ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราค้นหาวิธีที่ดีที่สุดในการกักเก็บ "พลังงาน" (มูลค่า) ที่เราสร้างขึ้น—นั่นคือเวลา, แรงงาน, และสติปัญญาของเรา "เงิน" คือเทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เป็น "แบตเตอรี่" สำหรับพลังงานทางเศรษฐกิจนั้น
ระบบการเงินในปัจจุบัน ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาดเพื่อ "ความยืดหยุ่น" (Flexibility) มันเปรียบเหมือน "โช้คอัพ" (Suspension) ชั้นดีของรถยนต์ ถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับ "หลุมบ่อ" (วิกฤตเศรษฐกิจ, โรคระบาด) โดยเฉพาะ เป้าหมายของมันคือการ "ประคอง" ให้การเดินทางของเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomy) ราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านการปรับเปลี่ยนเครื่องมือต่างๆ
แต่เครื่องมือทุกชนิดก็มี "ผลข้างเคียง"
ในช่วงปี 2020-2024 เราได้เห็นผลข้างเคียงนั้นอย่างรุนแรง เมื่อระบบจำเป็นต้องอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) อย่างมหาศาลเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งใหญ่ (ปี 2020) ผลลัพธ์ที่ตามมาคือคลื่น "เงินเฟ้อ" ที่ซัดเข้ามาอย่างรุนแรง
และนี่คือปัญหาที่แท้จริงที่ผู้คนสัมผัสได้: แม้ว่าต่อมาผู้คุมนโยบายจะพยายาม "ดึงเบรก" (ขึ้นดอกเบี้ย) อย่างหนักหน่วงเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ "ต้นทุนชีวิตจริง" (Real Cost of Living) ของผู้คนกลับไม่ลดลงตาม "ข้าวของแพงขึ้น" และไม่กลับไปสู่จุดเดิมอีกเลย มันเกิด "ความเหลื่อมล้ำ" (Disconnect) ที่ชัดเจนระหว่างตัวเลขสถิติที่ทางการใช้วัด กับ "ความจริง" ที่เราทุกคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน
นี่คือจุดที่ "นวัตกรรม" ก้าวเข้ามา
Bitcoin ไม่ได้เสนอตัวเป็น "โช้คอัพ" ที่ดีกว่า มันเสนอเครื่องมือชนิดใหม่ที่ทำงานคนละหน้าที่... มันคือ "สมอเรือ" (Anchor)
Bitcoin เสนอ "เสถียรภาพของกฎ" (Stability of Rules) ที่เที่ยงตรงและคาดเดาได้ มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ "ยืดหยุ่น" เพื่อจัดการวิกฤตระยะสั้น แต่ถูกออกแบบมาให้ "เที่ยงตรง" เพื่อทำหน้าที่เป็น "แบตเตอรี่" สำหรับการเก็บออมพลังงาน (มูลค่า) ในระยะยาว โดยไม่ถูกเจือจางจากนโยบายที่ "ยืดหยุ่น" เหล่านั้น
โลกอาจไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง "โช้คอัพ" หรือ "สมอเรือ"
อนาคตของระบบการเงินที่ "ดีกว่า" อาจหมายถึงระบบนิเวศที่มีความสมดุล เราอาจต้องการทั้งคู่: ระบบที่ "ยืดหยุ่น" เพื่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจในระยะสั้น และระบบที่ "เที่ยงตรง" เพื่อเป็น "ทางเลือก" ให้ผู้คนได้ใช้รักษามูลค่าที่แท้จริงของพวกเขาในระยะยาว
นี่ไม่ใช่การล้มล้าง แต่คือ "การเติมเต็ม" (Complement) ซึ่งกันและกัน
⚓️
#siamstr
