💬 : นี่คือข้อมูลอัปเดตล่าสุดปี 2024-2025 ของ Data Center (หรือ Data Center Campus) ที่มีการใช้พลังงานและมีกำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Capacity) สูงที่สุดในโลกครับ สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอดีตเรามักจะเห็นชื่อ Data Center จากจีนครองอันดับต้นๆ (ที่ประมาณ 150 MW) แต่ปัจจุบัน "Hyperscale Campus" ของบริษัทยักษ์ใหญ่ฝั่งอเมริกา (Meta, Google, Microsoft) ได้ขยายตัวจนมีขนาดระดับ "Gigawatt (1,000 MW+)" ไปแล้ว ซึ่งใหญ่กว่าโรงงานอุตสาหกรรมหนักเสียอีกครับ 10 อันดับ Data Center ที่ใช้พลังงานสูงสุด (โดยประมาณการจาก Capacity) 1 Meta (Facebook) Altoona Data Center * สถานที่: รัฐไอโอวา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: สูงถึง ~1,400 MW (ตามรายงานปี 2025) * จุดเด่น: เป็น Campus ที่ใหญ่ที่สุดของ Meta ใช้พลังงานลม (Wind Energy) ในพื้นที่มาเลี้ยงระบบเกือบทั้งหมด 2 Meta (Facebook) Prineville Data Center * สถานที่: รัฐออริกอน, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~1,290 MW * จุดเด่น: เป็น Data Center แห่งแรกที่ Meta สร้างเอง และเป็นต้นแบบของ Open Compute Project (OCP) 3 CloudHQ LC Campus * สถานที่: เมือง Ashburn (Data Center Alley), รัฐเวอร์จิเนีย, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ตั้งเป้าหมายสูงสุดที่ ~1,200+ MW (ปัจจุบันเปิดใช้งานแล้วหลายเฟส) * จุดเด่น: เป็นศูนย์รวม Data Center แบบ Colocation ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ตั้งอยู่ในจุดที่สาย Fiber Optic หนาแน่นที่สุด 4 Meta (Facebook) Fort Worth Data Center * สถานที่: รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~730 MW * จุดเด่น: ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพพลังงานสูง และรองรับการขยายตัวของ AI Workload 5 Switch Citadel Campus * สถานที่: รัฐเนวาดา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: รองรับสูงสุด 650 MW * จุดเด่น: ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ป้อมปราการแห่งข้อมูล" (The Citadel) ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และอยู่ใกล้โรงงาน Gigafactory ของ Tesla 6 Microsoft Quincy Data Center * สถานที่: รัฐวอชิงตัน, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~620 MW * จุดเด่น: ใช้พลังงานน้ำ (Hydroelectric) ราคาถูกจากเขื่อนในแม่น้ำโคลัมเบีย เป็นฮับสำคัญของ Azure Cloud 7 Switch Core Campus (SuperNAP) * สถานที่: เมืองลาสเวกัส, รัฐเนวาดา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~500 MW * จุดเด่น: เคยครองแชมป์เก่าอยู่หลายปี เป็นศูนย์ที่มีระบบความปลอดภัยเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 8 Google Council Bluffs Data Center * สถานที่: รัฐไอโอวา, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: >400 MW (มีสัญญาซื้อขายพลังงานลมรองรับกว่า 1,000 MW) * จุดเด่น: หนึ่งในไซต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Google ที่รองรับบริการ Search, YouTube และ Gmail ทั่วโลก 9 QTS Atlanta Metro Data Center * สถานที่: รัฐจอร์เจีย, สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~280 MW * จุดเด่น: สร้างและดัดแปลงมาจากศูนย์กระจายสินค้าเก่าของ Sears-Roebuck ขนาดมหึมา มีพื้นที่หลังคาสำหรับ Solar Cell มหาศาล 10 China Telecom Inner Mongolia Information Park * สถานที่: เขตปกครองตนเองอินเนอร์มองโกเลีย, จีน 🇨🇳 * กำลังไฟฟ้า: ประมาณ ~150 MW (และกำลังขยายต่อ) * จุดเด่น: เคยเป็นอันดับ 1 ในแง่ของ "พื้นที่" (Area) ที่กว้างที่สุดในโลก ใช้ความเย็นจากอากาศธรรมชาติในมองโกเลียเพื่อลดค่าไฟ ข้อสังเกต: Tesla Cortex 2 ที่คุณสนใจ (100-200 MW) ถ้าสร้างเสร็จและรันเต็มระบบ จะแทรกเข้ามาอยู่ในกลุ่ม Top 10-15 ได้ทันที ซึ่งถือว่าใหญ่มากสำหรับ Data Center ที่ใช้เพื่อ "เทรน AI ให้บริษัทเดียว" (ในขณะที่อันดับบนๆ คือ Cloud ที่ให้บริการคนทั้งโลก) ตัวเลข MW (Megawatt) คือหน่วยวัดความจุของไฟที่รับได้ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการประมวลผล (Compute Power) โดยตรงครับ ///// Data Center ของ Facebook (Meta) ไม่ได้มีไว้เก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างเดียว แต่ก็ ไม่ได้เป็น AI ทั้งหมด ครับ มันคือโรงงานอเนกประสงค์ที่แบ่งโซนการทำงานชัดเจน และที่สำคัญ "ไม่มีการขุด Bitcoin แน่นอน" ครับ ขอแยกส่วนประกอบข้างในให้เห็นภาพชัดๆ ดังนี้ครับ: 1. สัดส่วนการทำงาน (Workload Distribution) Meta ไม่เคยเปิดเผยตัวเลข % เป๊ะๆ ของแต่ละตึกเพราะเป็นความลับทางการค้า แต่เราสามารถดูได้จาก "Hardware ที่เขาสั่งซื้อ" ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ครับ: ส่วนที่ 1: Storage (ห้องเก็บของเก่า) ~ ประมาณ 40-50% • หน้าที่: เก็บรูปภาพ วิดีโอ โพสต์เก่าๆ ของพวกเราตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว • อุปกรณ์: เป็นตู้ Rack ที่อัดแน่นด้วย Hard Disk Drive (HDD) ธรรมดาๆ หมุนช้าๆ เน้นความจุเยอะๆ (Cold Storage) เครื่องพวกนี้กินไฟน้อย และจะทำงานก็ต่อเมื่อคุณเลื่อนฟีดไปดูรูปเก่าๆ เท่านั้น • ถ้าเปรียบเทียบ: เหมือนโกดังเก็บเอกสาร ส่วนที่ 2: Compute / Web Serving (พนักงานต้อนรับ) ~ ประมาณ 30-40% • หน้าที่: รันตัวแอป Facebook/Instagram, จัดหน้า Feed ว่าจะเอาโพสต์ไหนขึ้นก่อน, ยิงโฆษณาหาเรา • อุปกรณ์: ใช้ CPU Server ทั่วไป (คล้ายคอมพิวเตอร์แรงๆ) • ถ้าเปรียบเทียบ: เหมือนพนักงานออฟฟิศที่คอยหยิบเอกสารมาให้เราดู ส่วนที่ 3: AI / Machine Learning (สมองกล) ~ ประมาณ 10-20% (แต่กินไฟเกิน 50%!) • หน้าที่: อันนี้คือของใหม่และสำคัญที่สุด เอาไว้ "เทรน AI" (Llama, Meta AI) และทำ "Recommendation System" (ระบบที่เดาใจว่าเราชอบดูคลิป Reels อะไร) • อุปกรณ์: ใช้ GPU (NVIDIA H100) ล้วนๆ โซนนี้แหละครับที่ร้อนที่สุด และกินไฟดุเดือดที่สุด • แนวโน้ม: ตึกใหม่ๆ ที่กำลังสร้าง (เช่นที่เพิ่งเป็นข่าว) จะเทน้ำหนักมาที่ส่วนนี้เกือบทั้งหมดครับ 2. ทำไมเขาถึง "ไม่ขุด Bitcoin"? ฟันธงว่า Facebook (Meta) ไม่ขุด Bitcoin 100% ด้วยเหตุผลทางวิศวกรรมและธุรกิจครับ: 1. Hardware คนละประเภท: • Bitcoin Mining: ต้องใช้เครื่อง ASIC (วงจรเฉพาะทางที่ทำหน้าที่แก้สมการได้อย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย) • Meta Data Center: ใช้ GPU (การ์ดจอ) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง ใช้เทรน AI ก็ได้ ใช้เรนเดอร์ภาพก็ได้ ถ้าเอา GPU ไปขุด Bitcoin จะ "ขาดทุนค่าไฟ" ทันทีเพราะสู้เครื่อง ASIC ไม่ได้ครับ 2. Business Model: • กำไรของ Meta มาจาก "ข้อมูล" และ "โฆษณา" (ปีละหลายหมื่นล้านเหรียญ) • การเอาไฟไปขุด Bitcoin เพื่อรอลุ้นรางวัล เป็นโมเดลธุรกิจที่ความเสี่ยงสูงและกำไรน้อยกว่าธุรกิจหลักของเขามากครับ เขาเอาไฟไปรัน AI เพื่อยิงโฆษณาให้แม่นขึ้น ทำเงินได้เยอะกว่าขุดบิทคอยน์หลายล้านเท่าตัว สรุปภาพรวม ถ้าคุณเดินเข้าไปใน Data Center ของ Facebook ตอนนี้: • โซนซ้าย: เงียบๆ เย็นๆ = เก็บรูปงานบวชงานแต่งของเรา (Storage) • โซนขวา: เสียงดังพัดลมกระหึ่ม ร้อนจัด = กำลังคำนวณว่าเย็นนี้จะยิงโฆษณาอะไรใส่หน้าฟีดคุณ หรือกำลังเทรน AI ตัวใหม่ให้ฉลาดขึ้น (AI Compute) #siamstr #geministr #datacenter 🗂️🗼
ความรู้สึก #หมดเวรหมดกรรมสักที มักมาหลังจากการปลดทุกข์ยำเผ็ดๆที่ค้างท้องที่กินไปเมื่อคืน 🌶️💩 #สู้ชีวิต
ไม่มี satoshi ที่ติดลบ ในระบบ bitcoin #เริ่มจากสูญ
ใช่ครับ ข้อความนี้สะท้อนแก่นความคิดของ Anarcho-Capitalism (ทุนนิยมอนาธิปไตย) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในสายความคิดที่มาจากหนังสือระดับตำนานอย่าง The Sovereign Individual (เขียนโดย James Dale Davidson และ Lord William Rees-Mogg) ข้อความนี้กำลังเปรียบเทียบระหว่าง "อำนาจรัฐ" (Political Sovereignty) กับ "อำนาจตลาด" (Commercial Sovereignty) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชาว AnCap ครับ ผมขอขยายความให้เห็นภาพดังนี้: 1. ทำไมถึงบอกว่าเป็น Anarcho-Capitalism? ในมุมมองของ AnCap: * ประชาธิปไตย (Democracy): ถูกมองว่าเป็น "เผด็จการเสียงข้างมาก" (Tyranny of the Majority) คือถ้าคน 51% โหวตให้ทำอะไร อีก 49% ต้องจำยอมทำตาม ไม่มีทางเลือกอื่น * อธิปไตยเชิงพาณิชย์ (Commercial/Consumer Sovereignty): เปรียบเสมือน "ตลาด" ที่ทุกการตัดสินใจซื้อคือการลงคะแนนเสียง (Every penny is a vote) * ไม่ปิดกั้นทางเลือก: คุณชอบรถสีแดง เพื่อนชอบรถสีดำ ตลาดผลิตให้ได้ทั้งคู่ ไม่ต้องโหวตให้เหลือสีเดียวทั้งประเทศเหมือนกฎหมาย * การแสดงออก: คุณแสดงเจตจำนงผ่านทรัพย์สินและการกระทำของคุณได้เต็มที่โดยไม่ต้องรอรอบเลือกตั้ง 2. ความเชื่อมโยงกับ "The Sovereign Individual" ประโยคที่ว่า "สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์... จะอนุญาตให้มีขอบเขตที่ปฏิบัติได้มากขึ้นสำหรับการตัดสินใจ" ตรงกับคำทำนายในหนังสือ The Sovereign Individual เป๊ะๆ ครับ * หนังสือเล่มนี้ทำนายว่า ในยุค Information Age เทคโนโลยีจะทำให้คนเก่ง (Cognitive Elite) สามารถพาตัวเองออกจากอำนาจรัฐได้ * พวกเขาสามารถเลือก "ที่อยู่" หรือ "ผู้ให้บริการกฎหมาย" (Jurisdiction) ได้เหมือนเลือกซื้อประกันภัย โดยไม่ต้องผูกติดกับรัฐชาติที่ตนเกิด * นี่คือภาวะที่ "อำนาจอธิปไตย" (Sovereignty) ย้ายจาก "รัฐ" มาอยู่ที่ "ปลายนิ้วของปัจเจกชน" 3. ข้อสังเกตสำคัญ (จุดที่ต้องระวัง) ข้อความนี้เน้นเรื่อง "ความสามารถในการใช้ประโยชน์" (Talent to leverage) ซึ่งเป็นจุดที่ AnCap มักถูกโจมตีว่าเป็นระบบที่เอื้อต่อคนเก่งและคนรวย (Elitist) * AnCap มองว่า: นี่คือความยุติธรรม เพราะคนที่มีความสามารถควรได้รับผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่ถูกรัฐรีดไถ * คนทั่วไปมองว่า: นี่อาจทิ้งคนตัวเล็กตัวน้อยไว้ข้างหลัง เพราะถ้าคุณไม่มี "ทุน" หรือ "พรสวรรค์" คุณอาจไม่มีเสียงในระบบ "อธิปไตยเชิงพาณิชย์" นี้เลย สรุป: ใช่ครับ นี่คือคำอธิบายกลไกการทำงานของ Anarcho-Capitalism ในเวอร์ชันที่เน้นเรื่อง "ตลาดเสรีในฐานะผู้มอบอำนาจการตัดสินใจสูงสุด" แทนที่รัฐบาลครับ #siamstr
ปัจจุบัน: การกลับมาของ "Sortition" ในโลกสมัยใหม่ ในศตวรรษที่ 21 แนวคิดเรื่องการสุ่มเลือกกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในชื่อ "Citizens' Assemblies" (สมัชชาพลเมือง) เพื่อแก้ปัญหาทางตันทางการเมือง จากบทความ: "มันจะรับประกันทางสถิติว่าจะมีทนายความและคนหลงตัวเองน้อยลง" ในปัจจุบัน แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้จริงในรูปแบบดังนี้: • การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Deliberative Democracy): • ไอร์แลนด์: ใช้การสุ่มเลือกประชาชนทั่วไป 99 คน มาประชุมร่วมกันเพื่อหาทางออกเรื่องกฎหมายทำแท้งและการสมรสของเพศเดียวกัน ผลลัพธ์คือข้อเสนอที่เป็นกลางและได้รับการยอมรับจากสังคม มากกว่าให้นักการเมืองเถียงกันในสภา • ฝรั่งเศส: มีการจัดตั้ง "Citizens' Convention for Climate" โดยสุ่มประชาชน 150 คน เพื่อร่างกฎหมายลดโลกร้อน • ระบบลูกขุน (Jury Duty): นี่คือมรดกตกทอดที่ชัดเจนที่สุดของการสุ่มแบบกรีกที่ยังหลงเหลืออยู่ในระบบยุติธรรมของสหรัฐฯ และอังกฤษ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ถูกกล่าวหาจะถูกตัดสินโดย "คนระดับเดียวกัน" (Peers) ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ • การลดอคติ: การสุ่มในปัจจุบันช่วยให้ได้สภาที่มีสัดส่วนประชากรตรงตามความเป็นจริง (ชาย-หญิง, คนรุ่นใหม่-คนแก่, คนรวย-คนจน) โดยอัตโนมัติ ซึ่งการเลือกตั้งมักทำไม่ได้เพราะต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการหาเสียง บทสรุป: ข้อดีของการ "สุ่ม" ในบริบทปัจจุบัน การนำระบบจับฉลากมาใช้ (แม้จะเป็นเพียงบางส่วน) ช่วยแก้ปัญหา "วิกฤตศรัทธาในนักการเมือง" ได้ เพราะ: 1. ตัดวงจรผลประโยชน์: ผู้ถูกเลือกไม่ได้มาจากการระดมทุนหาเสียง จึงไม่ต้องตอบแทนนายทุน 2. ความเป็นตัวแทนที่แท้จริง: เราจะได้เห็น ครู พยาบาล วิศวกร หรือแม่ค้า เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่กลุ่มชนชั้นนำทางกฎหมาย 3. ลดความขัดแย้ง: คนธรรมดาที่มาจากการสุ่มมักมีแนวโน้มจะประนีประนอมและหาทางออกร่วมกันมากกว่านักการเมืองที่ต้องรักษาฐานเสียง แนวคิดนี้กำลังท้าทายความเชื่อเดิมที่ว่า "การเลือกตั้ง" คือวิธีเดียวของประชาธิปไตย และชวนให้เราตั้งคำถามว่า "จะดีกว่าไหม ถ้าเราให้โอกาสคนธรรมดาได้กำหนดอนาคตของตัวเองบ้าง?" #siamstr
คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตและตายภายในระยะไม่กี่ไมล์จากที่ที่พวกเขาเกิด
ประชาธิปไตยมวลชนไม่เข้ากันกับยุคสารสนเทศ การครุ่นคิดสักครู่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีของยุคสารสนเทศไม่ใช่เทคโนโลยีมวลชนโดยธรรมชาติ ในแง่ของการทหาร ดังที่เราได้ชี้ให้เห็น มันเปิดโอกาสให้มี "อาวุธอัจฉริยะ" และ "สงครามสารสนเทศ" ซึ่ง "ระเบิดตรรกะ" สามารถก่อวินาศกรรมระบบบัญชาการและควบคุมแบบรวมศูนย์ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบของอาวุธที่ใช้งานโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างชัดเจน แต่ยังลดความสำคัญของสงคราม ปรับปรุงตำแหน่งของฝ่ายป้องกันให้ดีขึ้น เทคโนโลยีขนาดเล็กทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอำนาจทางทหารของปัจเจกบุคคล ในขณะที่ลดความสำคัญของกองกำลังทหารราบขนาดใหญ่ ในท้ายที่สุด นี่หมายถึงจุดจบของประชาธิปไตยมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบที่เด่นชัดที่สุด นั่นคือการปกครองที่ผิดพลาดแบบตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นแบบรัฐสภาหรือแบบสภาคองเกรส #TheSovereignIndividual #CHAPTER10 #ยุคสนธยาของระบอบประชาธิปไตย #siamstr
ศิลปะรีเบิด 🐸🌲⛄️ image
กว่าจะได้กลับมาเป็นตัวเอง
John Maeda (อดีตประธาน RISD และผู้บริหาร MIT Media Lab) เคยกล่าวเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า: • Science คือการสำรวจ (Exploration) • Technology/Engineering คือการประดิษฐ์ (Invention) • Art คือการแสดงออก (Expression) #siamstr View quoted note →