเชียบ ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวช้าลง และใช้เวลาไตร่ตรองนานขึ้นกว่าจะเอื้อนเอ่ย เมื่อเจอแรงปะทะ ก็มักจะทำเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วนิ่งฟัง ความนิ่งที่ว่านี้ แท้จริงแล้วคือความรู้สึกที่ตื่นรู้อยู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยม ผมยังคงรับรู้ถึงความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า ความเสียใจ หรือความหวั่นไหวได้ชัดเจนเฉกเช่นคนทั่วไป ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไป คือการที่ผมหวงแหนพื้นที่ว่างก่อนที่จะปล่อยให้คำพูดหรือการกระทำหลุดออกไป ผมเลือกที่จะเว้นจังหวะ ให้หัวใจได้มีโอกาสหายใจและจัดระเบียบตัวเองก่อนเสมอ ประโยคที่ผมใช้กล่อมเกลาใจตัวเองอยู่เสมอก็คือ "ไม่ต้องเร่ง... ขอแค่ให้เติบโต" การเติบโตในความหมายของผม คือ ความงอกงามในรายละเอียดเล็กๆ ของความรู้สึก เช่น การสังเกตว่าคลื่นอารมณ์ที่เคยโหมกระหน่ำ วันนี้มันเบาแรงลงบ้างไหม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหัวที่เคยดังอื้ออึง ปีนี้มันแผ่วลงไปบ้างหรือยัง หรือในยามที่ถูกเข้าใจผิด ใจเรายังร้อนรนที่จะรีบแก้ต่าง หรือเริ่มวางเฉยและปล่อยผ่านได้ดีขึ้น ในทุกๆ วัน ผมจึงมักกันพื้นที่เงียบสงบไว้มุมหนึ่ง อาจเป็นยามเช้าตรู่ก่อนที่โลกจะตื่น หรือยามค่ำคืนที่เสียงอึกทึกจางหาย ช่วงเวลานั้นเปรียบเสมือนการเดินเข้าสู่ห้องทดลองส่วนตัวในใจ ห้องที่ปราศจากผู้พิพากษา มีเพียงคำถามง่ายๆ ที่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของตัวเอง "วันนี้... มีอะไรที่สะกิดใจเราแรงที่สุด?" "ความกลัวแบบไหนกันนะ ที่ซ่อนอยู่หลังคำพูดเมื่อเช้า?" "ทำไมเรื่องเล็กเพียงแค่นั้น ถึงทำให้เราหงุดหงิดได้ขนาดนี้?" ผมมองทุกอารมณ์เป็นข้อมูลที่ล้ำค่า เพื่อใช้ทำความเข้าใจรูปแบบของจิตใจ มากกว่าจะใช้เป็นไม้เรียวไว้คอยเฆี่ยนตีตัวเอง บางวันอ่านบันทึกใจแล้วก็นึกขำในความดื้อรั้นของตัวเอง แต่บางวันก็นั่งนิ่งไปนาน เพราะตระหนักได้ว่าบางเรื่องราวยังไม่ตกผลึกดี เจตนาของผม คือความตั้งใจที่จะรับผิดชอบต่อแรงสั่นสะเทือนภายในใจตัวเอง ดูแลมันให้ดี... เพื่อไม่ให้มวลอารมณ์เหล่านั้น ไหลบ่าไปกระแทกคนรักหรือคนใกล้ชิดโดยไม่จำเป็น เมื่อมองชีวิตผ่านเลนส์ของความเข้าใจเช่นนี้ คำเร่งเร้าอย่าง... "ต้องรีบหาย ต้องรีบเก่ง ต้องรีบลืม" จึงค่อยๆ เลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยคำถามที่เรียบง่ายกว่าเดิม... "วันนี้... เราเข้าใจตัวเองเพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วใช่ไหม?" "ความโกรธเกรี้ยว... ช้าลงกว่าปีก่อนหรือเปล่า?" "และเรา... ให้อภัยตัวเองได้เก่งขึ้นบ้างไหม?" หากในหนึ่งปี ผมสามารถตอบว่า ใช่ ได้เพียงไม่กี่ข้อ ผมก็นับว่าปีนั้นเป็นปีที่คุ้มค่าและไม่เสียเปล่าเลย จังหวะก้าวเดินจากนี้ จึงไร้ซึ่งเสียงนาฬิกาที่คอยกดดัน เหลือเพียงเสียงกระซิบเบาๆ จากหัวใจที่บอกว่า... ค่อยเป็นคน ค่อยเป็นใจ และค่อยๆ เติบโตลึกลงไป... ในความจริงของตัวเองก็พอ #JAKKDIARY #SIAMSTR
"Logic makes people think, but Emotion makes people act." (เหตุผลทำให้คนแค่คิด แต่อารมณ์ทำให้คนลงมือทำ) image เรามักถูกปลูกฝังให้เติบโตมาพร้อมกับเหตุผล ถูกสอนให้คิดหน้าคิดหลัง วางแผนให้รัดกุม และเปรียบเทียบทุกทางเลือกอย่างละเอียด จนทักษะการวิเคราะห์ของเราแข็งแกร่ง แต่เรื่องที่น่าแปลกคือ พอถึงเวลาต้องก้าวเท้าออกจากจุดเดิมจริงๆ ขาที่ควรจะก้าวกลับหนักอึ้งและขยับไม่ออกเสียอย่างนั้น ที่เป็นแบบนั้นเพราะ เหตุผลทำหน้าที่เสมือนแผนที่นำทางที่ช่วยให้เห็นเส้นทางชัดเจน ทว่าสิ่งที่จะขับเคลื่อนให้เราลุกจากเก้าอี้ออกไปเผชิญโลกได้จริงๆ กลับเป็นหน้าที่ของหัวใจที่เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ หากเรามีแต่แผนที่เต็มมือแต่เครื่องยนต์ข้างในดับสนิท แผนการเหล่านั้นก็คงเป็นได้เพียงกระดาษเปื้อนหมึกที่วางกองไว้เฉยๆ แท้จริงแล้ว... อารมณ์กับเหตุผลคือเพื่อนร่วมทางที่ขาดกันไม่ได้ครับ เปรียบเสมือนแขนซ้ายที่กางแผนที่เพื่อดูทิศทาง ในขณะที่แขนขวาก็ทำหน้าที่เข้าเกียร์พาเราออกตัวไปข้างหน้า โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราจะดูแลเครื่องยนต์หัวใจนี้อย่างไรให้มีพลังอยู่เสมอ คำตอบอาจเริ่มจากการสำรวจลึกลงไปว่าสิ่งที่หัวใจเราให้คุณค่าจริงๆ คืออะไร? บางคนรักอิสระเป็นชีวิตจิตใจ บางคนยิ้มได้กว้างที่สุดเมื่อเห็นครอบครัวปลอดภัย หรือบางคนใจเต้นแรงเสมอเมื่อได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้แหละครับ คือ เชื้อเพลิงชั้นดี เมื่อเรานำเหตุผลมาผูกโยงกับสิ่งที่เรารัก แผนการบนกระดาษที่เคยแห้งแล้งจะเริ่มมีความอบอุ่นและมีชีวิตชีวาขึ้น เป้าหมายเรื่องการเก็บเงินหรือดูแลสุขภาพ หากมองด้วยเหตุผลอาจดูไกลตัว แต่ลองจินตนาการถึงภาพวันที่เราแข็งแรงพอจะวิ่งเล่นกับลูกหลานในวัยชราดูสิครับ ความรู้สึกอุ่นวาบในใจจะเปลี่ยนคำว่าหน้าที่ที่ควรทำ ให้กลายเป็นก้าวเล็กๆ เพื่อคนที่เรารักไปโดยปริยาย... ในวันที่เหนื่อยล้าจนอยากจะผัดวันประกันพรุ่ง แทนที่จะดุด่าหรือตำหนิตัวเองซ้ำๆ ลองกลับมาเช็กดูว่าเชื้อเพลิงก้อนไหนของเราที่พร่องไป เราอาจเผลอลืมภาพฝันที่อยากไปถึง อาจห่างเหินจากคนที่เป็นแรงบันดาลใจ หรืออาจหลงลืมการดูแลร่างกายจนแรงกายหดหายไป เมื่อเราให้เหตุผลช่วยดูทิศทาง และอนุญาตให้หัวใจทำหน้าที่จุดไฟ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างสมองหรือความรู้สึกอีกต่อไป เพราะชีวิตที่สมดุลคือการเดินทางที่เรารู้ทั้งทิศที่จะไป และยังมีแรงใจที่จะเดินต่อไปในทุกๆ เช้าครับ "มอบหน้าที่การวางแผนเส้นทาง... ให้เป็นเรื่องของเหตุผล และปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่บอกเล่าว่า... ปลายทางนั้นมีความหมายเพียงใด และใครคือคนที่เราอยากจูงมือเดินไปให้ถึง" #JakkDiary #Siamstr
The Heart of Life – John Mayer “เพลงที่เล่นให้ตัวเองฟัง ต่อให้มีคอร์ดผิดอยู่บ้าง ก็ซื่อสัตย์กว่าชีวิตที่เอาแต่เล่นตามโน้ตของคนอื่น” image แดดร่มลมตก ผมหอบเอากีตาร์ออกมานั่งเล่นที่สวนหลังบ้าน รอบกายไร้ซึ่งเวทีและผู้ชม เหลือเพียงลมอ่อนๆ ที่พัดเอากลิ่นดินชื้นน้ำรดต้นไม้มาแตะจมูก และมีเพียงเสียงสายกีตาร์กังวานอยู่เป็นเพื่อน สมัยเด็ก... ผมเคยเชื่อฝังหัวว่าคุณค่าของดนตรีผูกติดอยู่กับจำนวนผู้ฟัง ต้องยืนอยู่บนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว ถึงจะคุ้มค่าเหนื่อย ครั้นพอเติบโตขึ้น มุมมองนั้นกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าช่วงเวลาเงียบๆ ที่ได้ดีดกีตาร์กล่อมเกลาใจตัวเองในมุมสงบ กลับเป็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งกว่า ในยามที่เราอยากหยิบมันขึ้นมาบรรเลงด้วยใจรัก ต่อให้โลกภายนอกจะหมุนไปอย่างไร ความสุขตรงหน้าก็เป็นสิทธิ์ของเราโดยสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาอนุญาต เสียงดนตรีในสวนย่อมมีจังหวะที่นิ้วกดพลาด หรือเสียงเพี้ยนไปบ้างเป็นธรรมดา ทว่าความรื่นรมย์ของการเล่นลำพัง คือการที่เราได้โอบรับความไม่สมบูรณ์เหล่านั้นไว้อย่างเต็มหัวใจ โดยไม่ต้องพะวงกับสายตาจับผิดของใคร ดนตรีสอนให้ผมเข้าใจว่าคอร์ดที่ผิดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทาง ...ไม่ใช่จุดจบ หากเรามัวแต่ชะงักงันเพียงเพราะเสียงเดียวที่เพี้ยนไป เพลงรักทั้งเพลงคงไม่มีวันเดินทางไปถึงท่อนฮุกที่รออยู่ ชีวิตคนเราก็ดำเนินไปในท่วงทำนองเดียวกัน อาจมีการตัดสินใจที่พลั้งพลาด หรือถ้อยคำที่หลุดปากไปบ้าง หากเรายอมรับและฟังให้รู้ว่าผิดตรงไหน แล้วค่อยๆ ประคองใจกลับมาสู่คีย์เดิม ท่วงทำนองในช่วงต่อไปก็ยังคงไพเราะงดงามได้เสมอ ผมปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเพลง ระบายความกังวลที่สะสมมาทั้งวันให้ไหลผ่านปลายนิ้วออกไปเรื่อยๆ จะไพเราะหรือแปร่งปร่าบ้างก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า... ทุกตัวโน้ตนั้นกลั่นออกมาจากใจของเราเอง จวบจนเวลาที่เก็บกีตาร์ลงกระเป๋า สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในใจอาจไม่ใช่ความรู้สึกว่าเก่งกาจขึ้น หากแต่เป็นความรู้สึกเบาสบายอย่างน่าประหลาด เพียงเท่านี้ก็เติมเต็มยามเช้าให้สมบูรณ์แล้ว เพราะที่สุดแล้วความสุขอาจเรียบง่ายเพียงแค่การอนุญาตให้ตัวเองได้บรรเลงเพลงชีวิตในแบบที่เป็น แม้จะมีร่องรอยของความผิดพลาดปะปนอยู่บ้างก็ตาม... #JakkDiary #Siamstr
ฟ้าสางรำไร พระจันทร์กลมโตยังลอยค้างอยู่เหนือแนวสายไฟ ผมยืนพิงรั้วหน้าบ้าน สูดอากาศเย็นฉ่ำเข้าปอดลึกๆ image ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงแรกที่แว่วมาทักทายเช้านี้ กลับไม่ใช่เสียงยวดยานพาหนะ หรือเสียงผู้คนจอแจ หากแต่เป็นเสียงนกตัวเล็กๆ ที่ส่งเสียงร้องแผ่วเบามาจากหลังคาบ้านข้างๆ ภาพนี้ทำให้ผมนึกถึงคำเปรียบเปรยเรื่อง "นกที่ตื่นเช้า" ซึ่งในความรู้สึกของผม มันมีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องของคนขยันที่ต้องรีบตื่นมาแข่งขันกับใคร นกที่ตื่นเช้าที่แท้จริง คือผู้ที่ตื่นรู้ก่อนที่เสียงอึกทึกของโลกภายนอกจะดังกลบเสียงหัวใจของตัวเอง ช่วงเวลารุ่งสางเปรียบเสมือนของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้ เป็นห้วงเวลาสั้นๆ ที่โลกยังไม่ทันได้ดึงรั้งความสนใจของเราให้กระจัดกระจาย เปิดโอกาสให้เราได้ยินเสียงลมหายใจ และได้ฟังเสียงความคิดของตัวเองชัดๆ ก่อนที่คลื่นภาระหน้าที่และข่าวสารประจำวันจะถาโถมเข้ามาปะปนจนแยกไม่ออก ดังนั้น นกที่ผมอยากจะเป็น คือนกที่ใช้ช่วงเวลาแห่งแสงแรก ทบทวนกับตัวเองเงียบๆ ว่า "วันนี้... เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน" โดยไม่ต้องคาดคั้นคำตอบที่ยิ่งใหญ่ ขอแค่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองสักข้อเดียว ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่งดงามแล้ว ชีวิตจริงอาจไม่ได้ลงล็อคสวยงามเหมือนตารางสอน บางวันเราอาจตื่นสายบ้าง หรือพักผ่อนน้อยบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอแค่เรายังเหลือพื้นที่เล็กๆ อนุญาตให้หัวใจได้ตื่นขึ้นมาสูดอากาศก่อนร่างกายสักนิด ไม่ว่าเข็มนาฬิกาจะชี้บอกเวลาเท่าไหร่ เราทุกคนก็สามารถเป็นนกที่ตื่นเช้าในแบบฉบับที่มีความสุขได้เสมอครับ #JakkDiary #Siamstr